ตอนที่ 38 เสี่ยวลู่

สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)
คุณกำลังอ่าน: สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)

-A A +A

ตอนที่ 38 เสี่ยวลู่

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 38 เสี่ยวลู่

 

นายน้อยถาม คำถามแล้วคำถามเล่า เย่ซียืนโค้งลงครึ่งตัวอยู่นานจนปวดหลัง เย่หวูเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาย่อมจดจำชื่อเหล่านี้ไว้พร้อมเอกลักษณ์ของพวกเขา และคำสุดท้ายของเย่ซีได้ทำให้หัวใจเขาต้องเต้นรัว

 

เขาเกือบถามคำถามที่ต้องการทั้งหมดครบแล้ว เย่หวูเฉินกำลังจะปล่อยพวกเขาออกไป ในขณะนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าเบาก้าวมาจากด้านนอกประตู เย่หวูเฉินสามารถฟังออกว่า เจ้าของฝีเท้านั้นกังวลและประหม่าอยู่ในใจ

 

เพียงไม่นาน เรือนร่างเล็กละเอียดอ่อนก็ปรากฎที่หน้าประตู เป็นสาวน้อยคนหนึ่งอายุราว 16 ปี นางสวมใส่ชุดสีเขียวและดูชดช้อยงดงาม หลังจากเห็นเย่หวูเฉิน นางรีบก้มคำนับ “สาวใช้ต่ำต้อยผู้นี้ขอคารวะนายน้อยเล็ก ข้าเรียกว่าเสี่ยวลู่ นายหญิงสั่งให้ข้าคอยรับใช้นายน้อยเล็กกับคุณหนูหนิงเสวี่ย”

 

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างกันหลายก้าว เขายังสามารถได้ยินเสียงหัวใจสาวใช้ตัวน้อยเต้นดัง ‘ตึกตัก’ เขาอดคิดไม่ได้ว่า ‘ข้าไม่ได้มองหาใครสักคนมาตบเสียหน่อย เหตุใดนางต้องกลัวข้าด้วยเล่า?’

 

เย่ซีและเย่บาหัวใจเย็นยะเยียบ พวกเขาอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา สาวใช้ของตระกูลเย่ที่เยาว์วัยที่สุด , น่ารักที่สุด , งดงามที่สุด , ฉลาดที่สุด และเป็นที่รักที่สุด กลับถูกส่งตัวมาเพื่อรับใช้นายน้อย... พวกเขาจบสิ้นแล้ว พวกเขาไม่มีโอกาสใดๆอีกแล้ว และในคืนนี้ พวกเขาคงไม่อาจนับจำนวนพี่น้องที่ต้องร้องไห้ สำหรับนายน้อยของตระกูล สาวใช้มีไว้เพื่ออะไรหรือ? ก็เอาไว้อุ่นเตียงไงเล่า เอาไว้อุ่นเตียง อ๊าก!

 

“โอ้? เจ้าสวมใส่ชุดสีเขียวและชื่อของเจ้ายังแปลว่า เขียวน้อย? อย่าบอกข้านะว่าพี่สาวน้องสาวของเจ้าต่างก็ชื่อ ม่วงน้อย , แดงน้อย , เหลืองน้อย ..... และ ขาวน้อย?” เย่หวูเฉินยิ้มขณะที่ถาม

 

เมื่อเห็นนายน้อยเล็กไม่ได้มีอุปนิสัยดุร้ายอย่างที่นางจินตนาการไว้ ทั้งน้ำเสียงของเขายังอบอุ่นและนุ่มนวลอย่างสัมผัสได้ ความกังวลในจิตใจของเสี่ยวลู่จึงหายไป และนางเริ่มแอบมองนายน้อยเล็กตรงเบื้องหน้านาง เพียงมองแค่แวบเดียว หัวใจนางก็เริ่มเต้นรัว เพราะนางไม่เคยเห็นบุรุษผู้ใดรูปงามเช่นนี้มาก่อน เย่หวูเฉินยังคงยิ้มและมองที่นาง เมื่อสายตาเขาประสานเข้ามา เสี่ยวลู่รู้สึกราวกับต้องกระแสไฟฟ้า นางรีบก้มศีรษะลงทันที หัวใจของนางเต้นระรัว

 

เย่หวูเฉินมีรูปร่างลักษณะรวมทั้งความสง่างามอันทรงพลัง ร้ายกาจรุนแรงต่อสาวน้อยผู้ยังไม่ประสา และเป็นจุดเริ่มต้นทำให้นางเริ่มบังเกิดความรู้สึกสนใจในเพศตรงข้าม

 

สตรีสามารถใช้รูปโฉมพิชิตบุรุษ หากแต่นางไม่อาจใช้คำนี้กับบุรุษประเภทนี้ได้

 

