STARCIN ภาคที่ 7 Colosseum ตอนที่ 3 วานซืน
“เจ้าพวกนั้นลักลอบข้ามไปสินะ จริง ๆ วันบ่มเพาะมันก็หมดแล้วไม่เห็นต้องแอบเข้าไปเลยหรือทางอาณาจักรคาจะไม่มีการแจ้งวันเวลาไว้”
“แล้วเราจะเอายังไงต่อ จะไปตามพวกเขากลับมาไหม?” โทลถาม
“ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นแต่พอมานึก ๆ ดูแล้วการผูกสัมพันธ์กับอาณาจักรคาก็ไม่ใช่เรื่องแย่ งานประลองประจำปีของทางนั้นถือเป็นงานใหญ่ที่สุดที่ทุก ๆ เขตจะเข้าร่วม ดังนั้นผมจึงคิดจะไปในฐานะตัวแทนจากอาณาจักรอาฟมากกว่า”
“ถ้านายคิดแผนไว้แล้วก็เอาตามนั้นเลย แล้วจะเริ่มเมื่อไรล่ะ?”
“วันนี้เลยครับแต่ผมขอไปดูคูเปอร์ก่อน”
ที่เต็นท์เล็ก ๆ ห่างจากที่พักของคนอื่นพอสมควรซึ่งเป็นที่นอนของคูเปอร์ ตั้งแต่ที่พี่ชายเสียชีวิตเขาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในนั้นตลอดแต่อย่างน้อยก็ยังกินอาหารตามปกติ
“อยู่ไหม !” ซึฮากิตะโกนเรียกด้านหน้าเต็นท์
“ครับ...” เสียงตอบรับที่ค่อย ๆ เงียบลงทำให้ซึฮากิรับรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังเผชิญกับอะไร
ภายในเต็นท์มีเพียงเตียงนอนเล็ก ๆ สำหรับเคลื่อนย้ายไปไหนมาไหนได้และมีเด็กหนุ่มผิวดำเข้มนั่งชูคอมองซึฮากิที่กำลังก้าวเท้าเข้ามา
“ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้ไปทักทาย...”
ฝ่ามืออันหยาบแห้งวางลงบนหัวของคูเปอร์ส่งความอบอุ่นเล็ก ๆ ราวกับบอกว่าทุกอย่างต้องผ่านไปได้ด้วยดี
“ถ้าอยากได้อะไรก็บอกลุงโทลได้เลย เดี๋ยวพี่จะไม่อยู่สักพักคูเปอร์จะกลับเอลโฟเรียเลยไหม?”
“ผมไปด้วยได้ไหม?” คูเปอร์ถาม
ซึฮากิกระตุกยิ้มเล็กน้อย “ถ้าอยากไปพี่ก็จะไม่ห้าม จริง ๆ ก็อยากพาพวกคิโนริไปด้วยจะได้มีประสบการณ์การเดินทางเสียบ้าง”
“แบบนั้นก็ดีสิครับ” คูเปอร์ยิ้มได้อีกครั้งส่งสายตาคาดหวังกับการเดินทางครั้งนี้
“ถ้าอย่างนั้นเราจะเดินทางพรุ่งนี้ทันที ถ้ามีเรื่องอะไรคาใจก็จงจัดการตัวเองให้เรียบร้อย” หลังจากกล่าวจบซึฮากิก็เดินจากไป
สายตาลังเลเหลือบมองถุงผ้าที่เก็บร่างของพี่ชายไว้ แม้จะผ่านมาหลายวันแต่มันก็ยังไม่เน่าเสียที
นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ พี่ครับ คูเปอร์หลับตาและทิ้งตัวนอนลงบนเตียง
ดวงตะวันขึ้นสูงเหนือหัวพอดีขณะที่คนงานที่ซึฮากิเกณฑ์มากำลังจัดเตรียมพื้นที่สำหรับลงจอดเครื่องบิน
“ผมฝากจัดการตามแผนผังที่ทำไว้นะครับ” ซึฮากิยื่นม้วนกระดาษให้กับโทล
“แล้วนายจะไปไหนล่ะ?”
