[fic vocaloid] just be…? [Gumi x Gumiya] Chapter 5
Chapter 5
ในเช้าวันเสาร์ กุมิและกุมิยะเดินลงไปชั้นเก้าของแมนชั่น ตรงไปที่ห้องหมายเลข 999 ซึ่งรินอาศัยอยู่
“นี่กุมิ ทำไมจู่ๆ เธอถึงลงมาที่นี่ล่ะ?” กุมิยะถามขึ้นในขณะที่กำลังเดินตามเพื่อนสาวไป
“ไม่รู้สิ อยู่ๆ ฉันก็อยากมา แต่ฉันว่านะ ก่อนที่จะไปหาริน ฉันว่าเราลงไปซื้อโจ๊กข้างล่างก่อนดีกว่ามั้ง”
“ซื้อมาให้ใครกินล่ะ?” ชายหนุ่มยิ่งงงเข้าไปใหญ่เมื่อได้ยินประโยคแปลกๆ จากเพื่อนสาว ปกติกุมิไม่เคยเป็นห่วงใครออกนอกหน้าแบบนี้ ไม่เคยแม้แต่จะซื้อของไปให้เพื่อนที่ต่างห้องแบบนี้ แต่วันนี้เธอเป็นอะไรขึ้นมากันนะ?
“เอาน่า ซื้อไปฝากรินหน่อยเถอะ” กุมิยะจำใจต้องกดลิฟต์ลงไปชั้นล่าง ซึ่งมีโรงอาหารตั้งอยู่ ทั้งสองเดินออกมาจากตัวลิฟต์แล้วมุ่งตรงไปที่โรงอาหารทันที จุดมุ่งหมายคือ ร้านขายโจ๊กซึ่งตั้งอยู่ขวามือของร้านขายทาโกะยากิและคัทสึด้ง
“นี่ กุมิ ถามอะไรหน่อยสิ” กุมิยะขัดขึ้น จนทำให้ผู้ถูกเรียกชื่อชะงักแล้วหันมามอง
“มีอะไรเหรอ?”
“คือ ทำไม วันนี้เธอดูแปลกๆ?”
“หืม แปลกยังไง?”
“ก็ ช่างมันเถอะ”
“อ้าว จะช่างได้ไงล่ะ ก็ไหนนายบอกว่าแปลก แปลกยังไง?”
“อืม… ทำไมเธอถึงเป็นห่วงรินขนาดนี้นะ”
“รินก็เพื่อนฉันนี่ อ๋อ นายจะบอกว่า ปกติแล้วฉันไม่ค่อยห่วงใครงั้นสิ จะว่าฉันเย็นชาก็บอกมาเถอะน่า” กุมิยิ้มกวนๆท่าทางไม่ค่อยจริงจังมากนัก
“ไม่หรอก แต่ฉันแค่รู้สึกว่ามันแปลกๆเท่านั้นเอง”
“จริงๆแล้ว นายน่าจะรู้ดีน้า ฉันก็เป็นแบบนี้มานานแล้วแหละ แต่นายไม่สังเกตเอง เวลาใครไม่สบายฉันก็ห่วงเป็นธรรมดา ยิ่งรู้ว่าไม่สบายยิ่งห่วง ห่วงทุกคนที่ไม่สบายอนั่นแหละ”
“เหรอ งั้น ฉันแกล้งไม่สบายบ้างดีมั้ย เธอจะได้…” กุมิยะพูดค้างไว้ เพราะถูกสายตาเขียวๆ ของคู่สนทนาจ้องเขม็ง
“บ้า! ใครจะอยากให้ตัวเองป่วย โรคจิตหรือเปล่าเนี่ยฮะ?”
