6 กำเนิดนักสู้-การประลองที่สอง
“เจ้าหนุ่ม!”
เสียงของหว่างขาตั้งง้ำแผดสนั่นขึ้นในตอนที่หลิวลู่เดินออกจากกระโจมที่ใช้เป็นสถานที่กินข้าว มังกรหนุ่มหันไปตามทิศทางนั้นและพบเจ้าของเสียงยืนตระหง่านอยู่ในแสงแดดร้อนใกล้ทางเข้าซุ้มทิศใต้ หลิวลู่จึงสืบเท้าไปทางนั้นทันที
“ว่าอย่างไรเหรอท่าน?”
“การประลองรอบบ่ายกำลังจะเริ่มในไม่ช้า—” หว่างขาตั้งง้ำเอ่ยและกดสายตาลงมองนักสู้ไร้อันดับหนุ่มตรงหน้า “—เจ้าคือคู่ประลองที่สอง!”
“ข้าจะได้ลงประลองอีกครั้ง?”
“ใช่! ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำอย่างไรถึงได้มีสิทธิ์ประลอง แต่ในเมื่อข้าถูกสั่งมา ข้าก็ต้องพาตัวเจ้าลงไปรอ” หว่างขาตั้งง้ำตอบพลางดึงร่างของหลิวลู่ลงสู่ใต้ดิน เจ้าหน้าที่ร่างกำยำผิวกายเข้มย่ำเท้าหนักลงไปตามบันไดหินแคบโดยมีหลิวลู่เดินตามหลัง “เจ้าช่างโชคดีเสียเหลือเกิน!!”
“ก็ท่านบอกไว้เองนี่ว่าข้าอาจจะได้ประลอง—!”
“ใช่ ข้าพูดเช่นนั้น—” หว่างขาตั้งง้ำคำรามและหยุดกายลงในช่องบันไดแคบก่อนจะถึงห้องเล็ก เขาหันกายเข้าหาหลิวลู่และเอ่ยต่อ “—แต่ข้าหมายถึงคู่ประลองแรกต่างหากเล่า! มันจะต้องมีอะไรพิศดารเป็นแน่ที่จับนักสู้ไร้อันดับเช่นเจ้ามาประลองในคู่ที่สอง”
“ข้าไม่เข้าใจว่ามันต่างกันอย่างไร”
“คู่ประลองแรกก็เป็นเพียงคู่ถ่วงเวลารอเจ้าพวกนักพนันกลับมาจากหยุดพักตอนเที่ยง เป็นคู่ที่มีฝีมือต่ำถึงขั้นเลว แต่คู่ถัดจากนั้นคือการประลองจริงที่มีการเดิมพันสูง นักสู้ไร้อันดับไม่เคยมีสิทธิ์ได้ลง แต่เจ้ากลับได้มัน” หว่างขาตั้งง้ำคำราม “เจ้าพูดอะไรกับเจ้าหน้าที่ลำเมื่อเช้านี้!?”
