อุ่นในไอรัก บทที่ 1 เพื่อนใหม่
“หนึ่งการกระทำเพียงเล้กๆ แต่มันเป็นความประทับใจไม่มีวันลืม”
‘ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก’ ฉันยืนใจเต้นอยู่หน้าห้อง สายตาเกือบห้าสิบคู่จ้องมองมาทางฉันเป็นจุดเดียว ความรู้สึกประหม่าก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว มือไม้เย็นเฉียบ นี่มันกรรมอะไรของฉันกัน ทำไมเจ้าที่เจ้าทางถึงไม่เห็นใจคนอย่างฉันบ้างนะ ผมซอยสั้นชี้โด่เด่ไม่เป็นทรงจากการวิ่งฝ่าฝนปรอยเพื่อเข้าห้องเรียนให้ทัน ชุดนักเรียนยับยู่เปียกชื้นจากการไปนั่งวาดนกเป็ดน้ำในสระข้างอาคารเรียน สมุดร่างภาพที่สอดดินสอขั้นหน้าไว้ยังอยู่ในมือ หยดน้ำจากไรผมไหลลงมาข้างขมับทั้งสอง ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นน้ำฝนหรือเหงื่อของตัวเอง รู้สึกรำคาญจึงยกมือข้างที่ว่างขึ้นเช็ดอย่างไม่ใส่ใจ ฉันก้มหน้าหลุบตาลงมองปลายรองเท้าที่เปื้อนโคลนเป็นหย่อมๆ ไม่อยากหันไปมองทางที่ย่ำผ่านมาเพราะกลัวจะเห็นรอยคลาบโคลนดำๆ จากรองเท้าของตัวเอง ถุงเท้าขาวสะอาดบัดนี้เป็นด่างดวงจากน้ำบนพื้นที่กระเซ็นใส่ตอนออกวิ่ง ชายกระโปรงด้านหนึ่งเปื้อนโคลนเป็นหย่อมๆ ฉันไม่กล้าเงยหน้าสบตากับใคร ความเงียบยังคงกดดันความรู้สึก อยากจะยัดสมุดร่างภาพใส่กระเป๋านักเรียนที่เบาแสนเบาบนหลังของตัวเอง แต่ก็ไม่กล้าขยับตัว
“นี่เธอไปสู้กับใครมาเนี่ย ทำไมมอมแมมอย่างนี้” เสียงเล็กแหลมของครูนักศึกษาฝึกสอนทำให้ฉันต้องเงยหน้าจากปลายรองเท้าขึ้นมาทันที ริมฝีปากคลี่ยิ้มสั่นๆ ด้วยความหนาว มือที่ว่างยกขึ้นมาถูจมูกเมื่อต้องใช้ความคิด เสียงหัวเราะขรุกขรักดังจากเพื่อนในห้องยิ่งทำให้ฉันประหม่า
“เอ่อ...คือ...ว่า...” ฉันไม่ใช่นักอธิบายที่ดีเท่าไหร่ติดจะขี้อายด้วยซ้ำ อีกอย่างฉันมีเพื่อนน้อยมาก น้อยของฉันคือคนเดียวซึ่งตอนนี้เธออยู่อีกห้อง และทุกครั้งเธอก็จะคอยเป็นกระบอกเสียงให้กับฉัน
“เอาล่ะ พวกเรากำลังจะทำความรู้จักกัน งั้นเริ่มจากเธอก่อนเลยก็แล้วกันนะ” ฉันหันไปมองทางเสียงที่ออกคำสั่งก็ปะทะเข้ากับดวงตาหวานซึ้งที่จ้องมาก่อนแล้ว ใบหน้าเล็กล้อมกรอบด้วยผมสีน้ำตาลที่ดัดเป็นลอนยาวประบ่า ชุดนักศึกษาที่เธอสวมเน้นทรวดทรงองเอวทำให้จินตนาการถึงรูปร่างภายในได้ไม่ยาก
“เริ่มได้เลย” ปากเล็กจิ้มลิ้มยกยิ้มคล้ายให้กำลังใจ ฟันขาวซี่เล็กๆ เรียงตัวตัดกับริมฝีปากสีผลเชอร์รี่ทำให้ดวงหน้านั้นแจ่มกระจ่าง ‘ให้ตายเถอะ ทำไมฉันไม่ได้ความสวยสักเสี้ยวหนึ่งของครูสาวตรงหน้ากันนะ’ ฉันลอบมองครูนักศึกษาอย่างอิจฉานิดๆ ยัดสมุดร่างภาพใส่กระเป๋านักเรียนอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวแนะนำตัวช้าๆ ตามแบบฉบับของคนพูดน้อย
“สวัสดีค่ะ” ฉันพูดพลางกระพุ่มมือไหว้อย่างงดงามที่สุดเท่าที่คนอย่างฉันจะทำได้
“ชื่อนางสาวธวินวิกาธารารี เป็นนักเรียนใหม่ค่ะ” ฉันตั้งใจไม่บอกชื่อเล่นของตัวเอง เหตุผลคือไม่อยากบอกให้ใครรู้ ยอมรับว่าฉันอายชื่อเล่นที่พ่อภูมิใจนักภูมิใจหนาที่จะตั้งให้กับฉัน แต่ฉันกลับไม่ชอบมันแม้แต่นิดเดียว
“แล้วทำไมถึงมอมแมมอย่างนี้ล่ะ” ครูฝึกสอนซักพลางเดินไปนั่งหลังโต๊ะตัวใหญ่ ดวงตาหวานมองฉันอย่างต้องการคำตอบ
