บทที่ 4 อีกฝั่งหนึ่ง
บทที่ 4 อีกฝั่งหนึ่ง
ณ ทวีปแห่งความมืด
ก้อนละครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แผ่นดินอันกว้างใหญ่ถูกแบ่งออกเป็น 4 ทวีปใหญ่ๆ หนึ่งใน4 ทวีปถูกตั้งชื่อว่าทวีปแห่งความมืด ทวีปนี้เต็มไปด้วยขุมทรัพย์มอนสเตอร์ที่ดุร้าย ทวีปแผ่นนี้ปัจจุบันไม่มีคนอยู่อาศัย ถึงแม้ว่าทวีปมืดจะเป็นทวีปที่ดูโหดร้าย แต่สำหรับยอดฝีมือมันคือขุมทรัพย์
ในทวีปแห่งความมืดพวกสัตว์อสูรจะมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก พวกสัตว์อสูรในทวีปต่างความมืดจะมีระดับ C 1 ไปจนถึง A1 ทวีปแผ่นนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล เพราะว่าประชากรที่อาศัยอยู่กับมีน้อยแทบนับนิ้วได้ เนื่องจากสัตว์อสูรที่มีความดุร้ายทำให้ผู้คนไม่ค่อยมาอาศัยอยู่ในทวีปนี้
ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม สำหรับ 3 หนุ่มที่อยู่ในทวีปมืด มาตั้งแต่อายุ 7-8 ขวบพวกมอนสเตอร์เหล่านี้ก็ไม่ใช่คู่มือที่ไม่สามารถเอาชนะได้ ถ้าหากพวกเขาอยู่ด้วยกันและร่วมมือกัน แต่ถ้าหากต้องต่อสู้แค่เพียงคนเดียวมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ชายหนุ่มผมสีดำมองผืนป่าที่แสนกว้างใหญ่ถึงแม้ว่าเขาจะอายุประมาณ 14 15 แต่ว่าสีหน้าท่าทางแววตาของเขาราวกับว่าเป็นคนอายุ 20 เขาหันไปมองเด็กหนุ่มผมฟ้าก่อนที่จะกล่าวขึ้น “ถ้าฉันไม่ได้พวกนายช่วยละก็ ฉันคงตายไปแล้วล่ะ ฉันไม่คิดเลยว่าพวกชาวต่างมิติจะมีพลังมากขนาดนั้น”
เด็กชายผมสีฟ้าสายหน้าปฏิเสธก่อนที่จะกล่าวอย่างถ่อมตน “ไม่เป็นไรหรอกนะโทยะฉันไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้นหรอก ไม่ต้องคิดว่ามันเป็นบุญคุณอะไร แต่ว่านายต้องเลี้ยงอาหารกลางวันฉันจนกว่านายจะจบจากวิทาเรียน้า”
“นี่ขนาดไม่คิดเป็นบุญคุณนะนายยังเอากับโทยะขนาดนี้เลยนะเนี่ย แล้วถ้าเกิดไปช่วยอะไรที่มันสำคัญกว่านี้นายไม่ให้มันเลี้ยงอาหารกลางวันนายจนกว่านายจะตายเลยหรือไง”
โทยะหันไปเบะปากใส่ชายหนุ่มผมสีแดงออกน้ำตาล “ฉันก็แค่ล้อเล่น นายนี่นะไม่เข้าใจมุกของฉันเลยนะเนกิ”
“ที่นายพูดเมื่อกี้เนี่ยนะเรียกว่ามุก ฮ่าๆๆ ตลกมากๆเลย ตลกจนขำไม่ออกไม่รู้จะหัวเราะยังไงแล้วเนี่ย ถ้าฉันจำไม่ผิดถ้าพูดแบบนี้เขาเรียกว่ามุกฝืดใช่ป่ะล่ะโทยะ”
“ไอ้เนกิ” เด็กหนุ่มผมสีฟ้าแหวใส่เด็กหนุ่มผมสีแดง
ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อเด็กหนุ่มผมสีดำกับกล่าวขึ้น “อย่าเถียงกันเลยนะรูรุเนกิ ฉันอยากพักผ่อนสักหน่อยรู้สึกเจ็บขายังไงก็ไม่รู้”
