Porpiang Writer 1 : The Superhero Arc บทที่ 4 อุบัติเหตุสู่การเป็นยอดมนุษย์
ในชีวิตของพอเพียง วันแรกของการเข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์ไอแซ็ค เขาและทีมของเขาได้เจอกับเพื่อนใหม่ ๆ ต่าง ๆ นานา และด้วยความที่พอเพียงนั้นมักจะหลุดพูดเหมือนเป็นผู้ใหญ่เกินวัยไปบ้าง และทีมของพอเพียงนั้นไม่มีใครออกอาการไม่อยากไปโรงเรียนเหมือนคนนอกกลุ่ม เลยทำให้พวกเขาต้องทำหน้าที่ปลอบเพื่อนตลอดเวลา และพอเพียงนั้นเป็นคนเดียวที่เป็นอัจฉริยะอย่างมาก ไม่ว่าจะวิชาไหนก็ทำได้หมด ทำให้เขานำหน้าคนอื่น ๆ ไปตั้งมากมายจนต้องมาช่วยสอนเพื่อนแทนครูอีก เขาเป็นเด็กที่เพอร์เฟกต์มากที่สุดในชั้นอนุบาล เพราะว่าเขานั้นเป็นค่อนข้างเป็นเด็กที่จิตใจเติบโตเร็วเกินวัยอีก
ส่วนที่บ้านของพอเพียงเองก็บริการเด็ก ๆ ไม่แพ้กัน ซึ่งยุคของเพลย์สเตชั่น 2 นี่บริการเต็มที่เลย ซึ่งไม่ใช่แค่เพลย์สเตชั่น 2 เท่านั้น แต่ยังมีเครื่องเกม ไมโครซอฟท์ เอ็กซ์บ็อกซ์ (Microsoft Xbox) และนินเท็นโด เกมคิวบ์ (Nintendo GameCube) โดยที่บ้านของพอเพียงถือว่าเด็กเยอะจริง ๆ และมีการ์ตูนใหม่ ๆ ออกมาให้เด็ก ๆ มายืมอ่านเล่น ๆ หรือไม่ก็มีการ์ตูนฉายทางโทรทัศน์ช่องเก้าโมเดิร์นไนน์ทีวี, การ์ตูนคลับ, การ์ตูนเน็ตเวิร์ค และช่องการ์ตูนอื่น ๆ อีกมากมาย เรียกว่าเอาใจเด็ก ๆ โดยเฉพาะ แต่กับทันนี่ เขาลงทุนซื้อเกมกรันทูริสโม 4 โปรลอก (Gran Turismo 4 Prologue) และชุดจอยพวงมาลัยโลจิเทค ไดรวิงฟอร์ซ โปร (Logitech Driving Force Pro) มาเพื่อขับโดยเฉพาะด้วย ซึ่งลักษณะที่แตกต่างก็คือ โลจิเทค จีทีฟอร์ซ มีด้ามจับสีน้ำเงิน และวงพวงมาลัยทำจากยาง ซึ่งปุ่มบนพวงมาลัยไม่ค่อยจะบ่งบอกชัดเจนเท่าไรว่าทำบนแพลตฟอร์มเพลย์สเตชั่น 2 แต่โลจิเทค ไดรวิงฟอร์ซ โปร จะมีปุ่มวงกลม-สามเหลี่ยม-สี่เหลี่ยม-กากบาท, ปุ่มดีแพด, ปุ่มเลือก (ซีเล็กต์) และปุ่มเริ่ม (สตาร์ต) เหมือนกับที่อยู่ในจอยดูอัลช็อค 2 และมาพร้อมกับคันโยกเกียร์ธรรมดาแบบซีเควนเชียลที่ติดไว้ที่ด้านขวาพวงมาลัย ใช้หลักการแบบคันโยกเกียร์แรลลี่สมัยนี้ คือดึงเข้าเพื่อเพิ่มเกียร์ และผลักออกเพื่อลดเกียร์ นอกจากนี้ทันนี่ก็มีเพื่อนมาผลัดกันขับอีกเยอะเลย ทำให้พอเพียงอยากจะลองขับบ้าง และนั่นแหละ พอเพียงนั้นอ่อนด้อยประสบการณ์ ประกอบกับไม่คุ้นชินจอยพวงมาลัย เลยทำให้เขารั้งท้ายในการแข่งตลอดทาง แต่พอมาถึงยุคของเกมกรันทูริสโมภาค 4 (Gran Turismo 4) พอเพียงขับรถเก่งขึ้นแล้ว
สำหรับปี 2004 – 2005 นั้นยังถือว่ายังเริ่มต้น เพราะหลังจากนั้นก็มีวันหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของทีมพอเพียงไรเตอร์เปลี่ยนไปตลอดกาล...
