บทที่ 1: ใครส่งพวกเจ้ามา?
เฟิ่งมู่ชิงลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง นางกวาดสายตามองไปรอบตัวก่อนจะพบว่าตนอยู่ในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีลักษณะเหมือนเกี้ยวเจ้าสาว
เกิดอะไรขึ้น?
ข้าแค่งีบหลับไปมิใช่หรือ? แล้วทำไมตอนนี้ข้าถึงอยู่ในร่างของสตรีที่กำลังสวมใส่ชุดแต่งงานกัน?
ในตอนนี้หญิงสาวรู้สึกตะขิดตะขวงใจมาก เพราะก่อนหน้านี้นางเป็นเทพเซียนผู้สง่างาม เป็นดั่งต้นเหล็กอายุหลายพันปีที่ไม่เคยเบ่งบาน*มาก่อน และนี่เป็นครั้งแรกที่นางอยู่ในชุดเจ้าสาว
*เป็นคำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ผู้ที่มีอายุอยู่มานานแต่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรัก
เฟิ่งมู่ชิงผุดลุกขึ้นทันที ทว่าเพราะการลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันทำให้นางมีอาการวิงเวียนศีรษะจนต้องนั่งลงอีกครั้ง
แต่แล้วจู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาในหัว เนื่องจากความทรงจำที่ไม่ใช่ของตนหลั่งไหลเข้ามาทำให้นางรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เฟิ่งมู่ชิงสะบัดหัวเบา ๆ แล้วยกมือขึ้นกุมหน้าผาก ก่อนจะค่อย ๆ แยกแยะความทรงจำทั้งหมด
เฮอะ! ช่างดีเหลือเกิน
มุมปากของเฟิ่งมู่ชิงกระตุกยิ้มเย้ยหยันต่อโชคชะตาที่น่าเศร้าของตัวเอง
หลังจากนางใช้เวลานานกว่าสัปดาห์ในการพยายามเอาตัวรอด ในที่สุดนางก็ตะเกียกตะกายหนีพ้นจากมือมัจจุราชมาได้ แต่นางไม่ได้คาดคิดว่าจะถูกอสนีบาตขนาดมหึมาเส้นนั้นฟาดใส่ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันก็ส่งให้นางมาอยู่ที่นี่
อุกอาจ!
มันช่างอุกอาจมากเสียจริง!
หญิงสาวได้แต่ก่นด่าในใจ ก่อนจะสำรวจความทรงจำของร่างเดิมจนได้รู้ว่าเจ้าของร่างนี้มีนามว่า ‘เฟิ่งมู่ชิง’ ด้วยเช่นกัน นางเป็นบุตรสาวที่ชอบด้วยกฎหมายของ ‘เฟิ่งเทียนหลิง’ ผู้ดำรงตำแหน่งมหาเสนาบดีแห่งแคว้นเป่ยอี้ ในวันที่ร่างเดิมถือกำเนิดนั้นก็เกิดปรากฏการณ์แปลก ๆ ที่ทำให้ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงวิปริตแปรปรวน
ในวันนั้น ‘หลานจิ้งโหรว’ ผู้เป็นแม่ของนางเสียชีวิตในขณะคลอดบุตร และด้วยความเศร้าโศกเสียใจที่ภรรยาตายจาก จึงทำให้พ่อของนางส่งเฟิ่งมู่ชิงที่อายุยังไม่ถึง 1 เดือนไปอยู่ที่เป่ยหยวน เมืองชายขอบซึ่งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงที่สุด โดยจัดการให้มีคนรับใช้เพียงคนเดียวไปอยู่ดูแลนาง
และจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้คนรับใช้ในจวนฉวยโอกาสกลั่นแกล้งรังแกนางมาตลอด 15 ปี
พอคิดมาถึงขณะนี้เฟิ่งมู่ชิงก็รู้สึกว่าร่างเดิมนั้นโชคดีมากที่เติบโตขึ้นมาได้แม้ว่านางจะถูกทิ้งให้ดูแลตัวเองก็ตาม
ถัดมา หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะเปิดม่านเดินออกจากเกี้ยวเจ้าสาวขึ้นแล้วมองไปรอบ ๆ ทำให้รู้ว่าปัจจุบันตนกำลังอยู่ในป่าอันเงียบสงัดที่ไม่มีร่องรอยของมนุษย์อยู่เลยแม้แต่น้อย
ไม่ใช่ว่าตอนนี้ร่างเดิมต้องเข้าพิธีสมรสในจวนของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามพระราชโองการของฮ่องเต้หรอกหรือ?
