STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 22 ซ่อมแซม
“แล้วเรียกมาคราวนี้จะพูดอะไรอีก?” พ่อหนุ่มผมบลอนด์ทองแบะปากถามไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่อยากรู้ว่าลูกศิษย์ของพวกนายพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”
“ของฉันติดอยู่เลเวลเก้ามาหลายปีแถมยังมีเรื่องการทำสงครามอะไรก็ไม่รู้” พ่อหนุ่มผมบลอนด์ทองตอบ
“เหรอ...แล้วคนอื่นล่ะ?”
เหล่าผู้คนที่นั่งรายล้อมรอบโต๊ะทรงกลมนิ่งเงียบไม่กล้าเปิดปาก
“ดูสิ นายจะทำหน้าตรึงทำไมเดี๋ยวคนเขาก็กลัวกันหมดหรอก”
“อ้อเหรอ โทษทีขอปรับหน้าให้มันดี ๆ ก่อน” ชายผู้นั้นขยิบตาอ้าปากอยู่พักหนึ่งก่อนจะยิ้มอย่างเป็นมิตร
ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะหลุดออกมา “ฉันล่ะชอบจริง ๆ เวลานายทำอย่างนั้น” เสียงของหญิงสาวร่างเล็กหัวเราะคิกคักเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศให้สบายใจกันมากขึ้น
“แหม ๆ ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะเนเน่จัง”
“เงียบปากไปเลยยอซ” เนเน่ทำหน้าบึ้งตะคอกกลับทันที
ชายหนุ่มร่างบางกระแอมขัดจังหวะ “นอกจากลูกศิษย์ของยอซก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้วใช่ไหม?”
“ของฉันหาคนเหมาะ ๆ ไม่ได้ แถมพวกเราก็สัญญาว่าจะไม่เอาคนจากอาณาจักรเดียวกันก็เลยไม่รู้จะไปหาที่ไหน” เสียงอันนุ่มนวลของชายหนุ่มรูปร่างท่าทางอ่อนช้อยตอบกลับ
“ส่วนของฉันก็เป็นเจ้านั่นเหมือนเดิม ขนาดฉันขู่ก็ยังทำตัวสบายใจเล่นซะปวดหัวเลย” หญิงสาวผู้มีรูปร่างตัวเล็กกะทัดรัดแต่น้ำเสียงกลับดูโกรธเกรี้ยวโมโหร้าย เธอถลึงตามองชายหนุ่มร่างบางราวกับกำลังมองคู่อริไม่มีผิด
“น่าสงสารจริง ๆ ที่มีลูกศิษย์เช่นนั้น” เนเน่ยิ้มเยาะพูดหยอกล้อ
“ไม่ต้องมาสงสารอะไรเลย เธอก็เอาแต่เล่นแม่ลูกกับเจ้าปลานั่นอยู่ได้”
“อย่ามาเรียกเมอร์ของฉันว่าปลาเด็ดขาด...หรืออยากจะวัดกันตรงนี้เลย” ทั้งเนเน่และหญิงสาวผู้นั้นทุบโต๊ะยืนเอาแต่จ้องหน้ากัน
“พอแล้ว ๆ ทั้งคู่เลย อยากให้เกาะมันจมหรือยังไง?” ชายหนุ่มร่างบางปรบมือเป็นสัญญาณให้หยุด
“เชอะ !” พวกเธอต่างก็ส่งเสียงประชดประชันไม่ยอมมองหน้ากันตรง ๆ
“แล้วของเธอเป็นยังไงบ้าง?” ชายหนุ่มร่างบางหันไปถามกับหญิงสาวรูปงามหุ่นสมส่วนอย่างกับดารานักแสดง
“ตอนนี้ลูกศิษย์ของฉันยังสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ อยู่ ภายใต้การนำเสนอผลงานต่ออาณาจักรทำให้เธอสามารถวิจัยและสร้างของพวกนั้นได้โดยไม่มีใครคัดค้าน”
“นั่นมันเยี่ยมไปเลย”
“เดี๋ยวก่อน แล้วนายไม่มีลูกศิษย์กับเขาบ้างเหรอ?” เนเน่ชี้หน้าถามด้วยความสงสัย
“จะว่าเป็นลูกศิษย์ก็ใช่แต่ก็ไม่ในเวลาเดียวกัน”
“เหอะ พูดอะไรแปลก ๆ”
“เอาเถอะน่ายังไงฉันก็วางแผนไว้หมดแล้ว...และยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่อง”
ใบหน้าจริงจังตึงเครียดกวาดสายตามองเหล่าเพื่อนพ้อง
“พวกนายคงรู้จักผู้ถูกอัญเชิญใหม่ทั้งหมดแล้วใช่ไหม?”
