STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 32 มัดมือ
“ทุกคนเตรียมพร้อม !” อาเธอร์ตะโกนสั่งการเริ่มการส่งมานาให้กับปืนทำลายล้าง มานาเหล่านั้นส่งต่อกันเป็นทอด ๆ จนมาถึงมอร์เดร็ดที่เป็นหัวเรือส่งมานาเข้าปืนโดยตรง
คูเปอร์ พวกเขาเริ่มทำอะไรกันสักอย่างกับปืนแล้ว
เดี๋ยวผมจะรีบบอกพี่ซึฮากิให้ครับ คูเปอร์วิ่งตรงไปหาลุงโทลเพื่อใช้มือถือโทรไปหาซึฮากิและบอกข้อมูลจากคาร์เตอร์
“มีคนคุ้นหน้าคุ้นตามาด้วยแฮะ” ขณะที่คาร์เตอร์กำลังเพ่งสมาธิกับการรายงานสถานการณ์ก็มีคนเดินมาสะกิดไหล่
อาเธอร์ส่งยิ้มแห้งทักทายแต่ไม่ทันได้จับตัวคาร์เตอร์ก็วิ่งพรวดพราดออกไปเสียก่อน
“หนีไปเถอะ เพราะยังไงพิธีกรรมก็เริ่มไปแล้วและสงครามก็กำลังจะจบในไม่ช้า” อาเธอร์เดินวนไปรอบ ๆ ดูความเรียบร้อยของรูปขบวนการส่งมานา
ยี่สิบนาทีผ่านไปอาเธอร์เดินกลับไปหาน้องชายของเขาฉีกยิ้มอ่อนปลื้มปีติที่ได้เห็นสีหน้ามีความสุขของมอร์เดร็ด
เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเลย พวกเราสองพี่น้องที่เติบโตมาในตระกูลย่อยของเลรอซองต่างก็ต้องพบขวากหนามมากมายตลอดทาง
แต่เดิมอาเธอร์ก็เป็นเพียงสายเลือดผสมของแม่บ้านในตระกูล โชคยังดีที่พ่อของเขายังรักและไม่ทิ้งให้ออกไปเผชิญโลกข้างนอกจึงสร้างบ้านใหม่ให้ครอบครัวของอาเธอร์
“นี่คุณทำแบบนี้ได้ยังไง ! คุณสร้างบ้านให้แม่บ้านคนนั้นเนี่ยนะแถมยังให้เงินใช้ทุกเดือนอีก” ภรรยาหลวงของกลูเซอร์ตวาดดังลั่นกัดฟันแทบจะแตก
“ผมขอโทษแต่ผมให้พวกเขาใช้ชีวิตลำบากข้างนอกไม่ได้” กลูเซอร์ เลรอซอง พ่อของอาเธอร์และเป็นผู้นำตระกูลเลรอซอง เขาเป็นชายที่สุภาพเรียบร้อยและยังเชื่อฟังภรรยาแทบจะทุกอย่างจนกระทั่งเขาได้หลงรักแม่บ้านคนใหม่ของตระกูล
“หน็อยไอ้แก่นี่มีฉันอยู่แล้วแต่ยังไปเอาคนอื่นอีก ถ้ามาเรียไม่มาบอกฉันด้วยตัวเองก็คงโดนหลอกไปเรื่อย ๆ สินะ”
“ผมยอมรับผิดทุกอย่าง...แต่ผมก็ยังรักคุณเหมือนเดิมนะที่รัก” กลูเซอร์ก้มเอาหัวแนบพื้นต่อหน้าภรรยาหลวงไม่สนใจศักดิ์ศรีอะไรทั้งนั้น
ภรรยาหลวงเดาะลิ้นและนั่งลงตรงเก้าอี้ “ห้ามให้ลูเทอร์กับอูเทอร์รู้เด็ดขาด จงจำไว้ก็แล้วกันถ้ามาเรียไม่ใช่คนสนิทของฉันไอ้แก่อย่างแกก็คงต้องโดนเฆี่ยนให้ทรมานเสีย”
“ผมจะทำตามทุกอย่าง แต่ขอถามได้ไหมว่าทำไมถึงมีแค่ผมที่ต้องโดนเฆี่ยนล่ะ?”
