บทที่ 11 วันที่ 3 ก่อนเข้าสอบ
บทที่ 11 วันที่ 3 ก่อนเข้าสอบ
ไบรท์สะดุ้งตื่นอีกครั้ง สายลมที่พัดผ่านหน้าต่าง ผ้าม่านที่พริ้วไหว พระจันทร์ที่ส่องแสงยามรัตติกาล เขาไม่ต้องเสียเวลาคิดก็รู้ได้ทันทีว่าเวลานี้ยังเป็นเวลากลางคืน ผู้คนต่างตกอยู่ในห้วงนิทรา ยกเว้นเขาที่เป็นคนที่ถูกค่ำคืนเกลียดชัง
‘นี่เราฝันบ้าอะไรอีกแล้ว เมื่อไหร่ความฝันบ้า ๆ นี้จะหายไปสักที”
ความฝันนี้เริ่มตามมาหลอกหลอนเขาเมื่อตอนอายุ 10 ขวบ หลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ทุกๆคืนเขาก็จะฝันประมาณนี้และต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกทุกครั้ง ตอนแรกๆที่บอกย่า แอนนาท่านก็หาสมุนไพรและยานอนหลับมาให้กิน แต่ทว่ามันกับปราศจากผล ยิ่งกินยานอนหลับมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับยิ่งราดน้ำมันลงไปในกองเพลิง
จากที่ไม่ค่อยฝันยิ่งนอนยิ่งทำให้ฝันร้ายมากยิ่งขึ้น เหตุการณ์ที่เขาเห็นก็คือชายหนุ่มในผมสีดำถูกไล่ล่าและต้องตายอย่างน่าอนาถ ความรู้สึกที่ประสบพบเจอในความฝันราวกับว่าเป็นความจริงที่เคยประสบในอดีตกาล
มันอาจจะเรียกว่าอดีตชาติ แต่มันคงอยู่ในความฝัน เขาไม่ต้องเสียเวลาคิดก็รู้ได้ว่าความฝันมันก็คือความฝัน ความฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง
อันที่จริงหากคิดตามตรรกะที่ถูกต้อง ต่อให้คนเราจะมีพลังเวทย์มหาศาลเท่ากับมหาจอมเวทย์ แต่ว่าหากมีผู้คนจำนวนนับแสนจับมือแล้วมากำจัด คนที่โดนไล่ล่าก็คงต้องดับสิ้นอย่างไม่มีเหลือ
ต่อให้มีพลังมากมายสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถสู้พลังของมวลมหาประชาชนได้เป็นแน่ ไบรท์ตัดสินใจเอนหลังที่นอนอีกครั้ง แต่ว่าเขากลับไม่คิดอยากจะข่มตาหลับ เขามองยังเพดาน เครื่องบางอย่างที่ช่วยทำให้อากาศเย็นถูกทิ้งไว้โดยที่ไม่คิดจะแยแส พัดลมที่เปิดมันก็คือเพื่อนอีกคนนึงในยามค่ำคืน
นี่เป็นวันแรกที่เขารู้สึกคิดถึงบ้านตนเองอย่างประหลาด ตอนที่ยังไม่ได้จากบ้านหลังนั้นมาเขาก็คิดว่าบ้านก็คือบ้าน แต่พอต้องมาอยู่ที่ห่างไกลเขาก็รู้สึกแปลกๆ
ไบรท์มองห้องนอนที่เต็มไปด้วยหนังสือนานาชนิด จากที่เขาได้ฟังอาสึนะ เธอบอกว่าห้องนี้เคยเป็นห้องของไอยรา นอกจากโต๊ะไม้เก่าๆ ห้องแห่งนี้เต็มไปด้วยหนังสือนานาชนิด หนังสือนานาชนิดก็อยู่บนโต๊ะนี้เหมือนกับว่าห้องแห่งนี้ไม่เคยถูกทำความสะอาด
เขาไม่รู้หรอกว่าก่อนที่เขาจะมาพี่ของตนเองใช้ชีวิตยากลำบากแค่ไหน ครั้นจะให้เขาเป็นคนขยันลุกมาเก็บหนังสือให้พ้นหูพ้นตามันก็ใช่เรื่อง ประกอบกับร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนแม้จะขยับเพียงนิดก็ยังรู้สึกเจ็บปวด ผลกระทบนี้เกิดจากการฝืนหักโหมออกกำลังกายเพื่อปลุกพลังธาตุในร่างกาย ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะไม่เร็วนัก แต่หากให้เลือกได้เขาก็ไม่อยากจะต้องพบเจอประสบการณ์แบบนี้อีก