“ผมจะไปสำรวจลู่ทางเสียก่อนและยังต้องหาหินสื่อสารที่หล่นหายไปด้วย”
“จะฝากไว้ก็ได้อยู่หรอกแต่รีบ ๆ กลับมาแล้วกัน” ซึฮากิพยักหน้าตอบรับและใช้เวทมนตร์วายุลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศ
พื้นที่เท่านี้ก็คงจะรองรับการขึ้นบินหรือลงจอดได้สบาย ๆ แต่ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่หินสื่อสารหล่นหายเนี่ยแหละ รู้อย่างนี้น่าจะทำกระเป๋าแบบพิเศษให้มันแน่นจนกว่าจะถูกฉีกเลยดีกว่า
ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ โดยมีแฟรงค์เกาะไหล่อยู่ด้วย เมื่อมองดูลักษณะภูมิประเทศพร้อมกับคำนวณทิศทางและความเป็นไปได้ของจุดตกเขาก็ลดความสูงลง
หินสื่อสารทั้งหมดจะต้องอยู่ในบริเวณเส้นทางนี้แน่นอนแต่มันก็ดันกว้างไกลมากจนคนเดียวหาได้ยาก
ทันใดนั้นร่างโคลนของซึฮากิก็แยกออกมามากถึงห้าคน
“ตามที่วางแผนไว้ฉันจะโทรไปยังหินสื่อสารทีละก้อน ถ้าเจอเมื่อไรก็ใช้มันโทรกลับมาทันที”
ซึฮากิตัวจริงเป็นคนคอยโทรไปยังเครื่องอื่นโดยที่ยังกวาดสายตาระแวงรอบ ๆ ไม่หยุดสักวินาที หลังจากใช้เวลามากถึงหนึ่งชั่วโมงเขาก็ตามเก็บมือถือได้สำเร็จแต่ก็ดันมีเครื่องที่หายไปหนึ่งเครื่อง
ไม่ได้แตกหรือเสียหายแน่นอนเพราะมันยังสามารถโทรไปหาได้อยู่ แสดงว่ามันตกไปที่อื่นนอกจากจุดที่คาดการณ์ไว้ซึ่งเป็นไปได้ด้วยเหรอหลังจากที่คำนวณมาอย่างดีแล้ว นก กระแสลมหวนกลับ กิ่งไม้ ต้นไม้ สัตว์ที่อยู่ในป่าหรือจะเป็นคน ต้องมีตัวแปรอะไรสักอย่างที่เปลี่ยนผลลัพธ์
ร่างโคลนทั้งหมดสลายหายไปเหลือเพียงซึฮากิที่ลอยอยู่กลางอากาศกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
หลังจากคิดเรื่องการใช้เวทมนตร์ตรวจจับมาสักพักจึงทดลองและประเมินความเป็นไปได้ออกมา ผลที่ได้น่าพึงพอใจเพราะหลักการที่แท้จริงก็คือการใช้คลื่นมานาที่ปล่อยออกไปเป็นระลอกเหมือนค้างคาวที่ใช้เสียงเป็นตัวบ่งบอกเส้นทางหรือสิ่งกีดขวาง
ซึฮากิบินข้ามชายแดนไปอย่างลับ ๆ ลดระดับความสูงลงจนถึงระดับเดียวกับต้นไม้ข้างล่างเพื่อความสะดวกในการค้นหาร่องรอย
ถ้าวัดจากจุดที่เก็บได้ทั้งหมดจะเห็นว่ามันตกใกล้ ๆ กัน ดังนั้นถ้ามีใครเก็บไปก็ต้องเหลือร่องรอยสักทีแถว ๆ นั้น
ซึฮากิขยายเวทมนตร์ตรวจจับไกลออกไปมากถึงกิโลเมตรและระหว่างนั้นเขาก็ยังมองหาร่องรอยตามพื้นดินอีกด้วย
เหมือนจะได้ข้อมูลดี ๆ แล้วแต่ดูจากร่องรอยน่าจะยังเป็นเด็กซะด้วย แล้วทำไมเด็กตัวแค่นั้นถึงเข้ามาในป่าคนเดียว
ซึฮากิตามรอยเท้าบาง ๆ ที่หลงเหลือบนพื้นเข้าไปใกล้ตัวเมืองเรื่อย ๆ แต่รอยเท้านั่นกลับหยุดอยู่ที่บ้านโทรม ๆ แห่งหนึ่ง
บ้านชาญเมืองเหรอหรือจะเป็นกระท่อมของพวกทหารยาม
สภาพโทรม ๆ เหมือนกับกระท่อมที่พวกซึฮากิเคยอาศัยอยู่ทำให้นึกหวนกลับไปเมื่อตอนนั้น ตอนที่พวกเขาต้องอดทนช่วยกันฝ่าทุกอุปสรรคอย่างยากลำบากกว่าจะมีทุกวันนี้ได้
“ข้าลองถามพวกพ่อค้าในตลาดแล้วแต่ก็ไม่มีใครรับซื้อมันเลย” ท่าทางน้อยใจของเด็กหนุ่มกำลังนั่งหน้าบึ้งอยู่กับแม่ของเขา