สิ้นคำกล่าวเด็กหนุ่มผมสีแดงก็หยุดชะงัก เขามีท่าทางจริงจังก่อนที่จะกล่าวยังเป็นห่วง “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม คำศัพท์ที่นายได้รับมันรุนแรงมากเลยนะถ้าเราไม่รีบไปหาน้าฮานะละก็”
“ฉันรู้แล้วล่ะ แต่ว่าต่อให้เราจะรีบเร่งเดินทางสักแค่ไหน เราก็เดินทางได้เร็วที่สุดเท่านี้แหละ สภาพของฉันตอนนี้ถึงแม้ฉันจะอยากใช้เวทย์เคลื่อนย้ายแต่ก็คงทำไม่ได้หรอก”
เด็กหนุ่มผมสีแดงครุ่นคิดอย่างหนักใจก่อนที่จะหันไปมองเด็กหนุ่มผมสีฟ้าที่มีท่าทางนิ่งเงียบ “ได้มีความเห็นอะไรหรือเปล่า ยังไงน้าก็เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในกลุ่มของเรานะ”
“จะบ้าหรือไง ฉันกับนายก็มีไอคิวและอีคิวไม่ต่างกันหรอกน่า ถ้านายคิดไม่ออกฉันจะไปคิดออกได้ยังไง แล้วอีกอย่างนึงนี่ก็ใกล้จะถึงเขตแดนของทวีปมืดแล้วอีกไม่นานพวกเราก็จะเดินทางได้เร็วขึ้น จากที่ฉันคาดฉันคิดว่าคงไม่เกิน 2-3 วันเราก็คงถึงอาณาจักรแล้วล่ะ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี ฉันไม่รู้เลยว่าโทยะจะทนกับบาดแผลแบบนี้ได้นานสักเท่าไหร่ บาดแผลที่โดนมาส่วนใหญ่พวกเราก็รักษาได้เกือบหมดแล้วเหลือแต่แผลที่เป็นคำสาป” เนกิพูดก่อนที่จะหันไปมองรอบๆเพื่อป้องกันสัตว์อสูรที่สามารถปรากฏตัวได้ทุกขณะ
“ฉันไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกแล้วที่นายจะบุกไปสู้กับชาวต่างมิติแค่เพียงคนเดียว ถึงแม้เราจะรู้ก็ตามว่าเจ้าพวกนั้นไม่ได้เ****วชาญพลังเวทย์ แต่ว่ามันก็มีบางสิ่งที่เราไม่มีทางสู้เจ้าผู้นั้นได้” รูรุหันไปกล่าวกับโทยะอย่างจริงจัง
เมื่อโทยะเห็นดังนั้นเขาจึงพยักหน้าหรับคำกล่าวของเพื่อนของเขา “ฉันก็คิดไว้แล้วหรอเจ้าสิ่งนั้นมันเทียบเท่ากับพลังเวทย์มนต์เลย ไม่สิถ้าจะพูดให้ถูกเวลาจ้องสิ่งนั้นรวมกับพลังเวทย์มนต์มันแข็งแกร่งกว่าพลังเวทย์มนต์ที่พวกเราเคยเห็น”
เนกิทำท่าทางครุ่นคิด สำหรับเขาพลังที่จะแข็งแกร่งกว่าพลังเวทย์มันไม่มีทางที่จะมีในโลกนี้ได้ แต่ในเมื่อเพื่อนสนิทของเขาเปล่าอย่างมั่นอกมั่นใจทำให้ เนกิต้องเชื่อโดยที่ไร้ข้อกังขา
“ฉันไม่อยากจะเชื่อว่ามีสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าพลังเวทมนตร์อยู่ในโลกนี้ได้ มันเป็นไปได้ยากใช่ไหมล่ะเพราะว่าโลกนี้มันเป็นโลกแห่งเวทมนตร์ พลังเวทย์คือทุกสิ่งทุกอย่างของโลกใบนี้ แต่ว่าจู่ๆวันหนึ่งพวกเราก็ได้รู้ว่าพลังเวทย์มนต์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถต่อสู้กับชาวต่างมิติพวกนั้นได้ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยให้ตายเถอะ”
