ตอนที่ 15 ไส้อ่อนทอดหมาล่า
“โอ้ เช่นนั้นเย็นนี้พวกเราต้องฉลองกันหน่อยดีหรือไม่” นางหูเอ่ยหยอกเย้าหลานชาย
“ท่านย่าดีมากเลยขอรับ ท่านแม่ มาดูนี่สิขอรับ ของพวกนี้ท่านแม่ว่าข้ากับท่านพ่อซื้อมาถูกต้องหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบรับท่านย่าแล้วหันมาชวนมารดาลุกขึ้นไปสำรวจของที่ซื้อวันนี้
“ท่านย่าขอรับ วันนี้พวกเราคงต้องทำงานหนักกันมากหน่อยนะขอรับ เพราะมีมันหมูที่ต้องเจียว ไหนจะพวกเนื้อสด กระดูก ที่ต้องหมักลงไหเก็บไว้กินหลายวัน โดยเฉพาะไส้พวกนี้ต้องล้าง ทำความสะอาดก่อนที่มันจะเหม็น”
“ได้สิหมิงเอ๋อร์ งานหนักแค่นี้ไม่มีปัญหา ขอแค่มีอาหารให้เรากินก็ดีมากแล้ว เมื่อก่อนย่าอาจจะอิดออดนะ แต่ตอนนี้ย่าปรับตัวได้แล้ว”
“ท่านย่า ข้าสัญญาว่าต่อไปครอบครัวเราจะไม่ต้องอดมื้อกินมื้ออีกแล้ว” จางอี้หมิงพูดอย่างมั่นใจ “ไม่เพียงเท่านั้นนะขอรับ ครอบครัวเราจะมีเงินมากมายให้มีมากกว่าตอนที่เราอยู่เมืองหลวงเสียอีก ที่สำคัญข้ายังอยากมีน้องสาวน้องชายมาเป็นเพื่อนเล่นข้าอยู่นะขอรับ ข้าต้องรีบหาเงินมาเยอะ ๆ ข้าจะสร้างจวนให้ใหญ่กว่าบ้านเก่าของเราขอรับ”
จางอี้หมิงพูดเสียงดังส่งผลให้จางอี้เทากับหลี่อ้ายที่ฟังอยู่ด้วยถึงกับเขินอายเมื่อบุตรชายคนเดียวเอ่ยเย้าหน้าตาย
“หมิงเอ๋อร์ จะ....เจ้า พูดอันใดออกมา” หลี่อ้ายเอ่ยเสียงดุไม่ดังมากนัก พวงแก้มของนางขึ้นสีแดงระเรื่อก่อนจะเรียกสติของตัวเองกลับมา ปรับสีหน้าให้เป็นดังเดิม
“เรื่องน้องชายน้องสาวเอาไว้ก่อนเถอะหมิงเอ๋อร์” นางบอกเด็กชาย “ไหนวันนี้แม่ต้องทำอันใดบ้าง ท่านแม่ ท่านพี่ ข้าขอช่วยทำด้วยได้หรือไม่ ข้าดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากช่วยอีกแรง”
หลี่อ้ายเอ่ยถาม นางเห็นว่ายังมีงานที่ต้องทำอีกหลายอย่าง ตนเองค่อยยังชั่วแล้วจึงไม่อยากนั่งเฉย เพราะลำพังแค่นางหูกับจางอี้เทาก็ดูจะทำไม่ทันกันแล้ว
“ได้สิ แต่น้องหญิงต้องไม่ฝืนตนเอง ถ้ารู้สึกไม่ดี ให้รีบไปพัก ถ้าทำได้พี่จึงจะอนุญาต”
“ข้าสัญญาเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายรับคำของสามี
“หมิงเอ๋อร์ ย่าจะเจียวน้ำมันจากมันหมูเอง ส่วนสะใภ้เจ้าหมักเนื้อกับกระดูกลงไหเพื่อเก็บไว้กินหลายวัน แต่ย่าทำไส้ไม่เป็น คงต้องให้หมิงเอ๋อร์ทำให้แล้ว” นางหูแจกแจงหน้าที่อย่างชำนาญและเห็นสมควร
“ท่านย่า ไส้หมูต้องเอาไปล้างที่ลำธารขอรับ ข้าทำเองไม่ได้ ต้องให้ท่านพ่อทำขอรับ” อี้หมิงยกมือกล่าว
