STARCIN ภาคที่ 1 HIN ตอนที่ 7 วิถีปฏิบัติ (รีไรท์)
22 มิถุนายน พ.ศ.2575
แสงตะวันพาดผ่านร่มไม้ลงมายังเหล่านักเรียนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาดูการประลองของครูฝึก นาธาผู้ที่ยอมเจ็บตัวเพื่อปกป้องลูกศิษย์และเลวาธานผู้คุมค่ายคนใหม่
“พวกนายคิดว่าใครจะชนะ?” เซนกระซิบถามแซมและซึฮากิที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“ดูจากหน่วยก้านนาธายังเป็นรองอยู่แต่ส่วนตัวหวังอยากให้เขาชนะมากกว่า อย่างน้อยก็เป็นผู้เป็นคนมากกว่าเจ้ากล้ามโตนั่นเยอะเลย” ซึฮากิถอนหายใจสั้น ๆ เฝ้าสังเกตการณ์ชายวัยกลางคนทั้งสองทั้งท่าทางและความสามารถ
“ผมก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าหากคนที่ชื่อเลวาธานชนะพวกเราก็จะโดนลงโทษแบบเมื่อวาน” แซมมองตรงไปข้างหน้าแววตาเหม่อลอยสวดภาวนาให้นาธาตอนนี้ก็คงทำได้เพียงเท่านี้ขณะที่รอบ ๆ เต็มไปด้วยเสียงคุยเจี๊ยวจ๊าว
“ฟราน…เธอได้ยินใช่ไหมเมื่อคืนน่ะ?” นาริกระซิบข้าง ๆ หูของฟรานในขณะที่คานะเอาแต่ก้มหน้ากอดเข่า
“อืม เราอย่าพึ่งถามอะไรเธอมากเลยตอนนี้แค่คอยอยู่ข้าง ๆ เธอไว้ก่อน”
“ตามกฎของการประลองทหาร ผู้ชนะจะมีสิทธิ์ขาดในการสั่งการหรือหากมีการเดิมพันไว้ก่อนก็จะได้รับสิ่งนั้นไปโดยทันที” เมื่อตัวแทนทหารกล่าวเปิดการประลองนาธาก็ชักมีดสั้นอยู่ในท่าพร้อมต่อสู้
เลวาธานแสยะยิ้มหลังเห็นท่ารากเลือดจังของนาธาราวกับรอคอยเวลานี้มานาน อาวุธที่เขาใช้เป็นถุงมือเหล็กรูปแบบเดียวกับที่นาริใช้แต่มันหรูหรากว่ามาก
“คิดว่าจะชนะฉันได้เหรอ? เคยทำได้สักครั้งหรือยัง?” เลวาธานตรงดิ่งเข้าหาจังหวะก้าวเดินที่มั่นคงไม่มีความหวาดหวั่นส่งสายตายียวนชวนให้นาธาไม่มีสมาธิ
“จะเริ่มแล้ว ๆ ถ้าตามปกติของนิยายจะเห็นการประลองในลานกว้างเป็นพิธีแต่แบบนี้ก็ได้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง” เซนบ่นพึมพำไม่สนใจคนรอบข้าง
นาธาได้เปรียบในเรื่องระยะนิดหน่อยแต่ถุงมือเหล็กก็น่าจะกันคมของมีดได้ คงต้องรอดูฝีมืออย่างเดียวสินะ
ออร่ามานาห่อหุ้มหมัดอันหนักแน่นของเลวาธานเหวี่ยงสุดแขนเล็งไปที่หน้าของนาธาแต่เขาก็ถอยทิ้งระยะห่างได้ทัน
“ไม่เอาน่า” รอยยิ้มเลศนัยของเลวาธานแสดงออกชัดเจนหลังจากนั้นไม่นานพื้นที่นาธายืนอยู่ก็มีแท่นดินกระแทกขึ้นมาทำให้เสียหลัก
“[เพลิงสาดสะบั้น]” แทนที่นาธาจะเสียหลักล้มอย่างที่เลวาธานคิดแต่เขากลับใช่แท่นดินเป็นที่เหยียบส่งตัวเข้าประชิดชายร่างหนาตรงหน้าและหมุนตัวเหวี่ยงกระสุนเพลิงราวกับการสาดน้ำ
“ว้าว ! เราเทียบพวกเขาไม่ติดเลยสักนิด” เซนมองตาโตสนใจการประลองเป็นพิเศษ
คมมีดสีชาดที่สาดกระเด็นยังไม่อาจเจาะการป้องกันกำแพงดินของเลวาธานได้ แม้จะพยายามเล่นทีเผลอแต่ก็ยังไม่เป็นผล
