STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 10 ใยแมงมุม
“ยอดเยี่ยมมากค่ะ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกนายจะผ่านการทดสอบแบบนั้นมาได้”
พื้นหญ้าสีเขียวที่ถูกเลือดชโลมไปทั่วกับหมอกควันสีดำปกคลุมท้องฟ้า ทะเลเพลิงค่อย ๆ มอดดับลงเหลือเพียงกองเถ้าถ่านกับซากกระดูกที่ยังไหม้ไม่หมด น้ำเสียงอันนุ่มนวลของหญิงสาววัยกลางคนฟังแล้วเหมือนจะเป็นห่วงแต่ก็มีความกวนประสาทอยู่ภายในนั้นด้วย
เซนถอนหายใจเสียงดังประชดใส่หญิงสาวแปลกหน้า “แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้วยังจะมีบทที่สองอะไรนั่นอีก”
“อืม...ปกติแล้วบททดสอบแรกจะใช้เวลาหนึ่งถึงสองวันเท่านั้นแต่เพราะพวกนายเป็นผู้โชคดีก็เลยเจอกับบททดสอบแบบพิเศษจากสองวันกลายเป็นสิบวัน”
เธอกระตุกคิ้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจแทนพวกเขาที่ผ่านบททดสอบได้ ไม่นานนักก็มีเสาสีขาวปรากฏตรงหน้าแต่ไม่มีมอนสเตอร์โผล่ออกมาเหมือนเคยนั่นทำให้พวกเขายิ้มออกมาอีกครั้งราวกับถูกปลดปล่อยจากช่วงเวลาแสนโหดร้ายเสียที
“ถึงจะอยากออกไปก็เถอะแต่ร่างกายมันไม่ขยับเลย...แถมชักจะปวดหัวแล้วสิ”
หญิงสาวแปลกหน้าท่าทางสุขุมเต็มไปด้วยความลึกลับกับน้ำเสียงจิกกัดวางมือลงบนร่างของทั้งสอง “ปกติแล้วเราไม่มีบริการรักษาให้แต่เพราะระดับความยากสูงสุดจึงละไว้ในกรณีพิเศษ ข้าจะฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาเหมือนเดิมก่อนจะเข้าสู่บททดสอบที่สอง”
การฟื้นฟูและพักผ่อนเป็นไปได้ด้วยดีจากกระดูกที่หักทั่วร่างค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมหรือแม้แต่คานะที่ท้องแหว่งก็ยังฟื้นกลับมาได้ เรี่ยวแรงที่น้อยนิดกำลังกลับคืนพร้อมสู้อีกครั้งจนเซนต้องวิดพื้นแสดงให้เห็นถึงพลังและความคึกคะนอง
“เราไปยังบททดสอบที่สองกันต่อดีกว่า ข้าจะรอพวกนายที่ปลายทางแล้วกัน...ไม่ต้องห่วงเพราะมันไม่ยากเหมือนบททดสอบแรกหรอก”
หลังจากเอ่ยเช่นนั้นเธอก็ได้เดินนำเข้าไปในประตูสีขาวแต่เมื่อพวกเขาตามเข้าไปกลับไม่พบหญิงสาวผู้คุมดันเจี้ยนเสียแล้ว
“เริ่มแล้วเหรอ?” คานะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นแต่ตึกรามบ้านช่องเหมือนกับโลกเดิมของเธอ
“ถ้าบททดสอบที่หนึ่งเป็นการต่อสู้ บททดสอบที่สองก็ต้องเป็นการใช้ความคิดไม่ว่าจะเป็นแก้ปริศนาหรือย้อนอดีตให้เห็นภาพเศร้า ๆ จะอย่างไหนฉันก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ”
ปกติเขาไม่ทำหน้าเศร้าแบบนั้นนี่หรือเพราะเซนรู้อะไรสักอย่าง “ถ้าเราอยู่ด้วยกันก็ไม่น่ามีอะไรที่เราผ่านไปไม่ได้ จับมือฉันไว้ก็แล้วกัน”
ฝ่ามือหยาบกร้านที่ดูไม่สมกับเป็นผู้หญิงแต่เซนกลับรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับมัน เขามองไปรอบ ๆ สะดุดตากับอาคารแห่งหนึ่งซึ่งเหมือนกับที่ที่เคยอยู่
“น่าจะเป็นที่นี่แหละ” แววตาที่กำลังซึมเศร้าเพราะนึกถึงอดีตถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นและแรงใจจากผู้หญิงข้าง ๆ ทุกอย่างมันเงียบเสียจนน่าขนลุกได้ยินแค่ฝีเท้าของพวกเขากับเสียงลมหายใจ
ภายนอกดันเจี้ยนนั้นยังคงเต็มไปด้วยพายุหิมะโดยเฉพาะบนหุบเขาราวกับเป็นสัญญาณมิให้ใครเข้ามาใกล้แม้แต่แคทเทอรีนก็ไม่กล้าเช่นกัน
“นี่มาธอน พ่อครัวลึกลับคนนั้นไปไหนแล้วล่ะ?”
“ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ตอนแรกผมก็พยายามยื้อไว้แล้วแต่เขาต้องการออกเดินทางและทำอาหารไปเรื่อย ๆ” มาธอนตอบกลับด้วยท่าทางเป็นกังวลสายตาดูเลิ่กลั่ก
“อ้อเหรอ เขาฝากบอกไว้ด้วยสินะว่าจะมาหาเองเมื่อถึงเวลาถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงได้แต่รอ”
เล่นตัวเสียจริงแต่ก็มันก็เท่านั้นแหละ ตราบใดที่อยู่ในอาณาจักรของเรามันผู้นั้นก็ไม่มีทางหลบสายตาพ้นหรอก
ห้องพักใหญ่ที่ที่พวกกิเช่าอยู่กำลังกินอาหารหม้อไฟแบบเดียวกับที่แคทเทอรีนได้กินแต่วัตถุดิบและปริมาณนั้นมากกว่าเป็นเท่าตัว
“นี่นายทำอาหารเผื่อพวกเซนอีกแล้วเหรอ?” สเตล่าขมวดคิ้วสงสัยในการกระทำของยูกิ แม้จะมีสี่คนแต่อาหารมันก็มากเกินไปอยู่ดีแล้วทำไมถึงทำขึ้นมาขนาดนี้
“ก็พวกเขาหายไปเป็นสิบวันแล้วนะ ถ้าอยู่บนเขาแล้วไม่ได้กินอะไรเลยล่ะพอกลับมาจะได้มีของให้กินพอดี” ยูกิกระแทกเสียงเหมือนไม่พอใจแต่สเตล่ากลับยิ้มเล็กยิ้มน้อยเมื่อเห็นเช่นนั้น
“พวกเขาน่าจะเข้าไปในนั้นหนึ่งในดันเจี้ยนที่แปลกที่สุดดันเจี้ยนบททดสอบ ทุก ๆ ปีจะมีเสียงโหยหวนของหญิงสาวเรียกหาผู้กล้าที่จะเข้าไปทดสอบแต่ก็มีคนผ่านแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น”
“ที่ส่งพวกเขาไปเพราะรู้อยู่แล้วสินะ” สเตล่าเอ่ยถามแต่ก็เหมือนจะรู้คำตอบที่ซึฮากิจะตอบอยู่แล้ว
“อืม ถ้าเป็นพวกเขาต้องผ่านแน่ ๆ”
เซนอดีตนักแสดงหนังเกรดบีเพราะมีเพียงหน้าตาเท่านั้นที่ทำให้ทุกคนจับตามอง ส่วนคานะก็เป็นเด็กบ้านนอกที่บ้านทำงานเป็นเกษตรและด้วยฐานะที่กำลังขัดสนทำให้เธอถูกส่งมาเรียนที่โรงเรียนพิเศษเพราะค่าใช้จ่ายน้อยมาก หนึ่งคนที่อยู่ในแสงและหนึ่งคนที่เป็นเพียงนักเรียนธรรมดาแต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาทั้งสองมี
“กิ ! เหม่ออะไรอยู่มากินข้าวได้แล้ว”
“อืม”
พวกนายต้องผ่านมาให้ได้ จงแข็งแกร่งขึ้นจนไม่ต้องกลัวใครทั้งนั้น
ห้องถ่ายทำที่มีอุปกรณ์เต็มไปหมดแต่กลับไร้วี่แววผู้คนมีเพียงพวกเขาสองคนที่เดินเข้ามาที่แห่งนี้ บางอย่างก็วางไว้ถูกที่แต่บางสิ่งก็หล่นอยู่ตามพื้นราวกับผู้คนที่กำลังทำงานหายตัวไปทั้งอย่างนั้นและเมื่อเซนกับคานะก้าวมาถึงกลางห้องสิ่งรอบข้างก็ดำมืดเหมือนกับไฟโดนตัดแต่ไม่นานนักไฟก็กลับมา
“นั่นแหละ ๆ เอาแบบเมื่อกี้เลยแต่อย่ายิ้มมุมปาก” เสียงจากชายไว้หนวดเครานั่งจ้องหน้าจอ
“คุณเซนพร้อมนะครับ สามสอง...หนึ่ง”
นั่นคือเซนตอนเด็กเหรอ คานะเหลือบมองเด็กหนุ่มหน้าตาออกไปทางลูกครึ่งด้วยความหล่อเหลามันทำให้คานะจ้องไม่หยุดเมื่อหันกลับมามองหน้าเซนใบหน้าของเขากลับเละเทะน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดราวกับถูกน้ำกรดราด
“คานะทำไมเธอถึงมองฉันยังงั้นล่ะ?” เซนเอ่ยถามขณะที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำให้คานะสะดุ้งถอยห่าง
“มะไม่มีอะไร”
พวกเขาทั้งสองเฝ้ามองการถ่ายทำที่เหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีแต่ก็ต้องถ่ายซ้ำไปซ้ำมาจนผู้กับกำโมโหตะคอกเสียงดัง “บอกว่าอย่ายิ้มไงครับคุณเซน !”