“ขะ—ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย และที่ข้าได้สู้ในวันนี้ก็เพราะข้าไปขอท่านอาควบเหนือเต้าอึ๋มเท่านั้น”
“อ้อ! เป็นเช่นนี้นี่เอง! ถ้าเช่นนั้น ผู้ใหญ่ควบก็คงจะสอนเจ้าให้รู้ถึงวีธีการต่อรองแล้วเป็นแน่” หว่างขาตั้งง้ำยังคงคำรามและจ้องหลิวลู่อย่างขึงขัง ไม่แน่ว่าเจ้าทาสหนุ่มผู้นี้อาจจะเจ้าเล่ห์กว่าที่ตนคาดเอาไว้
หลิวลู่ถูกมือหยาบกร้านของหว่างขาตั้งง้ำกระชากจนเซลงไปยืนในระดับเดียวกับเจ้าหน้าผิวกายเข้ม ช่องบันไดแคบทำให้หลิวลู่ต้องพลิกกายเอาหลังแนบกับผนังดินเย็นชืดและรอให้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าหน้าที่ขยับกายเข้าหาจนกระทั่งทั้งสองอยู่ในท่าทางที่เกือบจะแนบชิด
ใบหน้าของหว่างขาตั้งง้ำโน้มลงหาหลิวลู่ แผ่นอกหนาแกร่งของทั้งสองยังคงทิ้งระยะห่างราวฝ่ามือหนึ่ง สะโพกของหว่างขาตั้งง้ำก็เช่นกัน แต่ไม่ใช่กับเครื่องคราของเขาที่ปูดยื่นจนเกือบจะสัมผัสกับหลิวลู่
“ข้าสู้เท่าที่ข้าได้รับโอกาส ข้าจึงต้องใช้เวลาถึงหกปีกว่าจะขึ้นมาถึงอันดับสิบสองได้ แต่ดูเจ้าสิ!” หว่างขาตั้งง้ำลดเสียงแต่ยังคงกระด้างห้วน ฝ่ามือแข็งแกร่งราวคีมเหล็กพุ่งขึ้นมาคว้าคางของหลิวลู่และเชยใบหน้ามังกรหนุ่มขึ้น “ไม่พ้นสองวันเจ้าคงได้อันดับสูงเป็นแน่”
หลิวลู่ขบกรามแน่น มังกรหนุ่มเหมือนจะเดาความคิดของหว่างขาตั้งง้ำได้แล้ว เจ้าหน้าที่ผู้นี้คิดว่าหลิวลู่จะพึ่งพาเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อลงประลองในระดับที่สูงขึ้นหรือไม่ก็ใช้เพื่อไต่อันดับ
แม้จะไม่เป็นความจริง แต่หลิวลู่ก็อยากจะยั่วโทสะของบุรุษตรงหน้า
“ถ้าเช่นนั้น ขะ—ข้าก็พอจะรู้แล้วว่าข้าจะต้องทำอย่างไรหากข้าอยากจะได้อันดับที่สิบสองเช่นท่าน” หลิวลู่สะอึกตอบและส่งมือไปหาเจ้าหน้าที่ผิวกายเข้ม มังกรหนุ่มคว้าเอวกางเกงผ้าของบุรุษตรงหน้าและกระชากเข้าหาตัวอย่างจงใจ หว่างขาตั้งง้ำที่ไม่ทันตั้งรับจึงเซทับร่างของหลิวลู่จนแนบชิด “หากข้าได้อันดับเดียวกับท่านเมื่อไร ท่านก็อย่าเสียใจที่ถูกข้าแย่งงานล่ะ”
“เจ้า!”
เสียงอื้ออึงที่ฟังไม่ได้ศัพท์จากด้านบนดังลงมาถึงห้องใต้ดิน เหล่าพ่อค้า ขุนนางและนักพนันต่างกลับมาแล้ว อีกไม่ช้าการประลองรอบแรกจะเริ่มขึ้น
หว่างขาตั้งง้ำรู้ดีว่าหลิวลู่มีเวลาเตรียมตัวอีกไม่นาน
“ฟังข้า—” หว่างขาตั้งง้ำจับคางของหลิวลู่เชิดค้างและกดสายตาเหี้ยมลงจ้อง คิ้วเข้มขมวดย่นอยู่เหนือดวงตาสีอ่อนที่จึมลึกอยู่ในเบ้า ริมฝีปากใต้เรียวหนวดบางขยับเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้เสียงลอดผ่านออกมา “—โชคของเจ้าคือ รอบนี้จะไม่ใช่แค่การประลองชดเวลา คู่ต่อสู้ของเจ้าจะเป็นนักสู้มีอันดับ หากเจ้าชนะ เจ้าจะได้รับแต้มจากเจ้าหน้าที่และเหล่านักพนันทันที มันเป็นสิ่งที่กำหนดอันดับของเจ้า หากปรารถนาจะแย่งงานของข้าก็ไปเอาชัยมาซะ—เจ้านักสู้ไร้อันดับ!”
