ในที่สุด...ผมก็รู้ตัว
“พี่เซน...เป็นแฟนกันป่ะ” ผมใช้เวลาช่วงปิดเทมอหมดไปกับการเที่ยวและก็กิน กินและก็เที่ยวกว่าจะได้ทำภารกิจตามจีบพี่เซนแบบจริงจังก็ตอนเปิดเทมอ ผมมีเวลาไม่มากสักเท่าไรเพราะทั้งต้องเรียนและทำงานไปด้วย ไม่แน่ว่าปีหน้าผมอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี้แล้วก็ได้
“ไปทำงาน”
“เอ้า ผมพูดจริงนะเนี้ย” ผมเริ่มจีบพี่เซนในแบบฉบับของผมเอง นั่นก็คือ...
“พี่จะไม่เป็นแฟนกับผมจริงเด๊ะ” เอาแต่เดินวนมาถามคนที่ตัวเองตามจีบว่า เป็นแฟนกันไหม ผมว่ามันเป็นวิธีที่เข้าใจง่ายและก็ไม่ซับซ้อนดี คนที่เราตามจีบเขาก็จะได้รู้ด้วยว่าเรากำลังจีบเขาอยู่จริงๆ
"ที่มาจีบพี่เพราะสงสารหรือโดนใครบังคับมาครับ"แล้วอยู่ๆ พี่เซนก็ถามขึ้นมาเล่นเอาซะผมไปไม่เป็นเลย
“บังคับ? ใครจะมาบังคับบัสได้ละครับ ที่บัสจีบพี่ก็เพราะว่าบัสชอบพี่ไง” ผมยืนยันคำตอบพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ดูจากสีหน้าของคนถามแล้วผมว่าพี่เซนดูไม่ค่อยจะเชื่อที่ผมพูดสักเท่าไรหรอก
“ชอบพี่ที่ตรงไหนครับ” คนที่โดนผมตามจีบมาทั้งวันยอมยิ้มให้เป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ ช่วงที่ผมหายไปตอนปิดเทมอพี่โรสเล่าให้ฟังว่าที่ร้านยุ่งมาก และที่ยุ่งยิ่งกว่างานในร้านก็คืองานนอกร้าน มีพนักงานทะเลาะกันเรื่องพี่เซน ต่างคนต่างชอบและแย่งกันจีบพี่เซน พี่โรสก็เลยแก้ปัญหาด้วยการเชิญออกทั้งคู่
ทำให้ผมต้องเพิ่มเวลาในการทำงานจากเด็กpart timeมาเป็นfull timeแทน ตอนนี้ผมทำงานที่ร้านอาหารได้แค่วันธรรมดาเท่านั้น วันธรรมดาที่แทบจะไม่มีเวลาว่างนั่นแหละ ค่าแรงก็เลยน้อยจนแทบจะไม่พอค่าขนมที่ผมจ่ายให้ร้าน GlingTaenของพี่เซน
ตอนที่ผมได้ยินเรื่องนี้ผมก็แอบกลัวอยู่เหมือนกันครับ ผมไม่ได้บอกพี่โรสว่าผมจะจีบพี่เซน แต่ผมเดินไปบอกพี่เซนด้วยตัวเองเลยว่า ผมชอบพี่ ผมจะจีบพี่นะ พี่โอเครึเปล่า ในความคิดของผมถ้าพี่เขารู้สึกไม่ดีผมก็จะไม่ทำ ผมจะเลิกทำงานที่นี้ ผมจะไม่มาตามวอแวให้รู้สึกรำคาญใจด้วย
พี่ไม่เคยชอบเด็กนะ แล้วเราจะจีบพี่ติดเหรอ?