“[พาวเวอร์อัป] [สปีดอัป]” พวกเขาต่างก็เริ่มใช้เวทมนตร์ประเภทสนับสนุนช่วยให้ร่างกายตอบสนองและทำงานได้ดียิ่งขึ้น
นาธาพยายามไล่ต้อนด้วยการใช้ความเร็วที่เหนือกว่าขว้างหอกเพลิงและวิ่งวนไปรอบ ๆ ขณะที่เลวาธานยังคงตั้งการ์ดรอคอยจังหวะโต้กลับ
“ฉันอยากได้บ้าง ฉันอยากได้บ้าง ฉันอยากได้บ้าง” เซนเขย่าตัวซึฮากิจนน่ารำคาญ
“หนวกหูจริง ๆ เลย” เสียงตะคอกของนาริทำให้ผู้ชมทั้งนักเรียนและทหารที่กำลังใจจดใจจ่อสะดุ้งตกใจก่อนที่นาริจะกล่าวขอโทษ
จนแล้วจนเล่าเมื่อเลวาธานหาจังหวะที่นาธาอ่อนกำลังเขาก็กระโจนเข้าใส่พร้อมด้วยรอยยิ้มพิลึกพิกล
“เวรเอ๊ย” เลวาธานเตะสกัดขาของนาธาโดนทั้งสองข้างจนล้มลงกับพื้นและขึ้นคร่อมกระหน่ำออกหมัดใส่ใบหน้าของนาธาแต่เขาก็ยังปัดป้องแรงหมัดด้วยมีดสั้นเคลือบมานา
นาธากัดฟันคิดหาวิธีหลุดจากสถานการณ์ในตอนนี้จนได้เหลือบไปเห็นซึฮากิและเซนกำลังนั่งคร่อมเลียนแบบที่เขากำลังโดนอยู่อย่างกับจะล้อเลียนแต่พอตั้งสติและสังเกตจึงได้เห็นว่าวิธีการหนีออกจากจุดนั้น
จะได้ผลหรือเปล่า นาธายกก้นขึ้นเพื่อทำให้เลวาธานหงายคว่ำไปข้างหน้าและใช้แขนทั้งสองข้างกอดเอวของเขาไว้จากนั้นก็เหวี่ยงไปทางซ้ายเพื่อพลิกกลับขึ้นไปเป็นฝ่ายคร่อมแทน
“ไม่เลวนี่ ! ไปฝึกมาจากไหนวะ” แม้เขากำลังเสียเปรียบแต่ก็ยังยิ้มฉีกกว้างเห็นไรฟัน
นาธาไม่พูดไม่จาใช้สองมีดจับมีดให้มั่นคงและแทงลงตรงหน้าอกแต่นั่นก็ไม่อาจทะลวงถุงมือเหล็กไปได้เขาจึงต้องเสริมพลังด้วยมานาให้กลายเป็นมีดเพลิงที่คนถือก็แสบร้อนไปด้วยเช่นกัน
ขอแค่ลงไปสักทีก็น่าจะเผาภายในทำให้เจ็บหนักได้ เพลิงของมีดลุกขึ้นสูงจนเกือบโดนหน้านาธาเอง พวกเขายื้อยุดดันกันไปมาไม่มีใครยอมใครทำเอาเลวาธานหน้าเสียไปไม่เป็นเพราะเห็นมีดสีชาดค่อย ๆ เคลื่อนลงมาที่หน้าอก
ฉิบหายเอ๊ย ถ้าเอาสมาธิไปใช้เวทมนตร์แค่เสี้ยววินาทีก็คงต้านมีดไม่อยู่แน่ สายตาของเลวาธานส่งสัญญาณให้กับลูกน้องของเขาให้ใช้เวทมนตร์ดินกระแทกตัวนาธาจากด้านข้างพลิกสถานการณ์ต่างคนต่างทิ้งระยะห่าง
ก็เอาสิ ลูกน้องของเราใช้เวทมนตร์ดินเหมือนกันยังไงคนที่ไม่มีเวทตรวจจับอย่างมันก็ไม่มีทางรู้หรอก
“แบบนี้ค่อยน่าสนุกขึ้นมาหน่อย”
“สนุกคนเดียวไปเถอะ”
“ก็เอาสิ !” เสียงหัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่งเข้าประชันหน้ากันตรง ๆ ราวกับคนบ้าฟาดฟันด้วยอาวุธที่เคลือบมานาไม่หยุดหย่อนอย่างกับจะวัดว่าใครมีมานามากกว่ากัน
“[เสาเพลิง]”
เพียงคำร่ายสั้น ๆ ก็ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเต็มไปด้วยความร้อนระอุจากกองเพลิงรูปเสาที่ตั้งขึ้นเพื่อหวังเผาร่างของเลวาธานแต่เขาก็ใช้กำแพงดินเป็นโล่ป้องกันได้ทันท่วงที
“[ฝนดินกรวด]” เลวาธานร่ายเวทจากภายในโล่ป้องกันสร้างกลุ่มก้อนดินหินมากมายลอยเหนือหัวหลายสิบเมตรพุ่งลงมามั่วซั่วไม่สนว่าจะโดนใคร
