บทที่๒๑

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ
คุณกำลังอ่าน: สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A

บทที่๒๑

“คุณรู้ไหม...คุณเขม...ไอ้ป้องมันบอกกับพ่อแม่ของมันว่ามันเจอน้องชายฝาแฝดของมันแล้ว” ประภาพูดกับสามีเมื่อกลับมาที่ห้องนอน

“ในที่สุดมันก็รู้ความจริงแล้วว่ามันมีพี่น้องฝาแฝด เพราะฉะนั้นพวกเราต้องตามหาตัวไอ้ฝาแฝดอีกคนให้พบว่ามันอยู่ที่ไหน ก่อนที่พ่อแม่ และพี่ของมันจะตามหาเจอ พวกเราต้องกำจัดมัน ไม่งั้นถ้ามันกลับมา...ทรัพย์สมบัติจะต้องถูกแบ่งอีกส่วน ซึ่งฉันจะไม่ยอม เอ๊ะ หรือเราจะกำจัดพวกมันทั้งครอบครัวดีคะเขม”

“ไม่ดีมั้งคุณ...พี่ปราภพเป็นพี่ชายของคุณนะ แค่กำจัดไอ้ป้องกับไอ้น้องชายฝาแฝดของมันก็พอแล้วมั้ง” เขมนันท์ว่า

“ฮึ! พี่ปราภพไม่เห็นฉันเป็นน้อง ก็แล้วทำไมฉันต้องเห็นเขาเป็นพี่ด้วยล่ะ “เธอว่า

ผู้เป็นสามีจึงบอกว่า

“อย่าเพิ่งกำจัดพี่ปราภพกับพี่พรรณ พวกเขายังมีประโยชน์กับเรา”

“ก็ได้...ถ้างั้นก็กำจัดไอ้สองพี่น้องฝาแฝดนั่นก่อน แต่ก่อนอื่นต้องรู้ให้ได้ว่ามันพักอาศัยอยู่ที่ไหน”

“เรื่องนี้เดี๋ยวผมจัดการสืบให้เอง”

“ก็ดีเหมือนกัน”

ในสมองของทั้งสองคนคิดแต่เรื่องชั่วๆ คิดจะฆ่าได้แม้กระทั่งหลานแท้ๆ ของตัวเอง เรียกได้ว่าจิตใจเหี้ยมโหดจริงๆ เกินมนุษย์ หรือเพราะความโลภไม่เข้าใครออกใคร เมื่อใครได้โลภแล้วก็ทำได้ทุกอย่าง แม้แต่เรื่องผิดๆ ก็ทำได้เสมอ

 

หลังจากทำคีโมมาได้สองวัน นางเพียรก็มีอาการคลื่นไส้อาเจียนอย่างหนัก แต่โชคดีที่คุณหมอให้ยาแก้อาเจียนมา ได้ทานแล้วก็รู้สึกดีขึ้น เป็นเอกไม่กล้าทิ้งผู้เป็นแม่แล้วไปทำงาน จะพาไปหาหมอนางก็ไม่ยอมไป ดื้อรั้นมาก และนางก็ไม่อยากให้ลูกชายเสียเงินเพราะนางไปมากกว่านี้ นางยอมตายเสียยังดีกว่าอยู่เป็นภาระของลูก แม้นางต้อยกับนิชาภัทรมาช่วยพูดแต่นางเพียรยืนยันว่าจะไม่ไป จนทุกคนอ่อนใจที่พูดเกลี้ยกล่อม เหนื่อยเปล่าๆ

เช้าวันนี้เป็นเอกตื่นขึ้นมาทำข้าวต้มให้ผู้เป็นแม่ทานแต่เช้า เมื่อทำเสร็จก็ยกมาให้นางที่นอนอยู่บนที่นอนเพราะลุกไม่ไหว อ่อนเพลีย หมดแรง ตั้งแต่หลังทำคีโมนางก็ทานข้าวได้น้อยมาก แทบจะนับคำได้ ทั้งที่เป็นเอกพยายามหว่านล้อมให้นางทานให้ได้เยอะๆ แต่ก็ไม่ได้ผล สภาพนางตอนนี้ซูบลงไปอีก ทั้งที่คุณหมอบอกว่าเพิ่งเป็นมะเร็งแค่ระยะที่สอง แต่ดูจากสภาพร่างกายของนางแล้วเหมือนระยะสุดท้ายเสียมากกว่า

“ลุกขึ้นมากินข้าวเถอะครับแม่ วันนี้ผมทำข้าวต้มให้แม่กิน...เดี๋ยวผมช่วย” เขาบอกผู้เป็นแม่ ก่อนจะช่วยประคองให้นางลุกนั่ง

นางเพียรส่ายหน้า

“ไม่...แม่ไม่หิว”

“ไม่หิวก็ต้องกินครับ เดี๋ยวจะไม่มีแรง กินสักหน่อยเถอะครับแม่”

“แม่...”