“โถ่ลูกเอ๊ย มันก็แค่หินเองใครจะไปอยากซื้อล่ะ? ถ้าเป็นพวกหยกหรืออัญมณีก็ว่าไปอย่าง” เสียงหัวเราะหยอกล้อของผู้เป็นแม่ทำให้ลูกชายแบะปากไม่พอใจ
“ไม่รู้ด้วยแล้ว ! ข้าจะออกไปหาไม้เพิ่ม”
“ระวังตัวด้วยนะลูก” เธอโบกมือและมองตามแผ่นหลังด้วยความเป็นห่วง
เด็กหนุ่มแบกกระเป๋าขนาดใหญ่วิ่งเข้าไปในป่าอีกครั้งโดยมีซึฮากิแอบมองอยู่ไม่ไกล
หินที่มีรูปทรงแบบนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งรูปร่างและความประณีตแสดงว่าต้องมีคนทำขึ้นมาแน่ ๆ
เด็กหนุ่มมุ่งไปยังจุดเดิมที่เก็บหินสื่อสารได้แม้มันจะอยู่ลึกเข้าไปในป่าแค่ไหน
นอกจากเจ้าหินนี่มันต้องมีอะไรอีกแน่ ๆ
ขณะที่กำลังเดินวนไปรอบ ๆ ก็ดันมีสัตว์อสูรอยู่แถวนั้นพอดี รูปลักษณ์คล้ายลิงแต่หัวของมันกลับเป็นนกอีแร้งที่มีรูตะปุ่มตะป่ำอย่างกับโดนหนอนไช
เวรเอ๊ย เจ้านั่นมันไม่ได้อยู่แถวนี้นี่นา เด็กหนุ่มค่อย ๆ ก้าวถอยอย่างนิ่มนวลเพื่อไม่ให้เกิดเสียงแต่ดันพลาดสะดุดรากไม้ล้มเสียเอง
สัตว์อสูรหน้าตาประหลาดวิ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วจนเขาตกใจร้องลั่น
เจ้านั่นต้องใช้คนจากสำนักตั้งสี่ห้าคนถึงจะจัดการมันได้ ลำพังแค่เวทมนตร์เบา ๆ ของเรามันคงไม่สะทกสะเทือนด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มวิ่งเต็มกำลังเพื่อกลับเข้าเขตเมืองเผื่อจะมีใครเห็นและช่วยได้แต่ด้วยความรวดเร็วของสัตว์อสูรทำให้เขารู้ตัวทันทีว่าไม่มีทางหนีทันแน่
พ่อจ๋าแม่จ๋า “[คลื่นกระแทก]” เขาหยุดใช้เวทมนตร์วายุผลักตัวสัตว์อสูรออกไปได้ครู่หนึ่งแต่ไม่ทันไรมันก็มาโผล่ตรงหน้าเสียแล้ว
เด็กหนุ่มหลับตาปี๋กลัวความตายที่อยู่ตรงหน้าแต่แล้วทุกอย่างก็เงียบสงบราวกับยืนอยู่ในป่าช้า
นี่เราตายแล้วหรือ เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งเห็นชายหนุ่มยืนอยู่ต่อหน้าและพอมองออกไปก็จะเห็นซากศพของสัตว์อสูรตัวนั้นที่ถูกผ่าเป็นสองซีก
“ส่งหินแปลก ๆ นั่นมาซะ” ซึฮากิไม่ให้เวลาตั้งตัวอะไรทั้งนั้นเขายื่นมือขอของจากเด็กหนุ่มหลังจากจัดการสัตว์อสูรเรียบร้อย
“คะครับ” เขารีบยื่นให้ด้วยความสั่นกลัวจนไม่กล้าขยับไปไหน
อยู่ที่เขาจริงด้วย ทีนี้ก็ถึงเวลาโทรเรียกโฟลให้มาส่งคนอื่น ๆ
“ไปได้แล้วและอย่าเข้ามาในป่าลึกอีก”
เด็กหนุ่มหันหลังกำลังจะวิ่งออกไปแต่ซึฮากิก็พูดอะไรบางอย่างเสียก่อน
“เดี๋ยวก่อน ! เอาเจ้านี่ไปขายให้เฟยเฟิ่ง” ซึฮากิโยนเกล็ดแข็งสีขาวให้กับเด็กหนุ่มก่อนจะบินขึ้นฟ้าหายไป
เกล็ดมังกรมีคุณสมบัตินำมานาจึงสามารถนำมาใช้ทดแทนอาวุธเวทได้ แต่คงเพราะความหายากของมันจึงมักเก็บรักษาไว้เพื่อศึกษามากกว่า และเราก็ตรวจสอบมันหมดแล้วจึงรู้ว่าประสิทธิภาพของหนึ่งเกล็ดไม่ต่างอะไรกับมีดสั้นที่เราใช้อยู่
เย็นวันนั้นในที่สุดสนามบินก็เสร็จทันพอดีกับที่โฟลบินมาถึงอย่างกับทุกอย่างถูกคำนวณมาหมดแล้ว
“พี่กิ !” คิโนริกระโจนกอดจากนั้นซึฮากิก็อุ้มเธอขึ้นสูงเหมือนลูกติดพ่อไม่มีผิด
“ทุกคนเตรียมความพร้อมมาแล้วใช่ไหม?”