เสี่ยวลู่เพียงพึ่งเข้าสู่ตระกูลเมื่อหนึ่งเดือนก่อน นับเป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับนายน้อยตระกูลเย่ หวูเฉิน ก่อนหน้านี้นางคอยรับใช้หวังเวิ่นชูทุกๆวัน และนางสามารถเอาชนะใจนางได้ หลังจากนั้น หวังเวิ่นชูจึงส่งสาวใช้ที่นางชื่นชอบที่สุดให้คอยรับใช้ลูกชายนาง

 

“คราวหน้าอย่าเรียกข้าว่านายน้อยเล็กอีก ให้เรียกข้าว่านายน้อยก็พอ เพราะว่าข้าเป็นนายน้อยเพียงคนเดียวในตระกูลเย่ เข้าใจหรือไม่?”

 

“.....เจ้าค่ะ”

 

“เอาละ ข้าจะพักผ่อนแล้ว เจ้าออกไปก่อนได้ อ้อ เสี่ยวลู่ ฝากบอกนายหญิงด้วยว่าเจ้าจะย้ายมาอยู่ห้องข้างๆข้า เสี่ยวซีและเสี่ยวบาก็จะย้ายมาที่นี่ด้วยเช่นกัน วันหน้าจะได้ง่ายสำหรับข้าเวลาเรียกใช้พวกเจ้า”

 

ทั้งสามคนค่อยๆออกจาห้องไป เย่หวูเฉินยืนขึ้นและเดินไปที่ห้องนอน เขาวางหนิงเสวี่ยลงบนเตียงหลังใหญ่ หนิงเสวี่ยอุทานอย่างมีความสุข นางทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มและกลิ้งตัวไปมาพร้อมกับหัวเราะ “ว้าว เตียงใหญ่และนุ่มมาก ช่างนุ่มสบายจริงๆ”

 

เย่หวูเฉินเผยรอยยิ้มพึงใจ “ต่อไปเสวี่ยเอ๋อร์สามารถนอนที่นี่ได้ทุกวัน เจ้าชอบรึปล่าว?”

 

ก่อนหน้านี้ นางเพียงได้นอนบนกองใบไม้ชื้นอยู่บนพื้นเยียบเย็น เมื่อเย่หวูเฉินนำนางกลับมา พวกเขานอนบนเตียงไม้แข็งๆด้วยกัน ระหว่างที่พวกเขาเดินทางไปยังเมืองเทียนหลง พวกเขามีโอกาสได้นอนในที่พักบ้าง แต่บางครั้งพวกเขาก็นอนข้างนอก เตียงหลังนี้อาจดูธรรมดาสำหรับตระกูลร่ำรวย แต่สำหรับสาวน้อยคนนี้ นี่คือสวรรค์

 

“ข้าชอบ ชอบมากๆเลย!” หนิงเสวี่ยนอนแผ่ร่างน้อยๆอยู่บนเตียง นางรู้สึกสบายจนแทบไม่อยากขยับตัว นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ผ่อนคลายจริงๆ หลังจากที่สะสมความเหน็ดเนื่อยมาตลอดการเดินทาง ร่างกายของนางพร้อมที่จะหลับ “ท่านพี่ ข้าง่วงมากเลย กอดข้าหน่อยสิ...”

 

หวูเฉินถอดรองเท้าของนางออก เผยฝ่าเท้าเล็กๆดั่งหยก ขณะเดียวกันเขาก็เตะรองเท้าของตนเองออกไป จากนั้นนอนลงบนเตียงและกอดหนิงเสวี่ยไว้ เขาถอนหายใจเบาๆ ร่างกายของเขาเหน็ดเหนื่อย วันนี้เขาเหนื่อยมากจริงๆ ไม่เพียงเฉพาะจากการเดินทาง แต่เพราะหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความลังเลสับสน เขาไม่ได้อยู่ในโลกอดีต เมื่อเขาปรากฎตัวขึ้นมาบนโลกประหลาดใบนี้ เขาจะสงบใจลงจริงๆได้อย่างไร

 

“เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเรามีบ้านแล้วนะ” เขาหลับตากล่าวกระซิบ

 

“อื้ม......” หนิงเสวี่ยตอบงัวเงีย

 

“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าข้าควรทำตัวเป็นคนขี้โรคต่อไป? หรือว่าข้าควรทำตัวเป็นนายน้อยบ้าอำนาจดี?”

 

“ตราบเท่าที่เป็นท่านพี่....เสวี่ยเอ๋อร์ชอบทั้งหมด แต่ว่า เสวี่ยเอ๋อร์ไม่อยากเห็นท่านพี่ไม่สบาย....”