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปกับหมิงเอ๋อร์นะอี้เทา”
“ได้ขอรับ เช่นนั้นข้าจะพาหมิงเอ๋อร์ไปล้างไส้หมูที่ลำธาร หมิงเอ๋อร์พ่อต้องเอาอันใดไปอีกหรือไม่” จางอี้เทาลุกไปเอาไส้หมูที่ห่อไว้ พลางถามบุตรชายเผื่อว่ามีของที่ต้องใช้อีก
“เกลือขอรับ แต่ไม่ต้องมาก เพียงนิดเดียวเท่านั้นขอรับ”
จางอี้เทาแกะเอาเกลือที่ซื้อมาใส่ลงไปในไหดินเผาทั้งหมดแล้วตักแบ่งมาเพียงเล็กน้อยตามที่บุตรชายบอก เขาหยิบชามไม้ขนาดกลางมาด้วย แล้วหันมาจูงมืออี้หมิงออกไปที่ลำธาร
“ท่านพ่อขอรับ ไส้หมูนี้มันแยกออกเป็นสองส่วน ที่ท่านพ่อถืออยู่เรียกว่าลำไส้อ่อน ขั้นตอนการล้างไม่ยุ่งยากท่านพ่อต้องตัดไส้หมูให้เป็นชิ้น ๆ แล้วตัดพังผืดออก นำไปล้างด้วยน้ำเปล่า 2 ครั้ง หลังจากนั้นนำเกลือลงไปขยำ ๆ ล้างด้วยน้ำเกลืออีก 2 ครั้ง เพียงเท่านี้ก็สะอาดแล้วขอรับ” อี้หมิงอธิบาย
“แต่ถ้าเป็นลำไส้ใหญ่ เราต้องล้างทั้งข้างนอกและข้างใน ขั้นตอนมันยุ่งยากมาก ที่สำคัญต้องใช้เกลือจำนวนมากขอรับ ข้าว่ามันคงไม่คุ้มค่ากับราคาเกลือ”
จางอี้เทาทำตามที่บุตรชายบอกทุกอย่างไม่นานก็เรียบร้อย อี้หมิงมองเห็นดงผักบุ้งริมธารก็นึกขึ้นได้
ที่บ้านยังไม่มีผักบุ้งเลยนี่ แล้วท่านย่าจะผัดอย่างไรเล่า...
นึกได้ดังนั้นเด็กน้อยจึงบอกให้บิดาเดินไปเก็บผักบุ้งมาเสียพอประมาณ พวกมันขึ้นอยู่เต็มสองฝั่งน้ำ ไม่จำเป็นต้องนำไปทั้งหมดในคราวเดียว
เมื่อได้ผักมาพอรับประทาน สองพ่อลูกจึงเดินกลับไปที่บ้าน หลี่อ้ายทำเนื้อเค็มหมักลงไหเสร็จแล้วเรียบร้อย ส่วนนางหูยังคงง่วนอยู่กับการเจียวน้ำมันหมู
“ท่านย่าขอรับ วันนี้เราจะฉลองกัน เราจะทำอาหารอะไรหรือขอรับ” จางอี้หมิงรีบถาม เขาอยากกินอาหารกับข้าวสวยร้อนๆ ซึ่งนี่จะเป็นมื้อแรกนับตั้งแต่ที่เขาฟื้นขึ้นมา
“ย่าคิดว่าจะหุงข้าว ผัดผักบุ้งไฟแดง น้ำแกงเนื้อ หมิงเอ๋อร์ว่าดีหรือไม่” นางหูเอ่ยรายการอาหารให้หลานชายฟัง
“ไม่ดีขอรับ วันนี้ข้าขอเสนอรายการอาหารเป็น ไส้ทอดคลุกเครื่องเทศและพะโล้แห้งหญ้าหวานขอรับ ท่านย่าหุงข้าวเยอะ ๆ เลยนะขอรับ” จางอี้หมิงตอบนางหูแล้วก็ถึงกับน้ำลายสอ แทบอดทนรอให้ถึงตอนเย็นไม่ไหวแล้ว อยากจะกินอาหารดีๆสักที
“หมิงเอ๋อร์ ชาวบ้านแบบเรา ๆ ไม่มีใครเอาเนื้อมาทำพะโล้นะ มันทั้งสิ้นเปลืองและราคาแพง เนื้อที่เรามีถ้าทำน้ำแกง บ้านเราจะมีน้ำแกงเนื้อกินหลายมื้อเชียวนะ แต่ถ้าเอามาทำพะโล้คงกินได้แค่วันเดียวเท่านั้น” นางหูรีบเอ่ยทัดทานหลานชาย ถึงแม้ว่าจะเป็นการฉลองแต่ถ้าสิ้นเปลืองถึงขนาดนี้นางก็ปวดใจยิ่ง