“แน่นอนครับผมอยากสู้กับคนเก่ง ๆ แล้ว” รอนยกแขนเบ่งกล้ามโชว์ให้ซึฮากิเห็นว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหน
“ดีมาก พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางไปอาณาจักรคากัน”
“เย้ !” เด็ก ๆ พากันร้องเฮดีใจที่ได้ออกมาเปิดหูเปิดตาแต่ก็มีเอที่นั่งนิ่งอยู่คนเดียว
“แล้วนั่นเอเป็นอะไรไป?” ซึฮากิถาม
“เอ่อ...เหมือนจะคลื่นไส้ค่ะแถมยังอาเจียนไปแล้วรอบหนึ่ง” คิโนริตอบทันทีและเธอก็กระโดดลงพื้นวิ่งไปลูบหลังเอ
“สงสัยจะเมาเครื่อง ไม่เป็นอะไรหรอกนั่งพักสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย”
“จะไปอาณาจักรคาสินะ...เจี๊ยก” มังกี้ก้าวเดินช้า ๆ และปีนขึ้นคอซึฮากิ
“ถูกต้องพวกเราจะเดินทางไปงานประจำปีของที่นั่น นอกจากจะได้พาเด็ก ๆ เก็บประสบการณ์การเดินทางก็อาจจะได้วิชาจากที่นั่นก็ได้”
“พอดีเลยข้าก็อยากไปเยี่ยมบรรพบุรุษเหมือนกัน...เจี๊ยก”
“บรรพบุรุษ? พวกคุณไม่ได้อยู่ที่อาณาจักรเซียตั้งแต่แรกหรอกเหรอ”
“ถ้าเป็นรุ่นของข้าก็ใช่แต่ดั้งเดิมเราอยู่ที่อาณาจักรคาและค่อย ๆ กระจายตัวกันไป”
เป็นอย่างนั้นเองสินะถึงได้เห็นแต่อมนุษย์แทบจะหามนุษย์ปกติไม่เจอเลย
“ได้สิแต่ขอแค่อย่าแตกกลุ่มกันก็พอเพราะที่นั่นแบ่งพรรคแบ่งพวกกันค่อนข้างชัดเจน ถ้าหลงไปไหนคนเดียวอาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอีกฝั่งก็ได้”
“ว่าแต่พวกเซนหายไปไหนล่ะ…เจี๊ยก”
“อืม นั่นก็เป็นอีกสาเหตุที่เราจะเดินทางไปอาณาจักรคา พวกเขาน่าจะกำลังหลงอยู่ที่นั่น”
“แหม ๆ นายหญิงก็หลงด้วยสินะเพราะฉะนั้นเจ้าก็ต้องรีบไปตามหาสิ...เจี๊ยก” มังกี้เคาะหัวเล่นสนุกพูดแซวไปเรื่อย
“พวกเธอคงเอาตัวรอดได้แหละ ยังไงก็มีเลเวลเจ็ดตั้งสามคนแถมยังมีสเตล่าที่ไหวพริบดีกับยูกิที่มีพลังเดอะนั่นด้วย”
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ...เจี๊ยก”
ขณะเดียวกันหนุ่มสาวเหล่านั้นก็ได้นั่งรถม้าเดินทางไปกับคนของสำนักศาสตร์นักสู้ เซนและกังพูดคุยกันสนุกปากอย่างกับเพื่อนที่ได้ที่นั่งข้างกันในห้องเรียน
“แล้วไอ้การประลองนี่มันคืออะไร? เหมือนการส่งนักสู้ไปทีละคนหรือแข่งแบบแพ้ออก”
“อืม ทุกสำนักจะต้องส่งนักสู้ลงสี่คนและคนนอกสำนักอีกหนึ่งซึ่งได้มาจากการจัดงานประลองเล็ก ๆ แบบที่เจ้าได้ลองเมื่อวาน”
“อ้าว ! ไม่น่ารีบลงเลยรู้อย่างนี้จัดการเจ้านั่นซะฉันก็จะได้เป็นคนลงสู้เอง” เซนตะโกนลั่นเพราะเสียดายโอกาสดี ๆ ที่จะได้ประมือกับผู้แข็งแกร่ง
“อย่าเศร้าไปเลยพวก นอกจากสนามประลองหลักก็ยังมีสนามประลองเล็กที่ให้คนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมได้เป็นเสมือนการคร่าเวลาระหว่างวัน”
“จริงเหรอ ! แล้วมีพวกเก่ง ๆ เยอะไหม?”