“นะครับแม่...กินข้าวต้มสักหน่อยเถอะนะครับ”

“ก็ได้จ้ะ” เมื่อถูกลูกชายรบเร้าเข้านางจึงต้องยอม

แล้วเป็นเอกก็ตักข้าวต้มป้อนผู้เป็นแม่

“อ้าปากสิครับแม่”

“ไม่ต้องป้อน แม่กินเองได้ เอ็งไปทำงานเถอะ”

“ผมจะทิ้งแม่ให้อยู่คนเดียวได้ไงครับ”

“แม่ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกลูก เอ็งไม่ต้องกังวลหรอก แม่จะอยู่จนกว่าเอ็งจะได้พบกับพ่อแม่ที่แท้จริงของเอ็ง”

“ผมไม่อยากพบพวกคนใจร้ายครับ”

“เอ็งอย่าเพิ่งคิดเป็นตุเป็นตะสิ เรื่องมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เอ็งคิดก็ได้”

“เรายังไม่เคยเจอหน้าพวกเขา...ไม่เคยรู้จักพวกเขา...แต่ทำไมดูเหมือนแม่เข้าข้างพวกเขาจังครับ”

“แม่ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่แม่แค่มองโลกในแง่ดีก็เท่านั้นเอง...วันนี้เรามองว่าเขาใจร้ายใจดำ แต่ถ้าเกิดในความเป็นจริงเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดล่ะ เขาอาจไม่ได้ใจร้ายใจดำ แต่เขาอาจเป็นคนดี”

“คนดีที่ไหนเอาลูกตัวเองมาทิ้ง”

“เอาเถอะ! ในเมื่อเรายังไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงมันเป็นยังไง...ก็อย่าเพิ่งคิดอะไรไปไกลเลย” นางตัดบททันที

“ถ้างั้นแม่กินข้าวเถอะครับ”

“ถ้าเอ็งอยากไปทำงานก็ไปเถอะ”

“วันนี้ร้านปิดครับแม่...เมื่อคืนพี่พงศ์โทรมาบอก” เขาบอกยิ้มๆ

นางเพียรจึงถามลูกชายว่า

“แล้วเอ็งอยู่บ้านแบบนี้ไม่เบื่อหรือไง ฮึ!”

“ไม่เบื่อครับ เพราะผมได้ดูแลแม่”

อีกฝ่ายทำหน้าเศร้า

“นี่แม่คงจะเป็นภาระของเอ็งใช่ไหม”

เป็นเอกสั่นศีรษะและบอกว่า

“ไม่เลยครับ แม่ไม่ใช่ภาระของผม...แม่เลี้ยงผมมาจนโต แล้วทำไมผมถึงดูแลแม่ไม่ได้ล่ะครับ ถ้าผมดูแลแม่ไม่ได้ผมจะเป็นลูกที่แย่มากนะครับ”

นางเพียรซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ

“นี่เอ็งรู้ความจริงแล้วเอ็งจะยังรักแม่อีกเหรอ”

“รักสิครับ...วันไหนๆ ผมก็รักแม่ทั้งนั้นแหละ ต่อให้แม่ไม่ได้เป็นคนที่เบ่งคลอดผมออกมา แต่แม่คือคนที่เลี้ยงผมจนเติบใหญ่ ถ้าตอนนั้นไม่ได้แม่เก็บผมมาเลี้ยง ตอนนี้ไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของผมจะเป็นยังไง อาจจะไม่ได้เจอคนดีๆ อย่างแม่ หรืออาจจะโชคร้ายเจอคนที่ชอบกดขี่ข่มเหงก็เป็นได้ นี่ผมได้เจอคนอย่างแม่ผมก็ถือว่าตัวเองโชคดีมากแล้วครับ ยังไงผมก็ต้องตอบแทนพระคุณของแม่” พูดพลางยิ้มพลาง

คำพูดของลูกชายทำให้ผู้เป็นแม่ยิ่งน้ำตาคลอ เพราะรู้สึกตื้นตันใจ...เมื่อยี่สิบเจ็ดปีที่แล้วนางคิดถูกที่เชื่อตามนางต้อย ว่าให้รับเด็กน้อยมาเลี้ยงเป็นลูก นางเลี้ยงลูกชายคนนี้มาจนโต สอนให้เป็นคนดี จนถึงตอนนี้...ตอนที่นางป่วยเขาก็ดูแลอย่างดี ช่างกตัญญูเสียเหลือเกิน นางอดที่จะร้องไห้ไม่ได้จริงๆ

“อย่าร้องไห้สิครับแม่” ชายหนุ่มบอกผู้เป็นแม่ ก่อนจะเอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดน้ำตาให้ และบอกว่า “มัวแต่พูด...ข้าวเลยยังไม่ได้เข้าปากแม่ จะเย็นหมดแล้วครับเนี่ย...มาครับ...เดี๋ยวผมป้อน” แล้วก็ตักข้าวต้มไปจ่อที่ปากของแม่

