ตอนที่ 93: สตาร์เบสขั้นสูง
ตอนที่ 93: สตาร์เบสขั้นสูง
ภายในห้องฝึกเต็มไปด้วยพลังงานอันหนาแน่น ซึ่งมันไม่เพียงแต่จะช่วยเร่งกระบวนการในการผลัดเซลล์เท่านั้น แต่มันยังขยายความเจ็บปวดจากน้ำยาที่เซี่ยเฟยได้ดื่มเข้าไปอีกด้วย
เซี่ยเฟยนั่งอยู่กลางห้องฝึกโดยที่ร่างกายของเขาสั่นไม่หยุด ซึ่งในชั่วขณะหนึ่งเขาก็รู้สึกร้อนราวกับกำลังนั่งอยู่ในภูเขาไฟ แต่อีกชั่วขณะหนึ่งเขากลับรู้สึกหนาวราวกับว่าเขากำลังอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
หลังจากนั้นไม่นานสองความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็แยกออกจากกัน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายทางซีกซ้ายมีความร้อนเหมือนกับไฟ ขณะที่ร่างกายทางซีกขวามีความเย็นเหมือนกับน้ำแข็ง
เซี่ยเฟยพยายามชักนำพลังในร่างอย่างช้า ๆ และพยายามประสานความรู้สึกที่แตกต่างกันนี้เข้าด้วยกัน
“อย่าพยายามไปควบคุมพวกมัน น้ำยาชนิดนี้จะเข้าไปทำความสะอาดร่างกายของนาย ซึ่งหลังจากที่ร่างกายของนายสะอาดแล้วความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก็จะค่อย ๆ จางหายไป” อันธที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าว
“นายไม่ได้เป็นคนเจ็บนี่!” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเม้มริมฝีปาก
“นั่นก็ถูก แต่ฉันขอแนะนำให้นายเรียนรู้ที่จะเพลิดเพลินไปกับความเจ็บปวด เพราะการใช้น้ำยาเพื่อเพิ่มระดับความสามารถก็เหมือนกับโยนคนเข้าไปในกองไฟ ดังนั้นยิ่งระดับของน้ำยาที่นายดื่มสูงเท่าไหร่ เปลวไฟที่ต้องใช้หลอมละลายก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น” อันธกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ความเจ็บปวดภายในร่างกายทำให้เซี่ยเฟยแทบจะใจสลาย แต่เขาก็ต้องพยายามลุกยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจพร้อมกับทำการฝึกฝนเทคนิคเล่ห์สังหาร เพราะการทำแบบนี้มันช่วยเบี่ยงเบนความเจ็บปวดไปจากความคิดของเขาได้
เมื่อเวลาผ่านไปเซี่ยเฟยก็ค่อย ๆ คุ้นชินกับความเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าวิธีการเดียวที่จะช่วยให้เขาบรรเทาความเจ็บปวดได้นั่นก็คือเขาจะต้องมีสมาธิในการทำอะไรซักอย่าง
24 ชั่วโมงต่อมาเซี่ยเฟยก็ออกมาจากห้องฝึกด้วยผิวสีซีดและเสื้อผ้าของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อราวกับว่าเขาเพิ่งปีนขึ้นมาจากสระว่ายน้ำ
“นั่นนายยังโอเคอยู่ไหม?” เยว่เกอกล่าวถามขณะมองไปทางเซี่ยเฟยที่มีสภาพร่อแร่
“ไม่เป็นไร ฉันแค่ฝันร้ายนิดหน่อย” เซี่ยเฟยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ฝันร้ายบ้านนายสิ! นี่นายใช้โอกาสทองที่ห้องฝึกในการหลับเนี่ยนะ!!” เยว่เกออุทานออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อเซี่ยเฟยขึ้นลิฟต์กลับไปบนพื้น เขาก็ได้พบกับเย่เสี่ยวหานกับเซียวไห่ลี่ที่กำลังรออยู่ที่ล็อบบี้ นอกจากนี้มันยังมีเย่จิ่งชานและชายชราที่เซี่ยเฟยไม่รู้จักยืนอยู่อีกหนึ่งคน
ชายชราคนนี้ดูมีอายุประมาณ 70 ปี, มีผิวคล้ำ, โหนกแก้มสูง, ไม่มีไขมันตามร่างกายราวกับว่าร่างของเขามีเพียงแต่หนังหุ้มกระดูก
หลังสังเกตสถานการณ์เซี่ยเฟยก็ได้พบว่าสีหน้าของเย่เสี่ยวหานและเซียวไห่ลี่ดูเหมือนจะแปลก ๆ ไป นอกจากนี้พวกเขาทั้งสองคนยังยืนห่างกันแบบผิดปกติ