“[โล่มานา]” ต้องหาทางจบมันให้ไวที่สุด ยิ่งยื้อก็ยิ่งเสียเปรียบเพราะมานาเราน้อยกว่า
เมื่อฝนหินกรวดพวกนั้นหยุดลงนาธาก็กระโจนเข้าใส่ไม่ให้เลวาธานได้ตั้งตัวแต่ก็ดันมีแท่นหินพุ่งขึ้นมาจากพื้นทำให้นาธาเสียหลักล้ม
“จับได้แล้ว” เลวาธานสอดแขนรัดตัวนาธาไว้แน่นจนมีดหลุดมือ
“เอาไปกินให้เต็มคำเลย [ฝนดินกรวด]” เลวาธานร่ายเวทมนตร์นั่นอีกครั้งแต่คราวนี้เขาจับนาธานอนหงายขึ้นด้านบนรับก้อนหินแหลม ๆ ทิ่มตามตัวเลือดออกจนนึกว่าจะไม่รอดเสียแล้ว
เสียงร้องโหยหวนดังสนั่นราวกับเสียงวัวที่ถูกเชือด สายตาอาลัยอาวรณ์ อนาถ สงสารหรือแม้แต่สะใจกำลังจ้องชายผู้นั้นตาไม่กะพริบอย่างกับอยากเห็นจุดจบว่าจะเป็นเช่นไร
“ลุกขึ้นมาอีกสิวะ” เลวาธานโยนนาธาลงพื้นทำเป็นเหมือนสิ่งของไร้ค่า
“[ผลุนผลันรากเลือด]” นาธากัดฟันร่ายเวทเพลิงห่อหุ้มมีดสั้นและสร้างออร่าดาบขึ้นมา ท่าทางอิดโรยของเขาหายไปชั่วขณะเมื่อพุ่งเข้าประชิดและฟันเฉือนร่างหนา ๆ ของเลวาธานได้อย่างรวดเร็วจนเขาไม่อาจป้องกันได้ทันสร้างบาดแผลเหวอะหวะไม่น้อย
“เจ็บฉิบหายเลยวะ [สังเวียนนักสู้]” เลวาธานหัวเราะฝืน ๆ พยายามทำตัวไม่เป็นอะไรเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเขาก่อนจะใช้เวทมนตร์สร้างกำแพงดินล้อมรอบตัวเขาและนาธาไว้ไม่ให้ใครเห็นการต่อสู้ภายในนั้น
ช่วงเวลาไม่นานก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมมาจากด้านในเป็นระยะ ๆ และไม่นานกำแพงนั่นก็เริ่มคลายหายไปเหลือเพียงแค่เลวาธานที่มีรอยแผลจากมีดจำนวนมากทั่วร่างกายและนาธาที่นอนหมดสติจมกองเลือด
พวกทหารต่างรีบเข้าไปดูทั้งสองคนทันทีส่วนพวกนักเรียนก็ได้แต่ยืนอึ้งไปไม่เป็นกับภาพที่โหดร้ายตรงหน้า
คานะที่เงียบมาตลอดกรีดร้องลั่นไปทั่วลานประลองด้วยความสั่นกลัวจนนาริและฟรานรีบดึงตัวเข้ามากอดไม่ให้เห็นภาพเหล่านั้น
“นี่คือสิ่งที่เราต้องเจอในอนาคตใช่ไหมครับ?” แซมเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าเศร้าแต่ก็ยังคงจ้องมองสภาพไม่น่าดูของนาธาใช้มันเป็นแรงขับเคลื่อนให้แข็งแกร่งขึ้น
“อืม” ท่ามกลางความเงียบสงัดก็มีเสียงตอบรับอันเฉยชาไร้ความรู้สึกจากซึฮากิเป็นดั่งเสียงระฆังดังก้องให้เห็นถึงความโหดร้ายไร้มนุษยธรรม
“ขอแค่เราแข็งแกร่งมาก ๆ ๆ ๆ ยังไงก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้วใช่ไหม?” เซนเดินเข้ามาตบหลังแซมเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจกันและกันแม้จะยิ้มเริงร่าแต่มันกลับเต็มไปด้วยความสับสน
“คานะ...คานะ !” นาริเหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของคานะทำเอาใจตกลงไปอยู่ตาตุ่มเพราะนึกว่าเธอเป็นอะไร
เซนหันขวับด้วยสัญชาตญาณจึงอุ้มคานะไปยังเต็นท์พยาบาล
“น่าจะแค่กลัวเลือด...วางใจได้เลย” ชายหนุ่มหน้าใสผู้เป็นแพทย์สนามประจำค่ายเอ่ยขึ้นหลังจากตรวจร่างกายทั้งภายนอกและภายใน