อีกครั้งที่ก้านหลิวลู่ไหวต้องมายืนอยู่ด้านหลังประตูไม้และซึมซับความร้อนระอุของเปลวแดด เสียงประกาศจบการประลองคู่แรกจางหายไปกับกระแสลมร้อนภายนอกหลายอึดใจแล้ว ต่อไปจะเป็นคู่ของมังกรหนุ่มจากหมู่บ้านกรรมกรที่ห้า
หลิวลู่สืบเท้าเข้าสูลานประลองเมื่อประตูเปิดออก เสียงฟั่นเชือกขมวดแน่นหยุดลงพร้อมกับเสียงบานประตูไม้กระแทกปิด มังกรหนุ่มออกมายืนอยู่ในเปลวแดดร้อนแรงและส่งสายตาไปยังประตูฝั่งเหนือ
ที่นั่นมีร่างของสตรีนางหนึ่งก้าวเท้าออกมาพร้อมอาวุธยาวในมือ
“นางผู้นั้นเป็นนักสู้อันดับยี่สิบหก เทียบเท่ากับขั้นเจ็ด!” บุรุษแซ่กงเอ่ยขึ้นอย่างพรึงเพริดพลางยกสายตาขึ้นจากกระดาษที่ปลิวสะบัดอยู่ในมือ ร่างกำยำในชุดเทานั่งเหยียดอยู่บนตั่งริมขอบหลุมลึกที่มีร่างของทาสสองคนยืนจับจ้องกันอยู่ในเปลวแดด “ทวนยาวคืออาวุธของนาง โจมตีราวกับเริงระบำต่อเนื่องจนคู่ต่อสู้แทบไม่มีโอกาสตีโต้ ทั้งรวดเร็วและดุดัน เห็นทีข้าคงจะลงคะแนนให้เจ้าหนุ่มแซ่ก้านหนักไป เจ้าจึงต้องมาประมือกับคู่ต่อสู้อันดับสูงกว่าเจ้าหมีจ้องเป้า”
เสียงรำพึงของบุรุษแซ่กงถูกลมหอบลงสู่ลานประลอง มันถูกกลบหายไปด้วยเสียงหวีดหวิวที่กระพือโหมตีตลบจนฝุ่นผงฟุ้งกระจายขึ้นจากพื้นดินแข็ง แต่ถึงกระนั้นหลิวลู่ก็ทันเห็นร่างบอบบางวิ่งทะยานเข้าสู่กลางลานเมื่อเสียงแตรดังก้องขึ้น
สีเงินของโลหะวาวพุ่งพรวดออกมาจากฝุ่นผง หลิวลู่จับความเคลื่อนไหวนั้นได้ในขณะที่ก้าวทะยานออกไปเช่นกัน มังกรหนุ่มหมายจะจู่โจมให้จบโดยไวเหมือนคราที่สู้กับหมียักษ์จ้องเป้า แต่ครานี้ไม่ง่ายเสียแล้ว เพราะคู่ต่อสู่ชิงลงมือก่อนด้วยความรวดเร็ว
ปลายทวนสีเงินคมปลาบพุ่งแทงออกมาจากฝุ่นผงด้วยความไวที่น่าหวาดหวั่นพร้อมเสียงร้องลั่นของสตรีนางนั้น นางจู่โจมได้รวดเร็วและรอบคอบยิ่ง หลังจากเสือกแทงทวนมาจากทิศหนึ่ง นางก็ทะยานฉีกไปอีกทิศและพุ่งปลายทวนมาอีกชุดหนึ่ง นางใช้พื้นที่ของลานกว้างได้อย่างเฉลียวฉลาด การโจมตีของนางไม่เพียงแต่จะสร้างความกดดันให้หลิวลู่ต้องหลบเลี่ยงและปัดป้องอยู่ในวงแคบเท่านั้น แต่มันยังทำให้ฝุ่นผงแทบไม่ตกลงสู่พื้นเลย