เย่เสี่ยวหานยังคงมีความงามเหมือนกับภูเขาน้ำแข็ง แต่เซี่ยเฟยสังเกตว่าหญิงสาวคนนี้กำลังกัดริมฝีปากตัวเองราวกับว่าอารมณ์ของเธอกำลังแปรปรวน
คนที่มีบุคลิกแบบหญิงสาวคนนี้มักจะเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจไม่ค่อยเปิดเผยอารมณ์ออกมา และถึงแม้ว่าการกัดริมฝีปากจะเป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไป แต่สำหรับคนอย่างเย่เสี่ยวหานแล้วการกัดริมฝีปากอาจจะเป็นเรื่องใหญ่จนทำให้เธอทนไม่ไหวจริง ๆ
ส่วนทางด้านของเซียวไห่ลี่ก็ดูแปลกไปกว่าทุกที เพราะโดยปกติเขามักจะเผยรอยยิ้มออกมาตลอดเวลา แต่ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความบึ้งตึงและกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขายังมีอาการกระตุกขึ้นมาเป็นครั้งคราว
“การสัมผัสค่ายชั้นในในครั้งนี้รู้สึกยังไงบ้าง?” เย่จิ่งชานเริ่มทักทาย
เยว่เกอและเฉินตงเริ่มทำการชื่นชมค่ายชั้นในไม่หยุดปาก ขณะที่เซี่ยเฟยไม่พูดอะไรออกมาเลย เพราะร่างกายของเขายังอ่อนแอมากและแม้แต่การเดินธรรมดาก็ยังทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย
“เขาคนนี้ชื่อจิ๋นซือเป็นผู้อำนวยการของค่ายชั้นใน ถ้าหากว่าในอนาคตพวกคุณได้มีโอกาสเข้ามาในค่ายชั้นในเต็มตัว พวกคุณก็จะกลายเป็นลูกศิษย์ของเขาคนนี้” เย่จิ่งชานแนะนำชายชราร่างผอมที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งจิ๋นซือก็พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อทักทายพวกเซี่ยเฟย
“เอาล่ะเนื่องมาจากผลงานทีมของพวกคุณโดดเด่นมาก ฉันจึงตัดสินใจมอบของรางวัลให้เพิ่มเติม โดยให้ทีมของพวกคุณติดตามทีม 13 ไปปฎิบัติภารกิจเพื่อเรียนรู้ประสบการณ์จริง ภารกิจจะเริ่มออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ส่วนรายละเอียดภารกิจจะถูกส่งไปที่อีเมลของพวกคุณในภายหลัง” เย่จิ่งชานกล่าว
“ติดตามไปทำภารกิจพร้อมกับทีม 13?” เซี่ยเฟยอุทานออกมาด้วยความสงสัยและถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีหลักฐานว่าเซียวไห่ลี่ต้องการจะทำร้ายเขาจริง ๆ แต่เขาก็ไม่ชอบชายคนนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ
อย่างไรก็ตามเย่จิ่งชานก็ดูเหมือนกับจะไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาทำการเจรจา เพราะน้ำเสียงที่เขาพูดออกมาไม่ได้คิดที่จะให้พวกเขาทำการปฏิเสธเลย
—
หลังรถรับส่งมาจอดตรงบริเวณหน้าหอพัก นักเรียนหลายคนก็จ้องมองมาที่พวกเซี่ยเฟยด้วยความอิจฉา เพราะพวกเขารู้ว่าพวกเซี่ยเฟยเพิ่งกลับมาจากการเยี่ยมชมค่ายชั้นใน
นักเรียนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสย่างเท้าเข้าไปภายในค่ายด้วยซ้ำ ดังนั้นถึงแม้พวกเซี่ยเฟยจะได้เข้าไปยังค่ายชั้นในเพียงแค่ 24 ชั่วโมง แต่มันก็มากพอที่จะทำให้นักเรียนส่วนใหญ่รู้สึกอิจฉาตาร้อน
หลังจากทำการอาบน้ำเซี่ยเฟยก็เดินทางไปยังศูนย์ฝึกธรรมดาที่อยู่ไม่ไกลจากหอพัก
“ผมต้องการใช้เครื่องทดสอบความเร็วครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยื่นบัตรให้กับพนักงาน
“ขึ้นไปใช้เครื่องทดสอบหมายเลข 17 บนชั้น 6 ได้เลย” พนักงานกล่าว
“ขอบคุณครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับรับบัตรนักเรียนคืน จากนั้นเขาก็เดินขึ้นไปยังชั้นที่ 6