“ไอ้แก่บ้างานอย่างแกไม่รู้หรอกว่ามาเรียสนิทกับฉันแค่ไหน ตลอดเวลาที่แกไม่อยู่บ้านก็มีมาเรียเนี่ยแหละที่คอยอยู่ข้าง ๆ ตลอด”
หลังจากส่งสายตาจ้องเขม็งเธอก็เดินออกจากห้องนอนไปทันที
ให้ตายสิ ทำไมมาเรียถึงทำกับเราแบบนี้ เธอเดินตรงไปยังห้องของมาเรียที่อยู่ติดกัน
“ดิฉันขออภัยจริง ๆ ท่านหญิง” มาเรียนั่งคุกเข่ารอตั้งแต่ก่อนเข้ามาในห้องพร้อมก้มกราบได้ทุกเมื่อ
“เงยหน้าขึ้น ในเมื่อเรื่องมันเกิดไปแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้มาก”
“ตะแต่ท่านหญิงคะ…”
“เป็นถึงดยุกจะมีภรรยาหลายคนก็คงไม่แปลก แต่ที่ฉันโกรธก็เพราะเขาพยายามปิดบังเนี่ยแหละ ดังนั้นเธออย่าได้โทษตัวเองเลยและทำหน้าที่ของเธอต่อไปนั่นแหละ”
“ท่านหญิง...” หญิงสาววัยยี่สิบต้น ๆ ถึงกับหลั่งน้ำตาไม่หยุด
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เธอต้องปกปิดความสัมพันธ์ต่อไปเพราะฉันไม่อยากให้ลูเทอร์กับอูเทอร์รู้”
“ค่ะท่านหญิง”
หลังจากนั้นมาเรียก็ได้ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนักและเมื่อคลอดลูกแฝดทั้งสองสำเร็จเธอก็ยังกลับไปทำงานกับโรสเหมือนเดิม
วันเวลาผ่านไปจนลูก ๆ ของพวกเธอเติบโตเข้าสู่วัยเรียนรู้
“อาเธอร์มานี่สิ” เสียงชายวัยรุ่นแสยะยิ้มเรียก
“ครับคุณชายลูเทอร์” เด็กหนุ่มตัวน้อยเดินมาหาตามคำสั่งโดยไม่มีท่าทีขัดขืนเลยสักนิด
“มอร์เดร็ดหายไปไหนแล้วล่ะ? หรือจะนอนป่วยติดเตียงเหมือนเดิม” อูเทอร์เดินไปรอบ ๆ สอดสายตาอยากรู้อยากเห็น
“ครับคุณชาย”
“โถ่ ๆ แบบนี้มันก็ไม่สนุกสิ ถ้ามีกันสามคนงั้นไปฝึกดาบกันไหม?”
“เป็นความคิดที่ดีมากลูเทอร์”
พวกเขาทั้งสามพากันไปยังสนามซ้อมแต่แทนที่จะเป็นการฝึกธรรมดาพวกเขากลับใช้อาเธอร์เป็นเหมือนหุ่นซ้อมเสียมากกว่า
“อย่ามองแต่ทางนี้สิ เป็นนักดาบก็ต้องระวังสิ่งรอบข้างด้วย” ลูเทอร์ฟาดดาบไม้เข้ากลางหลังแรงจนเสื้อขาด
“เป็นเพราะมอร์เดร็ดไม่มาเองนะฝั่งนายก็เลยมีแค่คนเดียว คราวหลังก็พยายามพามาด้วยก็แล้วกัน”
“ครับคุณชาย...” แม้ตัวจะเจ็บแต่เขาก็ยังตอบรับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในสายตาของลูเทอร์และอูเทอร์ต่างก็มองสองพี่น้องเป็นเพียงแค่ลูกคนรับใช้ของตระกูลนั่นหมายความว่าเขาสามารถสั่งหรือทำอะไรกับพวกอาเธอร์ก็ได้
“ตายแล้ววันนี้ไปทำอะไรมาอีกแล้วล่ะ?” เมื่อตกเย็นอาเธอร์ก็กลับมายังบ้านหลังเล็ก ๆ เผยให้เห็นสภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยแผลถลอกฟกช้ำทำเอามาเรียตกใจ
“ผมก็เล่นกับพี่ ๆ ลูเทอร์เหมือนเดิมนั่นแหละครับ”