“คะ...คือ...วะ...ว่า” จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่ได้บอกสาเหตุของสภาพย่ำแย่ของตัวเอง เลยเลือกที่จะเงียบเสีย
จะให้บอกได้ยังไงว่าไอ้ที่ตัวเองมอมแมมอย่างนี้เพราะเกิดไปหลงเสน่ห์นกเป็ดน้ำข้างอาคารวิทยาศาสตร์เข้า เลยตัดสินใจลงนั่งร่างภาพมันตรงนั้น มันเพลินจนทำให้ฉันไม่ใส่ใจฝนที่ลงเม็ด ไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงร้องเพลงชาติ เสียงสวดมนต์ของรุ่นพี่ เมื่อลากเส้นสุดท้ายบรรจบกันฉันก็ถูกฟาดเข้าที่ไหล่อย่างแรง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นแม่เพื่อนสนิทยืนกางร่มลายคิตตี้ทำหน้าถมึงทึงอยู่ข้างตัวแล้ว ฉันยังไม่ได้ชื่นชมภาพร่างของตัวเองก็ถูกแม่ตัวดีลากวิ่งขึ้นอาคารที่อยู่ข้างๆ กับอาคารวิทย์ ฉันวิ่งตามแรงลากมาอย่างงงๆ กว่าจะรู้ตัวก็ถูกผลักอย่างแรงเข้ามายืนเอ๋อในห้องเรียน ปะทะเข้ากับดวงตาขบขันของเพื่อนร่วมชั้นนี่ไงล่ะ
“หนะ...หนู...ไปวะ...” ฉันตัดสินใจสารภาพ แต่ฉันก็ต้องชะงักเมื่อหางตาเห็นเงาของใครคนหนึ่งมาบทบังกรอบประตูพอดี ฉันหันขวับไปมอง ไม่เพียงแต่ฉันเท่านั้นสายตาของคนในห้องก็เบนไปทางเป้าหมายใหม่ทันที
ฉันรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องตอบคำถาม ความอึดอัดจากการตกเป็นเป้าสายตาค่อยๆ มลายหายไป จึงโห่ร้องอยู่ในใจอย่างยินดีปรีดา เงาของผู้ร่วมฉะตากรรมเดียวกันก้าวเข้ามาในห้องแล้วหยุดยืนข้างๆ ฉันรีบเก็บสายตาสอดรู้ของตัวเองกลับมาทันทีก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าฉันกำลังลอบมอง
“อ้าว!- มีอีกคนเหรอเนี่ย” ผู้มาใหม่เพียงค้อมศีรษะให้ครูสาวน้อยๆ คล้ายตอบรับ
“ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้งนะคะน้องนีโอ” ครูฉีกยิ้มหวาน นั้นยิ่งทำให้ดวงหน้าเล็กๆ ของเธอชวนมอง เธอลุกจากที่นั่งเดินมาจับมือที่ยื่นรออยู่แล้วของเขาเขย่าขึ้นลงอย่างสนิทสนม
“ครับ” เสียงนุ่มตอบพร้อมกับยิ้มกว้างจากนั้นเขาก็หันมาพูดกับเพื่อนในห้อง
ฉันลอบสำรวจเพื่อนใหม่อยู่เงียบๆ รูปร่างผอมสูงสมส่วน ความสูงของเขาน่าจะราวๆ ร้อยเจ็ดสิบห้า ใบหน้าเกลี้ยงเกลา เรียวคิ้วหนารับกับดวงตากลมโต จมูกโด่ง ริมฝีปากระเรื่อขยับยิ้มน้อยๆ ซึ่งบอกได้ว่าเขาเป็นคนสุขภาพดีทีเดียว
“ถ้างั้นผมขอแนะนำตัวเลยนะครับ ผมชื่อกรธวัช มกรพล เรียกว่านีโอก็ได้ครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน” เขาส่งยิ้มบาดตาในความรู้สึกของฉันให้ทุกคน จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่แถวหน้าซึ่งเป็นตัวที่ฉันหมายตาไว้นั่นเอง ฉันเห็นว่าไม่มีอะไรจึงขยับตัวเพื่อตรงไปยังโต๊ะตัวสุดท้ายที่ว่างอยู่
“สรุปว่าเธอไปทำอะไรมาจ๊ะ” เสียงเล็กแหลมจากปากคู่สวยทำให้ขาทั้งสองชะงักกึก
“ครูถามหนูเหรอคะ” ฉันหันกลับมาถาม เลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ก็ใช่น่ะสิ แล้วเธอคิดว่าครูจะถามใครล่ะถ้าไม่ใช่เธอน่ะ” ริมฝีปากยกยิ้มแต่ให้ตายเถอะมันไปไม่ถึงดวงตา เพราะดวงตาของเธอไม่ได้ทอดมองมาที่ฉันแต่กลับไปวนเวียนอยู่กับคนร่างสูงที่เพิ่งหย่อนตัวนั่งเมื่อไม่กี่อึดใจ