“ไม่อะ ฉันไม่รู้จัก” หญิงสาวผู้เกรี้ยวกราดตอบกลับทันควัน
“พลังของเธอคงไม่ปิดกั้นสมองตัวเองหรอกใช่ไหม?” เนเน่พูดแซวพร้อมกับส่งสายตายียวน
“สมองเธอนั่นแหละจะโดนปิดก่อนใคร” สงบกันได้ไม่ทันไรก็มีปากเสียงกันอีกแล้ว หญิงสาวตัวเล็กทั้งสองเขม้นมองกันไม่พักทำเอาชายหนุ่มร่างบางกุมขมับ
“ปล่อยพวกนั้นไปเถอะ เชิญนายพูดต่อได้เลย” ยอซเองก็ได้แต่ยิ้มอ่อนมองดูสาวน้อยตีกันไปมา
“ตอนแรกคนที่มีแนวโน้มจะเป็นผู้กล้ามีแค่ฟรานเท่านั้น แต่พอระยะเวลาผ่านมาสักพักกลับมีคนอื่นพัฒนาตามมาได้ติด ๆ จนน่าตกใจ”
“หมายถึงเซนและคานะคนที่เคลียร์ดันเจี้ยนบททดสอบใช่ไหม?”
“นั่นก็ใช่แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคานะและเซน ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการหลบหนี ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อร่างสร้างถิ่นฐานสิ่งที่พวกเราไม่เคยทำ”
“ซึฮากิ...”
“ถูกต้อง เด็กหนุ่มนั่นเป็นคนเดียวที่ได้อ่านบันทึกของฉัน”
“อ้อ ๆ บันทึกที่นายเขียนมาตลอดสินะ...ไรลี่”
“นอกจากได้อ่านบันทึกแล้วเขายังสามารถพัฒนาและต่อยอดความรู้ได้ไวยิ่งนัก ไวถึงขนาดที่พวกเรายังต้องอายเลย”
“แหม ๆ ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ยอซยิ้มเยาะถามกลับเหมือนไม่เชื่อในคำพูดของไรลี่
“นายยังไม่เข้าใจสินะ ก็ลองเปิดประตูไปดูเมืองเอลโฟเรียสิ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขออนุญาตแล้วกัน” ยอซวางมือลงบนไหล่ของไรลี่พร้อมกับเปิดประตูมิติเท่าบานหน้าต่างเพื่อมองดูอีกฟาก เมืองที่พัฒนาเกินกว่ามาตรฐานของสตาร์คินไปมากโขและอีกไม่เกินปีคงเทียบเท่าเมืองแอสต้าเป็นแน่
“แค่สร้างเมืองเก่งใช่ว่าจะเพิ่มเลเวลได้ไวสักหน่อย”
“ดูดี ๆ สิยอซ”
เขาลองเปลี่ยนมุมมองไปหลาย ๆ จุดทั่วเมืองจนได้เห็นสถานีตำรวจ ฐานบัญชาการกองกำลังรบและอาวุธทันสมัยมากมายที่กำลังผลิต
“ปืนซุ่มยิงระยะไกล นั่นมันบ้ามากเลยนะที่สร้างอะไรอย่างนี้ขึ้นมา”
“ก่อนมาที่นี่ก็เป็นแค่เด็กมัธยมปลายแต่กลับมีองค์ความรู้หลากหลายแขนง และที่สำคัญเขายังชำนาญและเข้าใจสิ่งเหล่านั้นจนเอามาสร้างได้จริง ๆ ถ้าเป็นพวกเราจะทำแบบนั้นได้ไหมล่ะ?”