เหตุใดนางถึงมาอยู่ในป่ารกร้างเช่นนี้?
แล้วคนแบกเกี้ยวเจ้าสาวหายไปไหน ทำไมถึงไม่มีใครอยู่เลย?
ในหัวของเฟิ่งมู่ชิงเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้
ทันใดนั้น ขณะที่หญิงสาวกำลังไตร่ตรองถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ จู่ ๆ นางก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งเข้ามา ทำให้นางตื่นตัวก่อนจะเบี่ยงหลบไปด้านข้างทันที
ปัง!!!
ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของหญิงสาวล้มกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น
จังหวะนั้นเฟิ่งมู่ชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์ ในขณะที่เปลือกตาของนางกระตุกถี่ ๆ เหมือนเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความโชคร้าย
เทพเซียนบนสวรรค์ช่างใจดีกับนางเสียเหลือเกิน ไม่เพียงแต่ส่งนางมาอยู่ในร่างของสตรีที่กำลังจะแต่งงานเท่านั้น แต่นางยังถูกลอบโจมตีอีกด้วย!
ขณะนั้นหญิงสาวหันไปเผชิญหน้ากับเหล่าชายชุดดำกลุ่มหนึ่งซึ่งยืนถืออาวุธตั้งท่าเตรียมจะฟาดฟันนาง พร้อมกับที่นัยน์ตาเหลือบไปเห็นแสงอาทิตย์ยามสนธยาที่สะท้อนคมดาบเป็นประกายอันเย็นเยียบที่ไม่ว่าใครพบเห็นก็คงจะอดสั่นสะท้านไม่ได้
ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายต่างยืนมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร ในเวลาเดียวกันนั้น เฟิ่งมู่ชิงแอบขยับนิ้วใต้แขนเสื้อเงียบ ๆ เพื่อที่จะตอบโต้กลุ่มคนตรงหน้า ทว่านางก็ต้องตกใจ
เกิดอะไรขึ้น!?
เหตุใดข้าจึงใช้พลังไม่ได้?
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เฟิ่งมู่ชิงเหยียดยิ้มด้วยความขมขื่น ใครจะคิดว่าวันหนึ่งเทพเซียนที่อายุน้อยที่สุดแห่งสวรรค์ชั้นฟ้าจะกลายเป็นหมูในอวยรอให้คนอื่นเชือดแบบนี้
“ฆ่ามัน!”
ชายชุดดำที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำตะโกนสั่งเสียงดัง จากนั้นคนที่เหลือก็วิ่งกรูกันเข้าไปหาหญิงสาวที่เป็นเป้าหมายของพวกเขาทันที
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นดังนั้น แววตาของนางก็แข็งกร้าว นางรีบดึงปิ่นปักผมบนศีรษะออกมา ก่อนจะใช้มันทิ่มเข้าไปในร่างกายของนางสองสามครั้ง ไม่นานหญิงสาวก็รู้สึกว่าร่างกายเบาสบายขึ้น อีกทั้งความอบอุ่นก็ไหลเข้าสู่จุดตันเถียนของตัวเองด้วย
ในขณะที่คมดาบกำลังจะสัมผัสร่างกาย สายตาอันแหลมคมของเฟิ่งมู่ชิงก็สังเกตเห็นมันเสียก่อน นางจึงบิดตัวไปด้านข้างพร้อมกับคว้าข้อมือของศัตรู ก่อนจะหักข้อมือคนตรงหน้าอย่างแรง จากนั้นจึงคว้าดาบที่หลุดออกจากมือของอีกฝ่ายขึ้นมาใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว
นั่นทำให้ชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งพลางมองดูมือขวาที่ว่างเปล่าด้วยความงุนงง
สตรีผู้นี้เป็นคนไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?
เหตุใดคนไร้ประโยชน์ถึงสามารถแย่งอาวุธไปจากมือของข้าได้?