“อีกแล้วเหรอ ให้ตายสิทำไมถึงเล่นกันรุนแรงแบบนี้” ขณะที่บ่นเช่นนั้นเธอก็ใช้เวทมนตร์รักษาบาดแผลให้กับอาเธอร์ไปด้วย
หลายวันต่อมาสองพี่น้องลูเทอร์และอูเทอร์ได้เข้าไปยังบ้านของมาเรียเพื่อตามอาเธอร์มาเล่นด้วยกัน
“สวัสดีครับคุณชาย” อาเธอร์เปิดประตูทักทายอย่างปกติสุข
“โถ่ก็ว่าทำไมอาเธอร์ถึงไม่ออกมาสักทีเพราะมัวแต่ดูมอร์เดร็ดนี่เอง” ลูเทอร์กล่าวติดตลกมองไปรอบ ๆ เห็นยาและอุปกรณ์ช่วยเหลือหลายอย่าง
“ฉันคิดอะไรดี ๆ ออกแล้ว เราก็มาเล่นกับอาเธอร์ที่นี่เลยสิจะได้อยู่ข้าง ๆ มอร์เดร็ดด้วยเลย” อูเทอร์หัวเราะชอบใจในความคิดของตัวเองก่อนจะหาอะไรเล่นไปเรื่อย
“มอร์เดร็ดต้องทำได้สิ” ลูเทอร์ลองให้หนุ่มน้อยเดินโดยไม่มีไม้เท้าไปหาเขาแม้จะสั่นเป็นเจ้าเข้าและเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ล้มลงกับพื้น
“โถ่ได้แค่นี้เองเหรอ ถ้าเป็นแบบนี้โตไปจะดูแลตัวเองยังไงเนี่ย”
“ไม่ต้องห่วงอาเธอร์เราจะเป็นคนช่วยน้องชายนายเอง”
ทุก ๆ วันพวกเขามักจะมารวมตัวกันที่บ้านของอาเธอร์แม้จะดูเหมือนเป็นการเล่นของเด็ก ๆ แต่เพราะสภาพร่างกายของมอร์เดร็ดไม่ค่อยดีจึงเหมือนเป็นการซ้ำเติมเสียมากกว่า
“อยู่กันดี ๆ นะเด็ก ๆ” โรสโอบกอดลูกชายทั้งสองก่อนจะออกเดินทาง
เมื่อถึงวันที่มีการประชุมใหญ่ทำให้ทั้งผู้นำตระกูลและภรรยารวมถึงคนสนิทอย่างมาเรียต้องเดินทางไปข้างนอก
“ถึงเวลาเป็นอิสระแล้วพวกเรา” ลูเทอร์กระโดดโลดเต้นดีใจและพากันออกไปเล่นนอกอาณาเขตที่พัก
“ฉันจำแม่น้ำตรงนั้นได้ เมื่อก่อนพ่อเคยพามาตกปลาแถมปลาที่ได้ไปยังอร่อยสุด ๆ ไปเลย”
แม่น้ำขนาดใหญ่ที่กำลังไหลเชี่ยวแค่เห็นอาเธอร์ก็รู้สึกสั่นกลัวแต่ลูเทอร์และอูเทอร์กลับยิ้มสนุกวิ่งไปทั่ว
“รู้อย่างนี้น่าจะเอาเบ็ดมาด้วย อาเธอร์นายไปเอาเบ็ดมาสิ”
“แต่ผมต้องคอยดูมอร์เดร็ดนะครับ”
“เอาเถอะน่าเดี๋ยวเราดูให้เอง” แม้อาเธอร์พยายามปฏิเสธแต่ลูเทอร์ก็ยังคะยั้นคะยอไม่เลิกจนต้องยอมทำตาม
อาเธอร์รีบวิ่งกลับไปเอาเบ็ดที่บ้านใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีแต่พอกลับมาทุกอย่างกลับเงียบสงบ
“มอร์เดร็ด ! คุณชาย !” อาเธอร์ตะโกนเรียกอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งได้เห็นมอร์เดร็ดนอนล้มอยู่ไม่ห่างจากริมแม่น้ำ
“มอร์เดร็ด...” อาเธอร์ตรวจสอบสภาพร่างกายและลมหายใจทันที
“ผมไม่เป็นอะไรครับแต่คุณชายเขา...” มอร์เดร็ดชี้นิ้วไปยังแม่น้ำที่ไม่มีใครทำให้อาเธอร์รับรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