“ไม่มีทางเป็นแค่เด็กมัธยมแน่ ๆ ต่อให้เป็นทหารในกองทัพแต่ก็ใช่ว่าจะรู้วิธีผลิตปืน ต่อให้เคยทำงานในโรงงานมาก่อนก็ไม่มีทางหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นจากโลกล้าหลังเช่นนี้ได้...เขาต้องสร้างมันทุกอย่างตั้งแต่ศูนย์”
“ทีนี้เข้าใจหรือยังล่ะว่าทำไมฉันถึงสนใจ”
“อืม...ที่บอกเรื่องนี้แสดงว่ามีแผนอะไรใช่ไหม?” ขณะที่กำลังคุยกันจริงจังก็มีเสียงโครมครามดังอยู่ด้านหลังแต่ก็หาสนใจไม่
“ก็อย่างที่รู้ ถ้าเราแสดงพลังมากเกินไปเจ้านั่นจะจับสังเกตได้ ดังนั้นเราแค่อย่าขวางทางเขาและคอยส่งข้อความหรือชี้แนะอย่างที่เคยทำกับลูกศิษย์ของตัวเอง”
“ก็ได้ ๆ”
ยอซเหลือบไปเห็นเกาะที่ค่อย ๆ แหว่งหายไปทีละเล็กทีละน้อย
“อ้าวเฮ้ย ! เดี๋ยวเราก็ไม่มีที่ประชุมกันหรอกพวกเธอ” ยอซกระโจนเข้าไปกลางสนามอารมณ์ที่กำลังฟัดเหวี่ยงกันไม่หยุด
“อย่ามาขวางสิวะยอซ”
“หน้าโมโหมากนักสิ…ฮิโยริ เดี๋ยวหน้าก็เหี่ยวหมดหรอก”
“ตลกละฉันพึ่งจะสามสิบต้น ๆ ไม่มีทางหน้าเหี่ยวแน่นอน” ฮิโยริกัดปากเถียงฉอด ๆ
“ก็ลองดูตอนเธอโกรธเอาเองสิ” ยอซเปิดประตูมิติตรงหน้าของเธอทำเป็นกระจกให้ได้เห็นสภาพของหญิงสาวร่างเล็กขมวดคิ้วทำให้หน้าเป็นริ้วรอย
“เป็นตุเป็นตะเลย” ขณะที่กำลังต่อล้อต่อเถียงพวกเขาก็ไม่ทันได้สังเกตเลยว่ากำลังมีสิ่งบางอย่างขนาดใหญ่ลอยมาหา
“เนเน่ ! เธอจะใช้เวทวิบัติแบบนี้ไม่ได้นะ” ยอซร้องเสียงหลงเมื่อได้เห็นคลื่นน้ำขนาดยักษ์สูงกว่าห้าสิบเมตรกำลังจะถล่มทั้งเกาะ
ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้นไรลี่ก็ก้าวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ามือจับด้ามดาบที่ยังอยู่ในฝักเตรียมออกอาวุธ
“ปวดหัวกับพวกเธอจริง ๆ ลงดาบรูปแบบที่เก้า [ไร้มลทิน]”
เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขาได้ชักดาบออกจากฟักก็สัมผัสได้ถึงออร่ามานาที่ผ่านการควบแน่น ปลายดาบวาดผ่านอากาศที่เหมือนไม่มีอะไรตรงหน้าก่อนที่มันจะส่งคลื่นดาบตัดผ่านคลื่นยักษ์ตรงหน้า ไม่เพียงแค่ทำให้มันขาดออกจากกันแต่ยังสลายมานาที่กำลังควบคุมมันไปด้วย
“ท่ายังสวยเหมือนเดิมเลยนะไรลี่ ถึงจะแค่เลเวลเจ็ดแต่พลังของมันก็มากพอให้จัดการพวกเลเวลแปดเลเวลเก้าได้เลย”
“ขอบใจที่ชมก็แล้วกัน จากนี้ก็ฝากด้วยนะ...พวกเธอก็เตรียมตัวกลับกันได้แล้ว” ไรลี่สอดสายตามองฮิโยริและเนเน่ทำเอาพวกเธอขนลุกไปตาม ๆ กัน
“เอาละยืนเรียงแถวให้มันดี ๆ หน่อย”
หลังจากนั้นยอซก็เปิดประตูมิติส่งพวกเขากลับไปยังที่ของตัวเอง
23 มีนาคม พ.ศ.2576
“เรื่องระเบิดเมื่อวานไปถึงไหนแล้ว?” ซึฮากินั่งเดินตรวจงานรอบ ๆ เมืองก่อนจะถามตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ พวกเขาต่างก็ยืนตัวเกร็งเมื่อได้เห็นใบหน้าไม่เป็นมิตรของซึฮากิ
“หลังจากสืบสวนจึงได้พบว่าเป็นฝีมือพ่อครัวที่ทำงานอยู่แถวนั้น เขาให้การว่าขณะที่กำลังจะจุดไฟทำอาหารดันมีแมลงเข้ามาเกาะหน้าก็เลยเผลอร่ายเวทรุนแรงไปหน่อย”
“แค่นั้นจริง ๆ ใช่ไหม?”