ตอนที่ยืนลุ้นว่าพี่เซนจะรู้สึกยังไงผมก็ได้รับคำตอบที่มันเหมือนสารท้ารบซะมากกว่า ไม่เคยชอบไม่ได้แปลว่าจะชอบไม่ได้ ผมแอบคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าพี่เซนเองก็คงจะแอบมีใจให้ผมเหมือนกัน เพราะถ้าพี่เซนไม่ชอบผมบ้างคงไม่ยอมให้ผมจีบหรอก ใครจะยอมให้คนที่ตัวเองไม่ชอบมาตามวอแวแบบนี้กันละ
“ก็พี่ทำขนมอร่อย” แน่นอนว่าผมตอบคำถามของพี่เซนพร้อมกับรอยยิ้ม
รอยยิ้ม...กระชากหัวใจอิอิ
"แล้วถ้าเกิดพี่เลิกทำขนมละ"น้ำเสียงจริงจังทำเอาผมที่ยืนยิ้มอยู่ต้องหัวเราะแห้งๆ แทน ผมไม่ได้คิดเอาไว้เลยเรื่องที่พี่เซนจะเลิกทำขนม พี่เขาเปิดร้านทำขนมขายก็ต้องเปิดไปตลอดไม่ใช่เหรอ มันไม่มีวี่แววว่าร้านจะเจ๊งเลยนะ ลูกค้าที่มาซื้อขนมในแต่ละวันโคตรเยอะผมว่าขยายสาขาเพิ่มอีกสัก2-3ที่ยังอาจจะไม่พอกับความต้องการเลย
“ถ้าวันหนึ่งพี่ทำขนมให้เรากินไม่ได้แล้วละครับ” ผมไม่เคยเห็นพี่เซนในท่าทีที่จริงจังมากขนาดนี้มาก่อน ถึงแม้ผมจะเพิ่งรู้จักพี่เขาได้ไม่นานก็ตาม แต่ไอ้คำถามที่เหนือความคาดหมายกับน้ำเสียงและแววตาที่โคตรจะจริงจังแบบนี้ ผมน่าจะยังรับมือได้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
“ผมก็....”
“เราไม่ได้ชอบพี่จริงๆ หรอกครับ ตัดใจยอมแพ้เถอะ” ผมกำลังจะบอกพี่เขาไปว่า ผมก็จะจีบพี่เหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะว่าป๊ากะม๊าของผมชอบพี่มากเลย ถึงพี่จะไม่ทำขนมแล้วก็ไม่เป็นไร แต่ผมยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดพี่เซนก็เล่นเดินหนีไปแล้วหลังจากที่พูดตัดกำลังใจผม
“พี่แม่งไม่อยู่รอฟังคำตอบผมเลยอ่ะ ถ้าไม่อยากฟังแล้วจะถามทำไม” ผมพูดออกมาอย่างเซ็งๆ แล้วทั้งวันของผมก็หมดไปกับการทำงาน
โคตรน่าเบื่อเลย...
ไม่ใช่เบื่อที่ต้องทำงานทั้งวันแต่เบื่อที่ยังไม่ได้แก้ตัวกับคนที่ตัวเองตามจีบนี่แหละ
พี่เซนเนี้ยก็เก่งเหลือเกิน ตัวก็ออกจะใหญ่แต่เดินแวบไปแวบมาจนผมตามไม่ทันได้เฉยเลย เวลาปกติก็จะยอมให้ผมเข้าไปช่วยงานในครัวแท้ๆ แต่วันนี้อยู่ดีๆ ก็ไล่ให้ผมออกไปช่วยงานหน้าร้านแทน แบบนี้มันจงใจจะหลบหน้าผมชัดๆ
“โหลพี่คิม~” หลังจากที่เลิกงานผมก็รีบโทรหาพี่ชายสุดที่รักทันที ปลายสายตอบรับด้วยน้ำเสียงเฉื่อยแฉะไม่สมกับเป็นคนที่ผมมองว่าชอบพูดมากเลยสักนิด