ไบรท์ตัดสินใจลุกออกจากที่นอนแล้วเดินไปยังโต๊ะไม้เก่า ๆ เก้าอี้ที่ตั้งอยู่ ป้ายโต๊ะไม้นั้นมีสมุดอยู่ 1 เล่ม เมื่อไบรท์เห็นดังนั้น เขาจึงตัดสินใจหยิบแล้วก็ค่อยพลิกหน้าสมุด สมุดเล่มนั้นมีวงเวทย์แปลกๆเขียนกำกับเอาไว้ วงเวทย์เป็นวงกลมข้างในมีดาว 5 แฉก และมีภาษาที่ไบรท์ไม่สามารถอ่านออก
แต่หลังจากที่เขาเปิดอ่านสมุดเล่มนี้ไปเรื่อย เขาก็รู้ได้ทันทีว่าสมุดเล่มนี้เป็นสมุดของพี่สาวของตนเอง สมุดเล่มนี้เหมือนสมุดบันทึก สมุดเล่มนี้ได้เขียนวิธีการใช้พลังเวทย์ไว้หลากหลาย หลังจากนั้นไบรท์จึงตัดสินใจจัดเรียงหนังสือในห้องนี้เสียใหม่ โดยที่เขาได้แบ่งหนังสือในห้องนี้ออกเป็น 3 หมวด
หมวดแรกก็คือหนังสือที่เขาอ่านแล้วเข้าใจ หนังสือที่เขาพอมีพื้นฐานอยู่บ้างไบรท์จัดมันเข้าไว้ในชั้นที่ตั้งอยู่ริมห้อง ตอนแรกเขาคิดว่าจะเปิดอ่านหนังสือหมวดแรกก่อน แต่ว่าเขาก็เปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน ไบรทืจึงตัดสินใจจัดหนังสือหมวดที่ 2 ในทันทีทันใด
หมวดที่ 2 คือหนังสือที่เป็นเหมือนกับบันทึกของพี่สาวของตนเอง เขาได้จัดแล้วก็ยัดมันไว้ในใต้โต๊ะ
ส่วนหมวดที่ 3 ก็คือหนังสือที่เป็นทั้งบันทึกและหนังสือที่เขาไม่มีความรู้ ต่อให้เขาพยายามอ่านแทบตายก็อ่านไม่ออก ต่อให้พยายามตีความก็ตีความไม่เข้าใจ หนังสือหมวดนี้ไบรท์ตั้งไว้อยู่บนโต๊ะที่เขาสามารถเห็นได้ง่ายๆ
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาจึงหันไปสนใจกับบันทึกของพี่สาวของตนเองอีกครั้ง ไบรท์หยิบบันทึกมาจ้องมองอย่างตั้งใจ พอเขาพิจารณาดูบันทึกเล่มนี้ดีๆก็พบว่า บันทึกเล่มนี้เขาไม่ได้อ่านไม่ออก แต่ว่ามันมีบางอย่างที่ขาดหายไป ความรู้ของเขาในตอนนี้มันยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เกี่ยวกับทฤษฎีเวทย์มนต์
เมื่อเขาเห็นดังนั้นเขาจึงยิ้มออกมา หลังจากนั้นเขาจึงได้เปิดอ่านสมุดของพี่สาวตัวเองยันเช้า ระหว่างที่เปิดอ่านเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจหากระดาษดินสอมาจดสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจ
อาสึนะตัดสินใจเดินไปเปิดประตูห้องของไบรท์ ตอนแรกเธอคิดว่าไบรท์คงยังไม่ตื่นจจากที่นอน แต่พอเธอเปิดประตูไปก็พบว่าไบรท์กำลังนั่งจ้องบางสิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ทำอะไรของนาย”
ไบรท์ละสายตาออกจากสมุด เขาบิดขี้เกียจ “เช้าแล้วอย่างนั้นหรอ”
อาสึนะมองสภาพของไบรท์ ดวงตาที่ดำราวกับหมีแพนด้า สภาพที่พร้อมที่จะหลับลงได้ทุกเวลา ทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าทั้งคืนไบรท์นั้นไม่ได้นอน
“เช้าแล้วล่ะ ว่าแต่นายกำลังทำอะไรอยู่ อ่าน Diary ของพี่ไอหรือไง”
ไบรท์พยักหน้า “มันเป็นไดอารี่ของพี่ฉันจริงๆหรอ นี่เป็นคำถามที่ฉันอยากจะถามเธอ ไม่สิถ้าจะพูดให้ถูก ฉันอยากจะถามยายไอยรามากกว่า ฉันเข้าใจว่าพี่ของฉันเป็นอัจฉริยะ แต่ว่าหลังจากที่ฉันอ่านสมุดเล่มนี้ ฉันรู้ได้ทันทีว่าพี่ของฉันไม่ได้อัจฉริยะอย่างที่คิด”