นิสัย ความเคยชินหรือเพราะเป็นโรคก็ไม่อาจทราบได้ ใบหน้าที่ควรจะเศร้าสร้อยตามเนื้อเรื่องของหนังแต่เซนกลับยิ้มออกมาในช่วงเวลาแสนเศร้า
“ฉันถูกแมวมองลากเข้าวงการบันเทิงเพราะหน้าตาที่เด่นกว่าเด็กทั่วไปแต่เมื่อได้แสดงพวกเขาก็รู้ว่าคิดผิด”
เซนเดินเข้าไปหาทีมงานด้วยใบหน้าเละเทะทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเหมือนไม่มีตัวตนแต่ตอนนี้ดันจ้องมองเซนตาไม่กะพริบท่าทางหวาดกลัวตีตัวออกหากราวกับเป็นสัตว์ประหลาด
ทำไมทุกคนถึงทำหน้าแบบนั้นราวกับกำลังมองสิ่งแปลกปลอมอยากกำจัดหรือไล่ออกไป เซนถอนหายใจสั้น ๆ ยิ้มอ่อนเป็นเสมือนแรงขับเคลื่อนให้ก้าวต่อไปได้ เขาตรงไปยังฉากที่เตรียมไว้ให้กับเซนร่างเด็กและเข้าไปแทนที่วินาทีนั้นเซนร่างเด็กก็สลายหายไป
“สามสอง...หนึ่ง”
การแสดงเป็นไปได้ด้วยดีแม้เซนจะมีใบหน้าเละเทะแต่แววตา รอยยิ้มหรือท่าทางไม่ว่าจะสิ่งไหนเขาก็ทำมันได้ดีราวกับเป็นคนละคน ช่วงเวลาหลายชั่วโมงผ่านไปเขาก็ยังคงถ่ายทำหนังไปเรื่อย ๆ
“เซน ! ไปกันเถอะ” คานะตะโกนไปด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“อืม...” ใบหน้ายิ้มแย้มของเขาค่อย ๆ เลือนหายไปราวกับเป็นคนละคนกับตอนเข้าฉากแสดง เมื่อตอนที่เขายังเด็กเขาไม่สามารถแสดงเป็นใครก็ไม่รู้ได้และมักจะดึงความเป็นตัวเองออกมาให้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจก็คือการเผลอยิ้มทุก ๆ การสนทนา
ถึงจะเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยแต่ทำไมเราถึงรู้สึกว่าเขากำลังร้องไห้อยู่ ความเศร้า ความสุขหรือเพราะสับสนแต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนเขาก็ยังพยายามปั้นยิ้มทุกครั้ง
“เซนมองหน้าฉันไว้” เธอไม่ทันได้อธิบายอะไรก็ตบหน้าเซนเต็ม ๆ
“ตื่นสิเซน อดีตพวกนั้นมันไม่มีทางเปลี่ยนได้เพราะฉะนั้นถ้าไม่ชอบอะไรก็หยุดคิดถึงมันซะ” คานะกระชากคอเสื้อเซนตะคอกเสียงดังแต่เซนกลับทำเป็นหูทวนลม
เธอตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีกจนใบหน้าที่เละเทะอยู่แล้วดูไม่ได้เข้าไปใหญ่
เธอกำลังทำอะไร? ทำไมเราถึงไม่เจ็บไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด แววตาเลื่อนลอยเหมือนคนกำลังจะหลับเหลือบมองไปรอบ ๆ
“ลูกต้องทำได้ ไม่มีใครจะหล่อไปกว่าลูกอีกแล้วจงภูมิใจและคว้าโอกาสมาให้ได้”
นั่นเสียงแม่เหรอ? จริงด้วยต้องไปแสดงหนังต่อ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเปล่งประกายราวกับเทพบุตรจุติลงมาไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็มีแต่คนมอง
“สามสองหนึ่งเริ่มได้”
แม้จะโดนดุอยู่บ้างแต่เซนก็ยังยิ้มร่าเริงพร้อมแสดงต่อไป