“สาเหตุของการมาสาย หรือว่าสาเหตุของเสื้อผ้าเลอะเทอะคะ" เสียงของฉันไม่ได้ดัง แต่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบก่อนแล้วจึงทำให้ได้ยินคำถามของฉันทุกคน ฉันแก้เก้อโดยการก้มลงมองสภาพของตัวเองอีกครั้ง เสื้อนักเรียนเริ่มแห้งแล้ว จึงใช้มือปัดชายกระโปรงที่เลอะเศษฝุ่น แล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อรอคำตอบ
"ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละจ้ะ ถ้าจะให้ดีนะ วันแรกของการเรียนเสื้อผ้าของเธอไม่ควรจะเลอะเทอะขนาดนี้ เธอดูเพื่อนในห้องสิ มีใครที่สกปรกมอมแมมอย่างเธอบ้าง ครูหวังว่าจะได้เห็นสภาพแบบนี้ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ ถ้าไม่ไม่เห็นแก่หน้าตัวเองก็เห็นแก่หน้าโรงเรียนบ้างนะจ๊ะ" แววตำหนีจากครูฝึกสอนทำให้ฉันหน้าชา นึกอยากจะเถียงแต่ฉันขลาดกลัวเกินไปจึงได้แต่พยักหน้ายอมรับ
"ก็เด็กทุนนี่คะ จะให้เหมือนพวกเราก็ยากหน่อยละค่ะ" เสียงของหนึ่งในนักเรียนหญิงดังขึ้น ฉันเห็นหลายคนเอามือปิดปากอย่างขบขัน ทั้งโกรธทั้งอายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี จึงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของตัวเองไปเงียบๆ
"เอาล่ะไปหาที่นั่งได้แล้ว เห็นแล้วรำคาญตา" ครูหน้าสวยแต่ใจไม่สวยออกปากอนุญาต
ฉันเงยหน้ามองหาที่นั่ง สำรวจคร่าวๆ ก็เห็นที่ว่างที่เหลืออีกที่ จึงรีบเดินไปนั่งยังที่ที่ตัวเองหมายตาไว้ซึ่งเป็นโต๊ะตัวสุดท้ายที่ว่างอีกทั้งยังอยู่หลังห้องเสียด้วย กวาดตามองรอบๆอย่างพึงใจก่อนจะหย่อนตัวลงนั่ง
เมื่อได้ที่พักขาพักแขนแล้วฉันก็แอบสำรวจเพื่อนข้างตัวเงียบๆ เขาเป็นคนร่างใหญ่ ผิวขาวจัดที่โผล่พ้นแขนเสื้อนักเรียนออกมาทำเอาฉันอดที่จะแอบเปรียบเทียบกับผิวของตัวเองไม่ได้ เมื่อเห็นแล้วว่าขนาดความขาวนั้นห่างกันไกลจึงละความสนใจจากผิวขาวๆ ของเขาเสียเลย ศีรษะสวยตั้งตรง ปอยผมสีน้ำตาลปรกหน้าผาก เรียวคิ้วหนาขมวดเป็นระยะ ทั้งยังดวงตาใต้แว่นที่มองหน้ากระดานสลับกับการก้มลงจดอะไรบางอย่าง ทำเอาฉันที่แอบมองรู้สึกเพลิดเพลิน
น่าแปลกที่เพื่อนข้างตัวกลับไม่เป็นที่สนใจของสาวๆ ในห้อง ทั้งที่เขามีความโดดเด่น ทั้งรูปร่าง หน้าตา และชาติพันธุ์ที่แตกต่างจากทุกคน ฉันเดาว่าอาจเป็นเพราะอุปสรรคทางภาษาละมั้ง แต่ก็ไม่น่านะ...เพราะโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนเอกชนชื่อดัง นักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจภาษาที่สามเป็นอย่างดี ผิดกับคนที่ชื่อนีโออะไรนั่น เหมือนทุกคนจะให้ความสำคัญกับเขามากเลย ได้ยินว่าเขาเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผู้อำนวยการกรนิภา จึงไม่แปลกที่จะได้รับความนิยมขนาดนั้น ก็เขาทั้งเก่งทั้งหล่อนี่เนอะ ฉันอมยิ้มอย่างถูกใจ อดชื่นชมในความตาแหลมของตัวเองที่เลือกมานั่งตรงนี้ไม่ได้ แต่ก็ลืมคิดไปว่ามันเหลือแค่ที่ตรงนี้ที่เดียวเท่านั้น