ไบรท์กล่าวก่อนที่จะโยนหนังสือลงในที่นอน ก่อนที่จะตะโกนออกมา “นั่นก็เพราะว่า สิ่งที่พี่ฉันทำได้ฉันก็สามารถทำได้ “
“ฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่านายต้องการที่จะสื่อสารอะไร ไม่สิฉันไม่เข้าใจว่านายจะต้องการพูดอะไร แต่ว่านะสิ่งที่พี่ไอยราบอกกับฉันก็คือ ในโลกนี้ไม่มีอัจฉริยะ คนที่ได้ถูกขนานนามว่าอัจฉริยะก็คือ คนที่พยายามทุ่มเทให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากกว่าคนปกติ นายเข้าใจความหมายนี้หรือเปล่า”
ไบรท์พยักหน้ารับ “เข้าใจสิ คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตนเองชอบเวทย์สายไหน บางคนก็ไม่รู้ว่าต้องการที่จะเป็นนักเวทย์ไปเพื่ออะไร จริงอยู่ที่เวทมนตร์เป็นค่านิยมและเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของโลกใบนี้ แต่ว่าสำหรับฉันฉันไม่คิดว่าเวทย์มนต์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ความฝันของคนต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ฉันไม่ได้เป็นนักเวทย์เพราะต้องการเป็นอัจฉริยะ หรือต้องการเป็นคนเก่ง แต่ที่ฉันต้องการเป็นนักเวทย์ก็เพราะฉันชอบเวทมนต์”
ไบรท์มองหน้าของอาสึนะ คำพูดของไบรท์นั้นเป็นสิ่งที่อาสึนะรู้สึกเห็นด้วย เธอจึงตัดสินใจกล่าว
“ถึงฉันจะได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ฉันก็ใช้ความพยายามมากกว่าจะได้ชื่อนี้มา ทุกๆวันฉันต้องทบทวนเวทมนตร์แถมยังต้องศึกษาเวทมนต์ด้านอื่น ๆ ถึงแม้ว่าธาตุในร่างกายจะทำให้ไม่สามารถใช้พลังเวทย์ที่ศึกษาได้ก็ตาม ความพยายามทุกๆวันทำให้ฉันสามารถเรียนเกรด 10 ได้ตั้งแต่ฉันอายุ 13 เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับโรงเรียนเวทมนต์ แต่ว่าสำหรับพี่ไอยรา มันกลับไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่”
“”ว่าแต่ ที่นายบอกว่าพี่ไอยราไม่ใช่อัจฉริยะ แสดงว่านายเจอบางสิ่งที่อยู่ในบันทึกของที่เขาใช่ไหม”
ไบรท์พยักหน้า เขาฉีกยิ้ม “ใช่แล้ว แต่ว่าสิ่งที่ฉันค้นพบมันก็เป็นแค่ทฤษฎี ที่พี่ได้สันนิษฐานขึ้น จากประสบการณ์ของพี่เขาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยบาบิโลเนียชั้นปีที่ 1 แถมยังเป็นการทดลองที่ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือไม่ แต่ว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เพราะว่าฉันนี่แหละที่จะเป็นคนทดลองและพิสูจน์ทฤษฎีนี้เอง”
อาสึนะเดินมามองสมุดบันทึกที่ไบรท์วางทิ้งไว้ที่เตียง เธอไม่คิดที่จะเปิดสมุดเล่มนี้อ่าน นั่นก็เพราะว่าสำหรับเธอการอ่านสมุดบันทึกของคนอื่นนั้นมันเป็นการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่ว่าต่อให้เธอจะห้าม ไบรท์มันก็คงจะสายเกินไปแล้ว เพราะดูท่าทางเขาคงเริ่มอ่านหนังสือพวกนี้ไปบ้างแล้ว
“ว่าแต่ นายหิวข้าวหรือยัง วันนี้ฉันจะทำข้าวกับไข่ดาวให้นายกิน”