“พรุ่งนี้เอาใหม่นะลูก แล้วอย่าลืมยิ้มเข้าไว้แล้วชีวิตจะดีขึ้น” ใบหน้าของหญิงสาวผู้เป็นแม่ค่อย ๆ ชัดขึ้น
“ครับ” เซนตอบกลับด้วยรอยยิ้มฉีกกว้างเท่าที่จะทำได้
ทุกวันหลังจากเรียนเสร็จเซนต้องไปที่กองถ่ายเพื่อทำงานเมื่อเสร็จก็กลับบ้านเข้านอนตื่นมาไปโรงเรียนต่อ ช่วงเวลาหลายปีในตอนเด็กต้องอยู่กับวงจรชีวิตเช่นนี้ไม่มีแม้แต่เวลาของตัวเอง
“ค่ะ คราวนี้เขาไม่ยอมร้องไห้เหรอคะ”
เสียงแม่คุยกับใครนะ? เซนแอบมองผ่านช่องประตูได้เห็นแม่ของเขาคุยโทรศัพท์กับผู้กำกับหนัง
“เดี๋ยวดิฉันจะบอกสอนให้ค่ะ”
ทำงาน ยิ้ม ร้องไห้ โมโหเขาต้องเปลี่ยนทุกอารมณ์ไปตามสถานการณ์แต่แม้จะร้องไห้เขาก็ยังเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัวเหมือนอย่างเคย
“อีกแล้วเหรอคะ?” นับวันทางกองถ่ายก็โทรมาบ่อยมากขึ้นทุก ๆ ครั้งจะต้องมีเรื่องให้เขาโดนดุ ยิ้มสิลูก ทำไมไม่ร้องไห้ล่ะ ทำหน้าแบบนี้นะ ถอนหายใจแรง ๆ เลย แม้แต่ก่อนจะเข้านอนเขาก็ต้องฝึกการแสดงสีหน้าท่าทางเพื่อให้พร้อมต่อการถ่ายทำ
“เซนทำอย่างนี้นะ”
“ยิ้มสิครับคุณเซน”
เบื่อจังเลย เซนนั่งคอตกในห้องน้ำกองถ่ายแววตาเลื่อนลอยเหมือนคนไร้สติแต่เมื่อส่องกระจกเขาก็สามารถยิ้มได้อย่างมีความสุขใครเห็นต่างก็หลงรัก
“แม่ครับผมอยากเลิก”
“หา? ไม่เอาแบบนี้สิลูก สวรรค์ประทานใบหน้าอันหล่อเหลามาแล้วก็ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สิ”
“ครับ” เซนได้แต่ยิ้มตอบรับตามความปรารถนาของผู้เป็นแม่ ใบหน้าดวงตาที่พระเจ้าประทานให้ราวกับเป็นพระบุตรของท่านแต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป
เสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มดังลั่นจากห้องน้ำไปยังห้องถ่ายทำ เหล่าทีมงานที่ได้ยินต่างก็พากันวิ่งไปดูก็ได้พบกับเซนในสภาพร้องห่มร้องไห้มีแผลพุพองเต็มใบหน้า
“คุณเซน !” หญิงสาวสูงวัยเข้าประชิดดูอาการก่อนใครมองไปรอบ ๆ จึงได้เห็นขวดน้ำยาเคมี
“เรียกรถพยาบาลด่วนเลย” เธอพาเซนไปล้างหน้าที่อ่างค่อย ๆ ใช้น้ำสะอาดชำระน้ำกรดออกแต่มันก็สายเกินไปจนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยแผลพุพองเหมือนโดนไฟไหม้
“หา? ลูกดิฉันโดนน้ำกรดเหรอคะ ดิฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี่ค่ะ”
หลังจากที่นำตัวเซนส่งโรงพยาบาลเขาก็ได้พักรักษาตัวอยู่ที่นั่นพร้อมกับบรรดาญาติมิตรคนสนิททั้งหลายที่มาคอยดูอาการ
“ใครเป็นคนทำลูกดิฉัน” เมื่อแม่ของเซนมาถึงเขาก็ขึ้นเสียงถามกับผู้จัดการทันที
“เขา...เผลอหยิบขวดกรดซัลฟิวริกมาเล่นแล้วหกใส่หน้าตัวเอง คนงานแถว ๆ นี้น่าจะลืมไว้”
“คิดว่าดิฉันจะเชื่อเหรอคะ ! พวกคุณตั้งใจทำแล้วปกปิดหรือเปล่า”
“แม่...ผมทำเอง” ขณะที่กำลังจะมีปากเสียงกันเซนก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มส่งยิ้มร่าเริงให้เหมือนอย่างเคย