“ท่านย่า ถ้าชาวบ้านไม่ทำกินแล้วใครทำกินเล่าขอรับ”
จางอี้หมิงถึงกับเอียงคองง โลกที่เขาจากมาพะโล้เป็นอะไรที่ทำง่ายและอร่อย ไม่ใช่อาหารดีเด่นอะไรเลยด้วยซ้ำไป แต่เหตุใดท่านย่าจึงบอกออกมาว่าชาวบ้านไม่ทำกินกัน เพราะเนื้อที่นี่มีราคาแพงหูฉี่อย่างนั้นหรือ
เด็กน้อยได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ถึงแม้ว่าจะเคยมีสงครามและจบลงไปแล้วกว่าสิบห้าปี แต่อาหารก็ไม่ถึงกับขาดแคลน ยังคงมีให้ชาวบ้านชาวเมืองได้นำมาประทังชีวิต หรือจะเป็นเพราะว่ายุคนี้ยังไม่รู้จักการปรุงอาหารที่หลากหลายกันแน่
“ต้องเป็นคนที่มีฐานะดี พวกคหบดีต่าง ๆ คนที่ทำงานให้ราชสำนัก เมื่อก่อนบ้านเราก็มีโอกาสได้กินอยู่นะถึงแม้ว่าจะไม่บ่อยครั้งก็ตาม” นางหูอธิบายให้หลานชายฟัง แต่ยังคงไม่สามารถตอบคำถามในใจอี้หมิงได้อยู่ดีว่าเหตุใดชาวบ้านไม่ทำกินกัน หากเหล่าคนชั้นสูงทำทานได้ ทำไมชาวบ้านจะทำบ้างไม่ได้
“ท่านย่า ข้าว่าวันนี้เรายังไม่ต้องทำอาหารมากมายเลี้ยงฉลองดีกว่าขอรับ แต่ยังไงไส้นี่ต้องทำอาหารวันนี้ เช่นนั้นเราทำไส้หมูทอด ผัดผักบุ้งไฟแดงกับข้าวสวยก็เพียงพอแล้วขอรับ พรุ่งนี้หลังจากที่ข้ากับท่านพ่อไปเก็บต้นหญ้าหวานบนภูเขาเสร็จแล้ว ข้าจะสอนท่านย่าทำหมูพะโล้แห้ง บางทีพวกเราอาจจะเอาสูตรหมูพะโล้แห้งไปขายให้กับเหลาอาหารในเมือง ท่านย่าว่าดีหรือไม่ขอรับ” อี้หมิงปัดความสงสัยของตัวเองทิ้งไปแล้วเสนอหนทาง
“ย่าตามใจหมิงเอ๋อร์ เพราะอาหารทั้งหมดนี้ เป็นหมิงเอ๋อร์หลานคนเก่งของย่าหาเข้าบ้านมาทั้งนั้น”
“เช่นนั้นท่านพ่อขอรับ ท่านช่วยไปดูหม้อเจียวน้ำมันแทนท่านย่าทีขอรับ เพียงแค่คนบ่อย ๆ ไม่ให้มันไหม้เท่านั้น ท่านย่าจะได้มาทำไส้ทอดกับหุงข้าว”
“ได้สิ แต่พ่อขอเก็บของพวกนี้ให้เข้าที่เข้าทางก่อนนะหมิงเอ๋อร์” จางอี้เทาชี้ไปที่พวกไหเปล่าที่มีหลายขนาด เครื่องใช้ หม้อรวมทั้งผ้าหลายพับ
จางอี้หมิงแจกแจงงานให้ย่ากับบิดาทำ ส่วนตัวเขาถึงแม้อยากจะทำเองใจแทบขาด แต่ด้วยร่างกายตอนนี้เพียงแค่จะหยิบหม้อยังไม่มีปัญญาเลยด้วยซ้ำ คนอื่นเขาย้อนเวลามาเกิดใหม่มักอายุ 10 ขวบขึ้นไปแล้วทั้งนั้น ไหงเขาถึงมาแค่ 5 ขวบเอง ทำอะไรก็ไม่สะดวกสักอย่าง ถ้าขืนยังทำอวดเก่งเหมือนนิยายเรื่องอื่น ๆ คาดว่าจะกลายเป็นคนพิการก่อนเป็นคนเก่งซะก่อนเป็นแน่
“ท่านพี่ เช่นนั้นข้าจะเอาผ้าพวกนี้ไปจัดการนะเจ้าคะ”