ไบรท์โบกมือปฏิเสธ “เธอทำแค่ของน้องฉันก็พอ ส่วนฉันถ้าอยากจะกินอะไรเดี๋ยวฉันจะลงไปเอง วันนี้ฉันจะอยู่ห้องนี้แล้วก็อ่านบันทึกของพี่ฉันทั้งหมด ว่าแต่ในบ้านหลังนี้มีหนังสือหรือพจนานุกรมที่เกี่ยวกับเวทมนต์หรือเปล่า”
อาสึนะพยักหน้า “มี ถ้านายต้องการตำราที่ฉันใช้เรียนก็บอกได้นะ แต่ว่าต่อให้จะฝืนอ่านไปมันก็คงไม่ได้ประโยชน์เท่าไหร่หรอกมั้ง นายอย่าลืมนะเหลือเวลาอีกแค่ 3 วันที่จะสอบ ต่อให้นายเป็นอัจฉริยะหรือความจำดีก็คงไม่สามารถสอบผ่านได้ทั้งหมดหรอก”
ไบรท์พยักหน้ารับ “ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันแต่ว่าชีวิตเราถ้าต้องการเรียนอะไรมันก็ไม่มีทางพร้อมแล้วค่อยเรียนหรอก เราต้องลุยไปแบบนี้แหละถ้าฉันสอบผ่านฉันก็ได้เข้าเรียน แต่ถ้าฉันสอบไม่ผ่านฉันก็ไม่ได้เข้าเรียน มันก็แค่นั้นเอง ความจริงแล้วฉันไม่สนใจหรอกว่าจะได้เข้าหรือไม่ได้เข้าโรงเรียนเวทมนต์บาบิโลเนีย สิ่งที่สำคัญก็คือความรู้ที่เกี่ยวกับเวทย์มนต์ต่างหาก”
อาสึนะยิ้ม “คิดแบบนั้นไม่ถูกหรอกนะ ถ้านายอยากเข้าใจเวทมนตร์ได้ก็ต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ให้ได้ซะก่อนแล้วอีกอย่างนึง ถ้านายไม่ได้เข้าเรียนโรงเรียนเวทมนตร์บาบิโลเนีย หนังสือและงานวิจัยต่างๆที่เกี่ยวกับเวทมนตร์นายก็จะไม่ได้อ่านนะ ความรู้เวทมนตร์ของนายก็จะหยุดอยู่แค่ประมาณนี้แหละ ถ้าฉันจำไม่ผิดนายเคยบอกว่าเวทมนตร์ของนายอยู่ในระดับ 4 หรือระดับ 5 ใช่ไหม”
ไบรท์พยักหน้ารรับ “ใช่แล้ว ระดับของฉันก็คือนักเวทฝึกหัดระดับ 5”
อาสึนะพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรอ่านทฤษฎีเวทย์มนต์ให้กระจ่างนะ จริงอยู่ที่การเข้าใจเวทมนต์ด้วยตัวเองเป็นวิธีที่จะทำให้เลื่อนกับจากนักเวทฝึกหัดเป็น ผู้ใช้เวทย์และนักรบเวทย์อย่างรวดเร็ว แต่ว่าถ้ามีทฤษฎีมันก็จะทำให้การเลื่อนระดับเป็นไปได้เหมือนกัน”
“ฉันเข้าใจ ดังนั้นฉันเลยอยากจะฝึกทฤษฎีเวทมนตร์ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าแต่ วันนี้ที่ไอยราจะให้พวกฉันไปซื้อชุดนักเรียนใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นฉันฝากให้เธอซื้อชุดให้มายได้ไหม แล้วอีกอย่างหนึ่งฝากให้เธอพาน้องของฉันเที่ยวหน่อยก็แล้วกันนะ เพราะว่าวันนี้ฉันคงไม่ออกไปไหน”
อาสึนะพยักหน้า “ตามใจนายก็แล้วกัน อยากจะทำอะไรก็ทำ”
หลังจากนั้นเด็กสาวก็ละสายตาออกจากเด็กชาย เธอตัดสินใจเดินลงไปชั้นล่างและไปทำกับข้าวให้กับมายกิน สำหรับเธอมายเป็นเด็กที่น่ารักที่สุด หลังจากที่เธอทำอาหารเสร็จเรียบร้อยเธอก็ไปปลุกมายที่นอนหลับอยู่ในห้องของเธอเอง
หลังจากนั้นเด็กสาวก็อาบน้ำให้มาย พอพวกเธอทำทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จสิ้น สองสาวก็ออกไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ และซื้อใบสมัครเรียนโรงเรียนเวทมนต์ด้วยกัน
ทางฝั่งไอ