“เดี๋ยวฉันดูแลต่อเองจ้ะ” แม้จะยังลังเลใจแต่ก็ยอมพยักหน้าตอบรับและกลับไปยังลานประลองสวนทางกับพวกทหารที่แบกร่างนาธามาด้วยความร้อนรนไม่ต่างกัน
แววตาฮึกเหิมหยิ่งผยองที่ตนเองชนะในการประลองนั่งไขว้ข้างมองเหล่าทหารฝึกหัดที่อยู่ใต้อาณัติของตัวเองขณะที่มีแพทย์สนามอีกคนปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้
“เอาละถึงเวลาทำโทษแล้วสินะ ไอ้พวกนั้นออกมายืนตรงนี้ให้หมด” หนุ่มสาวทั้งห้าก้าวเดินออกไปยืนต่อหน้าเหล่าทหารและเพื่อน ๆ แม้ร่างกายจะสั่นเทาเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญแต่ก็ต้องทน
“แล้วเด็กผู้หญิงอีกคนล่ะ?” เลวาธานเดินไปรอบ ๆ มองเรือนร่างอันสมบูรณ์แบบของฟรานก่อนจะลูบคลำถึงเนื้อถึงตัวต่อหน้าเพื่อน ๆ ของเธอ
บัดซบที่สุด ฟรานได้แต่กัดฟันแทบจะหลั่งน้ำตาแต่ก็ต้องยอม
“เธอเป็นลมเราก็เลยพาไปที่เต็นท์พยาบาลครับ” แซมตอบกลับเสียงดังในขณะที่ยืนตัวตรงหน้าตั้ง
“ไปเอาตัวเธอมาเดี๋ยวนี้” พวกเธอต่างก็ตกใจยืนอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก
“ผมขอรับแทนอีกคนได้ไหมครับ?” เซนเอ่ยปากถามท่ามกลางความเงียบขรึมทำให้เลวาธานแสยะยิ้มออกมาอย่างกับปีศาจร้าย
“จะไม่มีการรับโทษแทนกันทั้งนั้น ไปเอาตัวมาเดี๋ยวนี้ !” เขาตะเบ็งเสียงดังและตบหัวเซนเต็มแรงด้วยถุงมือเหล็ก
จนแล้วจนเล่าเขาก็สั่งให้ทหารคนอื่นไปลากตัวคานะมาด้วยทั้ง ๆ ที่เธอยังยืนไม่ไหวด้วยซ้ำ
“ไปเอาแส้กับเกลือมาเดี๋ยวนี้ !” แส้สีดำเรียวยาวสามเมตรและเกลือถุงใหญ่วางลงตรงหน้าให้พวกเธอได้เห็นและจินตนาการถึงตอนที่มันฟาดลงที่กายหยาบของตัวเอง
“ถอดเสื้อออกแล้วหันหลังมา !” สำหรับพวกผู้ชายก็คงไม่มีปัญหาอะไรแต่หญิงสาวนั้นไม่ใช่ การที่ต้องเปลื้องผ้าต่อหน้าผู้คนครึ่งร้อยแม้จะยังใส่เสื้อชั้นในแต่มันก็น่าอายจนแทบจะมุดดินหนี
“จงดูไว้ซะ หลังจากนี้นี่จะเป็นวิธีการลงโทษของพวกเรา” เลวาธานฟาดแส้ใส่แผ่นหลังพวกเขาทั้งหกคนเรียงรายไปเรื่อย ๆ เสียงแส้สะบัดมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องอวดครวญแค่ได้ยินก็รู้ซึ้งถึงความทรมาน
ผ่านไปสักพักจนแผลสด ๆ มีเลือดไหลเป็นทางเขาก็ใช้เกลือละเลงไปบนแผลเหล่านั้นเพิ่มความเจ็บทรมานเป็นเท่าตัว
เสียงร้องโหยหวนอันน่าสยดสยองของพวกเธอเปล่งเสียงจนคอแทบแตกหลั่งน้ำตาไม่หยุดสายแม้จะทนไม่ไหวจนล้มลงพื้นก็ยังตามมาฟาดซ้ำ ๆ
ซึฮากิกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดไม่ร้องออกมาสักคำมันยิ่งทำให้เลวาธานมุ่งเป้ามาหาเขาอย่างกับซึฮากิตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น
“พอแล้ว...ขอร้องล่ะ” คานะพูดด้วยเสียงสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด แต่เลวาธานก็ไม่มีความเมตตาแต่อย่างใดยังคงฟาดแล้วฟาดอีกจนกระทั่งเธอทนความเจ็บปวดไม่ไหวหมดสติไปอีกครั้ง