วันศุกร์ที่ 14 เมษายน ค.ศ. 2006
ศูนย์วิทยาศาสตร์แกรนด์เชเพิร์ด (Grand Shepard Science Facility) เมืองเซ็นเตอร์ซิตี้ กรุงเทพมหานคร
วันสงกรานต์วันที่สองอีกแล้ว เป็นช่วงพักก่อนที่พอเพียงและเพื่อนของเขาจะเข้าสู่ช่วงชั้นอนุบาลปีที่ 3 ซึ่งเทศกาลสงกรานต์แทบทุกปีแบบนี้ หลาย ๆ ครอบครัวชอบกลับไปหาญาติที่บ้านเกิด หรือไม่ก็ชอบสาดน้ำให้คนอื่น ๆ เปียกเป็นว่าเล่น แต่สำหรับพอเพียง เขาเบื่อที่จะมาเปียกกลางทาง ฉะนั้น เขาจึงนัดเพื่อน ๆ ให้พาครอบครัวมาที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ที่เขาชอบมากที่สุด นั่นก็คือแกรนด์เชเพิร์ดนั่นเอง
หลังจากที่ครอบครัวมาสเตอร์นั่งรถโฟกัสฝ่ากระแสน้ำสาดจนรถเปียกไปตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงศูนย์วิทยาศาสตร์แกรนด์เชเพิร์ดเสียที แต่เขาก็ยังต้องรอเพื่อน ๆ ของเขามากับครอบครัวให้ครบเหมือนกัน พอเพียงยังอดนึกไม่ได้ว่าเทศกาลสงกรานต์แบบนี้ใครจะมาที่นี่โดยไม่เปียกเนี่ย ในขณะเดียวกันเขาก็รู้กันมาว่า ศูนย์วิทยาศาสตร์แห่งนี้มีคนเข้ามาเที่ยวในจำนวนไม่น้อยเหมือนกันนะ
ในที่สุดเพื่อน ๆ ของพอเพียงก็มาจนได้ และเกือบเปียกทั้งครอบครัวเหมือนกัน ซึ่งครอบครัวของแอนนาไม่ได้มาด้วยเพราะว่าติดธุระ แต่พวกเขาก็ยังคงแต่งตัวตามเดิมเหมือนที่กล่าวไปในบทที่ 3 และพวกเขาก็เดินเล่นในศูนย์วิทยาศาสตร์อยู่ครู่ใหญ่ ซึ่งที่พวกเขาดูก็จะเป็นทั้งยานอวกาศและนวัตกรรมใหม่ ๆ มากมาย หรือแม้กระทั่งเรื่องของสัตว์โลกและธรรมชาติก็ยังดูเหมือนกัน แต่จู่ ๆ มันเกิดเรื่องเอาน่ะสิ เพราะพอเพียงเห็นเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณสองขวบ ใส่เสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้นสีเหลืองทั้งคู่ ผมสีดำและม่านตาสีดำ หน้ากลม สวมรองเท้าผ้าใบสีขาว กำลังมุ่งตรงไปยังห้องทดลองห้องหนึ่งที่ถูกตั้งป้ายประกาศว่าห้ามเข้าไป แต่เด็กคนนี้หนีจากพ่อแม่ของเขาออกมาเพื่อไปวิ่งเล่นในห้องทดลอง พอเพียงเลยสะกิดพ่อกับแม่ของเขาและบอกว่า “พ่อครับ แม่ครับ เมื่อกี๊ผมเห็นเด็กวิ่งหนีจากพ่อกับแม่มายังห้องทดลองที่มีคนบอกว่าห้ามเข้าไปข้างในแล้วครับ ขอผมเข้าไปลากเขาออกมาหน่อยได้ไหมครับ?”