ไม่นานชายชุดดำผู้นั้นก็ได้สติ เขาคำรามด้วยความโกรธก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปหาคู่ต่อสู้อีกครั้งพร้อมกับง้างดาบที่อยู่ในมืออีกข้างขึ้น เพื่อหวังจะฟาดฟันหญิงสาวตรงหน้าให้ตาย
เคร้ง! ชิ้ง!
เสียงการปะทะกันของดาบในป่าอันเงียบสงบนั้นดูรุนแรงเป็นพิเศษ ประกายไฟจากอาวุธที่สะท้อนเป็นครั้งคราวทำให้เห็นว่ายามนี้ใบหน้าของเฟิ่งมู่ชิงดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
ในความโกลาหล ร่างของทั้งสองฝ่ายต่างก็โรมรันเข้าหากัน ทุกการเคลื่อนไหวนั้นดูรุนแรงจนรู้สึกได้ถึงอันตรายที่พร้อมจะปลิดชีพของกันและกันได้ทุกเมื่อ
บัดนี้ดาบในมือของหญิงสาวถูกย้อมด้วยเลือดของศพจำนวนนับไม่ถ้วน ใบมีดของนางโบกสะบัดราวกับผีเสื้อที่กำลังโบยบิน และท่วงท่าในการต่อสู้ที่งดงามทำให้ร่างของนางเปรียบดังบุปผาที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด
เลือดที่ไหลนองอยู่ใต้เท้าพร้อมกับศพของชายชุดดำที่ล้มลงกลาดเกลื่อนยิ่งทำให้การแสดงออกของเฟิ่งมู่ชิงดูเย็นชามากขึ้น สายตาคมดุของนางจับจ้องไปยังศัตรูที่เหลืออยู่ไม่วางตา
ในตอนนี้จำนวนของชายชุดดำเหลืออยู่ไม่มากนัก พวกเขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนกพร้อมกับความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้พวกเขาตั้งท่าจะล่าถอยด้วยกำลังเฮือกสุดท้าย
เฮอะ!
พอเฟิ่งมู่ชิงเห็นว่าเหล่าชายชุดดำที่เหลือตั้งใจจะหลบหนี นางก็เยาะเย้ยพวกมันในใจ
คนที่กล้าหมายหัวเอาชีวิตของนางมีจุดจบเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือการถูกส่งลงไปนั่งจิบชากับท่านพญายมในนรกเท่านั้น!
เมื่อหญิงสาวมองเห็นฝ่ายตรงข้ามเผยช่องโหว่ นางก็กระโดดหมุนตัวถีบไปที่หน้าอกของชายชุดดำทั้งสองจนล้มลงกับพื้น จากนั้นนางก็ใช้ดาบในมือชี้ไปที่ใบหน้าของคนทั้งคู่
“ใครส่งพวกเจ้ามา?”
“พวกข้าเพียงแค่รับเงินของผู้คนแล้วช่วยพวกเขากำจัดภัยพิบัติก็เท่านั้น”
“บอกมาว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า”
พอชายชุดดำได้ยินคำถามของหญิงสาวตรงหน้า พวกเขาต่างก็เงียบไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา
ทางด้านเฟิ่งมู่ชิงหรี่ตามองชายสองคนที่นั่งอยู่บนพื้น ครั้นเห็นว่าคงไม่ได้รับคำตอบ นางจึงใช้ดาบฟันคนทั้งคู่ด้วยท่าทีไม่จริงจังนัก ส่งผลให้ชายชุดดำทั้งสองเบิกตากว้างก่อนสิ้นใจตาย
ในเวลาเดียวกัน เลือดสีแดงสดไหลไปตามใบมีดก่อนจะหยดลงบนหญ้าที่เหี่ยวเฉาแล้วซึมลงผืนดิน
หญิงสาวมองดูศพที่เกลื่อนอยู่บนพื้นอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทิ้งดาบแล้วเดินตามทางที่เป็นเหมือนถนนเล็ก ๆ ออกไป
โชคดีที่ก่อนหน้านี้นางตั้งใจเรียนรู้อย่างขยันขันแข็งเพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นเทพเซียน นางจึงศึกษาหาความรู้ในเกือบทุกด้าน รวมถึงศิลปะการต่อสู้ ทักษะทางการแพทย์ และทักษะการใช้พิษ
มิฉะนั้น นางอาจจะกลายร่างเป็นวิญญาณที่ตายภายใต้คมดาบของคนชั่วไปแล้วก็ได้
แม้ว่าในตอนนี้นางจะไม่สามารถใช้พลังวิญญาณของตัวเองได้ก็ตาม แต่ด้วยทักษะความสามารถในชีวิตก่อนก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นางโดดเด่นแม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชน
หลังจากเฟิ่งมู่ชิงเดิน ๆ หยุด ๆ มาเป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็เห็นถนนที่เหมือนจะเป็นถนนสายหลักทำให้หญิงสาวมีความสุขมาก แต่เมื่อมองเส้นทางข้างหน้าที่ดูไกลจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด นางก็รู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาในทันที
นี่ข้าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนถึงจะเดินไปถึงเมืองหลวง?