อาเธอร์กระโดดลงไปในน้ำดำหาเด็กหนุ่มทั้งสองคนแต่ไม่ว่าจะดำหาเท่าไรก็หาไม่เจอเสียทีคงเป็นเพราะกระแสน้ำที่พัดร่างของทั้งสองไปตามเส้นทางเรื่อย ๆ และอาเธอร์เองก็หมดแรงจะว่ายหาแล้วเช่นกัน
ในเย็นวันนั้นทั้งอาเธอร์และมอร์เดร็ดกลับไปที่บ้านตระกูลหลักเพื่อบอกข่าวร้ายแก่พ่อบ้าน ทั้งตระกูลต่างก็เต็มไปด้วยความโกลาหลช่วยกันตามหากันไม่หยุดหย่อนและใช้เวลาสี่วันกว่าจะตามหาร่างของสองพี่น้องได้
“ลูกแม่ !” เมื่อโรสกลับมาก็ได้พบกับข่าวร้ายที่ไม่เคยคิดมาก่อน เสียงร่ำไห้ดังตลอดหลายชั่วโมงกับร่างที่ขึ้นอืดและโดนปลากัดแทะจนเละ
ไม่ใช่แค่โรสแต่อาเธอร์ก็ได้รับข่าวร้ายเช่นกันเพราะมาเรียแม่ของเขาพยายามปกป้องโรสจากกลุ่มโจรดักปล้นจนกระทั่งตัวเองเสียชีวิตจากพิษบาดแผล
“นี่มันวันบ้าอะไรเนี่ย !” กลูเซอร์กัดฟันแน่นทุบโต๊ะจนแตก
“ใจเย็นไว้ก่อนครับท่าน ช่วงเวลาแบบนี้ต้องคอยดูแลคุณโรสให้ดีนะครับ”
“บัดซบ ! ทั้งมาเรียทั้งลูเทอร์อูเทอร์ แล้วสรุปว่าพวกเขาจมน้ำตายจริง ๆ ใช่ไหม?”
“ตามคำให้การของอาเธอร์และมอร์เดร็ดเห็นว่าเป็นเช่นนั้น แต่ว่าบังเอิญมีชาวบ้านผ่านมาเห็นตอนเกิดเหตุพอดีโดยเขาให้การว่ามอร์เดร็ดเป็นคนผลักทั้งสองตกน้ำเอง”
“มีแต่เรื่องอะไรวะเนี่ย ! ไปตามคนที่เกี่ยวข้องมาให้หมด”
วันถัดมาทั้งชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์และคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดมารวมตัวกันที่บ้านหลัก
“พะพี่ลูเทอร์พยายามให้ผมลงไปว่ายน้ำ ผะผมก็เลยพยายามผลักตัวเขาออกไปแต่มัน...” มอร์เดร็ดให้การเช่นนั้นด้วยท่าทางสั่นเทาเหมือนกลัวจะโดนสั่งประหาร
“ที่ผมเห็นก็ประมาณนั้นเลยครับ” ชาวบ้านพูดเสริมต่อหลังจากได้ฟังที่มอร์เดร็ดสารภาพและเมื่อคำให้การของทั้งสองฝั่งตรงกันก็เลยจบความสงสัยได้เสียที
“ประหารมันซะ...” โรสกัดฟันพูดข้าง ๆ หูกลูเซอร์แต่เพราะเป็นอุบัติเหตุแถมยังเป็นลูกชายของเขาจึงเกิดความใจอ่อน
“ฉันขอตัดสินให้มอร์เดร็ดต้องจำคุกตลอดชีวิต”
“แต่คุณคะ !” โรสจ้องตาเขม็งโกรธแค้นสุดใจแต่ก็ได้แต่ทำใจเพราะไม่อาจแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้ว
หลังจากนั้นห้าปีโรสก็เสียชีวิตลงเพราะโรครุมเร้าซึ่งเริ่มมาจากความเครียดสะสมตอนที่เสียลูกชายทั้งสองไปแถมยังเสียคนสนิทอย่างมาเรียไปด้วย
ทายาทคนเดียวที่เหลืออยู่ก็คืออาเธอร์และตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็แสดงศักยภาพในการจัดการบริหารสิ่งต่าง ๆ ได้ยอดเยี่ยมจนกลูเซอร์ก็ยังเทียบไม่ติดและได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลจนถึงปัจจุบัน
“นายพร้อมหรือยังมอร์เดร็ด?”