“พี่เป็นไรป่ะเนี้ย” ผมถึงกับต้องถามอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง
“ได้ข่าวว่าไม่สบายเหรอ มีคนดูแลอ่ะยัง” พี่คิมหัวเราะก่อนจะถามว่าผมโทรมามีอะไร
“คืนนี้นอนด้วยได้ป่าว เหงาอ่ะป๊ากะม๊าไม่อยู่” ผมรีบอ้อนเพราะไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว เวลาที่ป๊ากะม๊าต้องออกไปทำงานข้างนอกหลายวัน ผมกับรถเมย์จะแอบหนีไปนอนบ้านเพื่อนๆ ตลอด ไม่มีใครอยากอยู่บ้านที่ไม่มีป๊ากับม๊าสักเท่าไร
“พี่ไม่สบายอยู่จะออกมารับผมทำไม เดี๋ยวให้พี่เกรทไปส่งก็ได้ อยากกินอะไรไหมพี่ผมจะซื้อเข้าไปฝาก” ก่อนที่ผมจะกดวางผมตกใจมากที่อยู่ดีๆ ก็มีเงาดำๆ มายืนอยู่ข้างหลัง และมันก็ทำให้ผมมองไม่เห็นเงาหัวตัวเอง
“Eเชี้ย!” ผมร้องเสียงดังจนปลายสายต้องตะโกนถามว่าผมเป็นอะไร
“เฮ้อ...พี่เซนเองเหรอ ตกใจหมด” พอหันไปเห็นว่าใครยืนซ้อนอยู่ข้างหลังผมก็โล่งอก พี่คิมยังตะโกนโหวกเหวกอยู่ในสายจนผมต้องรีบบอกไปว่าไม่มีอะไร อีกเดี๋ยวเจอกันแล้วกดวาง
“ทำไมยังไม่กลับบ้าน” ผมเพิ่งจะสังเกตว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่หน้าร้านขนมที่ปิดไฟหมดแล้วเลย มีแค่ผมที่ยังยืนหัวโด่อยู่คนเดียวกับแมวที่ชื่อว่าไอ้หลง
ไอ้หลงมันเป็นแมวจรที่พี่โรสเลี้ยงเอาไว้เฝ้าร้าน เลี้ยงแมวเฝ้าร้านเนี้ยนะ ผมนั่งหัวเราะแทบตายมันเฝ้าร้านได้จริงๆ เหรอ ดีไม่ดีมันเรียกขโมยเข้าร้านด้วยเนี้ย
“ทำไมถึงยังไม่กลับบ้าน” พี่เซนถามซ้ำอีกครั้งจนผมที่เผลอใจลอยคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้สติ
“อ่า...รอพี่เกรทมารับอยู่ครับ” ปกติพี่เกรทจะไม่ปล่อยให้ผมยืนรอแบบนี้หรอก เห็นว่าต้องพารถเมย์ไปส่งบ้านเพื่อนก่อนและดูเหมือนจะเจอรถติดขามาที่นี้ผมเลยต้องรออีกสักพัก
“ให้พี่ไปส่งไหม?” ผมมองคนถามที่เดินไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้แล้วคิ้วขมวด
“พี่ไม่ได้หลบหน้าผมอยู่เหรอ” ด้วยความสงสัยผมก็เลยถามออกไปตรงๆ ก็วันนี้ทั้งวันหลังจากที่พี่เซนบอกให้ผมเลิกพยายามพี่เขาก็ไม่ยอมมองหน้าผม ไม่ยอมคุยกับผมเลยจนร้านปิด นี้ถ้าผมไม่ต้องมายืนรอรถกลับบ้านคงจะไม่ได้คุยกันสินะ
“ก็พี่ยุ่ง”
“ยุ่ง?” แก้ตัวชัดๆ ผมพยายามจะไม่ใส่ใจคำแก้ตัวของพี่เซน แต่มันก็แก้นิสัยชอบทำปากคว่ำเวลาที่ไม่พอใจไม่ได้ถ้าเกิดมันไปทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดีผมก็ขอโทษด้วยละกันนะ