“คะครับ พยานในที่เกิดเหตุก็ให้การเหมือนกัน”
“เป็นอย่างนั้นสินะ อย่างน้อยก็ไม่มีใครเป็นอะไรมาก...ส่วนเรื่องค่าเสียหายก็ให้ฝ่ายกฎหมายจัดการกันไป”
“ครับ” ตำรวจทั้งสองนายวิ่งออกไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
“พวกเขาดูกลัว ๆ นะ” ฟรานกระโจนเข้าทางด้านหลังชะเง้อคอมองเอกสารที่ซึฮากิอ่านอยู่
“ก็คงงั้น กลัวสิ่งที่ไม่รู้จัก...กลัวสิ่งที่อาจเป็นภัยต่อตนเอง มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว”
“ทีหลังก็หัดยิ้มสักหน่อยสิ” ฟรานฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ซึฮากิดูและยังจับปากของเขาขยับขึ้นลงจำลองการยิ้มไปด้วย
“ฉันไม่เหมือนเธอสักหน่อย คนที่ใคร ๆ ก็อยากเข้าหาแถมยังเป็นที่พึ่งได้ตลอด”
“แหม ๆ ทำเป็นเข้มไปได้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนนายก็ช่วยฉันไว้ตั้งเยอะ”
“เอาเถอะน่า ไปที่ต่อไปได้แล้ว”
“ค่ะคุณเจ้าเมือง” ฟรานยิ้มเยาะพูดสำเนียงหยอกล้อเดินตามซึฮากิต้อย ๆ
ขณะเดียวกันที่เมืองแอสต้าก็ยังคงวุ่นวายกับเหล่าหนุ่มสาวผู้มากความสามารถที่มาพร้อมกับความปั่นประสาทน่าปวดหัว
“เฮ้ย ! แน่จริงก็ออกมาดวลกันหน่อยสิ” เซนชี้หน้าใส่ซากิหวนนึกถึงวันวานที่โดนอัดอยู่ฝ่ายเดียว
“จะบ้าก็ให้มันมีขอบเขตหน่อย” ซากิตอกกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ฉันไม่ได้บ้าสักหน่อย...ใช่ไหมพวก?” เขามองหน้าเพื่อน ๆ ที่ตามมาด้วยกันแต่ก็มีแต่แววตาสมเพชเวทนาเป็นคำตอบที่ไม่ต้องพูดออกมา
คานะเดินเข้าหาพวกซากิอย่างเป็นมิตรที่สุด “คราวก่อนพวกเราแวะมาแป๊บเดียวก็เลยไม่ได้ทักทาย แต่ตอนนี้เรามีเวลาพักผ่อนค่อนข้างเยอะสนใจจะไปนั่งคุยกันก่อนไหม?”
“เอายังไงกันดีล่ะ?” ซากิ ซันนี่และชาญ พวกเขาสามคนมักจะอยู่ด้วยกันตลอดอาจเป็นเพราะสนิทกันตั้งแต่อยู่โลกเดิมหรือเพราะเป็นคนที่มาจากที่เดียวกัน
“ฉันยังไงก็ได้” ซันนี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเริงร่าเหมือนอย่างเคย หญิงสาวผู้ที่เคยมีหน้ามีตาในสังคม ทำกิจกรรม ไปงานประชุมหรือการช่วยงานพ่อของตัวเอง ปัจจุบันเป็นพรรคพวกของผู้กล้าแต่น้อยคนนักที่จะจำชื่อพวกเธอได้
“แต่พูดถึงการดวลฉันก็อยากทำเหมือนกัน” ชาญเดินเข้าประชันหน้ากับเซนต่างคนต่างก็แสยะยิ้มอย่างกับคนบ้า
“ฮั่นแน่ฉันก็อยากแก้แค้นนายเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามมาเลยมา !”