“ป่วยก็ดีสิ จะได้มีคนดูแล”
“โอ๊ย! ไม่คุยด้วยแล้ว!” กุมิหันหลังแล้วรีบเดินดุ่มๆ เข้าไปในร้านอย่างรวดเร็วด้วยความเขิน
เมื่อซื้อโจ๊กเสร็จเรียบร้อย สองหนุ่มสาวก็เดินกลับเข้าไปในแมนชั่น แล้วกดลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้น 9 ตรงไปที่ห้องหมายเลข 999 แล้วกุมิยะก็เคาะประตูเบาๆ เป็นเชิงขออนุญาต
“เชิญค่ะ” มีเสียงตอบรับจากคนข้างใน ก่อนที่ร่างบางผมสีอำพันจะเดินโซเซมาเปิดประตูให้ผู้มาเยือนเข้าไปข้างใน ท่าทางของร่างบางบ่งบอกชัดเจนว่าเธอฝืนร่างกายตัวเองแค่ไหนกับการเดินแต่ละก้าว ขาที่อ่อนแรงก้าวลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า มือพยายามควานหาสิ่งที่จะช่วยพยุงร่างกายที่หนักอึ้งให้ลุกขึ้นได้
แกร็ก!
เสียงประตูเปิดออก เมื่อหนุ่มสาวทั้งสองเห็นสภาพเพื่อนของตัวเองก็ถึงกับนิ่งค้างไปชั่วขณะ และก็เป็นกุมิที่ตั้งสติได้ก่อนคนแรก เธอรีบเข้าไปช่วยพยุงเพื่อนสาวไปนั่งที่เตียง ส่วนตัวเองก็ส่งสายตาให้กุมิยะเดินเข้ามาพร้อมกับถุงโจ๊กโดยไม่ลืมใช้มืออีกข้างที่ว่างปิดประตูตามหลัง
“เป็นไปได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” กุมิยะแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“เดี๋ยวฉันเอาโจ๊กใส่ชามให้นะ” กุมิพูดพลางเดินไปหยิบชามมาเทโจ๊กใส่ให้เพื่อนสาว
“ขอบใจมากนะที่อุตส่าห์เป็นห่วงฉัน”
“กุมิน่ะ ห่วงเธอมากเลยนะริน”
“หืม ทำไมเหรอ?”
“ก็เธอไม่เคยเป็นห่วงใครมากขนาดนี้เลยนี่นา จริงๆนะ”
“อ้าว พูดงี้ต้องการสื่ออะไรเนี่ย!?”
“อ้าว ก็เวลาฉันไม่สบาย เธอไม่เห็นห่วงแบบนี้เลยนี่นา”
“ใครบอกเล่า”
“นั่นไง กุมิจังยอมรับออกมาแล้ว” ถึงแม้ว่ารินจะป่วยแต่ก็ยังไม่ทิ้งนิสัยกามเทพ เพราะเธอก็แอบเชียคู่นี้อยู่ลึกๆ
“ตั้งแต่ตื่นมาเนี่ย ได้กินยาหรือยัง?” กุมิถามในขณะที่มือก็ง่วนอยู่กับการเทโจ๊กในชามแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง
“ยังเลยจ้ะ ตั้งแต่ตื่นมาฉันก็ปวดหัวตลอด ปวดจนแทบลุกไม่ไหวเลยล่ะ”
“ทำไมเธอไม่โทรหาฉันล่ะ” สาวผมเขียวถาม
“ขอโทษนะ” รินตอบเสียงอู้อี้จากพิษไข้
“เฮ่อ นี่ถ้าฉันไม่เดินมาดูก็คงไม่รู้นะเนี่ย” กุมิกลายเป็นคุณแม่ขี้บ่นไปชั่วขณะ
“นี่กุมิ ฉันว่านี่มันก็ได้เวลาทำงานของเธอแล้วนะ” กุมิยะทำลายความเงียบพลางดูนาฬิกาข้อมือ
“เอ๊ะ จริงด้วย” ร่างบางตกใจจนเกือบจะทำช้อนหลุดมือ “เอางี้ ริน กินโจ๊กไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะไปตามคนมาดูแลให้” สาวเจ้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดไปที่ห้องที่อยู่ห่างจากห้องของรินไปอีกสามห้อง
“ฮัลโหล” รออยู่ไม่กี่ตื๊ดก็ได้ยินเสียงปลายสายตอบรับ
“นี่ นายมาช่วยดูแลรินแทนฉันหน่อย”
“ระ…รินเป็นอะไรเหรอ?” ได้ยินเสียงปลายสายถามขึ้นรัวเร็ว