‘นั่งข้างหมอนี่ก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่’ ฉันคิดอย่างพึงใจ ก็แน่ล่ะเพราะฉันไม่ได้เป็นคนช่างพูด ติดจะขี้อายด้วยซ้ำ ยิ่งมานั่งใกล้เพศตรงข้ามอย่างนี้มันก็ยิ่งทำให้ความมีมนุษยสัมพันธ์ของฉันถึงขั้นยอดแย่เลยล่ะ ไม่อยากจะคิดถึงเพื่อนซี่ที่อยู่ต่างห้อง ถ้ารู้ว่าฉันได้นั่งคู่กับเพื่อนชายละก็ แม่เจ้าพระคุณจะต้องล้อฉันไม่เลิกแน่ๆ
ฉันละสายตาจากเพื่อนข้างตัวแล้วหยิบสมุดร่างภาพของตัวเองขึ้นมาดูอย่างสบายอารมณ์ ลายเส้นดินสอที่ฉันตั้งใจวาดโครงร่างของสัตว์ปีกสองตัวที่ลอยคู่กันอยู่เหนือน้ำท่ามกลางกอบัว ละอองฝนบางๆ ล้อมรอบบริเวณทำให้ภาพของความจริงงามกว่าลายเส้นดินสอที่ฉันลากไว้นัก รอยด่างดวงจากละอองฝนทำให้สมุดร่างภาพชื้น ฉันหยิบดินสอขึ้นมาหลับตานึกถึงภาพนกเป็ดน้ำท่ามกลางกอบัวแล้วเติมรายละเอียดลงไปก่อนที่จะหลงลืมไปเสียก่อน เมื่อลงรายละเอียดครบถ้วนแล้วฉันจึงเก็บสมุดใส่กระเป๋าตั้งใจว่าจะคัดลอกลายเส้นและลงรายละเอียดกับสมุดอีกเล่มในช่วงพักกลางวัน พอเงยหน้าขึ้นสายตาก็ปะทะกับตัวหนังสือสีแดงบนกระดานไวท์บอร์ดที่ครูนักศึกษาบรรจงเขียน
“เอาล่ะค่ะนักเรียน” ร่างเพรียวในชุดนักศึกษาหันกลับมาเมื่อเขียนอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ ดวงตาหวานซึ้งกวาดมองหน้าทุกคนแล้วก็มาหยุดอยู่ที่คนร่างสูงข้างตัว รู้สึกว่าเธอยกมุมปากขึ้นนิดๆ คล้ายยิ้มเยาะ แต่เพียงเสี้ยวนาทีทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ แอบมองคนข้างตัวก็ไม่เห็นความผิดปกติจากสีหน้าของเขา นี่ฉันคงรู้สึกไปเองจึงละความสนใจ
“ครูชื่ออรดา เรียกว่าครูดาด้าก็ได้จ้ะ ครูเป็นครูฝึกสอน จะมาช่วยครูรติมาที่เป็นครูที่ปรึกษาของห้องนี้ ส่วนวันนี้ครูรติมาติดธุระจึงมอบหมายให้ครูเอาตารางเรียนมาแจก คาดว่าพรุ่งนี้ทุกคนจะได้เจอกับครูรติมา และครูเองจะอยู่กับพวกเราหนึ่งเทอม ระหว่างนี้มีอะไรที่ครูพอจะช่วยได้ก็บอก โทรมาปรึกษาได้นะ เบอร์ครูอยู่บนกระดานจดไว้ได้เลยนะคะ” นักเรียนชายส่วนใหญ่กระตือรือร้นหยิบสมุดขึ้นมาจดอย่างตั้งใจ ฉันมองกระดานนิ่งๆ ไม่มีความกระตือรือร้นเอาเสียเลย ดูเหมือนว่าไม่ใช่เพียงแต่ฉันที่เอื่อยเฉื่อย เพื่อนข้างตัวเองก็มีปฏิกิริยาเชื่องช้าไม่ต่างกัน
“อย่าลืมลอกตารางเรียนด้วยนะจ๊ะ” ครูนักศึกษากำชับก่อนจะมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“อ้าว แล้วไม่มีแจกเหรอครับ” เสียงถามนุ่มนวลดังมาจากนีโอขวัญใจสาวๆ ในห้องนี้ ตามด้วยคำถามเดียวกันกับเขาดังเซ็งแซ่จนครูต้องโบกมือให้อยู่ในความสงบ ฉันเองก็ใจจดใจจ่อรอฟังคำตอบ บอกตรงๆ ว่าขี้เกียจจดเต็มที
“เราจดให้นายแล้ว” จบคำเด็กสาวร่างโปร่งก็ลุกจากที่นั่งแถวกลางเดินตรงมาหานีโอ ผมดำยาวถึงกลางหลังรวบมัดด้วยริบบิ้นสีขาวทำให้เห็นโครงหน้ารูปไข่ของเธอได้ชัดเจน เรียวคิ้วรูปพระจันทร์เสี้ยวขับให้ดวงตากลมโตใต้แพขนตายาวชวนมอง ริมฝีปากสีหวานคลี่ยิ้มเปิดเผย
“เราชื่อเมมี่ อยากเป็นเพื่อนกับนาย หวังว่านายจะไม่ปฏิเสธความหวังดีของเรานะ” เธอแนะนำตัวพร้อมวางสมุดโน้ตหน้าปกสีชมพูตรงหน้าของนีโอ โชคร้ายที่แผ่นหลังของเขาบดบังทุกอย่าง ทำให้ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย
“คงไม่ต้องลำบากเมมี่หรอก เพราะครูเตรียมให้นีโอแล้ว” นี่จ้ะนีโอ" ครูดาด้าวางกระดาษตารางเรียนลงตรงหน้าเขา ฉันเห็นเมมี่ปรายตามองกระดาษของครูดาด้า แล้วมุมปากของเธอก็ยกยิ้มแสดงถึงความเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ของครูมันแผ่นเล็กพกสะดวกก็จริงแต่เสี่ยงต่อการหล่นหายนะคะ สมุดของหนูดีกว่า แถมยังใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีก อีกอย่างน้านิภาเองก็ขอให้หนูช่วยดูแลนีโอให้ด้วยค่ะ เรื่องแค่นี้ไม่ลำบากเราหรอกน้า" ประโยคหลังเมมี่หันมาพูดกับนีโอ
เสียงครางฮือทำให้เหตุการณ์หน้าห้องเพิ่มความน่าสนใจขึ้นไปอีกเท่าตัว แม้กระทั่งฉันเองยังอยากรู้บทสรุป ฉันจึงเอนศีรษะไปหาเพื่อนข้างๆ เพื่อให้มองเห็นชัดกว่าเดิม ขอเอนเข้าไปอีกนิดเถอะ...อีกนิด...อีกนิด...และก็อีกนิด จนทันได้เห็นมือเรียวบางของเมมี่หยิบสมุดเล่มน้อยของเธอขึ้นมาวางทับกระดาษสีชมพูหวานของครูอรดาอย่างจงใจ ฉันสังเกตเห็นความไม่พอใจฉายวาบผ่านนัยน์ตาหวานซึ้งคู่นั้น แต่ริมฝีปากเล็กๆ ยังคงคลี่ยิ้มหวานลมุนคล้ายเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเรื่องธรรมดา แต่ความอยากรู้อยากเห็นของฉันมันเกินพอดีไปสักหน่อย ผลกระทบต่อมาทำให้ฉันถึงกับซูดปากด้วยความเจ็บปวด
โป๊ก! “โอ๊ย! เจ็บ” ฉันยกมือขึ้นมาลูบหลังศีรษะที่กระแทกเข้ากับของแข็งพร้อมกับเอนตัวกลับมานั่งตัวตรงยังตำแหน่งแห่งที่ของตนด้วยความตกใจแล้วก็รีบหันไปมองคนข้างตัว ดวงตาใต้กรอบแว่นมองฉันอยู่ก่อนแล้วทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูก
“เอ่อ!...ขอโทษที” ฉันพูดอุบอิบเมื่อเห็นตาคู่คมมองฉันอยู่ก่อนแล้ว รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ บรรยากาศรอบข้างชวนอึดอัดพิกล ฉันจึงส่งยิ้มแหยๆ ให้เขาแล้วดึงตัวเองให้มาสนใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ต่อเพื่อเลี่ยงความรู้สึกประหม่าที่เกิดจากดวงตาของคนข้างตัว
“ดูเธอจะสนใจเรื่องของคนอื่นมากกว่าการกระทำของตัวเองนะ” คำพูดแรกของคนข้างตัวทำให้ฉันถึงกับนั่งตัวเกร็ง 'เอาแล้วไง โดนแล้วไง แล้วจะไปเถียงสู้เขาได้ไหมล่ะ' ฉันได้แต่บ่นอยู่ในใจแล้วก็ตัดสินใจถามขึ้นเผื่อว่าอะไรๆ มันจะไม่แย่อย่างที่คิด
“การกระทำอะไรเหรอ” ฉันพยายามควบคุมไม่ให้เสียงตัวเองสั่น แต่ให้ตายเถอะผลที่ได้มันไม่น่าพอใจสักนิด ฝืนสายตาให้สบกับตาคู่คมของเขาเพื่อบอกเป็นนัยๆ ว่า 'ฉันไม่ได้กลัวนายเลยสักนิด' แต่ก็ดูเหมือนว่าจะล้มเหลว
“เธอทำให้ฉันปากแตก” นิ้วใหญ่ยกขึ้นแตะมุมปากที่บวมตุ่ย น้ำสีแดงซึมออกมาตัดกับผิวขาวๆ ทำให้ดวงหน้าคร้ามของเขามีสีสันขึ้น ฉันเบิกตากว้างเมื่อเห็นบาดแผลบนมุมปากหยักหนาคู่นั้น อันที่จริงมันก็ไม่ใช่แผลใหญ่อะไรมาก แต่ไอ้เลือกที่กำลังไหลนั่นต่างหากที่ทำให้ฉันกังวล นี่ฉันคงเผลอเอาศีรษะตัวเองโขกเขาแรงไปจริงๆ ฉันล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดจากกระเป๋ากระโปรงยื่นให้เขา