พ่อกับแม่ของพอเพียงมองหน้ากันเหมือนจะชั่งใจคำพูดของลูกชายตัวเอง จากนั้นก็ยอมปล่อยให้ลูกชายเข้าไป แต่หลังจากพ่อกับแม่ปล่อยพอเพียงแล้ว พอเพียงก็รีบไปขออนุญาตพ่อกับแม่ของเพื่อน ๆ ให้ปล่อยเข้าไปด้วย พ่อกับแม่ของพอเพียงอนุญาตแล้ว พวกเขาก็ปล่อยเด็ก ๆ ให้เข้าไปอย่างง่ายดาย ทิ้งให้พวกเขายืนครุ่นคิดว่า ที่พวกเขาปล่อยลูกของตัวเองไปนั้นเป็นความคิดที่ดีแล้วหรือเปล่าไว้เบื้องหลัง
ทีมพอเพียงไรเตอร์ได้วิ่งไล่ตามเด็กน้อยชุดเหลืองไปตอนที่เด็กชุดเหลืองก่อกวนการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลัง ๆ เริ่มวิ่งไล่จับร่วมกับทีมพอเพียงด้วยเพื่อลากเด็กออกมา แต่พอไล่ตามไปไล่ตามมา ดันมาถึงตู้เก็บสารเคมีซึ่งส่วนใหญ่เก็บสารเคมีไวไฟด้วย เจ้าเด็กแสบชุดเหลืองหยิบหลอดทดลองที่มีสารไวไฟออกจากตู้ ก็พอดีกับที่นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งจับเด็กแสบชุดเหลืองไว้ได้
“น้าไม่มีเวลาเล่นกับพวกเธอหรอกนะ ไปอยู่กับพ่อแม่ของพวกเธอซะเถอะ –”
จู่ ๆ จังหวะที่นักวิทยาศาสตร์หนุ่มอุ้มเด็กแสบชุดเหลืองออกมา หลอดทดลองดันหลุดมือและตกแตกใส่พื้น
“เฮ้ย! บ้าน่า!!”
“ไฟไหม้!!”
“หนีเร็ว!!”
พวกนักวิทยาศาสตร์พูดถูก เพราะสารเคมีในหลอดที่แตกนั้นไปติดไฟทันที และไฟเริ่มลุกลามไปยังตู้เก็บสารเคมีใกล้ ๆ ที่ดันมีสารไวไฟอีกหลายสารอยู่ในตู้เก็บเหมือนกัน
เหล่านักวิทยาศาสตร์รีบหนีเอาตัวรอดโดยอุ้มเอาเด็กแสบออกไปแค่คนเดียว แต่ไม่ได้พาทีมพอเพียงออกไปด้วยซะยังงั้น
“แล้วจะทำยังไงล่ะ?” เป้งถาม
“ก็รีบตามพวกน้า ๆ นักวิทยาศาสตร์ออกไปด้วยสิ-”
พอเพียงพูดยังไม่ทันจบ ตู้สารเคมีก็ระเบิดใส่เด็กทั้งสองเข้าอย่างจัง และการระเบิดครั้งนี้ก่อให้เกิดหมอกควันหลากสี ทุกคนในห้องนี้สำลักหมอกควันชนิดที่ว่าพวกเขาล้มลงและไอตลอดเวลาจนจวนจะหมดสติแล้ว จู่ ๆ พวกเขาก็รู้สึกว่าสามารถสูดดมหมอกควันดังกล่าวโดยไม่เป็นอันตรายต่อปอดได้แล้ว แถมยังมีพลังวิเศษบางอย่างถือกำเนิดขึ้นในร่างกายของพวกเขาแล้ว ภาพที่พอเพียงเห็นกำลังจะเหลือแค่ความมืดมืด แต่จู่ ๆ ความมืดมิดดังกล่าวกลับมาเป็นห้องทดลองเหมือนเดิม