“ไข้ขึ้น แล้วตอนนี้ฉันก็ติดงานด้วย มาเร็วๆนะ” สาวเจ้าพูดประโยคนั้นก่อนจะวางหูโทรศัพท์ดังแกร็ก
รอเพียงไม่กี่นาที เลนก็มาทำหน้าที่บุรุษพยาบาล จากนั้นกุมิก็พากุมิยะออกไปอย่างรู้งาน
“เป็นไงบ้าง?” เลนถามด้วยความห่วงไยพลางเอามือแตะหน้าผากเพื่อนสาว
“ปวดหัวอ่ะ ไม่มีแรง”
“งั้นต้องกินโจ๊กให้หมดนะจะได้กินยา มาฉันป้อนให้” เลนไม่เปิดโอกาสให้รินคัดค้าน เขาคว้าชามโจ๊กมาแล้วตักป้อนให้คนป่วยทันที ทานไปได้ไม่กี่คำ รินก็เริ่มเบือนหน้าหนี
“อิ่มแล้วเหรอ กินไปนิดเดียวเอง” รินพยักหน้าเนือยๆ “แล้วจะมีแรงเหรอ?” คนดูแลยังคงถามต่อพลางมองชามโจ๊กที่เหลืออยู่เกินครึ่ง
“เดี๋ยวฉันกินต่อ วางไว้เถอะจ้ะ”
“งั้นกินยานะ จะได้นอนพัก” เขาพูดเองเออเองเสร็จสรรพ พลางรินน้ำใส่แก้วทรงสูงก่อนเปิดกระปุกหยิบยาเม็ดสีฟ้าส่งให้คนป่วย
หญิงสาวกลืนยากับน้ำลงคอด้วยความยากลำบาก “ขอบใจมากนะเลน” รินพูดขอบคุณเสียงอู้อี้ ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆ ปิดลงช้าๆ
“ราตรีสวัสดิ์นะ”
กุมิและกุมิยะเฝ้าสังเกตการณ์อยู่หน้าห้องสักครู่ เมื่อเห็นสมควรแก่เวลาแล้วจึงพากันเดินออกมาเงียบๆ
“เลน ท่าทางจะความรู้สึกช้านะ” จู่ๆ กุมิก็เปรยขึ้นมาลอยๆ “ฉันโทรไปแล้วรู้สึกเหมือนจะยังไม่รู้ด้วยว่ารินไม่สบาย”
“รู้ แต่ไม่มาหรือเปล่าล่ะ เลนชอบให้พวกเราโทรตาม เธอก็รู้นี่”
“นิสัยไม่ดี เพื่อนตัวเองแท้ๆ ดูแลหน่อยสิ แต่เอ๊ะ…หรือว่าไม่ใช่” กุมิยิ้มมองเพื่อนชายข้างตัว นั่นทำให้เขาใจเต้น แต่ก็พยายามทำหน้านิ่งไว้
“อย่างที่เธอบอกนั่นแหละ” เขาพูดเรียบๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องของรินแล้วตรงไปที่ลิฟต์ “ไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวคุณโยวาเนะก็โทรตามหรอก”
“จ้า เดี๋ยวฉันกลับมานะ” กุมิว่าพลางโบกมือให้แล้วเดินออกจากแมนชั่นตรงไปที่ร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัยทันที
[gumi’s part]
ฉันใช้เวลาไม่นานก็มายืนอยู่หน้า Vocaloid café ซึ่งเป็นที่ทำงาน วันนี้คนไม่เยอะมากนัก ฉันกวาดตามองไปทั่วร้านก็พบกับเด็กสาวร่างเล็กคนหนึ่ง ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นเด็กมัธยมปลาย เธอมีผมสีชมพูยาวถึงกลางหลัง ซึ่งมันถูกคาดไว้ด้วยที่คาดผมรูปเขาสัตว์สีดำอันใหญ่มองดูลึกลับ เด็กคนนั้นส่งยิ้มมาทางฉัน ฉันส่งยิ้มกลับไปตามมารยาท พลางนึกสงสัย
เด็กคนนี้ ฉันไม่เคยเห็นหน้าเลยนี่นา อาจจะเป็นลูกค้าที่มาซื้อของในร้านก็ได้
“สวัสดีค่ะ คุณคือ คุณโยวาเนะหรือเปล่าคะ” เด็กคนนั้นเอ่ยถามฉันขึ้น
“ไม่ใช่ค่ะ คุณโยวาเนะอยู่ข้างใน มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ฉันจะมาสมัครทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่น่ะค่ะ ยังไม่รู้จักใครเลย แหะๆ” เด็กคนนั้นยิ้มแหยๆ พลางกวาดตามองไปข้างหลัง ฉันมองตามสายตาของเธอไปก็พบกับเด็กที่หน้าตาเหมือนกันกับเธอคนนั้นไม่มีผิด ต่างกันแค่สีผมที่เป็นสีม่วง และใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมกว่า ท่าทางของเด็กผมม่วงคนนั้นดูห้าวๆ และดูลึกลับจนฉันจ้องอยู่สักพักจึงตั้งสติได้