นางเพียรพยักหน้า ก่อนจะอ้าปากรับข้าวต้ม

“เป็นยังไงบ้างครับแม่” เขาถามยิ้มๆ

ผู้เป็นแม่ยกนิ้วโป้งทั้งสองนิ้วให้

“อร่อยที่สุดเลยจ้ะ”

“ถ้าอร่อย...งั้นแม่ก็ต้องกินเยอะๆ เลยนะครับ หมดถ้วยได้ยิ่งดีครับ”

“ก็ต้องดูก่อนจ้ะ...ถ้าแม่ไหว...แม่ก็จะกินให้หมด”

“ครับ” พูดจบเข้าก็ตักข้าวต้มป้อนแม่อีก

ทั้งสองคนแม่ลูกช่างน่ารักเสียจริงๆ ขนาดเป็นเอกรู้ความจริงแล้วแต่เขาก็ยังดูแลยังรัก ด้วยเหตุผลที่ว่านางเพียรเลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ เขาก็ต้องตอบแทนพระคุณ ถึงแม้จะไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่ก็เป็นแม่ที่เลี้ยงเขามา เขาผูกพันกับผู้หญิงคนนี้มาก เพราะอยู่ด้วยมาตั้งแต่ยังเป็นทารกนั่นเอง

เมื่อถึงเวลาพักเที่ยงปาณัทก็มาหาคุณหมอรินรดา โชคดีที่ตอนนี้เธอยังว่าง ไม่มีเคสผ่าตัด จึงคุยกับเขาได้ ชายหนุ่มเข้ามาในห้องทำงานของคุณหมอสุดสวย เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบบอกออกไปทันที

“พี่มีเรื่องอยากจะให้น้องรินช่วยหน่อยครับ”

“จะให้รินช่วยอะไรเหรอคะ” หญิงสาวถามอย่างแปลกใจ

ปาณัทจึงบอกว่า

“พี่อยากได้ประวัติการรักษาของผู้ป่วยคนหนึ่ง เมื่อสองวันที่แล้วเขามาทำคีโม เขาป่วยเป็นมะเร็งตับระยะที่สองน่ะครับ ก็เลยอยากให้น้องรินช่วยค้นหาประวัติการรักษาของผู้ป่วยคนนี้ให้หน่อยครับ”

“แล้วพี่ป้องรู้ไหมคะ ว่าเขาชื่ออะไร”

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ ยิ้มแห้งๆ

“ไม่รู้ครับ...พี่ไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร”

“ถ้างั้นก็คงค้นหาให้ไม่ได้ค่ะ”

“แต่พี่รู้จักชื่อลูกชายของเขา”

“ชื่ออะไรคะ”

“ชื่อเป็นเอกครับ” ปาณัทตอบยิ้มๆ

คุณหมอรินรดาจึงบอกว่า

“ปกติทางโรงพยาบาลจะไม่ให้ประวัติการรักษาของผู้ป่วยกับใครง่ายๆ นอกจากญาติของผู้ป่วยเอง เพราะถือว่าเป็นความลับของผู้ป่วย...แต่ถ้าพี่ป้องอยากได้ เดี๋ยวรินจะบอกให้พยาบาลที่อยู่แผนกชำระเงินกับแผนกจ่ายยาให้ค้นหาประวัติการของผู้ป่วยคนนี้ให้ค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ น้องริน” เขายิ้มดีใจ

ศัลยแพทย์สาวมองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความแปลกใจ

“ว่าแต่พี่อยากได้ประวัติของผู้ป่วยคนนี้ไปทำไมคะ”

“เอ้อ...คือเขาสำคัญกับพี่มากครับ”

“ยังไงคะ”

“ถ้าได้ประวัติการรักษาของผู้ป่วยคนนี้ แล้วเดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟัง”

“ถ้างั้นไปที่แผนกชำระเงินกับแผนกจ่ายยากับรินค่ะ ไปถามพยาบาลด้วยกัน” เธอลุกขึ้น

ปาณัทก็ลุกขึ้น

“ครับ ถ้างั้นก็ไปกันเลย”

แล้วทั้งสองคนก็เดินออกไปจากห้อง ชายหนุ่มมีความหวังที่จะได้ที่อยู่ของน้องชายฝาแฝด ถ้าได้เขาจะรีบพาพ่อกับแม่ และย่าไปหาทันที

 