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ พอเพียงคิด จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาดูรอบ ๆ ห้องทดลองว่ามันเป็นยังไงบ้าง ปรากฏว่าห้องทดลองนั้นถูกปิดโดยประตูกลเหล็ก ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนอยู่ที่นี่เลย และมีไฟไหม้ตรงจุดที่ตั้งตู้เก็บเอกสารไวไฟใกล้จากพวกเด็ก ๆ ประมาณหนึ่งเมตรกว่า ๆ
เพื่อน ๆ ของพอเพียงเริ่มทยอยลุกขึ้นมาแล้ว ดังนั้น เขาจึงเริ่มถามทุกคนว่าเป็นยังไงบ้าง
“พวกเราไม่เป็นไรจ้ะ” โซเฟียตอบ “เอ๊ะ เพ้นท์ ดูหน้าเธอก่อน”
ด้วยสัญชาตญาณของพอเพียง เขารีบหยิบกระจกขนาดพกพาขึ้นมาส่องดู ปรากฏว่าหน้าตาของเขายังคงเหมือนเดิม แต่สีนัยน์ตาดำ ๆ นี่สิที่เปลี่ยนไป เพราะนัยน์ตาสีดำ ๆ ของเขานั้นข้างซ้ายเป็นสีน้ำเงิน ข้างขวาสีแดง
มันคงจะเป็นผลจากการที่เราดมควันสินะ พอเพียงคิด และเขาเห็นว่าข้อมือของเขาเรืองแสงผิดปกติ จึงยกมือสองข้างขึ้นมาดู พบว่าผิวหนังบริเวณข้อมือของเขานั้นเปลี่ยนสีจนเหมือนสายรัดข้อมือเรืองแสงสีเดียวกับนัยน์ตาทั้งสองข้าง ข้างซ้ายเป็นสีน้ำเงิน ข้างขวาเป็นสีแดง
นี่ก็น่าจะเป็นผลแบบเดียวกันกระมัง พอเพียงคิด
จริง ๆ แล้วสารเคมีพวกนี้ให้พลังซูเปอร์วิชั่นแก่เด็ก ๆ ของพวกเขา โดยคุณสมบัติของพลังนี้คือสามารถระบุสถานภาพของบุคคล หรือระบุสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแบบทะลุสิ่งกีดขวางได้ ซึ่งภาพที่เห็นจะแสดงเป็นสีที่แตกต่างออกไปตามแต่ละบุคคล ในกรณีของพอเพียงคือสีแดงผสมกับสีน้ำเงินแบบแว่นสามมิติ
“โอย...เจ็บตาจัง” ธันวาคราง “ตาฉันจะบอดไหมเนี่ย”
ธันวาลุกขึ้นมา โดยที่เศษแก้วกระจกห้าเซนติเมตรฝังเข้าที่ตาข้างขวาของเขา เลือดยังไหลไม่หยุด
“เฮ้ย!!” ปอนด์อุทาน “เศษแก้วกระจกฝังลึกเลย เตรียมบอกลาตาข้างขวาของนายได้เลยนะนั่น!”