หลิวลู่ยืนอย่างระแวดระวังอยู่ในฝุ่นผงที่กระพือโหม เขาแทบจับร่างเงาของสตรีนางนั้นไม่ได้เลย แต่มังกรหนุ่มก็ใช่ว่าจะปัดป้องไม่ได้ เขาใช้กระบี่สกัดการจู่โจมได้อย่างคล่องแคล่วแม้จะไม่เห็นร่างของคู่ต่อสู้
จากทิศเบื้องหน้าหลิวลู่ใช้ฝักกระบี่ดำปัดปลายทวนแหลมไปสี่ครั้งทำให้เกิดเสียงโลหะกระทบเสียดแทงแก้วหูดังถี่รัว ทิศเบื้องขวาซึ่งเป็นด้านที่มังกรหนุ่มไม่ถนัดก็โยกหลบได้อย่างเฉียดฉิว พอคู่ต่อสู่ย่างไปสู่ทิศเบื้องหลัง หลิวลู่ก็หมุนตามและควงกระบี่ในมือซ้ายเพื่อปัดป้องก่อนจะใช้ฝักดาบในมือขวากระหน่ำตีลงไปหลายคราจนปลายทวนสูญเสียทิศทาง
กระทั่งแสงวูบวาบของคมทวนพุ่งเรี่ยพื้นดินมาจากด้านซ้ายนั่นแหละ หลิวลู่จึงสามารถโจมตีคู่ต่อสู้ได้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียว
นางทวนเร้นกายอยู่ในฝุ่นผงตลอดเวลา หากแม้นนางพบว่าฝุ่นผงเริ่มบางตา นางก็จะใช้ทวนตีกระแทกพื้นอย่างรุนแรงให้ฝุ่นฟุ่งขึ้นและจ้วงปลายทวนไปเหนี่ยวฝุ่นผงนั้นให้หมุนวนไปโดยรอบราวกับนางมีอาคม หลังจากนั้นนางก็ซ่อนกายและจู่โจมอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แต่ทุกกระบวนท่าถูกปัดป้องได้อย่างฉิวเฉียด
“ย้าก! ย่ะ! ย่ะ! ฮึบ!”
นางทวนคิดไม่ตกว่าเหตุใดทวนของนางจึงไม่สามารถจู่โจมเจ้าทาสหนุ่มไร้อันดับได้เลยแม้แต่คราเดียว มันผู้นั้นหลบหลีกและปัดป้องได้ราวกับล่วงรู้กระบวนท่าของนางจนหมดสิ้น
ในเมื่อมันมีฝีเท้าหลบหลีกว่องไว นางก็ควรทำลายตรงจุดนั้นก่อน นางทวนคำนึงและหมอบต่ำพลางเสือกทวนพุ่งตรงไปด้านหน้าจำนวนสี่ครั้ง แต่มันก็ไร้ผล ปลายทวนไม่ได้สัมัสกับวัตถุอื่นใดเลยนอกจากฝุ่นผงที่นางสร้างขึ้น นางจึงตัดสินใจเหวี่ยงตวัดทวนให้ส่ายไหวราวกับงู มันทำให้ฝุ่นผงด้านหน้าแหวกออกอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อนั้นนางจึงเห็นว่าเจ้าหนุ่มไร้อันดับลอยทะยานอยู่กลางอากาศแล้ว
หลิวลู่หลบหลีกและปัดป้องทวนของคู่ต่อสู้ด้วยการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างแคบ มังกรหนุ่มโฉบหลบและตีโต้เพียงเล็กน้อยด้วยไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องรีบเร่งสู้