“แหม ๆ เลือดร้อนเสียจริง ถึงสนามเล็กจะไม่มีพวกอันดับต้น ๆ ของสำนักแต่บางครั้งก็อาจจะได้เจอนักสู้พเนจรก็ได้”
“ต้องอย่างนั้นสิถ้าเจอแต่คนธรรมดาเดี๋ยวจะไม่สนุกเอา”
กังหัวเราะในลำคอพึงพอใจที่ได้เห็นท่าทางตื่นเต้นของเซนแต่พอมองไปยังเพื่อน ๆ ของเขากลับต้องดึงหน้าตรึงเพราะแต่ละคนเหมือนโดนบังคับมาเสียมากกว่า
“พวกเธอเป็นมนุษย์ทั้งหมดเลยสินะ ไม่สิ...มีเอลฟ์อยู่คนหนึ่งแถมยังอ่อนแอที่สุดในกลุ่มด้วย”
“แล้วจะทำไม? ข้าอ่อนสุดในกลุ่มเพราะไม่ชอบการต่อสู้ต่างหาก” ยูกิถลึงตามองด้วยความเกรี้ยวกราดดูไม่เป็นมิตรแต่กังก็ยังยิ้มตอบรับไว้ก่อน
“ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ถึงจะอ่อนแอสุดในกลุ่มแต่ถ้าเทียบกับศิษย์สำนักเจ้าก็อยู่ระดับสองเชียวนะ เผลอ ๆ ถ้าฝึกอีกหน่อยก็อาจจะขึ้นระดับหนึ่งได้ด้วยซ้ำ”
ทันใดนั้นรถม้าก็หยุดกะทันหันพร้อมกับเสียงเอะอะโวยวายด้านนอก
“มีเรื่องอันใด !” กังตะโกนถาม
“ทางมันเป็นหลุมขอรับ ดูแล้วน่าจะมีคนมาขุดไว้เพื่อให้เราไปช้า” คนคุมบังเหียนตอบกลับด้วยความร้อนรนกลัวว่ากังจะโกรธอะไรไหม
“มีพวกน่ารำคาญมาจนได้ สงสัยจะเป็นเจ้าพวกหงส์เดี้ยงที่แค่อยากแกล้งเล่น ๆ กลบหลุมแล้วเดินทางต่อได้เลยยังไงพวกมันคงไม่กล้าเอากองกำลังที่เหลือมาป่วนนักหรอก”
“ขอรับท่านกัง”
เมื่อได้รับคำสั่งเหล่าคนรับใช้ที่ใช้เวทมนตร์ดินdHช่วยกันหลบหลุมลึกตรงหน้า
“นายเป็นลูกศิษย์แท้ ๆ แต่ทำไมถึงออกคำสั่งหรือทำอะไรได้อิสระขนาดนั้นล่ะ?”