เป็นเพราะร่างเดิมไม่เคยออกจากจวนที่เคยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย ทำให้นางไม่รู้ว่าควรจะเดินไปยังทิศทางไหน และบางทีตอนนี้นางอาจจะกำลังเดินออกห่างจากเมืองหลวงโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
เฟิ่งมู่ชิงถอนหายใจด้วยความรู้สึกจนใจ
เฮ้อ นี่มันจะลำบากเกินไปแล้วนะ เมื่อไหร่จะถึงสักที
ในขณะที่นางกำลังรู้สึกหมดหนทาง จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าของม้าพร้อมกับเสียงล้อรถดังมาจากด้านหลัง
หญิงสาวจึงเลิกคิ้วขึ้นพลางยกยิ้มมุมปากก่อนจะก้าวหันหลังกลับไปเพื่อหยุดรถม้าไว้
เมื่อรถม้าหยุดวิ่งอย่างกะทันหัน คนในรถก็เอ่ยถามคนบังคับรถม้าของตน
“เกิดอะไรขึ้น?”
เสียงนุ่มทุ้มจากคนในรถม้าฟังดูอ่อนโยนจนทำให้เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกประหลาดใจ
“นายท่านขอรับ มีสตรีนางหนึ่งมาขวางทางไว้ขอรับ” ชายที่รับหน้าที่ขับรถม้ามองดูหญิงสาวในชุดแต่งงานที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับกล่าวรายงานผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
ไม่นานนัก นิ้วเรียวยาวขาวนวลก็เลิกม่านของรถม้าขึ้น และทันใดนั้น ใบหน้าที่ดูบอบบางราวกับหยกก็ปรากฏออกมา
เฮือก–
เฟิ่งมู่ชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับมองไปยังชายบนรถม้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
ดวงตาดอกท้อสดใสใต้คิ้วรูปดาบคู่นั้นราวกับน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่ชโลมจิตใจของผู้ที่ได้พบเห็น ริมฝีปากบางรับกับสันจมูกคมดูน่าทะนุถนอม อีกทั้งเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อนที่ชายผู้นั้นกำลังสวมใส่ยิ่งส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของเขาดูอ่อนโยนมากขึ้นไปอีก
‘คนแปลกหน้าก็เหมือนหยก สุภาพบุรุษที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ในโลกนี้*’ คำกล่าวนี้เหมาะสมกับชายตรงหน้าทุกประการ
*มาจากบทกวีที่ใช้เพื่อเปรียบเปรยถึงผู้ชายที่มีรูปโฉมงดงาม แต่ก็ยังคงมีความสง่างามของความเป็นชายชาตรี
เมื่อ ‘อวี้ชิงเฟิง’ เห็นหญิงสาวที่ยืนขวางรถม้าตกอยู่ในอาการมึนงง เขาก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย
ทันใดนั้น หัวใจของเฟิ่งมู่ชิงก็พองโตจนแทบระเบิดออกมาจากอก นางรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกห่อหุ้มด้วยสายลมอันอบอุ่น
ช่างเป็นบุรุษที่อ่อนโยนและสง่างามเสียจริง!
หญิงสาวเคยคิดว่านางได้เห็นบุรุษที่หล่อเหลามามากมายแล้ว แต่นางพึ่งเคยเห็นชายหนุ่มรูปงามและมีเสน่ห์ขนาดนี้เป็นครั้งแรก
“แม่นาง ทำไมเจ้าถึงมายืนขวางรถม้าเช่นนี้?”