หลี่อ้ายเมื่อเห็นทุกคนต่างช่วยกันทำงานจึงอยากช่วยบ้าง เนื่องจากยังไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ งานผ้าจึงเป็นสิ่งที่ตนสามารถทำได้และเพราะหลี่อ้ายเติบโตมาจากร้านค้าขายผ้าปัก งานตัดเย็บจึงเป็นสิ่งที่นางถนัดที่สุด
“ไปเถอะน้องหญิง ถ้าทำไม่ไหว อย่าหักโหมเข้าใจหรือไม่” จางอี้เทากำชับ
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่อ้ายแยกตัวจากครอบครัวเพื่อนำผ้าที่สามีซื้อมาไปทำการตัดเย็บต่อไป ส่วนจางอี้เทาหลังจากที่จัดเก็บของเข้าที่แล้ว เขาจึงไปนั่งแทนมารดาเพื่อทำการเจียวน้ำมันหมู
“หมิงเอ๋อร์ ย่าพร้อมแล้วต้องทำยังไงบ้าง” นางหูเอ่ยถามหลานชาย
“ท่านย่าหุงข้าวก่อนขอรับ จากนั้นจึงทำไส้ทอด แล้วค่อยผัดผักบุ้งทีหลัง ท่านย่าพอจะมีน้ำมันหมูเก่าหรือไม่ขอรับ”
“หมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ หมิงเอ๋อร์”
“เช่นนั้นเอาน้ำมันที่เราเจียววันนี้ก็ได้ขอรับ ท่านย่าตั้งหม้อหุงข้าวไว้ เสร็จแล้วเราจะคลุกไส้หมูหมักกับเครื่องเทศรอระหว่างที่กำลังหุงข้าวนะขอรับ”
จางอี้หมิงจำได้ว่าเครื่องเทศที่บิดาซื้อมามีฮวาเจียวที่ให้รสเผ็ดชา ถึงแม้ไม่มีพริกแต่ก็สามารถใช้พริกฮวาเจียวแทนได้ อีกอย่างคือมีชวงเจีย(พริกหอม) รวมทั้งเครื่องเทศพื้นฐานอีกหลายชนิด
“ท่านย่า คั่วเม็ดฮวาเจียว(พริกไทยหรือพริกหมาล่า) กับชวงเจีย(พริกหอม)ให้หอมแล้วนำมาตำให้ละเอียดนะขอรับ ใส่กระเทียมเล็กน้อย ขิงนิดหน่อย เกลือสักหยิบมือ อย่าลืมใบยี่หร่าด้วย ที่ขาดไม่ได้คือน้ำตาลผักอีกนิด อย่าลืมซีอิ้วนะขอรับ เสร็จแล้วนำไส้ที่ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงไปหมักสักสองเค่อก็ได้แล้วขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายขั้นตอน
“จริงสิ...ท่านย่า ซีอิ้วใส่กับผัดผักบุ้งจะอร่อยมากยิ่งขึ้นขอรับ เมื่อวานพวกเรายังไม่มีเครื่องปรุง ข้าเลยไม่ได้บอกให้ท่านย่าใส่ลงไป แต่วันนี้เรามีเครื่องปรุงแล้วขอรับ ข้าขอโทษที่ข้าลืมซื้อน้ำตาลเพราะคิดว่าใช้น้ำตาลผักแทนได้ แต่ข้าลืมไปอย่างหนึ่งว่าอาหารบ้างอย่างใช้น้ำตาลทำจะเหมาะกว่าขอรับ”
นางหูทำตามที่หลานชายบอกทุกขั้นตอน นางหยิบนู่นจับนี้ออกมาสรรค์สร้างอาหาร พอเห็นไหซีอิ้วที่จะนำมาปรุง นางถึงกับอารมณ์ดีขึ้นมาก พอหมักไส้ได้ตามเวลาที่ต้องการ ข้าวก็สุกพอดี