 

“อืม ในเมื่อเสวี่ยเอ๋อร์ไม่อยากเห็น.... ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำให้ทุกคนได้รู้.... ว่าตัวตนของข้ามันยากที่จะปกปิดเอาไว้”

 

“..........”

 

จมูกหนิงเสวี่ยขยับเล็กน้อย ลมหายใจของนางมั่นคง ในที่สุดนางเข้าสู่ห้วงนิทราภายใต้อ้อมกอดของหวูเฉิน

 

“สร้างชื่อเสียงให้ปรากฎนั้นง่ายกว่าต้องอดทนอยู่อย่างเงียบๆนับหลายร้อยเท่า ถึงแม้ว่าจะเป็นที่โลกประหลาดแห่งนี้ แต่ข้าจะทนยับยั้งตัวเองไม่ให้โดดเด่นได้อย่างไร? เมื่อชะตาส่งข้ามาที่นี่ ดังนั้นก่อนที่ข้าจะจากไป ข้าจะทำให้ทั่วทั้งทวีปเทียนเฉินจดจำนามของข้า!”

 

“นายน้อยเล็กตระกูลเย่ เจ้าเคยถูกผู้คนจำนวนมากดูหมิ่น นับจากนี้ให้ข้าได้แก้ไขชื่อเสียงให้เจ้า แม้ว่าเจ้าจะอยู่ในยมโลก เจ้าสามารถขอบคุณหรือเกลียดข้าจากที่นั่นได้”

 

เขามีรอยยิ้มมั่นใจบนริมฝีปาก เขาลบทุกความคิดกังวลออกไปแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา เขามีรู้สึกราวกับว่าสายเลือดนี้ได้ลิขิตชะตาให้เขาต้องโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต

 

...................................

 

“นายน้อย นายหญิงเรียกท่านให้ไปทานอาหารเย็น”

 

เป็นเวลาค่ำ เสียงนุ่มนวลของหญิงสาวปลุกเขาตื่นขึ้นจากภวังค์ เย่หวูเฉินลืมตาและลุกขึ้นเงียบๆ เขาพยักหน้าให้เสี่ยวลู่ออกไป จากนั้นเขาเขย่าตัวหนิงเสวี่ยเบาๆปลุกนางตื่นขึ้นมา

 

เขาไม่รู้ว่านอนหลับไปนานเท่าไหร่ ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลงบ้างแล้ว ดังนั้นสมควรเป็นเวลาค่ำ เย่หวูเฉินพาหนิงเสวี่ย และให้เสี่ยวลู่นำทางไปยังห้องอาหารหรูหราชวนมอง

 

ในเย็นวันนั้น เมฆหมอกที่ปกคลุมตระกูลเย่ในที่สุดก็มลายหายไป และพวกเขาต้อนรับการกลับมาของเขาด้วย ‘มื้อเย็นพร้อมหน้า’ แน่นอนว่า ‘มื้อเย็นพร้อมหน้า’ นี้ขาดเย่ฉุ่ยเหยาไปเหมือนเช่นเคย หลายๆคนเพียงแค่ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเช่น หนิงเสวี่ย กับ เย่หวูหยุน เป็นต้น

 

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นมิตรอย่างน่าแปลกใจ ‘ทั้งครอบครัว’ ล้วนสามัคคีและมีความสุข ทุกใบหน้ามีเสียงหัวเราะ แม้ว่าเย่หวูเฉินจะยังไม่เรียกพวกเขาว่าบิดามารดา แต่เขาก็ยังให้ความเคารพ และปฏิบัติตัวราวกับเป็นบุตรชายที่ดี เย่หวูหยุนเองก็ทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม ราวกับเรื่องตบหน้าในตอนกลางวันไม่เคยเกิดขึ้น เย่หวูหยุนยังคงทำตัวราวกับยังสงบและเยือกเย็น เขาทำตัวสนิทสนมกับทุกคน เขายังกระทั่งค่อนข้างถ่อมตน ราวกับไม่สนใจที่โดนตบหน้าโดยสิ้นเชิง

 

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่หมาบ้า แต่เป็นสุนัขที่แม้ถูกทุบตีก็ยังไม่เห่าตอบ เย่หวูเฉินหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งเมื่อมองไปยังเย่หวูหยุน แต่เย่หวูหยุนกลับเพียงส่งยิ้มกลับมาบนใบหน้า ฉับพลันนั้นรอยยิ้มของเย่หวูหยุนก็แข็งค้าง เพราะในชั่วพริบตา เย่หวูเฉินทำให้เขารู้สึกราวกำลังจ้องมองอสรพิษ แต่เมื่อผ่านพริบตานั้นไป ความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปหมดสิ้น เขารู้สึกขวัญหายอยู่ชั่วขณะ หากแต่เขาคิดว่าคงหลอนไปเอง

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.