"อะ! เอาไปเช็ดเลือดก่อน เดี๋ยวไปห้องพยาบาลกัน เอ่อแต่ว่าฉันไม่รู้จักห้องพยาบาลนะ" ฉันแสดงความมีน้ำใจเต็มที่เผื่อเขาจะได้ไม่โกรธมากจนเกินไป เขายังคงมองมือฉันนิ่งไม่มีทีท่าจะรับผ้าเช็ดหน้าของฉัน เลือดจากมุมปากค่อยๆ ไหลย้อยลงมา ฉันจึงถือวิสาสะซับเลือดให้เขาเพราะกลัวว่ามันจะย้อยลงมาเปรอะเสื้อนักเรียนของเขา ฉันพยายามทำอย่างเบามือที่สุดเพราะกลัวว่าเขาจะเจ็บ ไม่นานเลือดก็หยุดไหลฉันถอนใจอย่างโล่งอก ตั้งท่าจะยัดผ้าเช็ดหน้าใส่กระเป๋ากระโปรงก็ถูกมือใหญ่กระชากออกจากมือไป
"เดี๋ยวเอาไปซักให้" ฉันมองเขาอย่างตกใจ รีบส่ายหน้าปฏิเสธแต่เหมือนเขาจะเลิกใส่ใจฉันเพาะมัวง่วนหาอะไรบางอย่างในกระเป๋านักเรียนของตัวเองอยู่ ส่วนผ้าเช็ดหน้าของฉันเขายัดลงในกระเป๋ากางเกงนักเรียนไปแล้วจะแย่งกลับมาก็เห็นทีจะยากฉันจึงเตรียมตัวไปเรียนวิชาอื่น
"นี่เอาไป" มือใหญ่ยัดอะไรบางอย่างใส่มือฉัน ฉันก้มมองแล้วก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
"ยาหม่อง โขกแรงขนาดนี้หัวคงปูด เอาไปทาซะ" พูดจบเขาก็ลุกจากที่นั่ง คว้ากระเป๋านักเรียนสะพายแล้วเดินออกจากห้องไป
ฉันจ้องมองกระอับโลหะกลมๆ ที่นอนสงบนิ่งบนฝ่ามือก็รู้สึกปวดตุบๆ ตรงบริเวณที่ถูกโขกขึ้นมาทันที 'นี่คงไม่ใช่อุปทานหรอกกระมัง' ฉันคิดอย่างขำๆ หย่อนยาหม่องลงในกระเป๋านักเรียนแล้วรีบออกจากห้องเพื่อไปเรียนวิชาต่อไปอย่างอารมณ์ดี
“นี่นาย นายตัวสูงน่ะ” ฉันอยากจะเรียกว่านายฝรั่งแต่พ่อเคยบอกว่าอย่าไปเรียกชาวต่างชาติว่าฝรั่งเขาไม่ชอบ จึงต้องเปลี่ยนสรรพนามการเรียกเป็นนายตัวสูงแทน เพราะเท่าที่ฉันสังเกตเขาน่าจะสูงที่สุดในห้องเลยล่ะมั้ง
“นายน่ะ” ฉันวิ่งกระหืดกระหอบมาทันเขาที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดพอดี มือไวกว่าความคิดจึงคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนของเขาไว้มั่น เขาหยุดฝีเท้าแล้วหันมาเลิกคิ้วมองฉันอย่างสงสัย
"ขอบใจนะ สำหรับยาหม่องน่ะ" เขาเพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ อย่างเห็นว่ามันไม่สลักสำคัญอะไร
“นะ-นายชื่ออะไรนะ” ฉันรวบรวมความกล้าถามชื่อเขาออกไป มือเย็นยังคงกำต้นแขนเขาแน่นอย่างไม่รู้ตัวคล้ายจะหาหลักยึดเพื่อเรียกความมั่นใจ
บอกตรงๆ ว่าฉันแอบคาดหวังว่าจะได้เป็นเพื่อนกับเขา 'เอาน่าอย่างน้อยวันนี้ก็ขอให้ได้เพื่อนสักคนเถอะ ไม่งั้นฉันต้องแย่แน่' เพราะฉันดันไปรับคำท้าของแม่เพื่อนตัวดีนั่นน่ะซิ ฉันจึงต้องรีบหาเพื่อนให้ได้สองคนภายในวันแรกของการเรียนในเทอมนี้ แล้วถ้าฉันไม่มีเพื่อนมายืนยันฉันจะต้องรับผิดชอบอาหารกลางวันให้กับยายเพื่อนตัวดีไปตลอดหนึ่งเดือน เหตุเพราะฉันเป็นคนขี้อาย ไม่ชอบสุงสิงกับใคร มักจะชอบอยู่ คนเดียว ดังนั้นในระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาฉันจึงมีเพื่อนน้อยมาก เมื่อย้ายโรงเรียนใหม่ เรียนห้องใหม่ที่ไม่มีเพื่อนสนิทอยู่ด้วยเธอคงเป็นห่วงฉันจึงตั้งคำท้าขึ้นมา แล้วฉันก็บ้าจี้รับคำท้าของเธอ แต่ฉันรู้ว่าในคำท้านั้นมันแฝงความห่วงใยไว้เต็มเปี่ยม เพื่อเป็นแรงขับในการหาเพื่อนของฉันและวัดระดับความมีมนุษย์สัมพันธ์ของฉันมันคงม่ทำให้ฉันขาดทุนหรอกกระมัง
“ฉันชื่อปลายนา แล้วนายล่ะชื่ออะไร” น้ำเสียงกระตือรือร้นทำให้ฉันเห็นมุมปากของเขายกคล้ายจะยิ้ม นั่นมันมากพอที่จะทำให้ฉันมีความหวัง
“ฉันชื่อ...”