Rrrrrrrrrr
“ครับพี่เกรท จะถึงแล้วเหรอ ห๊ะ!ยางรั่ว!” พี่เกรทโทรมาบอกผมว่ารถยางรั่ว น่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะมารับผมได้ และตอนนี้มันก็ดึกมากแล้วด้วย
“ขึ้นรถครับ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ผมเลยต้องจำใจเดินขึ้นรถและบอกพี่เกรทไปว่าเดี๋ยวเจ้าของร้านที่ผมทำงานจะส่งแทน พี่เกรทขอคุยสายด้วยผมจึงยื่นโทรศัพท์ให้พี่เซน อีกฝ่ายรับไปและกดเปิดลำโพงเพื่อที่จะให้ผมได้ยินเสียงด้วย
มีแต่คำขอโทษที่รบกวนจากปากของพี่เกรทรวมไปถึงการบ่นเรื่องที่ผมเอาขนมขึ้นไปกินบนเตียงแล้วไม่ยอมเก็บปล่อยให้มดขึ้นไปทำรังบนที่นอน และคนที่ต้องเอาไปซักก็คือพี่เกรทเพราะแม่บ้านเพิ่งจะขอลาหยุดไป
ผมโคตรจะอายเลยที่พี่เซนได้ยินเสียงพวกนี้
“บ้านอยู่แถวไหนครับ” เมื่อวางสายก็ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทาง ผมบอกทางไปบ้านตัวเองคร่าวๆ ก่อนจะขอให้พี่เซนแวะร้านข้าวต้มหน้าปากซอย มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันทีตอนที่รถขับมาถึงหน้าบ้านของผม
“โหล~” ผมกดรับสายทั้งที่ยังไม่ได้ก้าวลงจากรถ
“ยังไม่ถึงไหนเลยเนี้ย พี่เกรทรถเสีย ถ้าอยากเจอมากพี่คิมก็ขับรถออกมารับผมเลยสิ เพิ่งถึงบ้านเนี้ย” บ้านของผมกับพี่คิมไม่ได้อยู่ไกลกันมากนักผมเลยคิดว่าให้พี่เซนมาส่งผมที่บ้านแล้วเดี๋ยวผมค่อยเรียกแท็กซี่ไปบ้านพี่คิมเองดีกว่า ผมเกรงใจพี่เซนจนบังเอิญพี่คิมโทรมาพอดีผมก็เลยงอแงขอให้คนป่วยขับรถออกมารับแทน
“จริงนะ” ผมดีใจจนตาโตเพราะพี่คิมบอกว่าจะมาค้างด้วย
“แต่ห้องผมไม่มีผ้าห่มอ่ะ งั้นวันนี้เราไปนอนห้องนอนแขกกันเนอะพี่คิม” ทั้งผมและพี่คิมต่างก็หัวเราะเอ้กอ้ากแข่งกัน เวลาที่ผมชวนพี่คิมไปนอนห้องนอนแขกเราสองคนพี่น้องที่รักกันมากแม้จะไม่ได้คล้านตามกันมาจะรู้กันดีว่าเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ลืมหันมาขอบคุณพี่เซนที่มาส่งก่อนจะกดวางสาย
“ไม่ชอบนอนคนเดียวเหรอ?”
“ครับ” ผมตอบแค่นั้นและกำลังจะลงจากรถ
“ครั้งหน้า...”
“ว่าไงนะครับ” เพราะบังเอิญมีรถวิ่งผ่านไปผมเลยไม่ค่อยได้ยินว่าพี่เซนพูดอะไร
“โทรหาพี่ เดี๋ยวพี่มารับ” พี่เซนพูดแล้วกดปิดกระจกปล่อยให้ผมยืนงงว่าพี่เขาหมายความว่าอะไร