“โถ่ลูกแม่...” เธอมองใบหน้าของเซนที่โดนผ้าพันแผลพันไว้ค่อย ๆ ถอดด้วยความอยากรู้แต่ก็ต้องผงะเพราะมันทำให้ใบหน้าที่เคยเป็นดั่งเทพบุตรทุเรศยิ่งกว่าคนข้างทางเสียอีก
“ผม...ไม่เป็นอะไรครับ” เซนยิ้มตอบรับพยายามให้กำลังใจเมื่อเห็นผู้เป็นแม่ตกใจแทบจะร้องไห้
“แล้วงานที่ถ่ายอยู่จบหรือยังหรือว่าต้องเลื่อนออกไปอีก”
งานถ่ายเหรอ? เซนเฝ้ามองดูคุณแม่กำลังเจรจากับผู้จัดการอย่างเอาเป็นเอาตาย
“จริงสิให้หมอผ่าตัดให้ใหม่ก็ได้นี่”
ไม่
“ถ้าทำแบบเร่งด่วนรวมกับพักฟื้นก็คงไม่นาน เราจะได้ถ่ายหนังต่อให้จบ”
ผมไม่อยากถ่ายแล้ว อุตส่าห์ทำลายไอ้ใบหน้าเฮงซวยแล้วยังจะต้องถ่ายต่ออีกเหรอ
“ถ้าคุณแม่ยืนยันแบบนั้นผมจะคุยกับฝั่งนายทุนให้นะครับ”
ไม่เอาสิ
“เอาตามนั้นเลยเดี๋ยวดิฉันจะไปคุยกับหมอให้ผ่าตัดทันทีเลย”
ไม่เอาแล้ว
เสียงตะโกนที่ไม่กล้าเปล่งออกไปราวกับเป็นโซ่ตรวนสั่งให้ยิ้มรับไว้ เขาไม่แม้แต่จะขัดใจทำเพียงยิ้มร่าเริงและทำตามทุกอย่างที่คนอื่นบอก
“ต่อจากหนังเรื่องนี้ยังมีถ่ายโฆษณาอีกสามตัว”
“ดีเลย ๆ ดิฉันจะทำเรื่องลาโรงเรียนไว้เผื่อเวลาในการถ่าย”
“ดีใจแทนเซนนะครับมีคุณแม่ที่สนับสนุนลูกชายเต็มที่ขนาดนี้”
“ของมันแน่อยู่แล้วสินะคะ เพื่อให้เขาเป็นแสงที่เฉิดฉายดิฉันพร้อมช่วยเหลือทุกทาง”
เสียงของพวกเขาดังก้องเข้ามาในหัวของเราไม่หยุด ความสุข ความคาดหวัง เงินทองหรือชื่อเสียงครอบครัวของเราได้มันมาทุกสิ่งแล้วแต่เหลือเพียงสิ่งเดียว
“ไม่ !” คานะโอบกอดร่างกายที่กำลังจะเลือนจางกำลังจะหายไป
“เซน ! นายอยากทำมันจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าไม่ก็ตะโกนออกมาดัง ๆ เลย” คานะกอดเซนเบา ๆ พยายามประคองร่างอันเบาบางที่เหลืออยู่ก่อนจะเงยหน้าจูบหน้าผากของเซนส่งต่อความรู้สึกปลื้มปีติยินดีทั้งหมดให้กับเขา
ความอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน แม่กอดเราครั้งล่าสุดเมื่อไหร่กันนะ? ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันครั้งสุดท้ายตอนไหน? เกมที่เล่นกับเพื่อนก็ไม่ได้แตะอีกเลย
“ถึงจะไม่รู้ว่านายเจอกับอะไรมาแต่ตอนนี้ยังมีพวกเราอยู่ พวกเราช่วยเหลือกันได้ขอแค่พูดมันออกมา”
พูดออกไปเหรอ...เปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของเราออกไป
“ฉัน...” ร่างสีขาวที่เกือบจะสลายหายไปค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม
นั่นแหละเซนพูดมันออกมา รอยยิ้มอันอบอุ่นจ้องมองด้วยแววตาแห่งความห่วงใยประคองร่างที่กำลังคืนสภาพไว้
“ฉันอยากไปเที่ยว อยากไปกินของดัง ๆ ที่เคยเห็น อยากไปนอนค้างบ้านเพื่อนแล้วก็เล่นเกมจนดึก ฉันอยาก...”