“ผมพร้อมมาตลอดครับ วันเวลาที่ผมจะได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่กับพี่อาเธอร์” รอยยิ้มแสยะออกมองไปยังปืนใหญ่ที่กำลังเตรียมมานามหาศาล
“ดูเหมือนมานาจะได้ที่แล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้แหละมอร์เดร็ด !” อาเธอร์กวาดสายตามองลูกน้องที่ค่อย ๆ ล้มหมดสติเพราะมานาหมดแต่แทนที่จะรู้สึกเศร้าเสียใจกลับยิ่งเติมไฟแห่งความหวังให้สองพี่น้องแทน
กลุ่มก้อนมานาของคนหนึ่งพันคนกำลังอัดแน่นอยู่ในปืนโดยมีมอร์เดร็ดเป็นคนควบคุมไว้ เมื่อทุกอย่างพร้อมเขาก็ปลดปล่อยปืนทำลายล้างยิงไปทางเมืองเอเธน
“ให้ตายสิทำไมอาเธอร์ถึงให้เรามาคอยอยู่ที่นี่นะ” ขณะเดียวกันเหล่าขุนนางทั้งหมดของอาณาจักรนอดก็ได้มารวมตัวกันตามคำสั่งของดยุกอาเธอร์
“ยังไงก็ช่างเถอะเพราะรอบด้านก็มีแต่สงครามฆ่าฟันกันไม่หยุด เราอยู่ที่นี่มันก็ปลอดภัยดีนี่”
ท่ามกลางความเงียบสงบภายในห้องพักอันกว้างใหญ่จู่ ๆ ท้องฟ้าก็สว่างจ้าและไม่กี่วินาทีก่อนที่จะตั้งตัวก็โดนแรงกระแทกของระเบิดทำลายล้างคร่าชีวิตก่อนจะได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
เมืองทั้งเมืองโดนระเบิดราบเป็นหน้ากลองแรงระเบิดนั้นส่งแรงสั่นสะเทือนไปหลายสิบกิโลเมตรราวกับเป็นสัญญาณวันสิ้นโลก
“สำเร็จไหมมอร์เดร็ด?” อาเธอร์วิ่งเข้ามาดูสภาพร่างกายของน้องชายที่ดูแข็งแรงยิ่งกว่าทหารชั้นแนวหน้าเสียอีก
เสียงหัวเราะดังลั่นราวกับพระเจ้าประทานพรให้ แววตาสีหน้าที่เต็มไปด้วยความปีติยินดียิ้มไม่หุบทำให้อาเธอร์ยิ้มตามทันที
“พี่รออยู่ตรงนี้ได้เลย...ผมจะไปสร้างประวัติศาสตร์เดี๋ยวนี้แหละ เป้าหมายแรกก็ต้องเป็นจักรพรรดินีทุ่งสีขาว”
ออร่ามานาพุ่งพวยขึ้นสูงจนสัมผัสได้แต่ไกลและเบื้องหน้านั้นก็มีหน่วยของทีโอน่ากำลังมุ่งหน้าไปหา
ความรู้สึกสั่นกลัวคลื่นไส้เหมือนจะอาเจียน มันเหมือนกับความรู้สึกตอนที่ได้เจออาจารย์ของแคทเทอรีนครั้งแรกไม่มีผิด
“ข้างหน้านี้แหละบุกเข้าไปเลย...” พูดไม่ทันคำขาดก็มีคลื่นมานาพุ่งผ่านตัวเธอและกวาดสมาชิกหน่วยทั้งหมดหายไปทันทีเหลือเพียงม้าที่มีช่วงล่างของคนขี่อยู่
“โห่...มีคนป้องกันทันด้วยแฮะ” มอร์เดร็ดเดินเข้าหาทีโอน่าช้า ๆ ช้อนสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่ก็ยังไม่รู้ว่ามีอีกสองคนที่หลบหนีได้ทันเช่นกัน
“หน้าตาแบบนั้นอย่าบอกนะว่าเป็นฝาแฝดคนน้องของอาเธอร์...มอร์เดร็ด เลรอซอง” ทีโอน่ากระโดดลงจากม้าปล่อยให้มันวิ่งหนีออกไปจากรัศมีการปะทะ
“ไม่เห็นจะรู้มาก่อนเลยว่ามอร์เดร็ดที่ร่างกายอ่อนแอคนนั้นจะแข็งแกร่งขึ้นในเวลาอันสั้นเพียงนี้” ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้นเธอก็สร้างโกเลมยักษ์ขึ้นมาสามตัวอยู่ในท่าพร้อมต่อสู้
“ถ้าป้องกันดาบมานาได้ก็คงอยู่เลเวลเจ็ดขึ้นไปสินะ” ทันใดนั้นมอร์เดร็ดก็สร้างดาบมานาขึ้นมาจากแขนทั้งสองข้างทั้ง ๆ ที่ไม่มีสื่อนำมานา
เพียงชั่วพริบตาที่ทีโอน่าเหลือบมองอาวุธในมือของมอร์เดร็ดเขาก็หายวับไปกับตา หญิงสาวผู้มากประสบการณ์รู้ตัวทันทีว่าศัตรูกำลังจะเข้ามาจึงสั่งให้โกเลมเหวี่ยงหมัดดักล่วงหน้า