“ท่านย่า ต่อไปนี้เรียกว่าการทอด นะขอรับ การทอดคือการทำอาหารให้สุกด้วยน้ำมันที่ร้อน ใช้น้ำมันปริมาณมาก ซึ่งแตกต่างจากการผัด การผัดจะใช้น้ำมันเพียงนิดเดียวเท่านั้น จะทอดไส้อ่อน หรือทอดเนื้อสัตว์อันไหน ท่านย่าเพียงเติมน้ำมันหมูลงไปเยอะหน่อย พอกระทะร้อนก็นำไส้อ่อนที่หมักลงไปทอด ไม่ต้องพลิกไส้บ่อยนะขอรับ พอเริ่มสุกแล้วจึงพลิกอีกข้าง การทอดต้องระวังน้ำมันกระเด็นใส่ตัวเราด้วยนะขอรับท่านย่า พอไส้อ่อนหมูสุกเหลืองดีแล้ว ตักขึ้นพักไว้ขอรับ เสร็จแล้วท่านย่าก็ทำผัดผักบุ้งได้เลยขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ย เขาไม่ลืมตักเตือนเรื่องน้ำมันกระเด็นด้วย
“ท่านพ่อเจียวน้ำมันหมูใกล้จะเสร็จหรือยังขอรับ อีกไม่นานท่านย่าก็ทำอาหารเสร็จแล้ว ข้าหิวจนไส้จะขาดแล้วขอรับ” เด็กน้อยหันไปถามบิดาตอนนี้เย็นมากแล้ว อีกไม่นานอาหารทั้งหมดก็คงเสร็จ ถามแล้วพลางเอามือมาจับลำเอวตนเอง บิดตัวงอไปมา ดูแล้วน่าสงสาร ทั้งที่จางอี้เทากับหูไป๋หงรู้ว่าเด็กชายแกล้งทำให้ดูน่าสงสาร แต่ในสายตาพวกเขากลายเป็นว่าดูน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย
“อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว หมิงเอ๋อร์ อดทนอีกนิด เมื่อท่านย่าทำอาหารเสร็จพวกเราก็กินได้”
“ท่านพ่อ ซาลาเปา 10 ลูกที่พวกเราซื้อมา ข้าว่าเอาไว้อุ่นพรุ่งนี้ตอนเช้าดีหรือไม่ขอรับ วันนี้ข้าอยากกินไส้หมูทอดก่อน” เมื่อเริ่มหิวก็นึกถึงของกินอย่างอื่นขึ้นได้ อี้หมิงจำได้ว่าท่านพ่อซื้อซาลาเปามาด้วย แต่เพราะวันนี้มัวแต่ตื่นเต้นที่จะได้กินข้าวหุงวันแรกก็ทำให้เขาลืมมันไปเสียสนิท
“ได้สิ พ่อตามใจเจ้า”
พวกเขาพูดคุยกันไม่นานนางหูก็ทำอาหารทุกอย่างเสร็จ เช่นเดียวกับจางอี้เทาที่เจียวน้ำมันหมูจนได้ที่ เหลือเพียงหลี่อ้ายเท่านั้นที่ยังคงไม่เสร็จจากงานผ้า
“อืม...ไส้อ่อนกรอบนอกนุ่มใน เผ็ดร้อน หวาน มัน เค็ม ได้ทุกรสชาติจริง ๆ เสียดายไม่มีเครื่องปรุงพอให้ทำน้ำจิ้ม”
จางอี้หมิงเป็นคนแรกที่ตักไส้ทอดเครื่องเทศขึ้นชิม เด็กชายหลับตาพริ้มซึมซับรสชาติของอาหาร ความเผ็ดที่เขาไม่ได้ลิ้มลองมานานทำให้มีความสุขจนไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยาย ทำไงได้ คนไทยชอบกินเผ็ด พอไม่มีพริกมันก็เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง
นางหู จางอี้เทา และหลี่อ้าย ได้แต่มองเด็กชายตัวน้อยตาปริบ ๆ พวกเขายังไม่กล้าลองชิมไส้ทอดจานนี้ ถึงแม้ว่ามันจะมีกลิ่นหอมมากแต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดเอามาทอด
“ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ลองชิมดูขอรับ ข้ารับรองว่าไม่เหม็นคาว มันอร่อยมากเลยขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยชวน เด็กน้อยหยิบเข้าปากอีกชิ้นและยืนยันเสียงหนักแน่นว่าไม่คาว
“มันไม่คาวจริงหรือหมิงเอ๋อร์” หลี่อ้ายถามย้ำ
“ไม่คาวขอรับท่านแม่ ท่านแม่ลองชิมดู” จางอี้หมิงคีบไส้อ่อนทอดชิ้นเล็ก ๆ วางลงไปบนถ้วยของมารดาแล้วทำตาเป็นประกาย
หลี่อ้ายชั่งใจอยู่เพียงชั่วอึดใจก็ตัดสินใจคีบไส้อ่อนทอดเข้าปากไป นางลิ้มรสและทำตาโต อุทานออกมาเสียงไม่เบามากนัก
“อร่อยเจ้าค่ะ ท่านพี่ ท่านแม่ เป็นอย่างที่หมิงเอ๋อร์บอก ไม่คาว ไม่เหม็น มันอร่อยมาก แต่ว่ามีรสชาติเผ็ดหน่อยนะเจ้าคะ”
นางหูและจางอี้เทาเมื่อได้ยินคำยืนยันจากหลี่อ้ายจึงตัดสินใจลองชิมดู อี้เทาคีบไส้ทอดวางลงบนถ้วยมารดาก่อนแล้วจึงคีบให้ตนเอง สองแม่ลูกมองหน้ากันและส่งอาหารแปลกตาเข้าไปในปาก ค่อยๆเคี้ยวอย่างละเมียดละไม รสชาติไส้ทอดจานนี้ดีกว่าที่คิด นางหูถึงกับตาโตตามลูกสะใภ้
“อร่อยจริงด้วย”
“อร่อยมาก หมิงเอ๋อร์ ลูกพ่อช่างเก่งจริง ๆ ผัดผักบุ้งว่าอร่อยแล้ว ไส้อ่อนหมูทอดเครื่องเทศก็ไม่น้อยหน้าเลย” จางอี้เทาชม
“ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ต่อไปบ้านเราจะมีของอร่อยกินทุกวันเลยขอรับ” จางอี้หมิงให้คำมั่น เขายิ้มกว้างพร้อมกับคีบไส้ทอดเข้าปากตามด้วยข้าวคำโต
มื้อเย็นวันนั้นครอบครัวจางต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เพราะพวกเขามีเงินเกือบสองตำลึง มีข้าวสาร เครื่องเทศ เนื้อสัตว์ ผ้าต่าง ๆ ตามต้องการแล้ว และถ้าการแลกเปลี่ยนแรงงานกับชาวบ้านประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะมีบ้านใหม่ก่อนถึงฤดูหนาวนี้
ไม่แน่ว่าในอนาคตอาหารที่เด็กชายบ้านจางทำออกมาอาจจะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้เช่นกัน วันนี้ครอบครัวจางทุกคนจึงเข้านอนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ตั้งแต่ที่ย้ายออกจากเมืองหลวงมาเห็นทีจะมีวันนี้ที่นางหูได้หลับอย่างมีความสุข จางอี้เทาและหลี่อ้ายเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้แต่ชายหนุ่มจากต่างโลกในร่างเด็กน้อยยังแสนสุขใจ
และได้แต่หวังว่ามันจะเป็นเช่นนี้ต่อไป...
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 267
แสดงความคิดเห็น