“มอคค่าเราชื่อมอคค่า” เด็กหนุ่มร่างสันทัดเดินเข้ามาแทรกระหว่างฉันกับเพื่อนตัวใหญ่ เขาส่งยิ้มกว้างให้ฉันอย่างเป็นมิตร ดวงตากลมเล็กใต้หนังตาสองชั้นตามแบบฉบับอาตี๋สะท้อนประกายขี้เล่นเป็นนิจทอดมองมือของฉันที่วางอยู่บนต้นแขนของคนข้างตัว ฉันรีบชักมือออกแล้วส่งยิ้มให้กับผู้มาใหม่
“แล้วเธอล่ะชื่ออะไร” น้ำเสียงกระตือรือร้นของเขาช่วยลดความอึดอัดระหว่างเราไปได้มากโข ริมฝีปากคู่สวยยกยิ้มทำให้เห็นรอยบุ๋มข้างแก้มทั้งสองได้ชัดเจน ฉันเผลอมองเพื่อนใหม่อย่างเสียมารยาทจนกระทั่งได้ยินเสียงกระแอมจากคนร่างยักษณ์ กว่าจะทันได้ทำอะไรเขาก็เดินขึ้นบันไดไปไม่เหลียวหลังแล้ว
"ว่าไงล่ะ เธอชื่ออะไร" เสียงเพื่อนใหม่ดังขึ้นทำให้ฉันเบนสายตามาทางเขา ฉันส่งยิ้มเป็นมิตรให้เขาพลางขอบคุณเทพแห่งโชคฉะตาที่ทำให้ฉันไม่ต้องบากหน้าไปขอใครเป็นเพื่อนอย่างเมื่อตะกี๊
“ชื่อปลายนา...เราชื่อปลายนา”
"ฮะ! ชื่อปลายนาเหรอ" เสียงเขาไม่เบานักจึงทำให้เพื่อนหลายคนได้ยิน เสียงรองเท้าสะดุดบันไดดังไม่ห่างนั่นทำให้ฉันรู้ว่าคงมีใครสักคนเดินสะดุดเมื่อได้ยินชื่อของฉันกระมัง
"แม่กระท่อมปลายนาของพ่อ" คล้ายจะได้ยินเสียงของพ่อลอยข้ามแดนมา มันเป็นชื่อที่พ่อชอบมากที่สุด เป็นชื่อที่พ่อตั้งให้โดยไม่ได้ยึดหลักโหราศาสตร์ หรือคำพยากรณ์ของพระสงฆ์องค์เจ้า เป็นชื่อของอดีตในวัยเยาว์ของพ่อที่มีปู่ย่าอาศัยร่วมกันในกระท่อมท้ายนา และแน่นอนว่าฉันเกิดที่นั่น ที่กระท่อมปลายนาแห่งนั้น พ่อจึงตั้งชื่อฉันเพื่อย้ำเตือนถึงรากเง่าของพ่อ ไม่แปลกที่ฉันจะจำที่มาของชื่อตัวเองได้เพราะพ่อมักจะเล่าให้ฉันฟังเสมอ
"ชะ...ใช่" ฉันตอบอุบอิบเมื่อเห็นอีกฝ่ายกลั้นหัวเราะจนหน้าเขียวหน้าแดง แล้วก้าวขาขึ้นบันไดไป กะว่าจะเลิกใส่ใจอีกฝ่าย เพราะนึกเคืองที่เขาบังอาจหัวเราะเยาะชื่อของฉัน ชื่อที่พ่อของฉันภูมิใจนักหนาแต่มันกลับเป็นชื่อแสนเชยในสมัยนี้
“แหมๆ เราไม่ได้ตั้งใจ แต่มันอดขำไม่ได้จริงๆ นี่นา เราไม่คิดว่าจะมีใครชื่อเชยๆ อย่างเธอ” มอคค่าเร่งฝีเท้าเพื่อเดินคู่กับฉันพลางยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้า
“อะ...อะไร” ฉันชะงักเท้าจับจ้องไปยังนิ้วเรียวยาวที่ยื่นมาตรงหน้าของฉันอย่างงงๆ
“ก็เธอโกรธไม่ใช่เหรอ” เขาไม่พูดเปล่าแต่ถือวิสาสะคว้ามือของฉันขึ้นมา สอดนิ้วก้อยของเขาเข้ากับนิ้วก้อยของฉันแล้วเขย่าขึ้นๆ ลงๆ ฉันรู้สึกว่าผิวบริเวณแก้มทั้งสองของตัวเองร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ทำอะไรของนายเนี่ย” ฉันรีบ สะบัดมือออกเหมือนกับว่านิ้วของเขาเป็นของร้อน แต่นั่นทำให้เขารัดนิ้วป้อมๆ ของฉันไว้แน่น
“เอาน่าอย่าโกรธในความปากไม่ดีของเราเลย เราเป็นเพื่อนกันเถอะนะ เรายังไม่มีเพื่อนเลยนะ นี่ถ้าเธอเป็นเพื่อนกับเรานะ เธอจะเป็นเพื่อนคนแรกของเราเลยน้า” คำพูดของเขายิ่งทำให้ฉันรู้สึกทำอะไรไม่ถูก ฉันได้แต่สะบัดมือให้หลุดจากการเกี่ยวรัดของเขา
“กะ...ก็ได้ แต่นายปล่อยมือเราได้แล้ว จะถึงห้องเรียนแล้วเนี่ย” ฉันออกแรงสะบัดอีก คราวนี้มันหลุดออกอย่างง่ายดาย มอคค่าหัวเราะอย่างอารมณ์ดีผิดกับฉันที่รู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้า