“มารับ? มารับไปไหน?” ผมยืนเกาหัวไม่นานก็มีแสงไฟสาดเข้าตาจนต้องยกมือขึ้นมาบังหน้า
“ไอ้อ้วน ข้าวต้มพี่ละ” เป็นพี่คิมนั่นเองที่แกล้งเอาไฟมาส่องตาผม สภาพคนป่วยดูไม่เหมือนคนป่วยสักนิด ผมยังจำได้ว่าเมื่อ2-3วันก่อนพี่ต้นกล้าเพิ่งจะโทรมาบ่นให้ฟังว่าพี่คิมไม่ยอมไปทำงาน ขังตัวเองเอาไว้ในห้อง แดกเหล้าและก็ไม่สบาย ตอนนี้ก็ดูเหมือนคนปกตินี้นา กินได้นอนได้หรือว่าได้ยาดีมา
หลังจากมื้อดึกของเราสองพี่น้องผมกับพี่คิมก็เลือกนอนกลิ้งกันบนโชฟาในห้องรับแขกก่อน รอให้อาหารที่กินเข้าไปย่อยแล้วค่อยจะพากันขึ้นห้องนอน
“พี่คิม...เคยชอบใครป่ะ” ผมถามขึ้นมาลอยๆ ทั้งที่ตายังมองจอโทรศัพท์ในมือ นิ้วก็เลื่อนไปเลื่อนมาแต่ไม่ได้สนใจเนื้อหาข้างในนัก
"ก็..เคยมั้ง"พี่คิมตอบทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากรูปที่อยู่ในหน้าจอ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคนนั้นที่กำลังทำหน้ามุ้ยในรูปคือใคร
“แล้ว...” แต่มันโคตรจะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผม คือถ้าเทียบกันระหว่างพี่ต้นกล้าน้องชายของพี่คิม ผมว่าพี่คิมดูมีประสบการณ์เรื่องความรักมากกว่า เพราะตั้งแต่ที่ผมจำความได้พี่ต้นกล้าแทบจะไม่มีแฟนเลย แต่พี่คิมคือมีเยอะมากจนนับได้ไม่หวาดไม่ไหว
"ก็ได้เป็นแฟนกันมั้งโดนเทมั้ง ถามแบบนี้มีคนมาตามจีบอีกแล้วเหรอว่ะไอ้อ้วน"พี่คิมที่ทำเสียงล้อผมก็จริงแต่ตายังจ้องคนในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ในมือแล้วก็ยิ้มจนผมต้องถามง่าใครละนั้น แต่พี่คิมก็ไม่ยอมบอก
“ป่าว..ผมต่างหากที่ไปตามจีบเขา” ผมเลิกตอแยแล้วกลับมานอนเล่นโทรศัพท์เหมือนเดิม
"ใครว่ะ พี่รู้จักป่ะ"พอพี่คิมถามผมก็ส่ายหน้าเบาๆ แทนคำตอบ
“แล้วต้องทำยังไง..เขาถึงจะยอมเชื่อว่าเราชอบ” ผมไม่เคยต้องมานั่งกังวลเรื่องความรัก เอาจริงๆ ผมแทบไม่รู้จักมันด้วยซ้ำ คนมีความรักมักจะดูเด็กลงแต่ผมยังไม่ถึง18เลย คงจะดูเด็กไปมากกว่านี้ไม่ได้
"อย่างแรกก็ลองบอกว่าชอบดู"พี่คิมวางโทรศัพท์แล้วหันมาคุยกับผม
“บัสพูดไปแล้ว” ผมบอกพี่คิม
"งั้นก็คงต้องลองบอกว่ารักดู"พี่คิมพูดแต่เหมือนจะไม่ได้หมายถึงเรื่องของผม
“แล้ว..รักคืออะไรละ”
"ก็..อยากเจอหน้าทุกวัน อยากได้ยินเสียง อยากดูแล อยากปกป้อง อยากให้อยู่ข้างๆ อยากให้ยิ้มให้แค่พี่ อยากให้อ้อนแค่พี่ อยากให้..."