“อะ...เอ่อ มาสมัครทำงานทั้งสองคนเลยใช่มั้ยคะ” ฉันเอ่ยถาม ได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบจากทั้งคู่ “โอเคค่ะ เดี๋ยวฉันไปตามคุณโยวาเนะมาให้ รอสักครู่นะคะ” ฉันเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อไปเรียกคุณโยวาเนะ ฮาคุ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านคาเฟ่แห่งนี้ให้ออกมา
เด็กทั้งสองถูกพาตัวไปยังห้องที่ใช้สมัครงานของพนักงานใหม่ ซึ่งนั่นไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน เมื่อพนักงานทุกคนมากันพร้อมแล้ว ทุกคนก็เริ่มลงมือชงเครื่องดื่มและทำขนมตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งทันที
[Writer’s part]
เวลาผ่านไปจนร้านปิด กุมิกำลังจะเดินออกจากร้าน แต่ก็ถูกชายหนุ่มคนหนึ่งเรียกไว้เสียก่อน
“กุมิครับ รอเดี๋ยว อย่าเพิ่งไป” หญิงสาวหันกลับไปมองตามเสียงก็เจอกับผู้ช่วยเจ้าของร้าน ฮอนเนะ เดลล์ ที่ยืนส่งยิ้มให้เธออยู่
“พี่เดลล์ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“กุมิยังไม่ได้เก็บอุปกรณ์ชงชาน่ะครับ กลับเข้าไปเก็บด้วย” เขาบอก หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย นั่นสินะ เธอรีบเกินไปจนไม่ได้เก็บอุปกรณ์ชงชาเข้าตู้ หญิงสาวยิ้มแหยให้กับความขี้ลืมของตนเองก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินกลับเข้าไปจัดการกับอุปกรณ์ชงชาที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะหลังร้าน
เมื่อเก็บของเสร็จแล้ว หญิงสาวก็เดินมาที่หน้าร้านอีกครั้ง เดลล์ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉย...
หญิงสาวส่งยิ้มให้ผู้ช่วยหนุ่มก่อนจะขอตัวกลับบ้าน เดลล์พยักหน้าก่อนที่ตัวเขาเองจะเดินกลับเข้าร้านไปอีกครั้ง
หลังจากกุมิกลับมาเปลี่ยนชุดที่ห้องแล้ว หญิงสาวลงไปซื้อข้าวต้มจากร้านอาหารที่อยู่ด้านล่าง และรีบตรงไปที่ห้องหมายเลข 999 ทันที
หลังจากเคาะประตูและยืนรอสักครู่ ก็มีคนเดินมาเปิดประตูให้หญิงสาวเข้าไปข้างใน
“ไง” ชายหนุ่มผมเหลืองส่งยิ้มทะเล้นออกมาจากข้างใน “ทำไมวันนี้กลับช้านักล่ะ”
“ฉันจะออกมาตั้งแต่เลิกงานแล้วแหละ แต่ลืมเก็บของเลยต้องกลับเข้าไปใหม่ ขอโทษที่มาช้านะ”
“ไม่เป็นไรหรอก” เลนตอบเรียบๆ “แล้วเธอเอาอะไรมาด้วยน่ะ” ชายหนุ่มชี้ไปที่ถุงในมือของกุมิ
“ข้าวต้ม ฉันซื้อมาให้รินน่ะ ตอนนี้เป็นไงบ้าง ไข้ลดหรือยัง” หญิงสาวกวาดตามองภายในห้อง บนเตียงมีร่างบางของหญิงสาวผมสีอำพันกำลังนอนหลับอยู่ ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อย ลมหายใจขึ้นลงสม่ำเสมอแสดงถึงการหลับลึกของเจ้าตัว