“หยุด ! พวกผู้ชายนี่จริง ๆ เลย ในหัวมีแต่เรื่องใช้กำลังหรือยังไง?” ก่อนที่ชาญและเซนจะไปสนามประลองก็ได้ซันนี่มาขวางไว้เสียก่อน
“เปล่าสักหน่อย ฉันก็แค่อยากทักทายเพื่อนในแบบของตัวเอง”
“ใช่ ๆ ฉันก็เหมือนกัน” ทั้งเซนและชาญต่างก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยทำเอาซันนี่ถอนหายใจเพราะดูยังไงมันก็แค่ข้ออ้าง
“จะเริ่มเรียนคาบต่อไปแล้ว เราต้องไปเรียนกันต่อไม่ว่างเหมือนพวกนายหรอก” พูดจบพวกเขาก็พากันเดินจากไปโดยมีชาญส่งสายตายียวนส่งท้ายแทนการบอกลา
“อ้อเหรอ โชคดีแล้วกัน” เซนยิ้มฉีกกว้างโบกมือลาแต่มันกลับดูเหมือนกำลังล้อเลียนมากกว่า
“แล้วพวกเราจะไปไหนกันต่อล่ะ? คงไม่ไปเปิดร้านขายอาหารอีกรอบหรอกนะ”
“พูดขึ้นมาข้าก็อยากทำอีกนะ” ยูกิยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อพูดถึงอาหารการกิน
“ทั้ง ๆ ที่ทำจนหนำใจไปแล้วเนี่ยนะ พวกเราแค่อยากออกไปพักผ่อนเที่ยวเล่นรอกิกลับมาก็พอ”
“โถ่...ก็ได้ ๆ”
ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะไปไหนแต่พวกเขาก็เดินสุ่ม ๆ ไปทั่วโรงเรียนหลวง ถ้าไม่มีพลเอกลักซ์ไปด้วยก็คงโดนจับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าโรงเรียนแล้ว
“ทำไมตึกหลังนั้นมันเล็กกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา” เซนชี้ไปยังอาคารที่ตั้งอยู่ห่างออกไปเหมือนเอาไว้ทดลองอะไรบางอย่าง
“ที่นั่นคงเป็นห้องของนักเรียนชั้นพิเศษ เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีพลังสูงกว่านักเรียนคนอื่นก็เลยให้อยู่ใกล้กันไม่ได้” ลักซ์มองไปรอบ ๆ เห็นป้ายบอกทางจึงค่อยตอบคำถาม
“ถ้าเราเข้าโรงเรียนจะได้อยู่ห้องพิเศษไหมนะ?” คำถามลอย ๆ ของเซนมันจุดประกายให้ทุกคนคิดตามจนเกิดเป็นความอยากรู้อยากเห็น
ทุกสายตาจับจ้องไปที่พลเอกลักซ์จนเธอถอนหายใจเสียงดังบ่งบอกว่าเริ่มเหนื่อยกับพวกเขาแล้ว “นี่เราเป็นพี่เลี้ยงไปตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”
สุดท้ายเธอก็ยอมพาเหล่าคนแปลกถิ่นไปยังห้องทดสอบที่เอาไว้ให้นักเรียนใช้โดยมีอาจารย์หนุ่มคนหนึ่งมาช่วยวัดความสามารถของพวกเขา
“ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานะคะ” ลักซ์ก้มโค้งเล็กน้อยให้กับอาจารย์หนุ่มคนนั้น
“ไม่เป็นอะไรครับ ยังไงผมก็ชอบดูเด็ก ๆ ออกแรงกันอยู่แล้ว” ใบหน้าอันสดใสยิ้มตอบรับได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับเป็นอาจารย์ในอุดมคติของใครหลาย ๆ คน
“แล้วพวกเราต้องทำยังไงบ้างคะ?” คานะจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของอาจารย์หนุ่มก่อนจะถาม