“ก็ไม่เห็นแปลกเลยนี่นา พวกที่โทยะต่อสู้ด้วยเป็นผู้ที่มาจากต่างโลกนะ มันไม่เห็นจะแปลกเลยถ้าพวกนั้นฝึกพลังเวทย์มนต์เพียงอย่างเดียวพวกนั้นก็ไม่สามารถสู้กับพวกเราได้อย่างสูสีหรอก เพราะอย่างนั้นพวกนั้นจึงใช้บางสิ่งมาผสมผสานกับเวทมนตร์ มันก็คือวิทยาศาสตร์ หลังจากที่ฉันได้อ่านเจ้าสิ่งนั้นฉันตกตะลึงไปเลยล่ะ วิทยาศาสตร์มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ถ้าจะให้ฉันพูดง่ายแล้วก็วิทยาศาสตร์น่ะมันคือเวทมนตร์เท่ากับว่ามันคือเวทย์มนต์อีกสายหนึ่ง”
“ใช่แล้ว ฉันได้ยินมาว่าเจ้านั่นมันถูกตั้งชื่อว่าวิทยาการเวทมนตร์”
รูรุยิ้มอย่างถูกใจก่อนที่จะหันไปมองยังเพื่อนทั้งสองที่เดินอยู่ข้างๆ “วิทยาการเวทมนตร์มันเป็นศาสตร์ที่น่าสนใจจริงๆ”
โทยะกำมือแน่น ก่อนที่จะตะโกนดังลั่น “ถ้าเจอกันครั้งหน้าฉันจะเด็ดหัวแกออกมา ฉันจะเอาเลือดของแกมาร้างตีนของฉัน ฉันจะขยี้พวกแกให้เละ ให้พวกแกไม่มีทางกลับมาอยู่ในโลกนี้ได้อีก”
—-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทางฝั่งของพวกอะคา
ชายหนุ่มผมแดงรูปเคาของตนพลางครุ่นคิดอย่างหนักใจ ‘รอยแยกมิตินับวันยิ่งกว้างขึ้น ถ้าขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้พวกนั้นคงเข้ามาในโลกนี้ได้อย่างง่ายดาย ถ้าเจอพวกต่างไม่ติดก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้วถ้ายังต้องรับมือกับเผ่าเทพและมารคงต้องปวดหัวมากกว่าเดิมแน่ ๆ หรือว่าเราจะไปจัดการพวกต่างโลกแล้วให้เด็กๆรับมือกับเผ่าเทพกับพวกเผ่ามารเอง “
“คิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรอ “ เสียงหวานของภรรยาสุดน่ารักทำให้ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ เขามองท่าทางของหญิงสาวหน้าต่างงดงามที่ค่อยๆเดินมาทางเขา
“คิดถึงลูกหรือไง” ฮารุกะมองสามี ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าสิ่งที่ อะคาคลิปจะไม่ใช่เรื่องลูกๆก็ตาม
อะคาส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ได้คิดเรื่องนั้นอยู่ จะว่าไปฉันก็คิดถึงพวกเด็กๆเหมือนกันเลยนะ แต่ว่าก็สบายใจเพราะว่าลูกๆของเราน่ะ ได้ไปกับเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด”
“ชมใหญ่เลยนะ คงจะดีใจมากเลยสินะที่ได้ลูกศิษย์แถมลูกศิษย์คนนั้นก็เป็นเด็กที่เรียนรู้เร็วอีกต่างหาก” เมเปิ้ลพูดอย่างที่เล่นทีจริง