“ดูท่าทางเจ้าจะไม่รู้อะไรเลยสินะ พวกเราศิษย์อันดับต้น ๆ ของสำนักสามารถใช้สิทธิ์แบบเดียวกับอาจารย์ได้และบางครั้งเราก็อาจจะก้าวข้ามอาจารย์ของตัวเองก็ได้ด้วยเช่นกัน”
“แล้วนายล่ะก้าวข้ามอาจารย์ของตัวเองได้หรือยัง?” เซนถามกลับทันทีดูตื่นเต้นออกนอกหน้า
“แน่นอน ! ข้าก้าวข้ามอาจารย์ไปแล้วและน้อง ๆ ของข้าก็กำลังจะทำได้เช่นกัน แล้วเจ้าล่ะ...เจ้ามีอาจารย์ที่อยากก้าวข้ามหรือไม่?” เขากล่าวด้วยท่าทางวางมาดเชิดอกขึ้นภาคภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองพูด
“เหอะ ๆ จะบอกให้ว่าอาจารย์ของฉันไม่มีทางโดนลูกศิษย์ก้าวข้ามแน่”
“อะไรกันที่ทำให้เจ้ามั่นใจขนาดนั้น ขนาดเหนือฟ้ายังมีฟ้าแล้วไฉนอาจารย์ของเจ้าจึงไม่มีศิษย์คนไหนล้มได้”
เซนกระตุกยิ้มมุมปากอย่างภาคภูมิใจพร้อมนำเสนอมากเสียจนยูกิเบือนหน้าหนี
“อาจารย์กิเขาเป็นทั้งเพื่อนพี่น้องพ่อแม่และอาจารย์ บางครั้งก็ดุบางครั้งก็เงียบแต่ที่เรารอดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะเขาสอนและชี้นำทางให้พวกเรา”
“ฟังแล้วดูเป็นคนที่น่านับถือจริง ๆ ถ้าข้ามีโอกาสได้พบปะอาจจะเชิญมาคุยที่สำนักด้วยก็ได้”
ขณะที่กำลังคุยไปเรื่อยรถม้าก็หยุดลงอีกครั้งนั่นทำให้กังหัวเสียเดินออกไปดูทันที
“มีเรื่องอะไรกันอีก?”
“คะคือว่าข้างหน้ามีสัตว์อสูรเต็มไปหมดเลยขอรับ” คนรับใช้ด้านหน้ากล่าว
“ก็แค่พวกสัตว์อสูร” กังก้าวเดินผ่านคนคุมบังเหียนไปและยิ้มเยาะเมื่อเห็นฝูงสัตว์อสูรจ้องมองมา
“โห่...เจ้าพวกลิงประหลาดนี่เองสงสัยคงใช้แค่หมัดเดียวพอ”
กังย่อขาลงพร้อมกับง้างหมัดไปด้านหลัง กลุ่มก้อนมานาก่อรวมกันที่กำปั้นใหญ่ยักษ์ขณะที่พวกสัตว์อสูรกำลังพุ่งจู่โจม
“เฮ้ ! คุณกังระวังนะครับ” เซนตะโกนเตือนเมื่อเห็นเขายืนนิ่งไม่ขยับไปไหน
“ไม่ต้องห่วง” รอยยิ้มแสยะให้เห็นราวกับเจ้าป่ากำลังหัวเราะเยาะหนูที่มาท้าทายเขา
เพียงชั่วอึดใจเดียวก่อนที่สัตว์อสูรจะเข้าถึงตัวเขาก็ได้ชกหมัดออกไปด้านหน้าเป่าสัตว์อสูรทั้งหมดหายไปพร้อมกับต้นไม้ด้านหลัง แรงสั่นสะเทือนส่งมาถึงพวกเซนอย่างกับโดนรถบรรทุกชนที่ความเร็วหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง
“เรียบร้อยทีนี้ก็เดินทางต่อได้” กังเดินกลับขึ้นรถม้าสบาย ๆ เหมือนไม่มีอะไรโดยมีเซนชมการออกหมัดเมื่อกี้และยังตื๊อให้สอนบ้าง
ดูเหมือนจะใช้แรงเยอะเหมือนกันสินะ สเตล่าสังเกตเห็นมือที่สั่นเล็กน้อยของกังทำให้เธอรู้ว่านั่นเป็นการแสดงพลังที่เหนือกว่าเพื่อข่มขวัญ
ไม่นานนักพวกเขาก็ไปถึงที่พักซึ่งเป็นสำนักพันธมิตรของสำนักศาสตร์นักสู้
“มาแล้วสินะ พวกข้าจัดเตรียมอาหารและที่พักไว้พร้อมแล้วพวกเจ้าจะได้มีกำลังไปประลองต่อ” ชายชรายืนทักทายพร้อมกับลูกน้องของเขา