“การทดสอบจะมีสามส่วน หนึ่งพละกำลัง สองเวทมนตร์และสามสอบข้อเขียน ซึ่งทั้งหมดจะมีเกณฑ์วัดเป็นคะแนนนำมาเทียบผลว่าจะได้อยู่ระดับใด”
“โอ...มาย...กอช มีข้อเขียนเหรอเนี่ย” เซนถึงกับทำหน้าบูดเพราะรู้ตัวว่าทำได้คะแนนน้อยแน่ ๆ
“เอาเถอะน่าเราไม่ได้จะเข้าเรียนจริง ๆ สักหน่อย”
ไม่นานนักอาจารย์ก็เตรียมสถานที่และอุปกรณ์พร้อมทดสอบพลัง โดมขนาดใหญ่ที่มีไว้สำหรับการคัดเลือกนักเรียนโดยเฉพาะ ราคาของมันค่อนข้างสูงเพราะต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ดีที่สุดแต่เพราะมีค่าเทอมจากเหล่าขุนนางมากมายจึงไม่ต้องกังวลเรื่องงบประมาณ
“ก่อนอื่นก็ทดสอบพละกำลัง เริ่มด้วยการวิ่งระยะสั้นหนึ่งร้อยเมตร” ผู้เข้าทดสอบทั้งหมดเข้าประจำตำแหน่งปล่อยตัวโดยมีเซน คานะ ยูกิและสเตล่า
“เอ่อ....ใช้เวทมนตร์ได้ไหมครับ?” เซนถามก่อนที่จะเริ่มทดสอบ
“ไม่ได้ครับ การทดสอบพละกำลังห้ามใช้เวทมนตร์ช่วยเด็ดขาด”
“รับทราบครับ !” เซนกลับไปยืนท่าเตรียมเหมือนเดิม
สัญญาณเสียงมาพร้อมกับการก้มลงแตะพื้นอยู่ในท่าเตรียมและเมื่อสัญญาณครั้งสุดท้ายดังขึ้นพวกเขาก็ออกตัววิ่งสุดฝีเท้าไปยังเส้นชัย
เดี๋ยวสินี่มันพึ่งจะหกวินาทีเอง อาจารย์หนุ่มถึงกับตาโตเมื่อเห็นเวลาที่เซนทำได้และคานะก็ตามมาติด ๆ ต่อด้วยสเตล่าและยูกิเป็นคนสุดท้ายที่เวลาสิบสี่วินาที
“ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ถ้าอย่างนั้นไปฐานต่อไปได้เลย” เขาต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้และดำเนินการทดสอบต่อไป
“การยกน้ำหนัก...เริ่มได้”
แต่เดิมสถิติยกน้ำหนักเป็นของผู้กล้าฟรานตอนได้เข้าเรียน ถ้าเป็นผู้กล้าในตอนนี้มายกจะได้สักเท่าไรและจะชนะเจ้าหนุ่มนั่นหรือเปล่า
เซนยกบาร์ที่ใส่เหล็กทั้งหมดที่เตรียมไว้ให้รวม ๆ แล้วคงประมาณสามร้อยกิโลกรัมอีกทั้งชูแขนขึ้นสูงและยกขึ้นลงทำอย่างกับเป็นแค่การออกกำลังกายในโรงยิม
“ต่อไปกระโดดไกล”
ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงในที่สุดพวกเขาก็ทดสอบด้านพละกำลังเสร็จซึ่งเซนทำได้ดีที่สุดทุกฐาน
“หลังจากนี้เราจะย้ายไปอีกห้องหนึ่ง ที่นั่นจะเป็นห้องสำหรับทดสอบเวทมนตร์”
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงก็ได้เห็นของที่คุ้นเคยก็คือหินสำหรับตรวจสอบคุณสมบัติเวทมนตร์ ครั้งแรกและครั้งเดียวที่พวกเขาได้ใช้ก็คือตอนที่นาธาพาไปทำบัตรประจำตัว
เวทธาตุของพวกเขายังปกติดีเหมือนเดิมมีเพียงแค่คานะที่ได้รับธาตุใหม่ก็คือไฟฟ้าและมันก็สามารถประยุกต์ใช้กับเวทวารีได้ดี
“การทดสอบพื้นฐานก็คือเวทเกราะมานา” พูดเสร็จพวกเซนก็เริ่มใช้เวทมนตร์ทันที
ไม่ใช้คำร่ายซะด้วย ตอนแรกคิดว่าเป็นพวกเก่งแต่ใช้กำลังแต่ถ้าทำได้ถึงขนาดนี้เวทพื้นฐานอย่างอื่นก็คงไม่มีปัญหา
