ตอนที่ 28 บุตรชายตระกูลเย่ (3)
ตอนที่ 28 บุตรชายตระกูลเย่ (3)
“ขุนพลเย่ ท่านมาที่นี่ได้เช่นไร?” หลงเจิ้งหยางหัวใจกระตุก เขารีบก้าวไปอยู่เบื้องหน้าชายผู้หนึ่ง แม้ว่าเขาจะเป็นถึงองค์รัชทายาท แต่ต่อหน้าขุนพลเย่เขาก็ไม่กล้าเสียมารยาท
เย่หนู่เองก็ตกใจ เขาประสานมือและโค้งคารวะต่อองค์ชาย “บ่าวชราคารวะฝ่าบาท ข้าไม่ทันทราบว่าองค์รัชทายาทได้กลับมาแล้ว บ่าวผู้นี้รู้สึกละอายนัก”
หลงเจิ้งหยางประคองเย่หนู่ขึ้นแล้วกล่าว “ไม่จำเป็นต้องมากพิธีหรอกท่านขุนพล ข้าเพียงเพิ่งกลับมาถึง ย่อมเป็นธรรมดาที่ท่านจะยังไม่ทราบข่าว”
เขาไม่มีเวลาพอทักทายภรรยาของเย่เว่ย เพราะเวลานี้ หวังเวิ่นชู ได้โถมตัวเข้ากอดร่างของเย่หวูเฉินเอาไว้แน่น ราวกับนางกลัวว่าเขาจะพลันหายตัวไปอีกครั้ง นางมองเขาด้วยสายตาสั่นไหว ทั้งยังกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยอารมณ์ “เฉินเอ๋อร์... เจ้าคือเฉินเอ๋อร์!”
เย่เว่ยเองก็จับจ้องไปยังใบหน้าของเย่หวูเฉิน แต่ความตื่นเต้นของเขาพลันเลือนหายไป และกลายเป็นความผิดหวังแทน เขาและบุตรชายดูเหมือนกันมาก... ไม่ ดูเขาจะตัวสูงกว่าเล็กน้อย เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ก็ดูไม่ต่างจากก่อนสักเท่าไหร่ บุตรชายของเขาหายตัวไปเมื่อ 1 ปีที่แล้ว หลังไม่ได้พบกันมานานกว่าปีเขาสมควรเติบใหญ่ขึ้น
ถ้าเพียงแต่เย่หวูเฉินไม่แสดงสีหน้าไร้อารมณ์ เย่เว่ยย่อมตื่นเต้นเช่นเดียวกับภรรยาของเขา แต่กระทั่งความดีใจยังไม่ปรากฎบนใบหน้าเขา กลับสัมผัสได้แต่ความห่างเหินไม่คุ้นเคย ซึ่งเป็นสิ่งไม่ควรเป็น สิ่งเดียวที่อธิบายได้คือพวกเขาไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ไม่เช่นนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่บุตรชายอายุ 16 ของตนจะจดจำพวกเขาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เขาทำได้เพียงถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ไม่คาดคิดเลยว่าในโลกนี้กลับมีบุคคลที่ดูเหมือนกันได้ถึงขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ทั้งภรรยาและบริวารทั้ง 42 คนต่างตื่นเต้นดีใจ
เขาก้าวออกไปเบื้องหน้าแล้วเอ่ยถาม “หนุ่มน้อย เจ้าชื่ออะไร?”
เย่หวูเฉินยังไม่ทันจะเปิดปากพูด หลงเจิ้งหยางก็ชิงพูดขึ้นก่อน “เขาชื่อเย่หวูเฉิน ข้ากับเขากลายเป็นสหายกันได้ไม่นาน และเขากลับมาพร้อมกับข้า หากแต่... น้องเย่หมดสติชีวิตอยู่ในวิกฤตเป็นเวลาเนิ่นนาน เขาเพิ่งตื่นขึ้นมาเมื่อ 1 เดือนก่อน และเขาไม่สามารถจำอดีตใดๆได้เลย ข้ากำลังจะพาเขาไปที่บ้านตระกูลเย่ เพราะคิดว่าบางทีเขาอาจมาจากที่นั่น”
การตอบสนองของหวังเวิ่นชูทำให้หัวใจเขาเต้นเร็ว ตอนแรกเขามีความไม่แน่ใจอยู่หลายส่วน และคิดว่าบางทีเขาอาจเป็นแค่คนหน้าเหมือน เขาเพียงต้องการไปบ้านตระกูลเย่เพื่อทดสอบสมมติฐาน แต่ยามนี้เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหวังเวิ่นชู เขารู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่แค่ “คนหน้าเหมือน” เขาเสียใจอยู่บ้างที่ไม่สามารถนึกออกว่าเขาเป็นบุตรชายตระกูลเย่ได้เร็วกว่านี้ ทำให้เขาไม่ได้ออกตัวปกป้องเย่หวูเฉิน เพราะหากเขาเป็นบุตรชายตระกูลเย่จริงๆ เขาย่อมสามารถใช้ความสัมพันธ์ดึงหวูเฉินมาเป็นพวกตน ไม่ว่าตัวตนของเขาจะเป็นทายาทของเทพกระบี่ หรือเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลเย่ ทั้งสองสถานะต่างย่อมทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มหาศาล และทำให้ตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทของเขามั่นคงและยากจะสั่นคลอน
เย่หนู่และเย่เว่ยต่างมีอารมณ์ปั่นป่วน เย่หนู่ก้าวออกไปยืนข้างๆเย่หวูเฉินอย่างตื่นเต้น เขามองเข้าไปในดวงตาและเอ่ยถาม “ใครเป็นคนตั้งชื่อให้เจ้า?”