“ไม่เป็นไร ตาของนายจะกลับมาเป็นปกติแน่นอน” พอเพียงพูด “ฉันจะค่อย ๆ ดึงกระจกออกไป นายอยู่นิ่ง ๆ ไว้นะ”
ว่าแล้วพอเพียงก็ค่อย ๆ ลงมือดึงเศษกระจกออกจากตาของธันวาอย่างเบามือ โดยที่ธันวายังครางเบา ๆ น้ำตาไหลออกจากตาข้างซ้ายของเขาอย่างเจ็บปวด จนในที่สุด เศษแก้วก็หลุดออกมาได้
“หลุดออกมาแล้ว” พอเพียงบอก จากนั้นเขาก็ทิ้งเศษแก้วที่เปื้อนเลือดลงพื้นทันที แผลที่ตาข้างขวาของธันวาค่อย ๆ จางหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือแต่รอยแผลเป็นที่หนังตา
“เอาล่ะ ลองลืมตาข้างนั้นดูซิ” พอเพียงบอกธันวา
ธันวาทำตาม เขาลืมตาข้างขวาขึ้นมาได้ด้วย ตาของเขายังปกติเหมือนเดิม “สุดยอดไปเลย!” ธันวาบอก
“เยี่ยม” พอเพียงพูด “เอาล่ะ สรุปเลยนะ พวกเราได้รับพลังที่ฟื้นฟูตัวเองและคนอื่นได้ พวกเราแข็งแกร่งมากขึ้น มากกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปโดยเฉลี่ยถึงสิบเท่า มีเวทมนตร์ เหมือนกับซูเปอร์ฮีโร่ในการ์ตูนที่เราดูเลย! รวมไปถึงมีแอนตี้บอนี้ที่กลายพันธุ์ ทนทานต่อเชื้อโรคและสารพิษแทบทุกชนิดได้ด้วย!”
“แล้วเราจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไงล่ะ” โซเฟียถาม “ประตูปิดแบบนี้จะทำยังไงอะ”
“ก็ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือสิ” พอเพียงตอบ “ตะโกนไปก็ได้นี่”
พูดจบ ทีมพอเพียงก็รีบวิ่งออกไปทางประตูเหล็กแล้วไล่ทุบประตูเหล็กเพื่อขอความช่วยเหลือพร้อมกับตะโกนเสียงดัง แต่ไม่นานพวกเขาก็ต้องพบกับเรื่องน่าประหลาดใจเรื่องใหม่ที่ยืนยันในสิ่งที่พอเพียงพูด นั่นก็คือ การทุบประตูเหล็กแค่ไม่ถึงสิบครั้งอย่างแรง ประตูเหล็กก็เริ่มยุบลง และไม่นานมันก็หลุดออกจากวงกบเลย
“ไม่มีเวลาให้เรายืนอึ้งกับที่พวกเราเป็นหรอกนะ เราต้องรีบออกไปจากที่นี่ด่วนเลย” พอเพียงพูด
จากนั้น ทีมพอเพียงไรเตอร์ใช้พลังซ่อมประตูให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม แล้วหนีออกไปทางหนีไฟเพื่อออกจากศูนย์วิทยาศาสตร์ให้เร็วที่สุดก่อนที่จะมีใครมาเห็นเข้า และไม่นาน เจ้าหน้าที่กู้ภัยมาเปิดประตูเหล็กและสำรวจห้องทดลองไปเรื่อย ๆ จนทั่วห้อง จึงลงความเห็นว่าเด็กที่อยู่ในห้องทดลองนั้นหายไปแล้ว และกำลังจะกลับไปเพื่อจะไปบอกข่าวแก่พ่อกับแม่ของพวกเขา โดยไม่รู้ว่าเด็กเหล่านั้นลงมาทางหนีไฟและเผชิญหน้ากับฝูงไทยมุงแล้วเรียบร้อย
ฝูงไทยมุงเหล่านี้มีเสียงตะโกนแทรกเข้ามาด้วย และทีมพอเพียงไรเตอร์รู้จักเสียงนี้เป็นอย่างดี
“ทำไมไม่ให้พวกเราเข้าไป!! ลูกของพวกเราอยู่ในนั้นนะ!! ให้พวกเราเข้าไปเดี๋ยวนี้!”
“อันตรายครับ! ตอนนี้ยังเข้าไปไม่ได้! ถ้าเราเจอเด็กแล้วเราจะพาพวกเขามาเองครับ!”
เป็นเสียงของพวกครอบครัวของทีมพอเพียงไรเตอร์ ผู้เป็นห่วงลูกของตัวเองแทบขาดใจ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปพบลูกเลย!