“พี่โคตรดูเห็นแก่ตัวเลยอ่ะ” ผมขมวดคิ้วฟังที่พี่คิมพูดแล้วรู้สึกเหมือนว่าพี่คิดอยากจะบอกใครสักคนมากกว่าน้องชายขี้สงสัยอย่างผม
"เอ้าก็เรารักเขาไง เราก็อยากให้เขาเป็นของเราแค่คนเดียวดิ"พี่คิมที่พูดขึ้นด้วยความมั่นใจทำให้ผมรู้สึกปลงกับความรัก สำหรับผมมันโคตรจะฟังดูเหมือนคนเห็นแก่ตัว เพราะถ้าผมรักใครผมคงอยากจะเห็นเขามีความสุขมากกว่า อะไรที่เขาชอบผมจะชอบด้วย มีเรื่องอะไรที่เขาอยากจะทำผมจะช่วยเต็มที่เลย
ผมไม่คิดที่จะครอบครองเขาไว้คนเดียว ยิ่งเขาน่ารักมากแค่ไหนผมจะยิ่งอยากแจกจ่ายความน่ารักนั่นออกไป ให้คนเขาลือกันไปให้ทั่วๆ เลยว่าแฟนของไอ้รถบัสคนนี้มันดีมากแค่ไหน ผมไม่กลัวว่าจะมีใครมาแย่งเขาไปหรอกนะ
เพราะผมเชื่อว่าคนที่ผมเรียกว่า แฟน จะต้องทั้งรักและก็หลงผมจนไม่มีเวลาไปมองใครอย่างแน่นอน ก็ผมทั้งน่ารัก ขี้อ้อน และก็ร่ำรวยไง แฟนที่สมบูรณ์แบบอย่างผมเนี้ยหายากมากๆ เลยนะ
พอเข้าใกล้ช่วงสอบทำให้ผมต้องเลิกทำงานพิเศษและต้องตั้งใจเรียน ปกติผมจะแวะไปที่ร้านของพี่เซนอย่างน้อยๆ ก็อาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้ง แต่พอต้องสอบสลับกับนั่งอ่านหนังสือที่กองอยู่บนโต๊ะผมก็ทำได้แค่รบกวนให้พี่เกรทไปซื้อขนมที่ร้านมาให้แทน
จนมันเกือบจะครบ2อาทิตย์แล้วมั้งที่ผมไม่ได้โผล่หน้าไปที่ร้าน เวลาผ่านไปอย่างเหงาๆ พร้อมกับความรู้สึกเศร้าๆ ของผมที่เอาแต่นั่งเหม่อไปวันๆ ไม่มีอารมณ์กิน ไม่มีอารมณ์ยิ้ม นอกจากเรียนแล้วผมก็พยายามนั่งคิดทบทวนมาว่าหรือผมจะไม่ได้ชอบพี่เซนจริงๆ แต่ถ้าเป็นอย่างที่ว่าทำไมผมถึงรู้สึกแย่ที่ไม่ได้เจอหน้าพี่เขาขนาดนี้ คำว่า คิดถึง ที่ผมเผลอพูดออกมาจนนับไปก็ลืมอยู่ดีว่าปากพูดมันออกมากี่ครั้งทำให้ผมรู้สึกสับสน
“รถบัส...เป็นอะไร ลูกบอกมะม๊าสิ”
"ป่าวฮะ"ผมยิ้มให้คนเป็นแม่ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ป้านิ่มบอกว่าเราไม่ค่อยยอมกินข้าว”
"บัสไม่ค่อยหิวอ่ะ"
“ขนาดขนมที่ชอบก็ไม่ยอมกิน”
"ช่วงนี้บัสลดน้ำหนักฮะ” ความจริงแล้วผมเบื่ออาหารมากกว่า ขนาดขนมที่เคยชอบกินยังกินไม่ได้ไม่เยอะเท่าเมื่อก่อน
“วันมะรืนม๊าจะบินไปเยี่ยมคุณยาย บัสไปด้วยกันไหมครับ” ผมได้แต่พยักหน้าและยิ้มให้คนเป็นแม่ ท่าทีที่เปลี่ยนไปของผมคงจะทำให้ท่านรู้สึกเป็นห่วง ผมพยายามตั้งสติและถามตัวเองว่าความรักมันคืออะไรกันแน่ แต่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่ได้คำตอบที่ต้องการเลย
“มะม๊า” ผมเรียกคนที่นั่งเอามือลูบหัวด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“ม๊ารักป๊าไหม?”
“รักครับ” มะม๊าของผมตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“ทำไมถึงรัก” ใบหน้าของคนถูกตั้งคำถามนิ่งไป ก่อนจะยิ้มออกมา
“ไม่มีเหตุผล” ผมทำหน้างงใส่และมะม๊าก็หัวเราะออกมา
“เวลาที่เราจะรักใครสักคน ไม่มีใครเขามานั่งหาเหตุผลกันหรอกนะลูก ความรักเป็นเรื่องของหัวใจ บางทีคำพูดก็อธิบายความหมายของมันได้ไม่หมด สิ่งที่ทำให้เรารับรู้ถึงความรักก็คือหัวใจต่างหาก” ยิ่งได้ฟังที่มะม๊าพูดผมยิ่งไม่เข้าใจ
“ลูกต้องหยุดฟังในสิ่งที่คนอื่นพูด แล้วลองฟังเวลาที่หัวใจรู้สึก”
“หัวใจรู้สึก...”