“ไข้ลดบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่หายสนิท” เลนตอบพลางมองคนบนเตียงแวบหนึ่ง กุมิสังเกตเห็นความอ่อนโยนในแววตาของเพื่อนหนุ่มยามมองดวงหน้าหวานที่หลับสนิทนั้น และยังมีความกังวลอยู่ในดวงตาสีฟ้าคู่นั้นด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกเลน” หญิงสาวพูดปลอบเบาๆ “ให้เวลาสักวันรินคงจะหายเป็นปกติ ตอนนี้ให้พักไปก่อนดีกว่า พอรินตื่นแล้วนายค่อยให้มื้อเย็นแล้วกันนะ”
“ได้เลย” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “แล้วเธอจะอยู่เฝ้าไข้หรือเปล่า”
“อยู่สิ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันเฝ้าไข้เป็นเพื่อนนายเอง”
กุมิและเลนนั่งอยู่ในห้องของรินเพื่อเฝ้าไข้ ร่างบางบนเตียงยังคงหลับสนิท ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่อยากรบกวนจึงเลือกที่จะปล่อยให้ร่างนั้นหลับต่อไป ทั้งสองจมอยู่ในห้วงความคิดของตน
กุมินึกถึงเด็กผู้หญิงสองคนที่ได้เจอในวันนี้
หน้าตาของเด็กสองคนนั้นก็ธรรมดา แต่สิ่งที่สะดุดใจหญิงสาวทุกครั้งที่มองก็คือ ที่คาดผมรูปเขาสัตว์สีดำที่คาดไว้บนศีรษะของทั้งคู่ ซึ่งมันมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้เธอมองได้เรื่อยๆ มองด้วยความหลงใหล เหมือนมันมีมนตร์สะกดยังไงยังงั้น
และสิ่งสำคัญกว่าที่คาดผมก็คือ ใบหน้าของเด็กผมม่วงคนนั้น... ใบหน้าที่มองดูเย็นชา แต่ก็มีแววอ่อนโยน ทำให้เธอดูน่ามอง และดูมีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว
ถ้าหญิงสาวคิดไม่ผิด เด็กสองคนนั้นคงได้เป็นพนักงานของคาเฟ่แห่งนี้อย่างแน่นอน
‘พี่เดลล์กับพี่ฮาคุคงเลือกคนไม่ผิด’ หญิงสาวคิด พอดีกับคนบนเตียงขยับตัว เปลือกตาของรินลืมขึ้นช้าๆ
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ” เลนพูดขึ้นก่อนจะเดินไปที่เตียง มือเรียวของชายหนุ่มวางลงบนหน้าผากมนอย่างเบามือ
“งืม… เลน ตอนนี้กี่โมงแล้วเหรอ?” รินเอ่ยถามเสียงเบา หญิงสาวพยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ถูกมือเรียวของอีกคนประคองศีรษะให้นอนลงกับหมอนนุ่มดังเดิม
“ตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า หิวอะไรมั้ย?” เลนยิงคำถามใส่คนป่วยเป็นชุด มีแววห่วงใยอยู่ในดวงตาสีฟ้าคู่คมคู่นั้น
“ยังมึนอยู่นิดหน่อยจ้ะ เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน” รินตอบ ร่างบางพยายามยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบากเพราะความมึนศีรษะจากพิษไข้ เลนที่ยืนอยู่ข้างเตียงช่วยประคองศีรษะของรินให้ลุกขึ้นช้าๆ เมื่อหญิงสาวลุกขึ้นมานั่งแล้วจึงกวาดสายตามองไปรอบๆ จึงสบเข้ากับดวงตาสีเขียวของใครคนหนึ่งที่มองอยู่ก่อนแล้ว