“ก็ประมาณนั้นแหละ แต่ว่าเรื่องที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่พวกเด็กๆหรอก ฉันเป็นห่วงเธอมากกว่าหลังจากที่พวกเราปิดผนึกประตูมิติขนาดใหญ่เธอก็สูญเสียพลังเวทย์เกือบทั้งหมดเลยไม่ใช่หรือไง ถ้าพวกเราจะต้องปะทะกับพวกต่างมิติเธอจะเป็นคนแรกที่ต้องการก็ได้”
สิ้นคำของชายหนุ่มผมแดง เมเปิ้ลจึงได้ส่ายหน้าปฏิเสธก่อนที่จะพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ “ไม่มีทางหรอกน่า ยังไงฉันก็ไม่ทานตายก่อนนายเด็ดขาด แล้วอีกอย่างนึงสามีของฉันคงไม่ปล่อยให้ฉันตายหรอกจริงหรือเปล่า”
“มันก็จริงแหละยังไงเจ้าแฟนท่อมก็ไม่มีทางปล่อยให้เธอตายง่ายๆหรอก ว่าแต่เจ้าแฟนทอมไปไหนล่ะอย่าบอกนะว่าไปโรงเรียนเวทมนต์”
เมเปิ้ลส่าหน้าปฏิเสธก่อนที่หญิงสาวจะเรียกเครื่องดื่มขึ้นมาและค่อยๆดูดน้ำในแก้วอย่างช้า ๆ ท่าทางของหญิงสาวเหมือนกับว่าจะยั่วชายหนุ่มผมแดง ถามเมื่อเธอสังเกตเห็นว่า อะคาไม่ได้มีท่าทางเดือดเนื้อร้อนใจ เมเปิ้ลจึงถอนหายใจก่อนที่จะตัดสินใจกล่าว
“ไม่ได้ไปโรงเรียนเวทมนต์หรอก แต่ว่าไปทวีปมืดกับคารอสเห็นว่าจะไปฝึกฝีมือเพิ่มนะ”
อะคาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “ฝึกฝีมืออย่างนั้นหรอ น่าสนใจดีนี่”
ชายหนุ่มบิดขี้เกียจก่อนที่จะลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องไปฝึกฝีมือเหมือนกันสินะ” สิ้นคำกล่าวชายหนุ่มผมสีแดงก็ทะยานร่างหายไปในทันที ทิ้งไว้เพียงแค่ 2 สาวที่มองตาม ท่าทางผมชายหนุ่มทำให้สองสาวส่ายหน้าอย่างเอือมระอา พวกหล่อนคิดพร้อมกันก่อนที่จะกล่าว
“พวกเราคงไม่มีฝีมือในการเลือกสามีสินะ”
ก่อนที่ทั้งสองสาวจะถอนหายใจพร้อมกัน
—------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ณฐานทัพของชาวต่างมิติ
ความมืดปกคลุมท้องฟ้าที่แสนสวยงาม สายลมพัดกระหน่ำราวกับว่าจะพัดผ่านทุกสิ่งทุกอย่างให้หายไป ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยลมฝนที่กำลังตกอย่างไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มผมสีดำนัยน์ตาอำมหิต มองแผนที่ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า โดยที่ข้างๆมีชายหนุ่มคนหนึ่ง มองรอยแยกของมิติก่อนที่จะยิ้มกรุ้มกริ่ม “เอาละได้เวลาเริ่มแผนการแล้วสินะ”
“ได้เวลาแล้ว ได้เวลาที่เรา…”
—------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อีกฝั่งของมหานครวิทาเรีย
ชายหนุ่มผมสีดำยิ้มที่มุมปากอย่างถูกใจ เขาค่อยๆเพิ่งทำกับตนเองเบา “ปีนี้นี่น่าสนุกจริงๆ หวังว่าเด็กใหม่จะได้ต่อสู้กับฉันบ้างสักคนนั้น”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 290
แสดงความคิดเห็น