ในช่วงเวลาไม่ถึงชั่วโมงมันกลับรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวังวนของเวลาที่ทำได้แค่รอคอยวันจบลงจนกระทั่งพวกเขาหมดสติไปทีละคนเหลือเพียงเซนและซึฮากิ
เสียงถอนหายใจดังเป็นการบ่งบอกชัดเจนว่าเบื่อหน่ายแล้วจึงเอ่ยออกมา “ฉันเหนื่อยละ เอาพวกมันไปเก็บซะ”
ถึงแม้ในวันนี้จะไม่มีการฝึกสำหรับทีมอื่นมันเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้พักผ่อนแต่ไม่ใช่กับทีมเอส วันนี้จะเป็นวันที่จดจำไปตลอดชีวิต จดจำความเจ็บปวดทรมานจนหมดสติ จดจำใบหน้าของผู้ที่กระทำเช่นนั้น จดจำว่าตนเองต้องทำให้ดีกว่าใคร ๆ เพื่อไม่ให้โดนทำโดนอีก
ทหารหน้าใสผู้มาพร้อมกับรอยยิ้มมีเสน่ห์ปฐมพยาบาลรักษาพวกเขาหมดทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยก
“ทุกเช้าให้มาหาฉันที่เต็นท์นี้นะ ต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลป้องกันการติดเชื้อแล้วก็เอายาแก้อักเสบไปด้วย” เมื่อพวกเขาได้สติตื่นก็ได้พักรักษาจนอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า
“แล้วก็...ระวังตัวด้วยนะจ๊ะ” พวกเธอรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าแพทย์สนามผู้นั้นเป็นคนดียิ้มอย่างเป็นห่วงโบกมือลากันและกัน
“ฉันยังรู้สึกแสบไปทั้งตัวเลยจะขยับแต่ละทีก็เจ็บ” เซนเดาะลิ้นไม่พอใจเดินเตะฝุ่นไปเรื่อย
“พวกเราต้องพักผ่อนให้เพียงพอจะได้ฟื้นตัวได้ไว” ความเงียบที่ดังออกมาจากความรู้สึกอัดอั้นกดดันเสียจนไม่กล้าพูดอะไรมากนักได้แต่เออออพยักหน้าตอบรับ
ขณะที่ทุกคนกลับเข้าห้องก็มีคานะเดินแยกตัวออกมาคนเดียวไปที่ห้องน้ำรวมด้านนอก
“ทำไม...เรื่องพรรค์นี้ถึงต้องมาเกิดกับเราด้วย” เสียงสะอื้นร่ำไห้เข่าทรุดลงพื้นเพราะความเจ็บปวดและจิตใจที่ไม่สู้ดีนัก
เธอนั่งลงใต้ต้นไม้และหยิบมีดสั้นประจำตัวเล็งจ่อมาที่คอหอยด้วยมือที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้า
เสียงหายใจถี่ ๆ อย่างกับพึ่งไปวิ่งรอบค่ายมามองได้ทั้งความกดดัน ความกลัวและความสิ้นหวังจนกระทั่งเธอกัดฟันหลับตาปี๋เพื่อแทงตัวเองแต่มันกลับถูกหยุดไว้เสียก่อน
“ทำอะไรบ้า ๆ” ซึฮากิคว้ามือของเธอไว้มองด้วยสายตาเย็นชาราวกับเอาภูเขาหิมะมากองตรงหน้า
“มัน...” ช่วงเวลาแค่พริบตาเดียวซึฮากิบิดข้อมือทำให้มีดหล่นและดึงแขนไปด้านหลังเหมือนกับที่ตำรวจทำเวลาทำผู้ร้าย
“รู้ไหมว่าถ้าตายแล้วทุกอย่างก็จบ ไม่มีชาตินี้ชาติหน้า ไม่มีโลกหลังความตาย ไม่แม้แต่อาหารอร่อย ๆ หรือเตียงอุ่น ๆ”
จำได้แล้วเธอเป็นคนที่ทำน้ำหกใส่เรานี่เอง
“กะก็มันช่วยไม่ได้นี่ !” คานะขึ้นเสียงเกือบทำให้ทหารยามสงสัยแต่ซึฮากิก็ทำเสียงจุปากให้เธอเบาเสียงลง
“ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเจออะไร...ตายไปซะตั้งแต่ตอนนี้ยังดีเสียกว่า” คานะขยับตัวดิ้นไปมาแต่ก็ไม่เป็นผล
“เธอคิดว่าชีวิตเป็นอะไรกันแน่?” ซึฮากิปล่อยเธอเป็นอิสระและเธอก็หยิบมีดขึ้นมาจ่อคออีกครั้ง
ซึฮากิเดินเข้าประชิดจบหน้าคานะเบา ๆ เป็นการเรียกสติแต่มันก็แดงจนเห็นได้ชัด
“ถ้าตายไปก็จะไม่เจอกับความทุกข์นั่นก็ใช่และแน่นอนว่าจะไม่พบกับความสุขเช่นกัน” ซึฮากิยังคงส่งสายตาอันเย็นชาให้มันยิ่งทำให้เธอน้อยใจเพราะตัวเขาไม่เข้าใจหัวอกของเธอ
“ถ้าเธอคิดว่าหลังจากนี้จะไม่พบความสุขอีกเลยก็เชิญ อยากตายนักก็เอาสิแต่ถ้าเธอแทงพลาดก็อาจจะตายทรมานหน่อยนะหรือให้ฉันจัดการให้ดีล่ะ?” ซึฮากิค่อย ๆ เลื่อนมือไปจับมีดที่คานะถือและกลายเป็นเขาเองที่จะแทงคานะ
“ตายก็จบทำอย่าง แต่ถ้าเรายังรอดอยู่สักวันก็จะพบสิ่งที่ต้องการหรือไม่ก็แก้แค้นไอ้พวกระยำที่ทำเราไว้”
“ฉัน…” เธอพูดด้วยเสียงสั่น ๆ หลั่งน้ำตาลงบนใบมีด
“ฉันอยาก...ฆ่ามัน” น้ำเสียงสั่นกลัวกัดฟันพูดสิ่งที่อัดอั้นไว้ในใจออกมาเพราะไม่อาจพูดสิ่งนี้กับใครได้
ซึฮากิเงียบกริบโอบกอดร่างอันเบาบางของคานะช่วยให้เธอสงบสติลงได้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้พูดคุยให้คานะได้ระบายสิ่งที่อยากพูดออกมาให้หมด
“ฉันเป็นพวกขี้กลัว...กลัวว่าถ้าทักคนอื่นก่อนคนอื่นจะคิดว่าฉันเหงาต้องการความสนใจ กลัวว่าถ้าฉันพูดอะไรออกไปจะทำให้คนอื่นเสียใจหรือเปล่า ก่อนหน้านี้กว่าจะหาเพื่อนได้ก็ใช้เวลาเป็นเดือน”
“อืม...เธอชอบอะไร?” ซึฮากิเพียงคำถามสั้น ๆ มันก็ทำให้หญิงสาวนิ่งเงียบตอบไม่ถูก
“ทำสิ่งที่อยากทำซะ ถ้าเกิดปัญหาเราก็ต้องแก้มันด้วยตัวเองเช่นเดียวกันปัญหาของคนอื่นก็ปล่อยให้เจ้าตัวจัดการเอง และถ้ามีปัญหาด้วยกันก็ต้องช่วยกันแก้ปัญหาไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนจัดการ”
หลังจากที่ซึฮากิเอ่ยเช่นนั้นออกมาเขาก็เดินกลับห้องหน้าตาเฉยทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังหนา ๆ ให้เชยชม
23 มิถุนายน พ.ศ.2575
วันต่อมาพวกเธอต้องฝึกตามตารางเหมือนเดิมแต่นาธายังนอนพักรักษาตัวอยู่ ทำให้เลวาธานมาสอนซึฮากิแทนจากที่ปกติจะได้ไปฝึกที่ดันเจี้ยนแต่คราวนี้เลวาธานฝึกโดยการให้สู้กับเขาแทน
“นี้ขนาดฉันยังไม่ได้ใช้เวทมนตร์เลยนะเนี่ย แกนี่มันอ่อนหัดจริง ๆ” เลวาธานเหยียบหน้าซึฮากิขณะที่พูดจาดูถูกไปด้วย ไม่ว่าซึฮากิจะพยายามมากแค่ไหนก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้เลยสักแผล
ตอนนี้ซึฮากิกลายเป็นเหยื่ออารมณ์ของเลวาธานไปแล้วเรียบร้อย แม้จะล้มอยู่กับพื้นก็ยังซ้ำเข้าไปเรื่อย ๆ ไม่มีการพักตลอดเวลาทั้งวันยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงสิ่งที่นาธากลัวว่าจะเป็นหากเลวาธานได้ตำแหน่งนี้ไป