“ข้าตั้งชื่อของข้าเอง” เย่หวูเฉินตอบ
“เฉินเอ๋อร์ เจ้าคือเฉินเอ๋อร์แน่นอน” ดวงตาของหวังเวิ่นชางเอ่อไปด้วยน้ำตา นางไม่อาจหักห้ามใจยื่นมือขึ้นหวังสัมผัสใบหน้าของเขา เย่หวูเฉินเงยศีรษะหลีกเล็กน้อย เขากล่าวพร้อมทั้งหัวเราะ “ท่านป้า ท่านคงสับสนและจำข้าสลับกับใครบางคนแล้ว แม้ว่าข้าจะชื่อเย่หวูเฉิน แต่ข้าไม่ใช่เย่หวูเฉินคนที่ท่านรู้จัก”
“ไม่จริง เจ้าคือเฉินเอ๋อร์อย่างไม่ต้องสงสัย!” หวังเวิ่นชางมองเขา นางไม่ต้องการละสายตาไปจากเขา “ทั้งรูปร่างหน้าตาและน้ำเสียง อาจเป็นเรื่องบังเอิญได้ ชื่อของเจ้าก็อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญได้ แต่รอยที่อยู่บนหลังมือขวาของเจ้า... เป็นสิ่งที่มีเพียงลูกชายของข้าเท่านั้นที่มีมัน นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เฉินเอ๋อร์ ข้าคือแม่ของเจ้า!”
เย่หนู่และเย่เว่ยสายตาตกลงบนมือขวาของเย่หวูเฉินที่กำลังกอดหนิงเสวี่ยอยู่ เมื่อมองดูใกล้ๆ พวกเขาเห็นรอยสีเหลืองจาง 3 รอย เป็นรูปดาวเรียงอยู่บนหลังฝ่ามือ เนื่องจากรอยทั้ง 3 สีจางมาก จึงเห็นได้ยากหากไม่สังเกตดูจริงๆ
เย่หวูเฉินมองที่หลังมือตนเอง คิ้วของเขามุ่นลงเล็กน้อย ความสับสนบางอย่างผ่านเข้ามาในจิตใจ เพราะตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา เขาไม่อาจสังเกตเห็นรอยทั้ง 3 นี้ได้เลย ยิ่งกว่านั้น ในความทรงจำของเขาก็ไม่มีเรื่องราวของรอยทั้ง 3 ในอดีตที่ผ่านมาด้วย
เพียงสองเรื่องยังอาจนับเป็นเรื่องบังเอิญ หากเรื่องบังเอิญที่ 3 ปรากฎขึ้นอีกอัน เขาก็กล่าวได้เพียงว่าคงเป็นชะตาที่ฟ้าลิขิตไว้
ในเมื่อฟ้าได้มอบตัวตนเช่นนี้ให้กับเขา ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะปฏิเสธ
จากตอนแรกที่ เย่เว่ย กับ เย่หนู่ กดข่มตนให้สงบระงับ ในที่สุดพวกเขาก็เผยความตื่นเต้นออกมา เพราะว่ารอยทั้ง 3 ได้ลบข้อสงสัยของพวกเขาออกไปจนหมด ด้านหลังของพวกเขา เย่หวูหยุนตามมาถึง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย ด้านข้างเขา มีผู้ติดตามสวมชุดเทาเผยสีหน้าประหลาดใจ สีหน้าที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยของพวกเขาถูกเย่หวูเฉินสังเกต และเขาเริ่มครุ่นคิดบางสิ่ง
ดวงตาของเย่หนู่เปียกขึ้นเล็กน้อย เขาก้าวไปยังเบื้องหน้าและตบลงบนไหล่ของเย่หวูเฉิน จากนั้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว ทั้งเจ้ายังปลอดภัยกลับมา! สวรรค์ไม่ได้ทอดทิ้งตระกูลเย่ของข้า.... ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
เขาหันร่างไปรอบๆในฉับพลัน และจ้องไปยังราชองครักษ์ที่ยืนตะลึง “เหตุใดพวกเจ้ายังชี้ปลายกระบี่มาที่หลานชายของข้า ยังไม่รีบวางกระบี่ลงอีก!”