ห้องนี้มีขนาดประมาณ 200 ตารางเมตร แต่ทั่วทั้งห้องมีเพียงแค่เครื่องทดสอบความเร็วและโซฟาสำหรับนั่งพักผ่อนเท่านั้น
เซี่ยเฟยทำการเปลี่ยนไปใส่ชุดวินด์ชาโดว์ จากนั้นเขาก็เดินขึ้นไปบนเครื่องทดสอบและใช้นิ้วแตะหน้าจอแสงเพื่อเปิดเครื่องใช้งาน
เครื่องทดสอบความเร็วเป็นเหมือนกับลู่วิ่งบนโลก แต่เครื่องทำขึ้นมาจากหินอ่อนที่จะเคลื่อนไหวไปตามเท้าของผู้ทดสอบ ดังนั้นไม่ว่าผู้ทำการทดสอบจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแค่ไหน แต่แผ่นหินจะคอยเลื่อนตามไปทำให้ผู้ทดสอบสามารถตรวจสอบความเร็วได้โดยตรง
นอกจากนี้มันยังมีหน้าจอโฮโลแกรห์มแสดงข้อมูลอยู่ทางด้านขวา ไม่ว่าจะเป็นสถิติความเร็วสูงสุด, ระยะทางที่เขาวิ่งมาแล้ว, อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
เซี่ยเฟยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับเริ่มวิ่งอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ เพิ่มความเร็วอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้นไม่นานเซี่ยเฟยก็หยุดวิ่งพร้อมกับหันไปตรวจสอบผลลัพธ์บนหน้าจอ
ก่อนหน้านี้เขาวัดความเร็วด้วยอันธมาโดยตลอด แต่ถึงแม้ว่าอันธจะมีสายตาที่ดีแค่ไหนแต่วิญญาณตนนี้ก็ยังไม่ใช่เครื่องจักร ดังนั้นอันธจึงไม่ใช่เครื่องวัดที่มีความแม่นยำมากที่สุด
“ความเร็วสูงสุดคือ 877 เมตรต่อวินาที” เซี่ยเฟยอ่านตัวเลขบนหน้าจอด้วยความประหลาดใจ
ความเร็วขั้นต้นสำหรับผู้มีความสามารถระดับสตาร์เบสขั้นสูงคือ 571 เมตรต่อวินาที ด้วยเหตุนี้ความเร็วของเซี่ยเฟยในปัจจุบันจึงใกล้ถึงทางตันของระดับสตาร์เบสขั้นสูงแล้วและอยู่ห่างจากระดับสตาร์ฟิลด์แค่ไม่ไกล
ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของเซี่ยเฟยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ดังนั้นความเร็วของเขาก็อาจจะเพิ่มได้อีกประมาณ 50 เมตรต่อวินาที
“ดูเหมือนผลของน้ำยาครั้งนี้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว” อันธกล่าวขณะมองไปยังตัวเลขบนหน้าจอ
ก่อนหน้านี้ความเร็วของเซี่ยเฟยอยู่ระหว่าง 380 - 400 เมตรต่อวินาที แต่ในคราวนี้ความเร็วของเขาได้เพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิมถึงสองเท่า
“อันธ ทำไมระดับความสามารถของเฉินตงใกล้จะถึงสตาร์ริเวอร์แล้ว แต่ระดับความสามารถของฉันยังไม่ถึงสตาร์ฟิลด์เสียที เป็นไปได้ไหมว่าพรสวรรค์ของฉันมีน้อยจนเกินไป” เซี่ยเฟยถาม
“ที่ความสามารถของนายพัฒนาช้าเพราะความสามารถของนายคือความเร็ว นายควรจะรู้เอาไว้นะว่าในบรรดาพลังพิเศษทั้งหมด พลังพิเศษสายความเร็วเป็นพลังพิเศษที่เพิ่มระดับความสามารถได้ยากที่สุด” อันธกล่าวพร้อมกับส่ายหัว จากนั้นเขาก็อธิบายต่อว่า
“ความเร็วขั้นต้นของผู้มีพลังสายความเร็วระดับสตาร์ริเวอร์ขั้นต้นคือ 9,148 เมตรต่อวินาที ซึ่งมันใกล้กับความเร็วระดับ 10,000 เมตรต่อวินาทีมาก หากนายมีความเร็วถึงระดับนั้นแล้วจริง ๆ ใครมันจะสามารถตามความเร็วของนายได้ เมื่อถึงเวลานั้นพวกผู้มีพลังพิเศษสายธรรมชาติจะสามารถถูกนายสังหารได้อย่างง่ายดาย มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพลังพิเศษสายความเร็วจึงเป็นพลังพิเศษที่พัฒนาได้ช้าที่สุด”