ส่วนคนอื่น ๆ ยังได้ฝึกอาวุธของตนเองจนล่วงรู้วิธีการใช้ เทคนิคแขนงต่าง ๆ ของอาวุธนั่น สามารถผสมผสานใช้คู่กับเวทมนตร์ได้คล่องแคล่วจนพวกเขาไม่ใช่มือใหม่อีกต่อไปขาดแต่เพียงประสบการณ์ต่อสู้จริงเท่านั้น
26 มิถุนายน พ.ศ.2575
“อา...ฉันรู้ดีว่าพวกนาย” เมื่อนาธาพักฟื้นเสร็จเขาก็ต้องกลับมาทำงานของตัวเองต่อแม้ร่างกายจะยังไม่สมบูรณ์พร้อมก็ตาม
“ออกไปไกล ๆ สิ นายลืมไปแล้วหรือยังไงว่าฉันเป็นผู้คุมค่าย” เลวาธานแทรกขึ้นมาและผลักนาธาออกไปไม่เกรงใจใคร
แทนที่จะเป็นการแนะนำการฝึกสอนแต่เลวาธานกลับเล่าเรื่องของตัวเองและครอบครัวยกยอให้ดูดีที่สุดหวังให้ทหารฝึกหัดทั้งหลายคล้อยตามแต่ด้วยการกระทำที่ผ่านมามันยิ่งทำให้รู้ว่าตัวตนของเขาเป็นเช่นไร
“อย่างที่รู้ ๆ กัน การที่พวกนายใช้อาวุธได้ไม่ได้แปลว่าจะชนะสงคราม การฝึกต่อจากนี้จะเป็นการต่อสู้จริง” จนแล้วจนเล่าในที่สุดเขาก็กลับมาเรื่องการฝึกต่อได้เสียที
“สถานที่ที่เราจะไปนั้นก็คือดันเจี้ยน ที่นั่นเป็นทั้งแหล่งทรัพยากรและที่ฝึกซ้อมการต่อสู้จริงได้ดีที่สุด มอนสเตอร์ภายในนั้นต่างก็มีความเก่งกาจไม่แพ้มนุษย์แถมยิ่งลงลึกไปเรื่อย ๆ ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นแต่ไม่ต้องห่วงเพราะเราจะมีคนคอยคุมไปด้วยเพื่อความปลอดภัย”
ทันทีที่พูดเสร็จก็มีนายทหารมายืนประจำตำแหน่งทีมละสองคน ยกเว้นแต่ทีมเอสมีเพียงคนเดียวก็คือนาธาส่วนเลวาธานเอาแต่ยิ้มเริงร่าสบายใจเตรียมตัวกลับไปนอนกระดิกเท้าอยู่ที่ห้อง
“นี่กิจัง ทำไมพักหลังเวลากลับมาค่ายถึงมีแต่แผลฟกช้ำเต็มไปหมดเลยล่ะ” ฟรานเดินเข้าประชิดเอาแขนแนบลำตัวพยายามถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“ก็แค่ฝึกหนักเป็นพิเศษไม่มีอะไรหรอก” ซึฮากิตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉยชาไม่อยากให้เธอรับรู้ความรู้
“ฉันจะเพิ่มเลเวลเป็นสามให้ได้ เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะปกป้องกิจังหนีเอง” ฟรานกระซิบที่ข้างหูในขณะที่มีสายตาเพื่อน ๆ ในทีมจับจ้องอยู่มีเซนอิจฉาตาร้อนจนออกนอกหน้า
“นี่ก็ฝึกมานานแล้วยังเลเวลหนึ่งอยู่เลย”
“น่า ๆ เดี๋ยวก็เพิ่มอยู่แล้ว ถ้าเป็นกิจังเดี๋ยวก็ตามฉันทัน” น้ำเสียงอันเริงร่ากับสายตาอันอ่อนช้อยส่งให้กับซึฮากิไม่มีพักไม่สนว่าใครจะมองอยู่
“อ้าว ๆ ต่อแถวให้มันเป็นระเบียบสิ” เมื่อแถวเริ่มเละเทะนาธาจึงตะเบ็งเสียงบอกให้ดังไปถึงคนข้างหน้า
“ครับ / ค่ะ” พวกเขาขานตอบพร้อมกันและเดินเข้าแถวเป็นระเบียบ
เวลาผ่านไปประมาณเกือบสองชั่วโมงพวกเขาก็มาถึงที่หมายดันเจี้ยนขนาดใหญ่เหมือนกับที่ซึฮากิได้ลงไปแต่เป็นคนละที่กัน
“วันนี้เราจะลองไปแค่ชั้นหนึ่งก่อน”
“เฮ้ย ! โคตรเจ๋ง ก้อนหินพวกนั้นมันเรืองแสงได้ด้วย” เซนมาถึงก็อุทานดังลั่น