พลังของเย่หนู่จะเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร? หลังจากที่เขาตะโกน พวกราชองครักษ์ต่างตัวสั่นงันงกและรีบวางกระบี่ลง จากนั้นพวกเขาก็ไปยืนอยู่หลังหวู่ชาง ทุกคนต่างนิ่งเงียบด้วยความหวาดกลัว ขุนพลเย่เกราะโลหิตผู้ทรนงเด็ดเดี่ยวเป็นที่เลื่องลือ หากกระตุ้นโทสะเขา แม้องค์จักรพรรดิมาปรากฎตัวตรงหน้า พวกมันก็ยังไม่อาจรอดชีวิตได้
เย่หวูเฉินสับสนอย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวออกไปอย่างไม่รู้ตัว “พวกท่านคือครอบครัวของข้าจริงๆหรือ?”
หวังเวิ่นชางพยักหน้า มือของนางยังคงจับเสื้อเขาเอาไว้แน่น หลังจากอดทนเป็นเวลานาน ในที่สุดน้ำตาของนางก็ไหลออกมา “ถูกต้อง พวกเราคือครอบครัวของเจ้า ข้าเป็นแม่ของเจ้า เขาเป็นปู่ของเจ้า และนี่คือพ่อของเจ้า ส่วนนั่นคือพี่ชายของเจ้า... ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าจำพวกเราไม่ได้... ไม่เป็นไร แม่จะพาหมอที่เก่งที่สุดจากวังหลวงมารักษาเจ้า อาการของเจ้าจะต้องดีขึ้นและจำพวกเราได้”
นางสัมผัสใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยนและพึมพำ “โชคดีจริงๆ.... ... เจ้าไม่ได้ผอมลง เจ้ากระทั่งดูหล่อขึ้นมากกว่าเดิม แม้แต่จิตใจของเจ้ายังเข้มแข็งขึ้น เจ้าคงจะต้องทนทุกข์ทรมานมามากตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่แม่จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องทนเจ็บปวดอีกต่อไป”
ดวงตาพร่าไหวของนางทำให้จิตใจของเย่หวูเฉินรู้สึกเจ็บปวด ในขณะเดียวกัน ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ไม่อาจบ่งบรรยาย นี่คือมารดาที่อ่อนโยนและนุ่มนวล มารดาทุกคนย่อมรักลูกของตนยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก เขาได้แต่จินตนาการ ถึงความเจ็บปวดที่นางได้รับยามลูกชายนางหายตัวไป ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานางจะต้องทนทุกข์ทรมานถึงปานใด... ไม่ว่านางจะเป็นมารดาของเขาหรือไม่ นางก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ข้าขอโทษด้วย ข้าไม่มีเจตนาหลอกลวงท่าน... ข้าเพียงต้องการสถานะให้ตนเอง และข้าหวังว่าตัวตนของข้าจะลบเลือนความโศกเศร้าในใจของท่านได้
เย่เว่ยมีสีหน้าและรอยยิ้มที่สงบ เพียงแต่เขาแอบปาดน้ำตาอยู่เงียบๆ นี่ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างสุดแสน เขารู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ในความฝัน คิดถึงเมฆหมอกในปีที่ผ่านมา บิดาของเขาผู้มักทอดถอนใจ ภรรยาที่มักโศกเศร้าน้ำตาไหล ความเจ็บปวดในใจตน หัวใจเขาครั้งหนึ่งเคยขมขื่น.... แต่แล้วทุกอย่างพลันมลายหายไปเมื่อเขากลับมา เย่เว่ยมองหนิงเสวี่ยที่อยู่ในอ้อมแขนเขา เขายิ้มและกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้ามีคำถามมากมาย และเราก็อยากถามเจ้าหลายอย่างเช่นกัน แต่ไว้เราค่อยคุยกันหลังจากกลับไปถึงบ้าน”
หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เย่หวูเฉินจึงตามตระกูลเย่กลับไปที่บ้าน ท้องถนนเต็มไปด้วยเสียงสนทนากันอย่างสับสน หลงเจิ้งหยางมองพวกเขาจากไปด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ทันใดมีเสียงร้องไห้ชำแรกมาที่ข้างหู ปลุกเขาตื่นขึ้นจากภวังค์
“กล้าเมินข้า! กล้าเมินข้า!! ฮืออ..... ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้า ที่ทำให้ข้าร้องไห้! ข้าจะกลับไปที่วังและฟ้องท่านพ่อว่าเจ้ารังแกข้า!”
ข่าวเรื่องบุตรชายผู้สาบสูญของตระกูลเย่ได้กลับมา ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเทียนหลงอย่างรวดเร็ว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 257
แสดงความคิดเห็น