“หลังจากนี้ให้พวกเธอใช้เวทมนตร์ที่ตัวเองถนัดได้เลย”
“แจ๋วสิครับ !” เซนวิ่งไปคว้าดาบยักษ์ของตัวเองกลับมาที่สนามทดสอบ ท่าทางดี๊ด๊ายิ้มฉีกกว้างขณะที่ก่อรวมมานาไปด้วย
ชั่ววินาทีที่มานารวมตัวไปที่ดาบยักษ์เขาก็วิ่งเข้าใส่หุ่นซ้อมและเหวี่ยงอาวุธที่เต็มไปด้วยเพลิงลุกไหม้ฟาดเป็นเส้นตรงผ่ากลางส่งคลื่นความร้อนกระจายไปทั่วอาคารทดสอบแถมยังทำให้เกิดกำแพงสีชาดสูงหลายเมตรในทิศทางที่ออกแรงเหวี่ยง
พลังทำลายสูงมากจนอาคารแทบจะรับไม่ไหวแต่ก็ใช้เวลาในการเตรียมมานาค่อนข้างนาน อีกทั้งการเคลื่อนก็เดาทางได้ง่ายใช้สำหรับสู้กับมอนสเตอร์ได้ง่ายกว่าสู้กับคนด้วยกันเอง
“ดีละ! ต่อไปก็เป็นตาของฉัน” คานะยกคันธนูสีครามขึ้นสี่สิบห้าองศาก่อรูปมานาใช้แทนลูกศรปกติ
สร้างรูปจากมานาได้ดีแต่ทำไมต้องยกคันธนูขึ้นสูงด้วย ถ้าทำแบบนั้นมันใช้สำหรับยิงระยะไกลไม่ใช่หรือ
ลูกศรมานาที่ดูปกติแต่เมื่อมันถูกยิงออกมากลับกลายสภาพกลายเป็นมังกรวารีน่าเกรงขามแหวกว่ายไปบนอากาศก่อนจะพุ่งขย้ำเป้าหมายตรงหน้า
เวทมนตร์ประเภทจำแลงถือว่าหาค่อนข้างยาก ยิ่งใช้มานาเท่าไรพลังทำลายก็จะเพิ่มมากขึ้นแล้วถ้าสามารถควบคุมได้อีกก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
“โถ่...แล้วเราจะแสดงเวทมนตร์อะไรล่ะ? ยูกิก็ถนัดทำอาหารส่วนฉันก็ถนัดการสอดแนมซ่อนเร้น”
“สอดแนมเหรอครับ นั่นมันเป็นทักษะเฉพาะตัวใช้เกณฑ์เวทมนตร์วัดไม่ได้ อย่างน้อยก็ใช้เวทมนตร์ที่พวกเธอใช้บ่อย ๆ ก็ได้”
“ก็ได้ค่ะ”
เดี๋ยวนะการตอบรับแบบนั้นอย่าบอกนะว่าเป็นผู้หญิง แต่รูปร่างหรือเสียงก็เป็นไปได้ทั้งหญิงทั้งชาย
“ช่วยถอดผ้าปิดหน้าออกด้วยนะครับ ทางเราต้องการยืนยันตัวตนให้ชัดเจน”
สเตล่าไม่ได้ขัดอะไรยอมทำตามแต่โดยดีและมันก็ช่วยให้อาจารย์หนุ่มคลายข้อสงสัย
“เอาละนะ” สเตล่าเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ ใช้เวทวายุสะบั้นคอของหุ่นซ้อมทำเสมือนกำลังลอบสังหารใครสักคน ส่วนยูกินั้นก็แค่ใช้เวทวายุตัดคอของหุ่นซ้อมไปงั้น ๆ ทำอย่างกับเบื่อหน่ายอยากกลับบ้านเต็มกลืนแล้ว
หลังจากทดสอบเวทมนตร์เสร็จพวกเขาก็ตรงไปยังห้องสอบข้อเขียนซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อมูลทางด้านเวทมนตร์และประวัติศาสตร์ แม้จะตอบในส่วนของเวทมนตร์ได้บ้างแต่ประวัติศาสตร์มีเพียงแค่สเตล่าและยูกิที่ตอบได้
“ให้ตายสิเล่นถามว่าปฏิวัติวันไหนแล้วเราจะรู้ไหม?” เซนบ่นไปเรื่อยหลังจากสอบเสร็จทำเพียงนั่งรอผลการทดสอบ
“เอาเถอะมันก็แค่ทดสอบเล่น ๆ ถึงไม่ได้ห้องพิเศษเราก็อาจจะอยู่ห้องหนึ่งก็ได้” คานะตบหลังเสียงดังส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้