“ข้า...กังศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักศาสตร์นักสู้ขอกล่าวทักทายและขอบพระคุณเป็นอย่างสูง” มือทั้งสองผสานกันตรงหน้าและก้มโค้งทักทายอย่างสุภาพ
“ไม่ต้องพิธีรีตองนักหรอก ยังไงพวกเราก็เป็นเหมือนพี่น้องกันอยู่แล้วเพราะฉะนั้นพวกเจ้ารีบไปพักผ่อนเถอะ”
“ขอรับคุณเจียวลู่”
เมื่อกังทักทายเสร็จก็มีคนรับใช้มานำทางไปยังห้องอาหารที่ตกแต่งด้วยเครื่องเงินเครื่องทองหลากชนิดมีความแวววาวดูหรูหราราวกับห้องอาหารในราชวัง
“ว้าว มัน...หรูเกินไปไหม?” เซนถึงกับอุทานเมื่อได้เห็นห้องอาหารงามตาเช่นนี้
“ข้าเห็นด้วย ตอนแรกก็บอกแล้วว่าแค่มาค้างคืนพักระหว่างทางแต่ในเมื่อพวกเขาจัดเตรียมไว้ข้าก็จะตอบรับความหวังดีให้แล้วกัน” กังนั่งลงที่โต๊ะอาหารหลังจากนั้นพวกเซนและศิษย์คนอื่น ๆ ก็นั่งตามกันไป
“พวกเจ้าก็แนะนำตัวสักหน่อยสิ” กังยักคิ้วทักทายศิษย์น้องของเขา
“ขอรับ ข้ามีนามว่าชุนเป็นศิษย์อันดับสองของสำนักศาสตร์นักสู้” พ่อหนุ่มหน้าคมเข้มกล่าวเป็นคนแรก
“ฟานศิษย์อันดับสี่...” พูดไม่ทันไรเขาก็อ้าปากหาวเสียก่อน
“ข้าขอตัวไปนอนดีกว่า” อย่างน้อยก่อนไปเขาก็ได้แนะนำตัวไปแล้วแต่ก็เหลือเพียงชายหนุ่มคนสุดท้ายที่มักจะอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
“พูดอะไรสักหน่อยสิ” เขายังคงเงียบจนกังต้องเป็นฝ่ายทักก่อน
แววตาเลื่อนลอยค่อย ๆ เหลือบมองหน้ากังก่อนจะถอนหายใจให้ได้ยินชัดเจน
“เต๋อขอรับ...” คำพูดสั้น ๆ ทำให้พวกเซนรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่อยากเสวนาด้วย
“เอ่อ...แล้วไม่มีอาจารย์ของพวกนายมาเลยเหรอ?” เซนถาม
“ถามได้ดี พวกอาจารย์และเจ้าสำนักล่วงหน้าไปคุยธุระก่อนจึงปล่อยให้เราเดินทางกันเอง แต่ก็นั่นแหละเพราะมีข้าอยู่จึงไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น” กังยักไหล่แสดงท่าทางมั่นใจ
“สมกับเป็นกังศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักศาสตร์นักสู้จริง ๆ” เซนหัวเราะสนุกไปกับคำพูดโอ้อวดของกังแม้จะดูน่าหมั่นไส้แต่นั่นก็เป็นความจริง
“แหม ๆ พวกเรากินข้าวแล้วไปพักผ่อนกันดีกว่า”
เมื่อเซนหันหลังไปจึงได้เห็นพ่อครัวและผู้ช่วยถืออาหารมามากมายวางจนเต็มโต๊ะแค่ได้เห็นก็น้ำลายสอแล้ว
“เชิญรับประทานตอนที่ยังร้อน ๆ ได้เลยขอรับ” พอพูดจบพวกพ่อครัวก็เดินออกจากห้องไปทันที
บรรยากาศเป็นกันเองที่เซนรู้สึกกลับไม่ใช่กับเพื่อน ๆ ของเขาที่ยังนั่งตัวเกร็งหวาดระแวงคนแปลกหน้าเหล่านั้น
หลังจากรับประทานอาหารกันเรียบร้อยก็มีคนนำทางไปยังห้องพักแต่เพราะพวกเซนเป็นแขกที่เพิ่มมากะทันหันทำให้เหลือห้องเพียงห้องเดียวเท่านั้น
“ไม่แน่นเกินไปใช่ไหมขอรับ?” ชายหนุ่มผู้เป็นคนนำทางถาม
“สบาย ๆ ครับยังไงพวกเราก็เคยนอนที่มันแย่สุด ๆ มาแล้ว” เซนยิ้มตอบกลับเพื่อให้เขาสบายใจ
“ถ้าอย่างนั้นหลับให้สบายนะครับ”