ปาณัทเดินถือซองสีน้ำตาลเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางอารมณ์ดี เพราะในซองนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่งที่บันทึกประวัติการรักษาของนางเพียรเอาไว้...โชคดีที่คุณหมอรินรดาสนิทกับพยาบาลที่อยู่แผนกชำระเงินและแผนกจ่ายยาจึงขอดูประวัติการรักษาง่าย เธอพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคพยาบาลก็ค้นหาให้ แต่ก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะค้นหา ในที่สุดเขาก็ได้มาเสียที เขาให้พยาบาลปริ้นเอกสารให้ แต่ไม่ได้เอามาฟรีๆ เขาซื้อเอา...เมื่อได้ประวัติการรักษาของนางเพียรมา ชายหนุ่มก็เล่าให้คุณหมอรินรดาฟังว่าเพราะอะไรเขาถึงอยากได้ประวัติของผู้ป่วยคนนี้ เมื่ออีกฝ่ายได้ฟังก็ถึงกับอึ้งไป ไม่คิดเลยว่าปาณัทจะมีพี่น้องฝาแฝด แต่เธอก็ยินดีกับเขาที่จะได้พบเจอพี่น้องของเขา

เขารีบเดินเข้าไปในห้องโถง มีพ่อกับแม่ และย่านั่งอยู่ด้วยกัน...ผู้เป็นย่าทราบแล้วว่าเขารู้ความจริงหมดแล้วว่าเขามีพี่น้องฝาแฝด ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะตอนนี้ท่านก็อยากให้เขารู้อยู่แล้ว

ปาณัทนั่งลงและยื่นซองสีน้ำตาลให้ผู้เป็นพ่อ

“นี่ประวัติการรักษาของแม่ที่เลี้ยงเป็นเอกครับคุณพ่อ ผมซื้อจากพยาบาลมา มีที่อยู่ในนั้นด้วยครับ”

“ดีมากลูก” ปราภพรับมาแล้วยิ้ม “ว่าแต่เราจะไปหาเขา...เอ้อ...ไปหาเป็นเอกวันไหนดี”

“แล้วแต่คุณพ่อครับ” ชายหนุ่มบอก

แล้วคุณนภาลัยก็พูดขึ้น

“แต่แม่ว่าไปพรุ่งนี้ดีไหม แม่ก็อยากเจอหลานชายฝาแฝดของแม่อีกคนเหมือนกัน”

“ดีค่ะคุณแม่ หนูก็อยากเจอลูกชายฝาแฝดอีกคนของหนูเหมือนกันค่ะ” พรรณนิภาว่า

แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือของปาณัทก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของเลขาเขาก็รีบกดรับสาย

“สวัสดีครับ คุณสุ...อะไรนะครับ มีเอกสารด่วนจะให้ผมเซ็น ได้ครับ เดี๋ยวผมจะรีบไป”

หลังจากวางสายชายหนุ่มก็บอกผู้เป็นพ่อ

“ไปครับคุณพ่อ ไปที่บริษัทกับผม”

“อืมม์” ปราภพพยักหน้า ก่อนจะถามว่า “แล้วเอกสารนี่ล่ะ เอาไปด้วยไหม”

“เอาไว้ที่บ้านนี่แหละครับ” แล้วหันไปทางผู้เป็นแม่ “เดี๋ยวคุณแม่เอาเอกสารนี้ไปไว้ในห้องนอนของคุณแม่นะครับ”

“จ้ะ” พรรณนิภาพูดยิ้มๆ

ปาณัทหันไปพยักหน้ากับผู้เป็นพ่อ

“ไปครับคุณพ่อ”

อีกฝ่ายพยักหน้ากลับ ก่อนจะวางซองเอกสารลงบนโต๊ะกระจกและลุกขึ้น เดินออกไปพร้อมลูกชาย

เมื่ออยู่กันสองคน...คุณนภาลัยก็บอกกับลูกสะใภ้ว่า

“แม่ขอตัวไปนั่งเล่นที่ศาลาหลังบ้านก่อนนะ”

“ถ้างั้นดิฉันขอไปนั่งด้วยคนนะคะคุณแม่ อยู่ในบ้านก็เบื่อๆ ค่ะ” พรรณนิภาบอก

ประมุขของบ้านพยักหน้า

“อืมม์ ไปสิ”

แล้วทั้งสองคนก็ลุกขึ้นพร้อมกัน และเดินออกไปจากห้องโถง โดยลืมเอาเอกสารไปเก็บบนห้อง

ประภากับเขมนันท์เดินออกมาจากมุมหนึ่ง หลังจากแอบฟังแม่ พี่ชาย พี่สะใภ้ และหลานชายคุยกันอยู่ตั้งนาน เธอยิ้มให้ผู้เป็นสามี

“เราคงไม่ต้องสืบให้เหนื่อยแล้วค่ะคุณเขม”

“ใช่! เราได้ที่อยู่ของไอ้ฝาแฝดอีกคนแล้ว เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องไปสืบให้เสียเวลา” เขมนันท์ยิ้มพอใจ

ประภามองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นคนเธอก็เดินเข้าไปในห้องโถง ไปซองเอกสารขึ้นมา พร้อมกับยิ้มเหี้ยมโหด

“ไอ้ฝาแฝดอีกคนมันจะไม่มีวันได้กลับมาหาพ่อแม่ที่แท้จริงของมัน มันจะต้องตาย”