“มันสายไปแล้ว” ดาบมานาฟาดผ่านโกเลมทั้งสามได้ราวกับตัดกระดาษ
ทีโอน่าใช้ไหวพริบเบี่ยงตัวหลบรัศมีของดาบมานาแต่ก็ยังเสียแขนไปหนึ่งข้างโดยที่ยังสร้างบาดแผลให้มอร์เดร็ดไม่ได้เลยสักนิด
มอร์เดร็ดหัวเราะเยาะชอบใจที่ทีโอน่าสามารถหลบได้แต่ขณะที่กำลังประมาทก็โดนศรเวทมนตร์ของวิยาปักเข้ากลางหลังตามมาด้วยหมัดมานาของยาซากะชกเข้าหัวจนกระเด็นไปกองกับพื้น
“ต้องอย่างนั้นสิ ถ้ามันง่ายเกินไปความพยายามของเราก็คงไร้สีสัน” มอร์เดร็ดลุกขึ้นยิ้มเริงร่าเหมือนไม่เป็นอะไรและกระดิกนิ้วเรียกพวกเขาให้บุกเข้ามาพร้อมกัน
หลังจากเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความโกลาหลไม่ว่าจะเป็นสนามรบที่กองทัพกำลังทำสงครามหรือการต่อสู้ของนักดมกลิ่น
“เมืองมัน...” เอธอสเบิกตากว้างมองเห็นความพินาศตรงหน้า
“ถอนกำลังด่วน ! พวกมันอาจจะมีกองหนุนจากที่อื่นอีกและแบ่งหน่วยรักษาไปช่วยคนที่เมืองเอเธนก่อน” ปอร์ธอสออกคำสั่งอย่างใจเย็นแม้จะสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่อยู่ไกลออกไปได้
กองกำลังแคทเทอรีนเองก็ใช้จังหวะนี้ถอยกลับเช่นกัน ไม่มีใครรู้ที่มาของระเบิดแต่ทุกคนก็รับรู้ได้ทันทีว่าต้องหนีให้ห่างที่สุด
“ใครที่ยังไหวให้พาคนเจ็บออกไปก่อน” แคทเทอรีนคอยระวังหลังให้กับพรรคพวกแม้จะเหลือมานาไม่มากนัก
แววตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำเป็นอย่างมาก ความรู้สึกที่ได้มีพรรคพวกมากมายอยู่เคียงข้างทำให้นึกถึงวันที่เธอยังเป็นแค่ทหารข้างกายจักรพรรดิราฟา
“จากหน่วยสอดแนมที่ส่งไปเมื่อกี้เหมือนจะมีมือที่สามเข้ามายุ่งกับสงครามครับ !” หนึ่งในทหารองครักษ์รายงานเสียงดังฟังชัด
“อย่าบอกนะว่าเป็นพวกเดียวกับที่เอาอาหารมาให้ จะยังไงก็ช่างพวกนายรีบไปหาที่หลบก่อนเดี๋ยวฉันจะไปตรวจสอบด้วยตัวเอง”
“รับทราบครับ”
ขณะเดียวกันกลุ่มนักดมกลิ่นก็ได้รับความช่วยเหลือจากมือที่สามไม่ทราบนาม พวกเขาเป็นหน่วยที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและจัดการศัตรูทันทีที่พบ
“คุณแคทเทอรีนส่งมาสินะ...” จี้แบกสังขารค่อย ๆ เดินตามหลังกลุ่มคนนิรนามต่อไป
ความเงียบสงัดของผู้คนเหล่านั้นทำให้จี้เสียวสันหลัง แม้จะถามอะไรไปก็ไม่ตอบสักคำจนกระทั่งพวกเขาออกจากสนามรบได้สำเร็จจึงได้เห็นหนุ่มสาวสองคนกำลังจ้องมองมาที่นักดมกลิ่น
“จำกันได้หรือเปล่า?” ซึฮากิกระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัยโดยมีฟรานเฝ้ามองอยู่ข้าง ๆ
“แกมัน...ใครนะ?” จี้กลอกตามองไปรอบ ๆ กำลังหาทางหนีแต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็โดนกลุ่มคนนิรนามบดบังหนทางหมดแล้ว
เอาจริงดิหรือเพราะจุดอ่อนที่เป็นคนขี้หลงขี้ลืมก็เลยจำหน้าเราไม่ได้
“ไม่ต้องตกใจไป พวกเรามาอย่างเป็นมิตรเป็นคนที่ทางกิลด์นักผจญภัยส่งมา”
“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะแต่ที่ช่วยพวกเราแสดงว่าหวังใช้งานหรือใช้ประโยชน์อยู่ใช่ไหมล่ะ?”