“อ้าว กุมิจัง เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่” รินเอ่ยถามพลางส่งยิ้มให้ กุมิยิ้มพลางเดินถือชามข้าวต้มที่เทไว้แล้วมาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง เลนเดินออกไปอย่างรู้งาน เขาปล่อยให้หน้าที่พยาบาลตกเป็นของเพื่อนสาวผมเขียว ส่วนตนเองก็กลับมานั่งมองรินที่ใช้ช้อนตักข้าวต้มเข้าปากเงียบๆ จริงๆ เขาจะไปช่วยตักป้อนให้ก็ได้ แต่รินให้เหตุผลว่าไม่เป็นไร เขาจึงปล่อยให้เธอรับประทานด้วยตนเองดีกว่า
ชายหนุ่มมองเพื่อนสาวทั้งสองเงียบๆ ก่อนที่เขาจะจมอยู่ในห้วงความคิดของตน
ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับเพื่อนสาวผมเหลืองคนนี้ตั้งแต่เมื่อไร ความรู้สึกของเขาที่มีต่อรินในตอนนี้คือเป็นห่วง แต่นั่นคือความรู้สึกของเพื่อนที่เป็นห่วงเพื่อนยามที่ไม่สบายเพียงอย่างเดียวแค่นั้นหรือ…
เลนรู้สึกมากไปกว่านั้น…
ชายหนุ่มพยายามไม่หันไปมองคนป่วยที่กำลังนั่งกินข้าวต้มอยู่บนเตียง ใบหน้าหวานที่ดูซีดเซียวจากพิษไข้ก็คงไม่ดีเท่ากับใบหน้าของรินยามปกติที่เขาเคยเห็น ดวงตาสีฟ้าสดใส กับรอยยิ้มบนใบหน้าหวานที่เขาคุ้นเคย และเผลอใจเต้นทุกครั้งที่มอง…
แกร็ก! เสียงช้อนกระทบชามดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าอิ่มแล้ว ชายหนุ่มเดินมาช่วยกุมิหยิบยาลดไข้และช่วยรินน้ำใส่แก้วให้เพื่อนสาว ก่อนจะยื่นส่งให้
“ขอบคุณมากเลยนะทั้งสองคน ถ้าไม่ได้พวกเธอฉันคงแย่” รินยิ้มพร้อมเอ่ยขอบคุณจากใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ทีหลังถ้ารู้สึกไม่สบายก็โทรเรียกฉันได้เลยนะ เดี๋ยวลงมาหา” กุมิพูดขึ้น
“ได้เลยจ้ะ ฉันรบกวนกุมิจังหรือเปล่า เพิ่งกลับมาจากทำงาน แล้วยังต้องมาช่วยดูแลฉันอีก คงเหนื่อยแย่” รินพูดอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้สบายมาก เธอควรขอบคุณเลนมากกว่าฉันนะ” กุมิยิ้มมองเลนที่ยืนนิ่งอยู่
“ทีหลังมีอะไรก็เรียกฉันได้” ชายหนุ่มเอ่ยปากหลังจากเงียบไปนาน “แล้วจะนอนต่อหรือเปล่า ฉันจะได้ไม่รบกวน” เขาพูดพลางหันไปทางประตูทำท่าจะเปิดมันออกไป
“คงงั้นแหละจ้ะ แต่ฉันขออาบน้ำหน่อยนะ รู้สึกร้อนๆ แปลกๆ” รินพูดขึ้น ชายหนุ่มหันมาทางกุมิที่กำลังสาละวนกับจานข้าวอยู่ หญิงสาวหันมาสบตากับเลนแวบหนึ่งก่อนกล่าว
“ขอฉันล้างจานแป๊บนะ แล้วจะช่วยเช็ดตัวให้” กุมิเดินหายเข้าไปในห้องน้ำสักพักก็เดินออกมา
“เลน ออกมากับฉันหน่อยได้มั้ย ขอคุยอะไรกับนายแป๊บนึง” หญิงสาวผมเขียวเดินนำออกไปนอกห้องก่อน ตามด้วยชายหนุ่มเดินตามและปิดประตูตามหลัง ทิ้งให้รินอยู่ในห้องตามลำพัง
“มีอะไร” เลนเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรกทันทีที่เดินออกมาจากห้อง
“ไปคุยกันตรงกำแพงนั่นดีกว่า” กุมิเดินนำไปหยุดที่กำแพงของแมนชั่นซึ่งมองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน
“เลน ฉันขอถามนายตรงๆ นะ นายรู้สึกยังไงกับรินกันแน่?”