“เรื่องนี้เดี๋ยวผมจะลงมือเอง” เขาอาสา

“อย่าให้พลาดนะคะ”

“แน่นอน...ไม่พลาด” เขายิ้มสะใจ

สองคนสามีภรรยาคู่นี้ยังคงคิดที่จะกำจัดสองพี่น้องฝาแฝดเพื่อทรัพย์สมบัติของตระกูล โดยเขมนันท์เป็นคนอาสาไปกำจัดเป็นเอก ก่อนที่คุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภา และปาณัทจะตามเจอ เรียกว่าจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ ทำได้แม้กระทั่งกับหลานของตัวเอง โลภมากจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเลยทีเดียว

 

ปราภพกับปาณัทนั่งตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายของบริษัท ซึ่งสุจิราเป็นคนเอามาให้ นั่งดูไปดูมาปาณัทรู้สึกในบัญชีมันมีอะไรแปลกๆ จนเขาต้องพูดกับผู้เป็นพ่อ

“คุณพ่อครับ ผมว่าในบัญชีรายรับรายจ่ายมันมีอะไรแปลกชอบกลนะครับ”

“ยังไง...พ่อไม่เข้าใจ” ปราภพมองหน้าลูกชายอย่างงงๆ

ชายหนุ่มจึงบอกว่า

“ก็วัสดุกับอุปกรณ์ในการผลิตเครื่องประดับ บางชิ้นบางอันทางบริษัทไม่เคยจัดซื้อ แต่ในบัญชีรายรับรายจ่ายกลับมี...เหมือนมีใครบางคนเบิกเงินไปซื้อโดยถามความคิดเห็นของพวกเราครับ”

“แล้วใครมันจะทำแบบนั้นล่ะลูก”

“ก็ถามคนที่อยู่ฝ่ายการเงินสิครับ”

“ตาภู!” ปราภพมีสีหน้าตกใจมาก

ปาณัทรีบโบกมือ

“ผมไม่ได้สงสัยนายภูหรอกครับคุณพ่อ แค่เรียกเขามาถามเฉยๆ”

“อ้อ ถ้างั้นแกก็เรียกมาถามสิ”

“ครับ” เขาพยักหน้า ก่อนจะกดโทรศัพท์มือถือเพื่อโทรหาภูริช ไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย “นายภู มาหาฉันที่ห้องทำงานหน่อย...ไม่ต้องถามว่าให้มาทำไม...แค่มาหาฉันให้ไวก็พอ แค่นี้แหละ” แล้วก็วางสาย ก่อนจะพูดกับผู้เป็นพ่อ “เดี๋ยวเขาก็มาครับคุณพ่อ”

ทันใดนั้นเองประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาโดยไม่มีคำขออนุญาตสักคำ จนปาณัทต้องตำหนิ

“ก่อนจะเข้ามา นายควรจะขออนุญาตก่อนสักนิดนะ ไม่ใช่นึกอยากจะเข้ามาก็ผลักประตูเข้ามาเลย เขาเรียกว่าคนไม่มีมารยาท”

“เป็นพระหรือไง เทศน์อยู่ได้” ภูริชทำหน้ารำคาญ

“ฉันไม่ได้เทศน์ ฉันแค่บอก” เขาว่า

คนที่เข้ามาจึงถามว่า

“สรุป...ที่เรียกฉันมาเนี่ย มีธุระอะไรก็ว่ามา”

“ทำไม...จะรีบไปไหน”

“ก็รีบไปทำงานไง ถ้าฉันทำงานไม่ได้เรื่องเดี๋ยวก็ถูกแกตัดเงินเดือนอีก”

“รู้ตัวก็ดี”

“ไอ้ป้อง...” ถึงกับไม่พอใจอย่างมาก

ปราภพรีบห้าม

“ใจเย็นๆ กันก่อน” แล้วหันไปทางลูกชาย “สรุปเรียกตาภูมาพูดเรื่องธุระหรือเรียกมาชวนทะเลาะกันแน่ตาป้อง”

“ธุระสิครับคุณพ่อ” ปาณัทว่า

ผู้เป็นพ่อจึงพยักหน้า

“ถ้างั้นก็ว่าไป”

ท่านประธานหนุ่มจึงหันไปทางภูริชและเริ่มคำถาม โดยวางสมุดบัญชีรายรับรายจ่ายตรงหน้า

“ไหนช่วยอธิบายมาหน่อยสิ...ว่าใครเป็นคนเบิกเงินไปตั้งมากมาย เพื่อไปซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่ทางบริษัทไม่เคยจัดซื้อ...ของแต่ละอย่างมันราคาสูงกว่าที่ทางบริษัทเคยจัดซื้อ บอกฉันคำเดียวว่าใครเป็นคนเบิกเงิน”

อีกฝ่ายแอบหน้าซีดเผือดเพราะตกใจ พยายามเก็บพิรุธ ก่อนจะทำใจดีสู้เสือ

“ฉันเองแหละ”

“นั่นไง ฉันว่าแล้วต้องเป็นนาย” เขาเดาถูกเผง “นายเบิกเงินไปซื้อของพวกนี้ทำไม นายก็รู้นี่ว่าบริษัทของเราไม่เคยจัดซื้อของแบบนี้ แล้วทำไม...”