“เวลาที่ลูกหลับตา ลูกมองเห็นเขาไหม” ผมลองหลับตาและคิดถึงพี่เซน
“เห็นครับ” ใช่ผมเห็นพี่เซนกำลังยิ้ม คนอะไรยิ้มแล้วดูหล่อกว่าเดิม
“เวลาที่เขาเรียกชื่อลูก ลูกรู้สึกยังไง?”
“น้อยใจครับ เขาไม่ค่อยเรียกชื่อผมอ่ะ” ผมแอบรู้สึกแย่นิดหน่อยที่พี่เซนไม่ค่อยเรียกชื่อ ส่วนมากพี่เซนจะบอกให้ผม ไปทำงาน
“แต่ลูกมีความสุขใช่ไหม เวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน”
“ครับ ทั้งมีความสุขแล้วก็อิ่มสุดๆ เลย” ผมยังจำความรู้สึกสนุกและมีความสุขเวลาที่ได้อยู่กับพี่เซนได้ดี และที่ผมบอกว่าอิ่มสุดๆ ก็เพราะทุกครั้งที่ผมอยู่ด้วย พี่เซนจะทำขนมอร่อยๆ ให้กินตลอด พักหลังๆ ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ขนมแล้ว มีทั้งอาหารและก็พวกเมนูใหม่ๆ ที่เตรียมจะทำขายในราคาบุฟเฟต์ด้วย และที่ผมต้องลดน้ำหนักก็เพราะว่าพี่เซนชอบทำของอร่อยให้กินตลอดนี้ละ
“แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอคะ” ผมขมวดคิ้วพร้อมกับเอียงคอสงสัย
“แค่นี้ก็มีแต่คำว่า คิดถึง และก็ คิดถึง เขียนอยู่เต็มหน้าลูกแล้วนะ” มะม๊าพูดจบก็ขอด้วยไปทำงาน ผมนั่งนึกถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกันแล้วก็หุบยิ้มไม่ได้
“อะไรกัน ผมไม่ได้แค่ชอบพี่แล้วเนี้ย” ผมส่ายหัวให้กับความไม่รู้อะไรของตัวเอง ทำไมผมถึงไม่มั่นใจ คงเพราะผมกลัวความจริงละมั้ง มันเพิ่งเคยเป็นครั้งแรกผมเลยรู้ตัวช้าสินะ
“รัก...ผมว่าผมรักพี่เข้าแล้วละ” จากเด็กอ้วนคนหนึ่งที่วันๆ ไม่เคยคิดถึงใคร นอกจากเรียนผมก็คิดถึงแค่ของกินเท่านั้น ใช่นั้นมันเมื่อก่อนและตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
“พี่เซนจะชอบกินขนมไทยไหมนะ” ผมแอบคิดแผนเซอร์ไพร์คนที่ไม่ได้เจอหน้ามาหลายวันในหัว กลับจากไปเยี่ยมคุณยายครั้งนี้ผมคงต้องมีแฟนให้ได้สักทีแล้วละ
“จะไม่เล่นๆ แล้วนะครับ จะเอาจริงแล้วนะ” ผมนั่งเท้าคางมองคนที่อยู่ในรูปถ่าย ถึงผมจะไม่ได้ไปซื้อขนมที่ร้านแต่ผมก็ยังกดติดตามเฟจของร้านอยู่ และทุกการแจ้งเตือนของร้านก็มีผมคอยกดไลค์ให้ วันนี้แอดมินเฟจร้านGlingTaenโพสต์รูปเมนูใหม่ มันดูน่ากินมากๆ รวมถึงเจ้าของเมนูที่กำลังยิ้มสู้กล้องด้วย
“คิดถึงจังเลย” ผมเอานิ้วจิ้มๆ ลงบนรูป ที่เพิ่งพูดว่าคิดถึง ผมหมายถึงคนในรูปนะ ไม่ใช่ขนม
****
***
*
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 285
แสดงความคิดเห็น