พอเพียงเห็นท่าไม่ดีจึงกระซิบใส่เพื่อน ๆ ว่า “ทุกคน ตามฉันมา เร็ว ๆ!” จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในกลุ่มไทยมุงฝ่าฝูงชนไปหาพ่อกับแม่ของเขา เพื่อน ๆ วิ่งตามพอเพียงเข้าไปในฝูงชน และต่างคนก็ต่างตะโกนเรียกพ่อกับแม่ของตนเอง
และเมื่อพ่อกับแม่ของทีมพอเพียงได้ยินดังนั้นก็หันมาควานหาตัวลูก ๆ จนกระทั่งได้พบกับเด็ก ๆ ที่พุ่งฝ่าฝูงชนมาหาครอบครัวของตนทันที
พ่อกับแม่ของทีมพอเพียงถึงกับบอกเลยว่ารู้สึกใจหายมากที่ลูกของตัวเองต้องมาโดนอะไรแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่บอกว่าจะไปจับเด็กออกมาแล้วแท้ ๆ เรียกว่าเกือบโดนบ่นทั้งทีมแล้วนะเนี่ย
หนึ่งวันหลังอุบัติเหตุที่ศูนย์วิทยาศาสตร์
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐพาดหัวข่าวไว้ว่า : ศูนย์วิทย์ดังห้องทดลองระเบิด! เด็กเจ็ดคนหลุดเข้าไปในห้อง ทำห้องทดลองไฟไหม้ เจ้าพ่อธุรกิจครอบจักรวาลเผยขอชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด พอเพียงเอ็นเตอร์ไพรส์หุ้นเกือบร่วง
ที่บ้านของพอเพียง ครอบครัวซันไชเนอร์ที่ได้อ่านข่าวแล้วรู้สึกมึนตึ้บกับการกระทำของพอเพียง ซึ่งพอเพียงจิตแทบตกอยู่ครู่ใหญ่เพราะรู้สึกเหมือนโดนบ่นอยู่ในใจ และยิ่งได้พลังยอดมนุษย์นี่ยิ่งบ้าไปใหญ่ ไม่รู้ถ้าจะบอกคนอื่นจะมีใครมองว่าเรื่องนี้ไร้สาระหรือเปล่า และอีกอย่างคือ ครอบครัวพาเกอร์ก็มาด้วย
“ไม่เป็นไรนะเจ้าหนู” ทันนี่บอกพอเพียง “มันเป็นแค่อุบัติเหตุน่า”
“รู้ครับรุ่นพี่” พอเพียงบอก “แต่ผมไม่มั่นใจว่านั่นแค่อุบัติเหตุหรือว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นอีก”
จากนั้นแอนดรูว์ก็เดินมาบอกทุกคนด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดว่า “ทุกคน พ่อเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งชื่อ จอห์น คอร์เรีย เขาบอกว่า ไฟไหม้ในศูนย์วิทยาศาสตร์ตอนนั้น คุณจอห์นบอกว่า เขาได้ข่าวเกี่ยวกับยาที่อยู่ในโครงการโปรเจกต์อันโนน เป็นโครงการขององค์กรซีมเลสฮิวแมน ที่จะสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งช่วงนี้กฎหมายจัดระเบียบยอดมนุษย์ก็มีอยู่นี่ จะได้ออกไปลงทะเบียนได้เลย เพราะตอนนี้เท่าที่พ่อดูข่าวมามันก็มียอดมนุษย์เพิ่มขึ้นแล้วเกินห้าเปอร์เซ็นต์ โดยที่กฎหมายบอกว่าให้รัฐบาลแต่ละประเทศจัดการกับยาพวกนี้ แต่ทำไมมันถึงอยู่ในศูนย์วิทยาศาสตร์แห่งนี้ได้?”
“ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ” ลีพูด “งงจริง ๆ ว่ามันไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง แถมมันไม่ใช่ส่วนที่รัฐบาลไทยครอบครองเลย นั่นเป็นของซีมเลสฮิวแมนจริง ๆ เหรอครับ?”