ห้องขนาดสี่คุณสี่ที่มีเตียงเล็ก ๆ เพียงหนึ่งเตียงนอกจากนั้นก็เป็นเพียงห้องโล่ง ๆ เท่านั้น
“ข้าจองเตียง” ยูกิกระโดดขึ้นเตียงก่อนเพื่อนแต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร
“ส่วนฉันขอเป็นริมหน้าหน้าต่างแล้วกัน” สเตล่าจัดแจงพื้นที่นอนทั้งที่ยังสวมชุดปกปิดเรือนร่างและใบหน้าไว้
“ฮั่นแน่จะหาจังหวะหนีออกไปตอนกลางดึกใช่ไหม?” เซนยิ้มเยาะพูดหยอกล้อ
“หนวกหูเว้ยรีบนอนสักที” ยูกิขว้างหมอนใส่เซนและใช้กระเป๋าสัมภาระหนุนแทน
“โอ้ ขอบใจสำหรับหมอน” เซนวางหมอนลงข้าง ๆ และกวักมือเรียกคานะให้มานอน
“เลิกทำหน้ากวนประสาทสักทีเถอะน่า” คานะถอนหายใจกับความปั่นประสาทของเซนแต่ก็ยอมนอนข้าง ๆ กันอยู่ดี
ขณะที่จะเข้านอนฟรานก็เดินดุ่ม ๆ กำลังจะออกจากห้องไป
“จะไปไหน?” คานะเอ่ยถาม
“อืม...ฉันรู้สึกถึงบางอย่างน่ะ ก็เลยอยากไปตรวจสอบให้แน่ใจก่อน”
“อ้อเหรอให้ไปเป็นเพื่อนไหม?”
“พวกเธอนอนเถอะ” ไม่ทันที่คานะจะตอบโต้ฟรานก็ก้าวออกจากห้องไปเสียแล้ว
ออร่ามานาจากกลุ่มสิ่งมีชีวิตกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ แต่ที่นี่ก็เต็มไปด้วยคนมีฝีมือเราคงไม่ต้องทำอะไร
ฟรานขึ้นไปบนต้นไม้สูงเพื่อเฝ้ามองกองทัพสัตว์อสูรที่มีลักษณะเหมือนวัวกระทิงแต่มีเขาสีแดงสว่างราวกับแท่งไฟ
พวกเขารู้ตัวแล้วจริง ๆ ด้วย เมื่อมองลงไปก็จะเห็นกัง เต๋อ ชุนและคนของสำนักรอตั้งรับอยู่
พวกเขากวาดล้างสัตว์อสูรหลายสิบตัวได้ภายในครึ่งชั่วโมงอีกทั้งยังไม่มีใครบาดเจ็บเลยด้วย
กังก็ยังคงแข็งแกร่งสมกับเป็นศิษย์อันดับหนึ่งแถมยังเลเวลมากกว่าเราซะด้วย ส่วนอีกสามคนอยู่เลเวลเจ็ดเหมือนกันแต่คนที่ชื่อฟานไม่ออกมาช่วยคนอื่นเลยแฮะ
“เสร็จงานก็กลับไปนอนกันได้แล้ว” กังตบหลังศิษย์น้องแม้จะเป็นการหยอกเล่นแต่แรงของเขามันไม่ปกติทำให้ได้รอยมือแดง ๆ ฝากไปด้วย
พวกเขาล้วนเป็นอมนุษย์ที่ใช้เวทมนตร์ได้โดยไม่ต้องพึ่งหินเวทมนตร์แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนใช้อาวุธเวทด้วยเหมือนกัน อย่างคนที่ชื่อเต๋อใช้มีดสั้นลักษณะเดียวกับกิจังแต่การเคลื่อนไหวค่อนข้างสิ้นเปลืองพลังงานและอีกคนก็คือชุนที่ใช้ดาบยาวคล้ายกับเรา ถึงจะไม่อยากพูดก็เถอะแต่เราใช้ดาบได้คล่องกว่าหรือเขาพึ่งฝึกได้ไม่นานกันแน่
หลังจากเรื่องทั้งหมดจบลงเธอก็กลับไปที่ห้องพักนอนคิดวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของพวกศิษย์สำนักจนหลับไป
9 พฤษภาคม พ.ศ.2576
“พร้อมกันนะทุกคน !” ซึฮากิยืนอยู่หน้าสุดตะโกนถามอย่างกับกำลังจะพาไปทัศนศึกษา
“พร้อมค่ะ !” เสียงตอบรับทั้งชายและหญิงทำให้ซึฮากิพึงพอใจเป็นอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเถอะ”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 269
แสดงความคิดเห็น