“ยินดีกับคานะและเซน พวกเธอทั้งสองได้ห้องเรียนพิเศษเพราะคะแนนด้านเวทมนตร์และพละกำลังสูงมาก ส่วนสเตล่าได้อยู่ห้องหนึ่งและก็ยูกิได้อยู่ห้องสอง”
“เยส ! พวกเรามันเจ๋งอยู่แล้ว” เซนกระโดดตีมือกับคานะดีใจกันอยู่สองคนส่วนสเตล่าและยูกิก็แค่ตามน้ำไปเฉย ๆ
ด้วยนิสัยของเซนและคานะทำให้ทุก ๆ วันเต็มไปด้วยความสนุกสนานแม้จะน่ารำคาญไปบ้างแต่มันก็รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ หลายวันผ่านไปก็ยังคงวิ่งไปทั่วเมืองเพื่อหาอะไรที่มันน่าตื่นเต้นทำจนกระทั่งซึฮากิและฟรานกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง
26 มีนาคม พ.ศ.2576
วันคืนแห่งความสุขค่อย ๆ มอดลงเหลือไว้เพียงความทรงจำอันน้อยนิด
“ทีโอน่า...พวกเราทำอะไรผิด?” เสียงสะอื้นฝืนกลืนความหวังลงคอไปทั้ง ๆ ที่ตนยังอยากลุกขึ้นอีกครั้ง
“ไม่...ไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ” เสียงอันแหบแห้งตอบกลับช่วยกันพยุงร่างอันบอบบางฝ่าพายุทรายหาที่พักพิง
“แล้วทำไมเราต้องมาลำบากถึงเพียงนี้ด้วย ทั้ง ๆ ที่ฉันสำรวจดันเจี้ยนมามากมายแต่ทำไมถึงพึ่งเคยเห็นที่นี่”
“ขอโทษจริง ๆ ที่ไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน เธอจะลงโทษฉันก็ได้นะแคทเทอรีน”
เธอฝืนยิ้มด้วยริมฝีปากอันเหือดแห้ง “ก็ได้ ฉันขอลงโทษให้เธอพาฉันออกไปจากที่นี่”
ทะเลทรายอันกว้างขวางยาวสุดสายตาจนหาแหล่งพักพิงไม่ได้ หญิงสาวทั้งสองต้องเดินต่อไปโดยไม่รู้ว่าจุดหมายอยู่ที่ไหนแต่ก็ต้องไปต่อไม่เช่นนั้นชีวิตของพวกเธอก็คงจบสิ้น
ทำไมพวกเธอทำเหมือนเราไม่มีตัวตนไปแล้วล่ะ คาร์เตอร์ได้แต่เดินตามหลังยิ้มเจื่อนเพราะเหมือนถูกทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียว
ได้ยินไหมคูเปอร์
ได้ยินครับพี่
ดูเหมือนทางนี้จะมีเรื่องแล้ว พี่จะขอฝากข้อความให้ซึฮากิด้วยนะ
พูดมาได้เลยครับ จากที่กำลังวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ คูเปอร์ต้องหยุดนั่งเพื่อจดจ่อกับเรื่องราวที่ได้ฟัง
จักรพรรดินีโดนไหว้วานให้มาช่วยตรวจสอบดันเจี้ยน แต่หลังจากเข้าไปได้สักพักก็โดนกับดักทำให้ตกเข้าไปในดันเจี้ยนซ้อนดันเจี้ยนจนตอนนี้ก็ยังหาทางออกไม่ได้ มีความเป็นไปได้ที่จะมีคนวางแผนไว้อยู่แล้วถึงมันจะเป็นแค่การคาดเดาก็เถอะ
ตามนั้นนะครับผมจะรีบบอกพี่ซึฮากิให้ไวที่สุด
สายลมพัดผ่านร่างกายอุ่น ๆ ของเด็กหนุ่ม เมื่อได้กวาดสายตาไปรอบ ๆ ก็ได้เห็นรอยยิ้มมากมายของเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันแต่ภาพของสงครามการฆ่าฟันกลับโผล่ขึ้นมาทับซ้อนกับสิ่งเหล่านั้นราวกับเป็นเครื่องเตือนใจให้หวาดระแวงไม่ประมาททุกฝีก้าว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 214
แสดงความคิดเห็น