“โธ่เอ๊ย! ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้” ภูริชทำหน้าเบื่อหน่าย “ฉันก็อยากให้บริษัทมีของใหม่ๆ บ้าง ให้มันทันสมัยบ้าง ถึงของพวกนี้มันอาจจะดูแพงไปหน่อย แต่มันก็ทำให้สินค้าในบริษัทของเราดูมีค่ามีราคาขึ้น”

“แล้วทำไมนายไม่มาปรึกษาฉันกับคุณพ่อก่อน ฉันเป็นถึงประธานบริษัทนะ”

“ให้ปรึกษาแกเหรอ ฉันก็รู้คำตอบอยู่แล้ว...ว่าแกไม่เห็นด้วย...ปรึกษาไปก็เปลืองน้ำลาย”

“ถ้างั้นนายพาฉันไปดูพวกนี้ที่นายสั่งมาหน่อยสิ” เขาพูดลองเชิง และเขารู้ว่าของพวกนี้ไม่มีอยู่จริง

อีกฝ่ายถึงกับเลิ่กลั่ก คิดในใจว่า

‘ไอ้ป้อง! นี่แกกำลังจับผิดฉันอยู่ใช่ไหม ฉันไม่ยอมให้แกจับได้ง่ายๆ หรอก เพราะฉันยังกอบโกยเงินไม่พอ รออีกสักหน่อย ถ้าฉันยักยอกเงินได้เยอะที่สุดเมื่อไหร่ ฉันจะหนีไปทันที ไม่อยู่ให้แกจับฉันเข้าซังเตหรอก เฮอะ!’

แต่ปากก็พูดไปอีกแบบ

“เอ้อ...ของที่ฉันสั่งยังไม่มาส่ง ฉันสั่งจากประเทศอังกฤษ ไม่รู้จะมาถึงเมื่อไหร่ แต่เขาให้โอนเงินไปให้ก่อน ฉันถึงต้องเบิกเงินและโอนไปให้เขาไง”

“แล้วนายแน่ใจเหรอว่าโอนเงินไปแล้วจะได้รับของ ไม่ใช่ว่าจะถูกเบี้ยวนะ และเงินก็ไม่ใช่น้อยๆ ด้วยนะ” เขาพยายามมองท่าทีของอีกฝ่ายว่าจะแสดงอาการอะไรออกมาไหม

ภูริชจึงบอกว่า

“ฉันขอรับประกันว่าจะได้ของแน่นอน นายไม่ต้องเป็นห่วง”

“ก็ดี...ในเมื่อนายรับประกันฉันก็โอเค ฉันจะรอดู...อ้อ ถ้าของมาถึงวันไหนก็บอกฉันด้วยแล้วกัน เอาล่ะ หมดธุระแล้ว...ไปได้” เขาผายมือเชื้อเชิญ

แล้วอีกฝ่ายก็หมุนตัวเดินออกไป

คล้อยหลังภูริชปาณัทก็พูดกับผู้เป็นพ่อ

“ผมว่านายภูมันดูแปลกๆ ไปนะครับคุณพ่อ ท่าทางเลิ่กลั่ก มีพิรุธนิดๆ จากเท่าที่ผมสังเกตุดู”

“พ่อก็ว่าแปลกๆ แต่ในเมื่อเรายังไม่มีหลักฐานก็ไม่สามารถทำอะไรได้ หรืออย่างมากก็ทำได้แค่จับผิดเท่านั้น” ปราภพบอก เขาก็สังเกตุเห็นท่าทางเลิ่กลั่ก และหน้าซีดเผือดนิดๆ แต่ก็ทำได้แค่จับพิรุธและจับผิดเท่านั้น นอกนั้นทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน

ท่านประธานหนุ่มพยักหน้า

“ใช่ครับ คนอย่างนายภูต้องจับให้ได้คาหนังคาเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่มีทางยอมรับง่ายๆ”

“เรื่องนี้หยุดไว้ก่อน” ผู้เป็นพ่อว่า “เรามาพูดเรื่องที่จะไปหาน้องชายฝาแฝดของแกอีกคนดีกว่า”

“ก็ไปพรุ่งนี้ไงครับคุณพ่อ”

“ก็รู้ว่าไปพรุ่งนี้...ถ้าพวกเราไปรับเขากลับบ้านเลย เขาจะยอมกลับบ้านกับพวกเราไหม”

“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับคุณพ่อ ก็ต้องลองดูครับ”