“พี่ลีก็อยากรู้งั้นเหรอครับ?” ทันนี่ถาม
“ใช่ พี่ก็อยากรู้เหมือนกัน” ลีบอก “เพราะว่าโครงการนี้จะถูกแบ่งให้แต่ละประเทศดูแลแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้”
“ลี ทันนี่ คือฉันจะบอกรายละเอียดให้นะ” แอนดรูว์พูด “คือโครงการโปรเจกต์อันโนนน่ะ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป้าหมายคือการสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ มีพลังวิเศษเหนือมนุษย์ ทรงพลัง แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไป และเป็นอมตะไม่มีวันตาย – ไม่สิ อายุยืนยาวกว่ามนุษย์ทั่วไปต่างหาก
“องค์กรซีมเลสฮิวแมนเป็นองค์กรที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาแล้วรวบรวมนักวิทยาศาสตร์ที่เพี้ยน ๆ ที่เช่อเรื่องการสร้างสิ่งที่เหนือธรรมชาติมารวมตัวกัน และก่อตั้งโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อประกาศว่ามนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ และเป้าหมายแรกคือต้องทำการทดลองกับทารกแรกเกิดที่เป็นฝาแฝดต่างเพศจากไข่ใบเดียวกันเท่านั้น ซึ่งช่วงนั้นไม่เห็นมีวี่แววการเกิดของทารกฝาแฝดแบบที่ว่าเลย จนพวกเขาถึงกับต้องฆ่าเวลาด้วยการทดลองกับเด็กทารกธรรมดาไปเรื่อย ๆ ซึ่งมันก็ส่งผลให้เด็กเสียชีวิตไม่ช้าก็เร็วเท่านั้นเอง ซึ่งนั่นทำให้พ่อกับแม่ของเด็ก ๆ หลายคนเริ่มต่อต้านซีมเลสฮิวแมนและบีบบังคับให้ต้องรับผิดชอบ ชดใช้ค่าเสียหายที่องค์กรทำไป แต่ซีมเลสฮิวแมนกลับโต้กลับด้วยการบอกว่าพวกพ่อแม่ของเด็ก ๆ ที่เสียชีวิตนั้นหมิ่นประมาทองค์กรมากเกินไป จนกระทั่งคุณจอห์นที่เป็นสมาชิกขององค์กรนั้นเริ่มไม่เห็นด้วยกับการทำงานขององค์กร และโน้มน้าวสมาชิกคนอื่น ๆ ให้ยกเลิกโครงการนี้ซะ แต่ฉันบอกเขาไปว่าองค์กรนี้กู่ไม่กลับแล้วล่ะ โน้มน้าวไปก็ไม่มีความหมายหรอก ต้องลาออกสถานเดียว
“จนกระทั่งวันที่ 1 มกราคม ปี 2000 คุณจอห์นพาครอบครัวมาที่โรงพยาบาลฮีลฮอว์ค เพราะพวกซีมเลสฮิวแมนบุกไปยังที่นั่น คุณจอห์นได้ไปห้ามพวกซีมเลสฮิวแมนไม่ให้ทำการทดลองกับเด็กแรกเกิดรายนี้ ซึ่งเป็นเด็กฝาแฝดต่างเพศที่เกิดจากไข่ใบเดียวกันเสียด้วย พวกเขาเป็นลูกของครอบครัวเดลวิน ครอบครัวฐานะที่ยากจน แต่โชคชะตาเล่นตลกให้มีลูกแฝดแบบที่ตรงกับที่ซีมเลสฮิวแมนต้องการ เด็กทั้งสองจึงถูกนำไปฉีดยาตัวล่าสุด ชื่อรุ่น 1.0 เพื่อบอกว่ายาตัวนี้ต้องได้ผลแน่ ๆ และมันก็ได้ผลจริง ๆ จากเด็กทารกธรรมดา กลายเป็นยอดมนุษย์ หลังจากที่ยารุ่นก่อน ๆ ทำให้เด็กทารกคนก่อน ๆ ตายตลอด แต่รุ่น 1.0 นั้นสามารถทำให้เด็กทารกฝาแฝดคู่นี้กลายเป็นยอดมนุษย์ได้ และทางองค์กรตั้งชื่อว่า