ณโรงเรียนเวทมนตร์บาบิโลเนีย ชายหนุ่มท่าทางดุดันนั่งมองตรงไปยังเครื่องมือสื่อสารของตนเอง เขากัดฟันแน่นก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างรุนแรง “ปล่อยให้เจ้าพวกนั้นหลุดออกมาจากกรงได้ยังไง”
ผู้หญิงท่าทางสุขุมหล่อนมีผมสีแดงยาวเป็นประบ่า “เรื่องนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ว่ายังไงเราก็ต้องรวบรวมข้อมูลให้เร็วที่สุด หมอนั่นหลุดออกมาได้ยังไงมันไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไปแล้ว”
“ไม่ใช่ประเด็นอย่างนั้นหรอ การที่ปล่อยให้เจ้าพวกนั้นรวบรวมคนได้มันไม่ใช่ประเด็นสำหรับโลกใบนี้ คงไม่สามารถพูดคำนี้ได้สินะใช่หรือเปล่าไอยรา”
ไอเม้มปาก หล่อนตัดสินใจกวาดตามองผู้คนที่อยู่รอบๆ “การที่ปล่อยให้ดรเอ็ดเวิร์ด ออกมายังโลกใบนี้ได้อีกครั้งมันเป็นเรื่องที่ ไม่สิมันคงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ แต่ว่าเรื่องนี้ยังไงเราก็ต้องเก็บเป็นความลับเสียก่อน เราคงไม่สามารถให้อาณาจักรอื่นๆรับรู้เรื่องนี้ได้เป็นแน่”
หญิงผมแดงโต้แย้ง “พูดอย่างนี้ไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าเธออย่าลืม คนที่อยู่ณที่แห่งนั้นไม่ได้มีแต่คนของเรา คนของสองอาณาจักรก็ยังอยู่ อาณาจักรวิทาเรียและอาณาจักรแพนเจีย
หญิงสาวผมแดงหยุดก่อนที่จะค่อยๆยกชาขึ้นมาจิบอย่างเชื่องช้า “นักเวทย์ทั้ง 3 ที่มีฝีมือถูกฆ่าตายอย่างง่ายดาย นักเวทย์อะคริลิคของอาณาจักรวิทาเรีย นักเวทมายาของอาณาจักรแพนเจีย และ นักเวทมิติของอาณาจักรบาบิโลเนีย ทั้งสามคนล้วนตาย ตอนนี้ยังหาศพไม่พบเลยด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เรามีเทคโนโลยีที่สามารถจับคลื่นพลังเวทย์ของทั้ง 3 ได้ ตอนนี้เราก็คงยังไม่รู้ว่าทั้ง 3 ได้เสียชีวิตไปแล้ว”
“แต่ว่า ถ้าเราใช้กล้องวงจรปิด”
ก่อนที่ไอยราจะกล่าวจบ ชายคนเดียวก็เก่าแทรกขึ้น
“ไม่มีประโยชน์หรอก ถ้ามันสามารถแก้ไขปัญหาได้ง่ายๆอย่างนั้น เราคงไม่เรียกตัวของเธอมา พวกเราอยากจะให้เธอไปตรวจสอบที่คุกนรกสักหน่อย”
ไอคิดอยู่เพียงคู่ ก่อนที่เธอจะยิ้มในใจ “การที่จะให้ฉันไปตรวจสอบที่คุกนรก มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ยากมากนัก แต่ว่าฉันไม่สามารถไปคนเดียวได้ ฉันอยากจะพาคนไปร่วมทีมในการตรวจสอบครั้งนี้ด้วย”
หญิงผมแดงยิ้ม “คนที่เธอจะพาไปน่าจะเป็นนักเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์ใช่หรือไม่”
อาสึนะพยักหน้ารับ “ถูกต้องแล้ว ฉันอยากจะพาทั้ง 4 คนนี้ไปร่วมทีม คนแรกคือรูรุ คนนี้เป็นนักวิทยาการเวทมนตร์ที่เก่งที่สุดในชั้นเรียน คนที่สองก็คือเนกิ เป็นนักเวทย์ที่เข้าใจศาสตร์แห่งเวทมนตร์ ส่วนคนที่ 3 ก็คืออาสึนะ เป็นนักเวทย์อัจฉริยะ แต่ว่าคนที่สี่ไม่ได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนเวทย์มนต์ แต่ว่าเป็นน้องชายของฉันเอง”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 252
แสดงความคิดเห็น