ชายหนุ่มชะงัก เขานิ่งไปสักพักจึงเอ่ยขึ้น “ฉัน…ยังไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเอง รู้แค่ว่า ฉันเป็นห่วงริน แค่นั้นเอง”
“งั้นเหรอ ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้นายอาจยังไม่แน่ใจกับความรู้สึกของตัวเอง แต่นายลองคิดดีๆ นะว่ารู้สึกยังไงกันแน่ ถ้าแน่ใจแล้วก็บอกไปเลย” กุมิพูดเรื่อยๆ ก่อนจะหันหลังกลับ และเดินไปที่ห้องของรินอีกครั้ง
[Len’s part]
ผมใช้เวลาช่วงที่กุมิไม่อยู่ที่ห้องของรินเพื่อเฝ้าไข้ และคอยดูแลเธอไม่ห่าง ความจริงผมก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรที่ต้องอยู่กับเธอสองต่อสองแบบนี้ แต่ในเมื่อเพื่อนที่เหลืออย่างเอียไม่ได้อาศัยอยู่ในแมนชั่นนี้ การดูแลรินก็ต้องตกเป็นหน้าที่ของผมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ครั้นจะให้กุมิยะมาช่วย นายนั่นก็บอกว่ามีธุระด่วนเข้ามา ผมจึงต้องกลายเป็นบุรุษพยาบาลจำเป็นอย่างที่คุณผู้อ่านเห็นนี่แหละครับ
ระหว่างที่รินนอนหลับ ผมเองไม่ได้อยู่ว่างๆ เพราะไม่สามารถนั่งมองใบหน้าหวานยามหลับนานเกิน 5 นาทีได้ ผมยอมรับว่าใบหน้ายามหลับของรินนั้นดูน่ารักและไร้เดียงสา แต่สิ่งที่ดึงดูดใจและทำให้ผมใจเต้นรัวก็คือ… ริมฝีปากบางสีกุหลาบนั้น
ในระหว่างเฝ้าไข้ ผมจึงกลับไปที่ห้องเพื่อเอางานที่ค้างอยู่มาทำต่อเพื่อฆ่าเวลาไปด้วย อย่างน้อยก็ดีกว่าการที่ต้องนั่งอยู่ว่างๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ดวงหน้าหวานนั้น ใบหน้าที่ทำให้ใจเต้นแรง และหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้งที่เผลอมอง…
“เลน นายจะกลับเลยหรือเปล่า นี่ก็เย็นแล้วนะ” กุมิมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ผมหันไปมองเชื่องช้า ก่อนจะพยักหน้า
“ถ้ารินไม่มีอะไรให้ช่วยแล้ว ฉันก็กะว่าจะกลับห้องเลยแหละ” ผมเอ่ยตอบ จริงๆ อยากกลับไปตั้งแต่กุมิเดินเข้าไปในห้องนั้นแล้ว แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงต้องยืนมองประตูต่อจนกุมิเดินออกมา
“รินบอกว่าอยู่ได้ ไม่ต้องเป็นห่วง” กุมิเอ่ยขึ้น “ไข้ก็ลดจนเกือบจะเป็นปกติแล้ว ฉันว่านายไม่ต้องห่วงหรอก ฉันกะว่าจะกลับห้องแล้วเหมือนกัน”
“โอเค งั้นเดินไปด้วยกันมั้ยล่ะ” ผมเอ่ยปากชวน กุมิพยักหน้า “เอาสิ แต่ห้องนายก็อยู่ชั้นนี้นี่นา งั้นฉันขอแยกตรงนี้นะ ไว้เจอกันจ้ะ” เธอพูดก่อนจะหันไปทางลิฟท์ ผมโบกมือลาและยืนมองจนเธอเดินหายเข้าไปในลิฟท์แล้วจึงหันหลังกลับเพื่อเดินกลับห้องของตัวเองบ้าง
Tbc
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 652
แสดงความคิดเห็น