เมื่อกายหยาบรวมผสานกันลบภาพของห้องถ่ายและอาคารบ้านช่องออกไปหมดเหลือไว้เพียงทุ่งหญ้าสีเขียว
“กลับมาแล้วสินะเซน”
“อืม ขอบใจนะ” แววตาอันสุขีจ้องมองกันและกันฝ่ามือของเซนเลื่อนขึ้นไปที่ใบหน้าของคานะลูบไล้เช็ดคราบน้ำตาก่อนจะเอาหน้าผากมาแนบชิดติดกันราวกับกำลังสื่อสารผ่านการสัมผัส
“ไม่นึกเลยว่าจะผ่านได้ไวขนาดนี้หรือเพราะพวกนายผ่านบททดสอบมหาหินมาก่อนกันนะ? แต่ก็เอาเถอะถึงเวลาคำนวณรางวัลแล้ว”
“จบแล้วสินะ” เซนยิ้มอ่อนดูแล้วแตกต่างจากปกติที่มักจะฉีกยิ้มกว้างร่าเริง มือขวาโอบตัวคานะไว้ราวกับไม่อยากให้แยกจากกันอีก
“อืม”
[สิ้นสุดการทดสอบ ผู้เข้ารับการทดสอบสามารถขอหนึ่งสิ่งที่อยู่ในห้องแห่งนี้และเอากลับไปได้]
ทันใดนั้นเสาสีขาวก็ขยายกว้างและกลืนกินพวกเขาพาไปยังสถานที่อีกแห่งที่เหมือนกับพิพิธภัณฑ์เก็บสะสม
“เชิญเลือกได้ตามสบายเลย ข้าจะเฝ้ารออยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน” รอยยิ้มฝืน ๆ ของเธอทำเอาบรรยากาศอึดอัดหวาดระแวงว่าจะมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่
พวกเขาเดินสำรวจอุปกรณ์แปลกตาหลาย ๆ อย่างหรือแม้แต่อาวุธปืนในโลกเดิมก็มี ธนูปีศาจ ดาบสวรรค์ หอกทำลายล้างไม่ว่าจะสิ่งไหนล้วนแต่เป็นของระดับสูงทั้งนั้น
“คิดเหมือนฉันไหมคานะ?” เซนยิ้มอย่างมีเลศนัยมองหน้าคานะ
“จะเอาแบบก็ได้” คานะชายตามองยิ้มมุมปากราวกับสื่อสารผ่านจิตได้
สายตาของพวกเธอจับจ้องไปยังหญิงสาวปริศนาพร้อมกับชี้นิ้วเคียงคู่กันไป
“พวกเราจะเอาเธอไปด้วย” พวกเธอฉีกยิ้มเยาะหัวเราะในลำคอก่อนที่จะถูกพากลับไปยังดันเจี้ยน
[ยืนยันการจบบททดสอบกำลังมอบรางวัล]
“หา ! เดี๋ยวสิท่านองค์เทพ ข้าเป็นผู้ปกครองดันเจี้ยนนะคะทำไมถึง...” ไม่ทันได้พูดจบพวกเขาก็โดนบังคับออกมากลางภูเขาที่มีแต่หิมะทั้งทางเข้าดันเจี้ยนและพายุก็หายไปทันที
“ฮะ ฮ่า ๆ แจ๋วไปเลยใช่ไหมล่ะ” เสียงหัวเราะที่บ่งบอกถึงชัยชนะตีมือกับคานะสองคนความรู้สึกสะใจแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน
[ประกาศสู่สิ่งมีชีวิตชั้นสูง บัดนี้ได้มีผู้ผ่านบททดสอบระดับสูงสุดของดันเจี้ยนบททดสอบสองคนได้แก่ คานะ อาริโกะ และ นฤพล ชัยกร ทั้งสองได้รับการเพิ่มระดับขั้นเป็นระดับเจ็ดและได้รับสเตตัสบางส่วนเพิ่มเติม]
“หา? จริงเหรอเนี่ยมันสุดยอดสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอ !” ท่าทางดี๊ด๊ายิ้มแทบปากจะฉีกดีใจยิ่งกว่าถูกหวย ไม่เพียงแค่นั้นเซนยังกอดคานะและยกขึ้นสูงวิ่งไปทั่วไม่เห็นหัวหญิงสาวแปลกหน้าเลยสักนิด
ขณะเดียวกันไม่ว่าจะที่แห่งไหนทั่วทุกแห่งผู้คนได้รับข้อความแบบเดียวกันที่ประกาศให้รับรู้ว่าเซนและคานะผ่านบททดสอบ คนส่วนมากสงสัยเพราะเป็นคนที่ไม่รู้จักแต่หากเป็นเพื่อนเก่าหรือรัฐบาลอาณาจักรเซียแล้วล่ะก็ พวกเขาถึงกับต้องเรียกประชุมด่วนเพื่อหารือเรื่องกลุ่มอาชญากรหลบหนี
“ทุกคนเห็นเหมือนกันใช่ไหม? ผู้ทรยศยังคงมีชีวิตรอดอยู่แล้วใครมันบอกว่าตายไปแล้ว” ราชาโอบาทุบโต๊ะสีทองที่สั่งทำอย่างดีพังขณะที่ผู้รับผิดชอบด้านต่าง ๆ นั่งนิ่งไม่มีใครตอบ
“เป็นความผิดของฉันเองค่ะองค์ราชา เพราะความสะเพร่าที่คิดว่าทะเลและมนุษย์เงือกจะฆ่าพวกเขาเอง” ลักซ์ยกมือขึ้นสูงกล่าวออกมาเช่นนั้นขณะที่สายตาจ้องมองไปข้างหน้าไม่กล้าสบตาราชาโอบา