“ก็ถูกอย่างที่เธอพูด แต่ก็ดีกว่าตายตรงนั้นไม่ใช่หรือไง?”
ขณะที่ซึฮากิกำลังพูดจาวางเชิงก็มีเสียงระเบิดดังลั่นอีกครั้งแต่มันกลับไม่เหมือนที่เกิดกับเมืองเอเธน กองเพลิงสูงเสียดฟ้าราวกับดอกเห็ดก่อนที่มันจะค่อย ๆ กระจายไปรอบข้าง
“ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นใครแต่ขอร้องล่ะ...ช่วยท่านแคทเทอรีนด้วยเถอะค่ะ” จี้ก้มโค้งพร้อมถวายกายให้เป็นเวลาเดียวกับที่สมพงได้สติพอดี
“จี้...พวกเรายังมีชีวิตอยู่สินะ” มืออันหยาบกร้านพยายามเอื้อมไปให้ถึงตัวจี้ด้วยความยากลำบากแต่จู่ ๆ ร่างกายก็รู้สึกอบอุ่นราวกับมีอ้อมอกขององค์เทพโอบกอดไว้
“นอกจากความสามารถด้านการต่อสู้แล้วเวทมนตร์รักษาก็ยังมีประสิทธิภาพสูงด้วยสินะ”
“จะชมก็ชมตรง ๆ สิ” ฟรานขมวดคิ้วจ้องหน้าซึฮากิแต่ก็ยังไม่หยุดมือที่กำลังรักษานักดมกลิ่นอยู่
“ขอบคุณพระเจ้าที่ยังเมตตาพวกเราอยู่” สมพงก้มกราบต่อหน้าฟรานที่กำลังรักษาบาดแผลให้ทำอย่างกับเห็นเธอเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่องค์เทพประทานลงมาเพื่อช่วยเหล่ามนุษย์
“ลุกขึ้นเถอะค่ะ พวกเราต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกันไม่จำเป็นต้องทำอะไรเช่นนี้หรอกค่ะ” ฟรานนั่งคุกเข่าเพื่อดึงตัวสมพงขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกัน
แววตาแห่งความหวังและความเลื่อมใสเลื่อนมองใบหน้าอันงดงามราวกับเทพธิดายิ่งทำให้เขากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“พอได้แล้วน่าสมพงเดี๋ยวผู้มีพระคุณจะลำบากใจเอา” จี้ค่อย ๆ ดึงสติที่ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางของสมพงก่อนจะนั่งพักหายใจกันครู่หนึ่ง
“พวกเราต้องขอบคุณจริง ๆ ครับ...” ขณะที่กำลังปลื้มปีติกับความเมตตาของฟรานสมพงก็ได้เหลือบตาไปเห็นหน้าซึฮากิด้านหลัง
“ถ้าเป็นนายก็น่าจะจำได้สินะ” ซึฮากิยิ้มในหน้ากล่าวทักทาย
“คนที่อยู่กับคูเปอร์เมื่อตอนนั้น” แม้จะเจ็บแค้นใจที่เคยพ่ายแพ้ให้กับซึฮากิแต่พวกเขาก็เป็นผู้มีพระคุณเช่นกันจึงได้แต่กำมือกดความรู้สึกไว้
“ยังไงเรื่องบาดหมางของเราก็ไม่ได้รุนแรงอะไรอยู่แล้วนี่ แถมตอนนี้ก็มีเรื่องสำคัญยิ่งกว่าหลายเท่าคงไม่คิดจะเป็นศัตรูกับเราหรอกใช่ไหม?”