“อืม ฉันก็ว่าสวยดีนะ” นาริเอ่ยปากพูดพลางมองไปรอบ ๆ
“พวกนายช่วยเงียบ ๆ กันหน่อยสิ” ซึฮากิคิดวิเคราะห์ในหัวขณะที่มองสำรวจพื้นที่รอบ ๆ เพื่อเปรียบเทียบกับดันเจี้ยนที่เขาเคยลงไป
“นี่แซม นายคิดไหมว่าคนคุมเราไม่ค่อยเหมือนก่อนหน้านี้เลยปกติจะต้องตะโกนสั่งเหมือนพวกทหารบ้าอำนาจ” เซนกระซิบเบา ๆ กับแซมสองคนแต่นาริก็เข้ามาร่วมฟังด้วย
“ผมก็ว่างั้นแหละครับหรือเพราะโดนอัดเละไปรอบหนึ่งนิสัยก็เลยเปลี่ยน” แซมกระซิบกลับ
ชั้นแรกน่าจะเป็นหมาป่าถ้ำจะว่าดีก็ดีแต่ถ้าโชคร้ายไปเจอพวกระดับก็คงลำบากแย่เลย ขณะที่กำลังเดินนำหน้านาธาก็ยังคิดถึงวิธีที่จะฝึกสอนทหารฝึกหัดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตนเองอย่างน้อยก็ขอทำหน้าที่คนคุมทีมให้สำเร็จลุล่วง
“ข้างหน้ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ค่ะ” ฟรานพูดขึ้นมากะทันหันทำเอานาธาสะดุ้งเล็กน้อย
“เธอมีเวทมนตร์ตรวจจับด้วยงั้นเหรอ?” นาธาหยุดนิ่งก่อนจะหันมาถามด้วยใบหน้าตกตะลึงยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
“ค่ะ ฟรานมีเวทมนตร์ติดตัวที่มีชื่อว่า [ตรวจจับ] ฟรานเองก็บอกไม่ถูกแค่เหมือนกับมีเรดาร์หรือจีพีเอสอะไรพวกนั้นในหัว” ฟรานพยายามอธิบายด้วยเสียงเบา ๆ เพราะยังเกรงใจกับภาพลักษณ์ที่เคยเห็นเขาทำร้ายทหารฝึกหัด
ถ้าหากเหมือนในบันทึกของแอลแสดงว่า เวทมนตร์ติดตัวจะใช้งานตลอดเวลาที่มีอาวุธเวทมนตร์อยู่กับตัวและไม่เสียมานา ดูเหมือนเราก็จะมีอยู่ด้วยนะเนี่ย ซึฮากินึกถึงบทความในหนังสือที่เคยอ่านในขณะที่ยืนฟังพวกฟรานคุยกันอยู่
“ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ถ้าเธอรู้ว่ามีพวกมอนสเตอร์อยู่ที่ไหนรีบแจ้งให้คนอื่นทราบทันที” นาธาเดินต่อไปช้า ๆ คิดทบทวนกับตัวเองตลอดเวลา
“ต่อจากนี้จะเป็นการต่อสู้จริง ซึ่งฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าข้างหน้ามีตัวอะไรอยู่” นาธายื่นของบางอย่างให้ลักษณะเป็นขวดแก้วใส่ของเหลวสีแดงดำไว้
“ถ้าพลังชีวิตเหลือน้อยให้รีบดื่มมันซะ” จากนั้นนาธาก็ปล่อยพวกเธอไปกันเองโดยมีเซนเป็นคนเดินนำเฉกเช่นทุกครั้ง
เมื่อเดินเข้ามาได้สักพักหนึ่ง คริสตัลที่คอยส่องแสงก็เริ่มน้อยลงไปเรื่อย ๆ และพวกเธอก็ได้เจอกับฝูงหมาป่าที่กำลังกัดกินซากเพื่อน ๆ ของมัน
“เฮอะ มีแค่ห้าตัวส่วนพวกเรามีตั้งหกคนรับมือได้สบาย ๆ ใช่ไหม?” เซนหันมาพูดกับคนอื่นและชักดาบขึ้นมาเตรียมพร้อมแต่มันก็เกือบโดนหน้าคานะแต่แทนที่เธอจะนิ่งเงียบกลับจ้องเซนตาเขม็งแทบจะพุ่งเข้ามากัด
“มันเห็นเราแล้วเพราะเสียงแกนั่นแหละเจ้างั่งเอ๊ย !” นาริเขกหัวเซนไปหนึ่งครั้งก่อนที่พวกเขาจะหยิบอาวุธขึ้นมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อม
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 636
แสดงความคิดเห็น