“ถ้าเป็นเช่นนั้นเธอก็ไปรับผิดชอบเสีย ตามล่าพวกมันให้หมดและนำหัวของมันกลับมา” เมื่อพูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไปทันทีไม่สนสายตาใคร
“เหนื่อยหน่อยนะลักซ์ ฉันพอจะรู้จักเจ้าเมืองในอาณาจักรอาฟอยู่เดี๋ยวจะส่งจดหมายแนะนำไปด้วยเธอจะได้ทำงานง่ายขึ้น” ใบหน้าอันคมเข้มของจอมพลวางมือบนไหล่เพื่อให้เธอผ่อนคลายลง
“ขอบคุณค่ะ” หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองแต่ละคนก็กำลังสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ฟรานที่ได้เห็นข้อความดังกล่าวเธอก็ยิ้มออกทันทีจนเพื่อน ๆ ของเธอสงสัย
“พึ่งเคยเห็นข้อความแบบนี้ครั้งแรกเลยเนอะ เหมือนกับระบบในเกมเลย”
“มันก็เหมือนเกมเหมือนในนิยายที่เคยเล่นมาอยู่แล้วนี่ จริง ๆ ฉันคิดว่ามันจะมีระบบไอเท็มดรอปบ้างแต่มันดันไม่มี” ทั้งซันนี่และชาญต่างก็คุยกันสนุกปากมีฟรานที่นั่งยิ้มนึกอะไรอยู่คนเดียวกับซากิที่คอยเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆ
ดีใจที่เพื่อน ๆ ยังมีชีวิตสินะ เซนและคานะเคยอยู่ทีมเดียวกับฟรานจะเป็นห่วงก็คงไม่แปลกแต่ก็สมกับเป็นเธอดี ซากิเรียกดูสเตตัสที่ไม่ได้พัฒนามานานพลางนึกถึงวิธีการที่จะช่วยให้เขาเพิ่มเลเวลตามฟรานได้ทัน
เมืองยองยองที่เคยเต็มไปด้วยหิมะจู่ ๆ ก็ร้อนขึ้นจนละลายกลายเป็นแอ่งน้ำหลังจากที่บททดสอบจบไม่ถึงสิบนาที สถานที่ที่เคยเป็นภูเขากลับกลายเป็นหน้าดินโล่ง ๆ พร้อมปลูกพืชผัก
“ถึงเวลาไปหาพวกเขาแล้ว”
“เดี๋ยวก่อนครับท่านแคทเทอรีน พอดีมีอาหารจากพ่อครัวลึกลับส่งมาครับ” มาธอนเข้ามาขวางทางก่อนที่พวกเธอจะก้าวออกไปจากสำนักงานกิลด์
“อะไรนะ? พ่อครัวคนนั้นมาเหรอ” เธอเดินกลับไปยังโต๊ะอาหารมองไล่ตั้งแต่ข้าวสวยไปยันแกงสีแดงแปลกตา
แคทเทอรีนหันไปกระซิบกับสาวใช้ส่วนตัวทันที “เจ้านั่นน่าจะยังอยู่แถวนี้ ตามหาให้เจอ”
“ค่ะ” เมื่อรับคำสั่งเธอก็หายไปทันทีรวดเร็วจนแม้แต่หัวหน้ากิลด์ยังต้องอึ้ง
เซนและคานะพากันเดินทางกลับมายังเมืองยองยองพร้อมกับหญิงสาวผู้เคยเป็นราชาดันเจี้ยน แววตาของความสับสนมองไปรอบ ๆ ก็เริ่มตื่นเต้นเหมือนเด็กน้อยได้ออกไปเที่ยวที่ต่าง ๆ รอยยิ้มตื้นตันผสมปนกับความหวังเลื่อนไปมองแผ่นหลังของเซนและคานะ
“เฮ้ ! นั่นพวกกินี่” ที่ทางเข้าเมืองมีกลุ่มคนยืนรอพร้อมสัมภาระเต็มไปหมด
“ไม่มีเวลามาทักทายแล้วเราต้องรีบหนี” ซึฮากิวิ่งนำหน้าใช้เส้นทางลับตาคนเพื่อไปยังเมืองอื่นแม้พวกเซนจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็วิ่งตามไปแต่โดยดี
“บอกมาเถอะน่าทำไมถึงรีบขนาดนั้น”
“จักรพรรดินีอยู่ที่นี่แถมยังเล็งพวกนายอยู่ด้วย”
“หมายความว่ายังไง?” เส้นทางขรุขระอีกทั้งยังมีแอ่งน้ำเต็มทางเดินทำให้สัมภาระที่ขนมาเปรอะเปื้อนไปหมดแต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้
“จากการวิเคราะห์หลังจากที่พวกเขารับแร่ไปแล้วแต่ก็ไม่ยอมไปไหนก็มีความเป็นไปได้ที่จะรอการทดสอบจบลง ที่บอกว่าพวกนายโดนเล็งอยู่ก็คือจักรพรรดินีจะเอาคนที่ผ่านการทดสอบมาเป็นพวกยังไงล่ะและมันก็เป็นจริงเพราะตอนที่ข้อความแจ้งเตือนเธอก็เคลื่อนไหวทันที”
“โห เอาซะละเอียดยิบเลยแล้วตอนนี้เธออยู่ไหนล่ะ?”