เฟิ่งมู่ชิงที่ได้ยินอีกฝ่ายถามก็รู้สึกตัวทันที นางจึงเสมองไปทางอื่นด้วยความเก้อเขิน
“ข้าต้องการเดินทางไปยังเมืองหลวง ข้าขอติดรถม้าของท่านไปด้วยได้หรือไม่?”
“หากแม่นางไม่ถือสาที่จะร่วมเดินทางไปกับคนแปลกหน้าก็เชิญขึ้นมาเถิด”
“ขอบพระคุณท่านมาก”
ทันทีที่ชายหนุ่มบนรถม้าอนุญาต นางก็เอื้อมมือไปยึดขอบประตูรถม้าแล้วกระโดดเข้าไปข้างในทันที
ส่วนคนบังคับรถม้าที่เห็นว่านายของตนอนุญาตให้หญิงสาวแปลกหน้าติดรถไปด้วยก็รู้สึกตกตะลึง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าเจ้านายของตนปล่อยให้สตรีเข้าใกล้ขนาดนี้
“ไปกันเถอะ”
เสียงออกคำสั่งของผู้เป็นนายทำให้บ่าวรับใช้กลับมารู้สึกตัวก่อนจะเริ่มบังคับรถม้าให้ออกเดินทางอย่างมีสติ
หลังจากเฟิ่งมู่ชิงขึ้นรถมาแล้ว นางก็นั่งลงตรงข้ามกับอวี้ชิงเฟิง เมื่อมองคนตรงหน้า ความประหลาดใจก็ฉายผ่านดวงตาของนางชั่วขณะ แต่จากนั้นนางก็ไม่ได้มีท่าทีงุนงงเหมือนตอนพบกันครั้งแรกอีกเลย
ทางด้านชายหนุ่มเจ้าของรถม้า พอเขาสังเกตเห็นท่าทีของหญิงสาว เขาก็พบว่านางดูน่าสนใจมาก
คนแบบไหนกันที่สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ในชั่วอึดใจเดียว?
“ข้ามีนามว่าอวี้ชิงเฟิง ข้าควรเรียกขานนามแม่นางว่าอย่างไรดี?” ชายหนุ่มเอ่ยเปิดบทสนทนาเพื่อทำลายความเงียบในรถ
“เฟิ่งมู่ชิง” หญิงสาวตอบคำถามสั้น ๆ
เฟิ่งมู่ชิงงั้นหรือ!?
สตรีคนนี้คือคนเดียวกันกับเฟิ่งมู่ชิงเขารู้จักใช่หรือไม่?
อวี้ชิงเฟิงมองหญิงสาวตรงหน้าให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
นางคือเฟิ่งมู่ชิง บุตรสาวคนโตของมหาเสนาบดีเฟิ่งที่ไม่ได้รับความโปรดปรานที่เขารู้จักจริง ๆ
แต่วันนี้เป็นวันสำคัญของนางกับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินมิใช่หรือ?
แล้วนางมาอยู่คนเดียวในที่รกร้างเช่นนี้ได้อย่างไร?
ในขณะเดียวกัน เมื่อเฟิ่งมู่ชิงสบสายตากับอวี้ชิงเฟิง นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามคนตรงหน้าว่า
“คุณชายอวี้รู้จักข้าใช่หรือไม่?”
“เคยได้ยินมาเล็กน้อย”
พอหญิงสาวได้ยินคำตอบของชายตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกสับสน
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: สวัสดีนักอ่านที่น่ารักทุกคนจ้า มาตอนแรกนางเอกของเราก็ได้บู๊แล้ว เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ ฝากติดตามผลงานแปลเรื่องใหม่ของเสี่ยวเถียวกันด้วยน้า
ปล.เราเพิ่งเคยแปลนิยายแนวเล่ห์รักวังหลวงเป็นครั้งแรก ดังนั้นหากมีข้อผิดพลาดตรงไหน ต้องขอภัยด้วยนะคะ และหากทุกคนมีข้อเสนอแนะหรือข้อติใด ๆ สามารถบอกเราได้เลย เพื่อที่เราจะได้นำไปปรับปรุงในอนาคตค่ะ ขอบคุณค่ะ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 342
แสดงความคิดเห็น