ซึฮากิเดินวนไปรอบ ๆ อย่างกับเจ้าหน้าที่สอบสวนพลางมองไปยังสนามรบที่อยู่ไกลออกไป
“แล้ว...พวกนายต้องการอะไรกันแน่?” สมพงเอ่ยถามมองตามหลังทุกฝีก้าว
“ก็แค่การเจรจาค้าขายเท่านั้น พวกเราไม่ได้ต้องการทรัพย์สินหรือแย่งชิงของของคนอื่นหรอก”
“แล้วเราจะเชื่อใจพวกนายได้ยังไง?”
“สมพง...เราไม่มีทางเลือกมากนักหรอกนอกจากยอมจำนนและขอให้พวกเขาช่วย” จี้วางมือลงบนมือที่กำแน่นของสมพงช่วยให้ผ่อนคลายลง
“เรื่องยิบย่อยอย่างอื่นเอาไว้ทีหลังเถอะ ดูเหมือนทางโน้นกำลังจะแพ้แล้ว”
ซึฮากิเชื่อมการมองเห็นเข้ากับแฟรงค์สัตว์อสูรที่ชุบเลี้ยงและฝึกมาด้วยตัวเอง มันบินวนเหนือสนามรบคอยเฝ้าสังเกตและส่งภาพให้กับซึฮากิตลอดเวลาทำให้เขาเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายจึงสามารถวางแผนได้ง่าย
แม้จะไม่มีตรวจจับแต่ก็สัมผัสมานามหาศาลได้จากทางนั้น แคทเทอรีนมุ่งตรงไปยังลานสังหารที่มอร์เดร็ดเป็นคนสร้างมันขึ้นมา
กลุ่มทหารและนักโทษทั้งหลายล้มตายระเนระนาดอาบพื้นหิมะสีขาวให้แดงก่ำ แม้แต่ทีโอน่า วิยาและยาซากะก็ไม่อาจต้านทานพลังที่เหนือกว่าแบบคนละชั้นฟ้าได้
“มีกันแค่นี้เองเหรอ? แต่ก็ได้อบอุ่นร่างกายก่อนไปจัดการแคทเทอรีน...” มอร์เดร็ดเหลือบมองเห็นแคทเทอรีนที่กำลังวิ่งหน้าตั้งเข้ามา
เสียงหัวเราะลั่นอย่างกับคนบ้าและโยนร่างอันเบาะบางของทีโอน่าทิ้งลงพื้น “มาหาเองถึงที่เลยสินะ”
นั่นมันทีโอน่าเหรอทำไมสภาพเธอถึง แคทเทอรีนไม่รีรอสักวินาทีสร้างหอกน้ำแข็งขว้างเข้าหัวของมอร์เดร็ดอย่างรวดเร็วแต่แทนที่มันจะทะลุทะลวงกลับทำได้แค่ดันมอร์เดร็ดให้ถอยไปเท่านั้นราวกับร่างของเขาถูกเสริมกำลังด้วยมานาหลายสิบชั้น
“ทำไมทำหน้าเหมือนโกรธกันขนาดนั้นล่ะ? อย่าบอกนะว่ามีคนสำคัญอยู่ในกลุ่มเมื่อกี้ด้วย...” มอร์เดร็ดแสยะยิ้มกว้างมองไปรอบ ๆ
“ไปตายซะ !”
“อา...คนนี้หรือเปล่านะ” มอร์เดร็ดยิงคลื่นมานาตัดแขนของทีโอน่าทำให้แคทเทอรีนโกรธจนเส้นเลือดปูด
“ไอ้เวรเอ๊ย !”
คลื่นมานามหาศาลดันซากศพกระเด็นออกไปทันทีพร้อมด้วยกองหิมะที่ฟุ้งกระจายอย่างกับฝุ่นสูงหลายสิบเมตร
“อา...นี่มันเกินคาดไปเยอะเลยแฮะ” มอร์เดร็ดเงยหน้ามองสิ่งมีชีวิตที่ผู้คนต่างหวาดกลัว
ความน่าเกรงขามที่มาพร้อมกับความน่าเคารพ การกระพือปีกลงพื้นหิมะเปรียบเสมือนการประกาศศักดา เกล็ดเรียงรายกันอย่างสวยงามเรียบเนียนไปกับหิมะสีขาว เสียงร้องคำรามแสดงถึงพลังอำนาจที่พร้อมจะบดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางทาง ดวงตาแห่งความโกรธเกรี้ยวจ้องเข้าไปในส่วนลึกของมอร์เดร็ดราวกับจะกินเลือดฉีกเนื้อให้แหลกเละ
“ยังเหลืออยู่สินะ...มังกร”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 265
แสดงความคิดเห็น