“ร่างโคลนของฉันกำลังถ่วงเวลาให้อยู่อาจจะทำได้แค่สิบนาทีดังนั้นเราต้องรีบไปให้ไกลจากระยะตรวจจับ”
เสียงชาวเมืองดังขึ้นเพราะหิมะละลายทำให้เกิดน้ำท่วมในบางจุด เป็นที่น่าแปลกใจเพราะเมืองยองยองเป็นเมืองหิมะมาโดยตลอดแต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว
“ว่ายังไงนะคลาดกับพ่อครัวลึกลับเหรอ? ฉันอุตส่าห์ให้เธอเป็นคนทำแท้ ๆ แต่ดันพลาด”
“ดิฉันไม่มีข้อแก้ตัวค่ะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องบอกกับท่านแคทเทอรีน” ใบหน้าเฉยชาราวกับเป็นหุ่นยนต์รับใช้ไม่มีอารมณ์ร่วมเลยสักนิดไม่ว่าจะทำงานพลาดหรือโดนแคทเทอรีนเกี้ยวพาราสี
“อะไรอีกล่ะ?” เธอเอนหลังนั่งบนรถม้าที่มีเบาะรองแสนนุ่มสบาย
“ท่านจำพวกที่พาคูเปอร์หนีได้ไหมคะ?”
“อืม จำได้สิ”
“สองคนที่พิชิตดันเจี้ยนบททดสอบได้ก็คือพวกนั้นค่ะ ตอนที่สู้กันรอบก่อนดิฉันมองดูสเตตัสก็เลยจำชื่อไว้พอดี”
ทันใดนั้นรถม้าที่หรูหราก็โดนไอความเย็นปกคลุมค่อย ๆ โดนน้ำแข็งเกาะจนยากที่จะเคลื่อนไหว
“แบบนี้เองสินะก็ว่าทำไมหาคนพิชิตดันเจี้ยนไม่ได้สักทีก็เพราะพวกมันหนีไปแล้ว ถ้าเจอกันอีกรอบแม่จะฟาดให้ยับเลย” แคทเทอรีนฉีกยิ้มเยาะก่อนจะคลายออร่ามานาที่ปล่อยออกมา
สายตาของเธอมองออกไปยังนอกหน้าต่างยิ้มสนุกนึกถึงเรื่องในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะสงคราม การต่อสู้ฆ่าฟันกันหรือจะเป็นการได้จัดการหนูที่เล็ดลอดหนีไปได้
“ถ้าพวกมันเก่งขึ้นจริง ๆ ก็น่าสนุกสิ”
[เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย]
กรดซัลฟิวริกหรือกรดกำมะถันเป็นของเหลวไร้สีไร้กลิ่น ใช้ในอุตสาหกรรมหลายอย่างเช่น ผลิตปุ๋ย ผลิตแร่ สังเคราะห์สารเคมี บำบัดน้ำเสีย เป็นต้น
ในกรณีที่เป็นกรดซัลฟิวริกความเข้มข้นสูงเมื่อสัมผัสก็จะทำให้ผิวหนังไหม้ ปวดแสบปวดร้อน หากสูดดมก็จะทำให้โพรงจมูก ลำคอและระบบทางเดินหายใจเสียหายและหากกินเข้าไปก็จะทำให้หลอดอาหาร กระเพาะอาหารเสียหาย เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หายใจติดขัดอาจจะช็อกและเสียชีวิตได้
อ้างอิง
- เขมชิต ธนากิจชาญเจริญ.มารู้จักกรดซัลฟิวริกกันเถอะ.https://shorturl.asia/gcZkj
- UNCHING INDUSTRY CO.เอกสารข้อมูลความปลอดภัยกรดซัลฟิวริก 98%.https://shorturl.asia/NJVlC
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 210
แสดงความคิดเห็น