เราทั้งคู่เดินเข้าห้องเรียน โต๊ะแถวกลางว่างสองตัวคล้ายรอคอยฉันกับมอคค่า ฉันรีบตรงเข้าไปนั่งก่อนที่อาจารย์ประจำวิชาจะเข้าสอน มอคค่านั่งลงยังที่ว่างข้างตัว เรียวคิ้วหนายักขึ้นอย่างล้อเลียนก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ให้ฉันที่มองเขาอยู่ก่อน ฉันอมยิ้มกับตัวเองที่สามารถหาเพื่อนได้แล้ว และที่สำคัญเพื่อนใหม่ของฉันคนนี้หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วซะด้วย
ฉันค้นหาสมุดในกระเป๋าเพื่อไว้จดเนื้อหาที่จะเรียน มือสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างจึงหยิบมันออกมาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือ มันคือกระจกบานเล็กของแม่เพื่อนตัวดีของฉันนั่นเอง ดวงหน้ากลมแป้นที่สะท้อนออกมาจากกระจกบานเล็กในมือนั้นทำให้ฉันถอนใจอย่างปลงๆ คิ้วที่รกไม่เป็นระเบียบมุนเข้าหากันอย่างไม่พอใจ ขนตายาวรกๆ นั้นส่งผลต่อการมองภายใต้ดวงตาเรียวยาวรูปอัลมอนด์ของฉันนักแล สิ่งที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับฉันเห็นจะเป็นจมูกโด่งๆ นั่นล่ะ แล้วไอ้ริมฝีปากสีซีดๆ ของฉันเนี่ยนะทำให้ดวงหน้ากลมๆ มันจืดสนิท นี่ยังไม่นับไอ้ผมซอยสั้นระต้นคอที่ตอนนี้ชี้โด่เด่ไปคนละทิศคนละทางอีกนะ
ฉันรีบยัดกระจกเฮ็งซวยลงกระเป๋าก่อนที่จะมีใครมองเห็น ยกมือลูบผมที่ชี้โด่เด่ของตัวเองเร็วๆ ดวงตากวาดมองรอบๆ แล้วมาหยุดอยู่ยังลำแขนกลมกลึงของเมมี่ที่กำลังยกขึ้นวางพาดบนผนักของนีโอ ฉันดึงสายตากลับมาสำรวจรูปร่างตัวเอง พอเห็นท่อมแขนกลมป้อมของตัวเองก็อยากจะร้องไห้ ฉันมีส่วนสูงร้อยหกสิบและน้ำหนักหกสิบกิโลกรัม มันเป็นสัดส่วนที่เท่ากันพอดีเป๊ะทั้งแก้ม พุงและก้นพร้อมใจกันออกมาอวดโฉมกันวุ่นวายจนฉันอยากจะลาไปตายเสียวันละหลายๆ ครั้ง ในขณะที่ฉันกำลังคิดวุ่นวายอยู่กับรูปร่างของตัวเองเสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“สวัสดีจ้านักเรียน ยินดีต้อนรับนักเรียนชั้นมอสี่ทุกคนจ้า” ครูประจำวิชาภาษาอังกฤษส่งยิ้มทักทาย แล้วมาหยุดยืนหน้าห้อง รุ่นพี่ชายสองคนหอบหนังสือมาวางบนโต๊ะก่อนจะผละไป
จากนั้นก็เป็นการแนะนำตัว ครูคนใหม่นี้เป็นสาวประเภทสอง ดูเหมือนว่าครูจะเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตัวเองจนสวยเช้งกระเด๊ะ จนเป็นที่ฮือฮาของนักเรียนเมื่อครูกล่าวแนะนำตัวเอง เพราะน้ำเสียงของครูนั้นค่อนไปทางผู้ชายเสียมากกว่า หลังจากที่ครูและนักเรียนแนะนำตัวเองไปแล้ว ครูจึงพาพวกเราเข้าสู่เนื้อหาที่จะเรียนในเทอมนี้ทั้นที
ฉันพยายามตั้งใจฟังครูอธิบายแต่ก็ยากเต็มที หลายครั้งที่สายตาของฉันมักจะคอยชำเลืองมองเพื่อนใหม่ข้างตัว ก่อนที่จะเข้าห้องเรียนมอคค่าได้เข้ามาแนะนำตัวและขอเป็นเพื่อนกับฉัน ด้วยรูปร่างหน้าตาของเขาแล้ว ไม่มีทางจะหาเพ่อนได้ยากหรอก แต่เขากลับเลือกเข้าหาฉัน เหมือนเขาเองก็มองออกว่าคนอย่างฉันคงไม่มีเพื่อนมากนัก
เป็นดั่งความฝันที่คนหน้าตาดีๆ อย่างเขาจะมาเป็นเพื่อนกับฉัน คนอ้วนที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แถมยังมีคำว่า “เด็กทุน” พ่วงท้ายมาอีก ทั้งยังไม่ได้มีนิสัยเฟรนด์ลี่ออกจะยอดแย่ด้วยซ้ำ คิดจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ สักคนในโรงเรียนแห่งนี้ก็ยากเต็มที แต่พอฉันได้เจอกับเหตุการณ์ก่อนเข้าห้องเรียนเมื่อครู่ ก็รู้สึกว่าบางทีโรงเรียนแห่งนี้มันก็ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 1423
ความคิดเห็น
สนุกค่ะ รออ่านต่อนะคะ
ขอบคุณคร้าาาา
แสดงความคิดเห็น