“อืมม์...ต้องลองดู” เขาพยักหน้า

“คุณพ่อคุณแม่ครับ...ไอ้ป้องมันเริ่มจะสงสัยผมแล้วนะครับ...วันนี้มันเรียกผมไปคุยที่ห้องทำงาน มันกับคุณลุงดูบัญชีรายรับรายจ่ายของบริษัท มันเห็นความผิดปกติในบัญชี...มันบอกว่าวัสดุอุปกรณ์ที่ผมสั่งซื้อ ทางบริษัทของเราไม่เคยจัดซื้อ และมันบอกว่าแพงกว่าราคาวัสดุอุปกรณ์ที่ทางบริษัทเคยจัดซื้อ” ภูริชเข้ามารายงานพ่อกับแม่ในห้องนอนส่วนตัวหลังจากกลับจากบริษัทในตอนเย็น

ประภาแค่นหัวเราะ

“แล้วไงลูก...มันก็ทำได้แค่สงสัย แต่มันไม่มีหลักฐานอะไรที่จะบ่งบอกว่าลูกของแม่กำลังยักยอกเงินในบริษัท มันไม่สามารถทำอะไรแกได้หรอกตาภู”

“ใช่! ที่แม่แกพูดก็ถูก” เขมนันท์เห็นด้วยกับภรรยา “มันไม่มีทางทำอะไรแกได้ เพราะมันไม่มีหลักฐาน ทางที่ดีแกควรจะกอบโกยเงินจากบริษัทให้ได้มากที่สุด...ช่วงนี้รายได้ไหลเข้าบริษัทเยอะมาก เชื่อพ่อนะ”

ผู้เป็นลูกชายพยักหน้า

“ผมก็คิดเรื่องที่จะกอบโกยเงินในบริษัทให้ได้มากที่สุดเหมือนกันครับคุณพ่อ เมื่อผมกอบโกยเงินได้เยอะแล้ว ผมจะพาคุณพ่อกับคุณแม่หนีไปอยู่ที่อื่นครับ ไปอยู่ที่ไกลๆ ที่ๆ คนตามหาไม่เจอ”

“ที่ไหนลูก”

“เมืองนอกครับคุณแม่”

“ก็ดีเหมือนกัน...ไปอยู่ที่นั่นชีวิตคงจะสุขสบาย มีเงินทองใช้มากมาย...เอ้อ แม่มีเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากกว่านั้น” เธอยิ้มให้ลูกชาย

ภูริชมองหน้าผู้เป็นแม่อย่างแปลกใจ

“เรื่องอะไรเหรอครับคุณแม่”

ฝ่ายผู้เป็นแม่จึงบอกว่า

“ตอนนี้แม่ได้ที่อยู่ของไอ้ฝาแฝดอีกคนแล้ว และเราต้องไปกำจัดมัน...ก่อนที่พ่อกับแม่ และพี่ชายฝาแฝดของมันจะไปเจอ”

“หา! จริงเหรอครับ” เผลอพูดเสียงดังอย่างตื่นเต้น

“จะพูดเสียงดังทำไม เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก”

“ขอโทษครับคุณแม่ ว่าแต่...คุณแม่พูดจริงเหรอครับ”

“จริงสิลูก”

“แล้วใครจะเป็นคนไปกำจัดมันครับคุณแม่”

แล้วเขมนันท์ก็พูดขึ้น

“พ่อเองลูก”

“ถ้างั้นผมขอไปกำจัดมันด้วยคนครับคุณพ่อ” ภูริชอยากมีส่วนร่วมในการกำจัดฝาแฝดอีกคน

ผู้เป็นพ่อโบกมือ

“ไม่ต้อง...เรื่องนี้แกไม่ต้องลงมือ พ่อจะเป็นคนจัดการเอง พ่อไม่อยากให้มือแกเปื้อนเลือด”

“ก็ได้ครับคุณพ่อ แต่ผมขออวยพรให้คุณพ่อทำสำเร็จนะครับ”

“ขอบใจมากเลยลูก...แน่นอน...พ่อต้องทำสำเร็จแน่นอน พ่อของแกซะอย่าง” เขาคุยอวด

“ขี้โม้ละไม่ว่า” ผู้เป็นภรรยาค้อนขวับอย่างหมั่นไส้

อีกฝ่ายจึงบอกว่า

“คุณคอยดูเถอะ”

“ค่ะ...ฉันจะคอยดู”

ทั้งสามคนรู้สึกมีความหวังที่จะกำจัดเป็นเอกสำเร็จ ก่อนที่พ่อกับแม่ และพี่ชายฝาแฝดของเขาจะไปเจอ ไม่ให้ชายหนุ่มได้กลับมาหาครอบครัวที่แท้จริง เพราะถ้ากลับมาได้ นั่นหมายความว่าทรัพย์สมบัติของตระกูลจะต้องถูกแบ่งไปให้เขาอีกส่วน...ซึ่งเขมนันท์ ประภา และภูริชไม่มีทางยอม จึงคิดที่จะกำจัด...กำจัด...และกำจัดอีกฝ่ายไปให้พ้นโลกใบนี้นั่นเอง!