ทุกครั้งที่คู่ต่อสู้เคลื่อนไหว เสียงฝีเท้าของนางก็ดังกึกก้องชัดเต็มสองหู ทุกครั้งที่วาดทวนก็สร้างกระแสลมขึ้นเป็นวงกว้างและทุกครั้งที่จ้วงแทง นางก็แหกปากเสียดังลั่น
ต่อให้นางรวดเร็วและหลบซ่อนได้ดีปานใด แต่หากนางไม่คิดจะอำพรางสภาวะเหล่านั้น หลิวลู่ก็ไม่อับจนและถูกโจมตีแน่นอน
แต่พอนางเปลี่ยนวิธีสู้มาเป็นมุ่งทำลายขาและเท้า หลิวลู่ก็คิดว่าถึงเวลาจบการประลองเสียที มังกรหนุ่มเก็บกระบี่เข้าฝักและย่างเท้าเปล่าเปลือยด้วยระยะสั้นๆ เพียงเพื่อจะหลบปลายทวนแหลมที่พุ่งเรี่ยพื้นจำนวนสี่ครั้ง ปลายทวนหยุดลงอึดใจและเปลี่ยนเป็นเหวี่ยงสะบัดรุนแรงจนสร้างมวลอากาศสั่นไหวขึ้นบนพื้น ภาพนั้นคล้ายงูตัวยาวที่ดิ้นพล่านและทำลายผิวดินแข็งจนแตกเป็นฝุ่นละเอียดและกระพือออกเป็นทาง ตอนนั้นหลิวลู่ก็ตัดสินใจถีบตัวขึ้น
มังกรหนุ่มลอยตัวและวาดตามองคู่ต่อสู้ที่หงายเงยมองขึ้นมา ดวงตาของนางมีแววพรั่นพรึงและอ่อนล้าเต็มที่ การวิ่งวนอยู่นานในแสงแดดร้อนแรงคงทำให้เรี่ยวแรงของนางหมดไปมากแล้ว หลิวลู่จึงเปลี่ยนกระบี่มาไว้ในมือซ้าย นิ้วโป้งแตะอยู่ที่กระบังกลม (แผ่นกลมกั้นระหว่างใบกระบี่กับคอกระบี่ ไม่ใช่กระบังขวางแบบดั้งเดิม)
หลิวลู่ดึงกระบี่เข้าหาตัวและหมุนกายกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ครบรอบมังกรหนุ่มก็ส่งแขนซ้ายไปข้างหน้าและดีดนิ้วโป้งออก
กระบี่ถูกดีดออกจากฝักโดยมีด้ามพุ่งนำ ตัวดาบหมุนคว้างกระทบแสงแดดร้อนส่งประกายวาบเป็นเส้นตรงจนคล้ายกับสำแสงตัดผ่านห้วงฝุ่นผง ด้ามกระบี่พุ่งเข้ากระแทกไหล่ขวาของคู่ต่อสู้ด้วยความแรงที่น่าตกตะลึง ร่างบอบบางของนางทวนถูกกระบี่กดหงายและกระเด็นถอยหลังออกไปราวสามสิบชุ่น ทวนยาวตกกระแทกพื้นและกลิ้งไปมาอยู่อึดใจก่อนจะหยุด
แม้ไม่มีลมหอบใหญ่พัดลงมาและปัดเป่าฝุ่นผงออกไป แต่เหล่านักพนันบนขอบลานประลองที่เงียบงันก็สามารถมองเห็นมวลฝุ่นผงที่แยกออกเป็นทางนั้นได้อย่างชัดเจน
ร่างของหลิวลู่ตกลงสู่พื้นดินแข็งก่อนจะมีเสียงประกาศกึกก้อง
“ผะ—ผู้ชนะได้แก่ก้านหลิวลู่ไหวจากหมู่บ้านกรรมการที่ห้า!”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 343
แสดงความคิดเห็น