“ในบรรดาผู้มีพลังพิเศษทั้งหมด ผู้มีพลังพิเศษสายความเร็วมีอัตราส่วนอยู่ที่ประมาณ 15% แต่ผู้มีพลังพิเศษสายความเร็วที่สามารถฝึกฝนจนถึงระดับสูงจริง ๆ มีเพียงแค่ไม่กี่คน นายเคยเห็นผู้มีพลังสายความเร็วคนไหนถูกเรียกว่าผู้มีความสามารถระดับสูงไหมล่ะ” อันธถาม
เซี่ยเฟยส่ายหัวให้เป็นคำตอบ เพราะในบรรดาคนในค่ายฝึกมีผู้ใช้ความเร็วอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น มันจึงไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงผู้ใช้ความเร็วในระดับสูงเลย นอกจากนี้นักเรียนส่วนใหญ่ภายในค่ายยังเป็นผู้ใช้พลังสายพิเศษ มันจึงทำให้ผู้มีพลังสายความเร็วกับผู้มีพลังสายความแข็งแกร่งถูกพบได้น้อยมาก
“นายต้องจำเอาไว้ว่าการมีความสามารถระดับต่ำกว่าไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพในการต่อสู้จะต้องต่ำลงไปด้วย เมื่อผู้ใช้พลังสายความเร็วสามารถฝึกฝนจนถึงระดับสูงจริง ๆ พวกเขาจะสามารถจัดการกับผู้มีพลังพิเศษในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย และแม้แต่การต่อสู้ข้ามระดับก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” อันธกล่าว
“ที่แท้ความเร็วก็เป็นพลังพิเศษที่ฝึกฝนได้อย่างยากลำบากนี่เอง” เซี่ยเฟยพึมพำกับตัวเอง
“การที่นายได้มาพบกับฉันถือว่านายโชคดีแล้ว ไม่อย่างนั้นนายก็ไม่สามารถที่จะเพิ่มระดับความสามารถได้ตลอดชีวิต แน่นอนว่าการที่นายเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้อย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องที่โชคดีด้วยเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะต้องสอนให้นายปรุงน้ำยามากิน” อันธกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
—
“เป็นยังไงบ้าง? ค่ายชั้นในไม่เลวเลยใช่ไหม” ฉินหมางหรี่ตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเซี่ยเฟยเดินเข้ามาในห้องสมุด โดยภายในอ้อมแขนของเขายังคงมีแมวดำตัวอ้วนนอนหลับอยู่
เซี่ยเฟยพยักหน้าให้เป็นคำตอบพร้อมกับเทใบชาลงในกา หลังจากที่เขาได้เติมน้ำร้อนเขาก็รินน้ำชาลงในถ้วย
“การฝึกฝนในค่ายชั้นในไม่เลวเลยครับ แต่บรรยากาศดูวังเวงไปซักหน่อย เท่าที่ผมเห็นคนในค่ายชั้นในแทบจะไม่พูดคุยกันด้วยซ้ำและมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าพวกเขาจะไม่รู้จักกันทั้ง ๆ ที่พวกเขาอยู่ในค่ายชั้นในเหมือน ๆ กัน” เซี่ยเฟยกล่าว
“นายจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก มันคงจะต้องโทษความเข้มงวดของค่ายชั้นใน พวกเขาเลยจำเป็นต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเพิ่มระดับความสามารถ” ฉินหมางกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
เซี่ยเฟยดื่มน้ำชาพร้อมกับเปิดไมโครคอมพิวเตอร์เพื่ออ่านข้อมูลภารกิจที่เขาต้องไปในวันพรุ่งนี้
“หือ... นายกำลังจะออกไปทำภารกิจหรอ?” ฉินหมางอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
“ใช่ครับ ผู้บัญชาการเย่ต้องการให้พวกเราออกไปปฎิบัติภารกิจกับทีม 13 ในวันพรุ่งนี้” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีการมอบภารกิจให้กับนักเรียนใหม่แบบนี้ด้วย” ฉินหมางพึมพำกับตัวเองพร้อมกับขมวดคิ้ว
“สถานที่ปฎิบัติภารกิจคือสถานีอวกาศ GPP1796 ที่ถูกทิ้ง?" เซี่ยเฟยอ่านข้อมูลพร้อมกับจุดบุหรี่
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 230
แสดงความคิดเห็น