 

เช้าวันใหม่...หลังทานอาหารเช้าเสร็จ คุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภา และปาณัทก็เดินออกไปหน้าบ้านเพื่อเตรียมตัวไปหาเป็นเอก ด้วยความหวังสูงสุดว่าเขาจะกลับมาด้วย แต่ประภาไม่ขอไปด้วย เธอขออยู่บ้าน

แล้วพรรณนิภาก็นึกอะไรขึ้นมาได้

“ตายจริง! ตาป้อง...แม่ลืมบอกไปเลย เมื่อวานไม่รู้ว่าเอกสารนั่นมันหายไปไหน แม่ลืมเอาไปเก็บบนห้อง”

“ไม่เป็นไรครับ...ผมมีเอกสารอีกฉบับ ผมถ่ายไว้สำรอง” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ

“ก็ดีสิ!” คุณนภาลัยว่า “ไม่ว่าจะทำอะไร...ตาป้องของย่าก็จะรอบคอบเสมอ...เอาละ ไปกันเถอะ”

“ครับ คุณแม่” ปราภพพยักหน้า

แล้วทั้งสี่คนก็พากันขึ้นรถตู้คันสีขาวที่จอดอยู่ ประตูรถเลื่อนเปิดและปิดอัตโนมัติ จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวออกไปจากบ้าน

รถตู้ไปลับตาแล้ว...ประภาเดินออกมาจากบ้าน เธอยิ้มร้าย

“ฝันไปเถอะ...ว่าจะได้เจอไอ้ฝาแฝดอีกคน หรือถ้าเจอ ก็คงจะเจอแบบเป็นศพเท่านั้นนะ” หัวเราะสะใจ

 

รถตู้คันสีขาวของคณะคุณนภาลัยมาจอดตรงตลาดสด เพราะในเอกสารประวัติการรักษาของนางเพียรระบุว่าอาศัยอยู่ในสลัมหลังตลาดสด แล้วทั้งสี่คนก็เดินลงจาก โดยไม่ได้สังเกตุเห็นรถของเขมนันท์จอดอยู่ไกลๆ

“ฉันว่าฉันมาก่อน...แต่ทำไมถึงช้ากว่าพวกเขา” เขาพูดอย่างอารมณ์เสีย

ทางด้านคณะของคุณนภาลัย...คุณนภาลัยเดินเข้าไปถามแม่ค้าในตลาดสด

“เอ้อ...พอจะรู้จักบ้านของคนที่ชื่อเพียรไหมคะ”

“อ้อ นังเพียรเหรอคะ...บ้านมันอยู่ในสลัมค่ะ เป็นบ้านไม้หลังสีฟ้า เดินเข้าไปลึกหน่อยค่ะ” แม่ค้าขายหมูบอก

“ขอบคุณค่ะ” เมื่อท่านได้คำตอบก็รีบเดินไปหาลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานชาย “แม่รู้แล้วว่าบ้านของคนที่ชื่อเพียรอยู่ที่ไหน”

“ครับ ถ้างั้นก็ไปกันเลยครับคุณแม่” ปราภพพยักหน้ายิ้มๆ

แล้วทั้งสี่คนก็เดินออกไป โดยต้องเดินผ่านหลังตลาดสด มีทางเดินที่เป็นปูนลาด ใช้เวลาเดินไม่นานก็เจอสลัม และทางเดินเข้าสลัมถูกทำด้วยไม้ทั้งหมด คุณนภาลัยเดินนำหน้า ท่านมองหาบ้านหลังสีฟ้าของนางเพียร แล้วในที่สุดก็เจอ

“นั่น...บ้านหลังนั้น...ใช่...ต้องใช่บ้านหลังนั้นแน่ๆ” ท่านชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมีสีฟ้าอยู่เพียงหลังเดียว

ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกมองตามแล้วยิ้ม

“ไปครับคุณแม่” ปราภพบอก

ผู้เป็นแม่พยักหน้า ก่อนจะเดินนำหน้าไปที่บ้านหลังสีฟ้าของนางเพียร

ปรากฏว่าเมื่อมาถึงก็พบว่าประตูบ้านปิด ท่านจึงเคาะ

“สวัสดีค่ะ บ้านหลังนี้มีใครอยู่ไหมคะ”

สักพักประตูบ้านก็ถูกเปิดออก เป็นเอกยืนเผชิญหน้ากับครอบครัวที่แท้จริง ทั้งสี่คนยิ้มดีใจ แต่เป็นเอกถึงกับอึ้งเมื่อได้เจอกับปาณัทอีกครั้ง

“คุณปกป้อง”

“ใช่...ฉันเอง...ฉันสืบหาความจริงได้แล้วนะ ว่าทำไมพวกเราถึงหน้าตาเหมือนกันขนาดนี้...ก็เพราะว่าพวกเราเป็นพี่น้องฝาแฝดกันไง” ปาณัทบอก

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.