อดัม และ อีฟ เดลวิน เพื่อบ่งบอกว่าเป็นรุ่นบุกเบิกของยอดมนุษย์ และก็พยายามจะผลิตเพิ่มเพื่อออกวางจำหน่ายให้ได้ แต่โชคดี คุณจอห์นร่วมมือกับเพื่อนเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่ชื่อ แดเนียล ‘แดน’ ไทเลอร์ ออกแบบกฎหมายใหม่ขึ้นมาเพื่อควบคุมคุณภาพของยอดมนุษย์ ชื่อว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดระเบียบ ควบคุม และคุ้มครองสิทธิยอดมนุษย์ กฎหมายนี้มีไว้เพื่อดูแลไม่ให้ยอดมนุษย์ทำอะไรวุ่นวายเกินไป สิ่งที่กฎหมายนี้บอกเบื้องต้นคือการให้มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบทุกคนจัดการลงทะเบียนเพื่อให้ชื่อของตนเองอยู่ในรายชื่อของยอดมนุษย์นานาชาติ และตอนนี้ก็กำลังส่งเสริมให้อดัมกับอีฟ รวมถึงคนอื่น ๆ ที่เป็นยอดมนุษย์โดยยังไม่ได้ลงทะเบียนมาลงทะเบียนเป็นยอดมนุษย์ยังได้เลย ซึ่งองค์กรซีมเลสฮิวแมนไม่ต้องการให้คนที่เป็นยอดมนุษย์มาลงทะเบียนตามกฎหมาย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ทำไมไม่ให้เด็กลงทะเบียนยอดมนุษย์กัน ฉันก็สงสัยเหมือนกัน แต่กฎหมายไม่ได้มีแค่การให้ลงทะเบียนเท่านั้น มันยังระบุให้อีกว่า ยาที่ได้จากโครงการนี้ต้องถูกแบ่งให้รัฐบาลในแต่ละประเทศเอาไปต่อยอดให้หมด แต่ซีมเลสฮิวแมนเหมือนจะไม่ยอมในข้อนี้ ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ตามมา และคุณจอห์นแอบสืบไปว่า พวกซีมเลสฮิวแมนมีการบุกไปยังบ้านแต่ละหลังแล้วจับเด็กฉีดยาให้เป็นยอดมนุษย์อีกด้วย! โหดร้ายไหมล่ะ?”
“โหดร้ายจริง ๆ!” พอเพียงว่า “ไม่นึกเลยว่าองค์กรนี้จะทำแบบนี้เลย”
“แย่จริง ๆ” ลีพูด “ทำแบบนี้กับเด็ก ๆ ได้ยังไงกัน ผมรับไม่ได้หรอก!”
“แล้วลูกมีอะไรที่เด่น ๆ ล่ะ?” แอนดรูว์หันมาถามลูกชาย
“พ่อจำสีตาและสีข้อมือของผมให้ดีนะครับ” พอเพียงพูด และชี้ที่นัยน์ตาและข้อมือของตัวเองให้พ่อของเขาดู “การที่ข้างหนึ่งสีน้ำเงิน ข้างหนึ่งสีแดง จะเป็นการแยกแยะพลังเกี่ยวกับอารมณ์ของผม ถ้าเป็นสีแดง จะเกิดขึ้นตอนที่ผมโกรธ และถ้ามันมากจนขีดจำกัด พลังของผมอาจจะทำให้ผมช็อกหมดสติอยู่ชั่วครู่ นั่นเป็นระบบหยุดตัวเองแบบอัตโนมัตินั่นแหละครับ
“ส่วนสีน้ำเงินเป็นพลังจากตอนที่ผมอารมณ์เย็น ที่สามารถควบคุมพลังและใช้พลังทุกอย่างในการนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ หรือถ้าตอนที่ผมกำลังโศกเศร้า ร้องไห้ หรืออะไรแบบนี้ อาจจะมีพลังสีน้ำเงินเกิดขึ้นในตัวผมก็ได้ นั่นแหละครับคือสีแห่งพลังอารมณ์ครับ”
“ดีมากลูก” แอนดรูว์พูดและลูบบ่าลูกชาย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 595
แสดงความคิดเห็น