STARCIN ภาคที่ 1 HIN ตอนที่ 8 กัดฟัน (รีไรท์)
ถึงแม้พวกเขาจะฝึกการใช้งานอาวุธมาแล้วแต่ก็ไม่ได้ฝึกการต่อสู้ร่วมกันต่างคนต่างอยากกำจัดหมาป่าด้วยตัวเองจนเกือบพลาดไปโดนเพื่อน ๆ
“จงรับไปซะดาบยักษ์แห่งเปลวเพลิงนรกสีชาดสังหารเทพเจ้า” เซนร่ายบทพูดเท่ ๆ ที่เคยได้แต่จินตนาการไว้ตอนอ่านนิยายหรือดูการ์ตูน เปลวเพลิงลุกโชนห่อหุ้มดาบยักษ์แม้แต่เจ้าตัวก็ยังรู้สึกร้อนไปด้วยเขาใช้มันฟันเป็นแนวนอนส่งคลื่นดาบสีชาดผ่าร่างของหมาป่าเป็นสองส่วนแต่ก็ยังมีเล็ดลอดมาได้
และด้วยทางดันเจี้ยนที่แคบเกินไปทำให้ดาบเพลิงยักษ์ของเซนบดบังวิสัยทัศน์เพื่อน ๆ อีกทั้งยังเข้าไปสมทบได้ยากยิ่ง
“เลิกเหวี่ยงดาบมั่ว ๆ ได้แล้วเซน” นาริตะโกนเสียงดังพยายามเตือนสติแต่เขาก็สนใจแต่ศัตรูตรงหน้าพุ่งเข้าจู่โจมแม้จะโดนกัดแขนขาก็ตาม
“ปล่อยเขาไปเถอะ ทางมันแคบเกินไปปล่อยให้เซนได้ออกแรงไปเถอะ” ซึฮากิเฝ้าสังเกตท่าทางและจุดบกพร่องของเซนไม่ใช่แค่นั้นเขายังมองและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์พวกนั้นจินตนาการว่าถ้าเป็นตัวเองจะตอบโต้แบบไหน
หลังจากเซนกำจัดพวกนั้นจนหมดเพื่อน ๆ ก็ต้องรีบเข้าไปดูแผลตามเนื้อตามตัวว่ามีจุดอันตรายหรือไม่
“สบาย ๆ น่าพวกนาย นี่เซนผู้กล้าแกร่งเชียวนะ” ขณะที่กล่าวเช่นนั้นก็ทำท่าพะอืดพะอมเมื่อกวาดสายตามองซากศพหมาป่าเหล่านั้น ก่อนหน้านี้เขาสู้ด้วยความคึกคะนองแต่พอได้เห็นเลือดเนื้อกลิ่นคาวฟุ้งติดจมูกก็รู้สึกหวั่นเกรง
คานะเดินตามมาทีหลังกลิ่นคาวเหล่านั้นตีเข้าจมูกจนเธออาเจียนออกมาทันที แม้คนอื่น ๆ จะกลั้นใจไว้ได้แต่ไม่ใช่กับคานะ
“เป็นอะไรมากไหม? ถ้าไม่ไหวก็รอด้านหลังก็ได้เดี๋ยวฉันจัดการเอง” แทนที่เซนจะห่วงแผลตัวเองแต่เขากลับส่งยิ้มให้กำลังใจพร้อมกับลูบหลังคานะ
“มะไม่เป็นอะไร ไปกันต่อเถอะ”
“เธอเป็นนักธนูอยู่หลัง ๆ ไว้แล้วกัน ฝากด้วยล่ะแซม !” เซนยกนิ้วโป้งให้แซมเป็นสัญญาณบอกว่านายต้องทำได้
หลังจากตัวตรวจเส้นทางและให้ฟรานมองหาสิ่งมีชีวิตต่อไปเพื่อเฝ้าระวังแต่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็ต้องผงะสับสน
“จะว่ามีตัวอะไรอยู่ข้างหน้าก็ได้แต่มันแปลก ๆ ยังไงไม่รู้ มันรู้สึกแบบแบน ๆ ขยับหยุกหยิกชวนขนลุก”
“ฟังแล้วเหมือนพวกปีศาจที่ปลอมเป็นพื้นดินพอเดินเข้าไปมันก็จะเขมือบเรา” เซนยืนคิดวิเคราะห์ด้วยสัญชาตญาณและสิ่งที่เคยอ่านมา
“ยังไงก็เตรียมตัวไว้ก่อน เป็นสิ่งมีชีวิตแปลก ๆ แบบนั้นอาจจะมาไม้อื่นก็ได้” นาริเดินยกการ์ดตลอดเวลาอย่างกับนักมวย
เมื่อเดินไปได้สักพักพวกเขาก็ได้เจอห้องโถงขนาดใหญ่ภายในทางดันเจี้ยนที่ทั้งมืดและวังเวง จะว่าดีก็ได้ที่สามารถฟาดงวงฟาดงาช่วยกันสู้แต่ก็ต้องหวาดระแวงกับศัตรูที่อาจมาได้หลายทิศทาง
“แถว ๆ นี้แหละที่ฉันสัมผัสได้” เมื่อฟรานเอ่ยเช่นนั้นพวกเขาก็ช่วยกันมองหาโดยการใช้แสงไฟจากปลายดาบของเซนแต่รัศมีการมองเห็นก็ยังน้อยเกินไป ถ้าหากใช้เวทมนตร์มากเกินไปมันก็จะเป็นการผลาญมานาโดยใช่เหตุ
ขณะที่ทุกคนก้าวเดินด้วยความระมัดระวังจู่ ๆ ก็มีของเหลวสีเขียวอ่อนจากด้านบนหยดลงบนแก้มของคานะและเมื่อเธอเงยหน้ามองด้วยแสงไฟอ่อน ๆ จากเซนก็ได้เห็นกองทัพหนอนเกาะกลุ่มกันจนมองไม่เห็นเพดานดันเจี้ยนอีกทั้งยังขยับหยุกหยิกจนคานะขนลุกร้องลั่นออกมา
“ข้างบน !” เซนส่องแสงไฟขึ้นไปบนเพดานทันใดนั้นพวกมันก็ตอบสนองต่อความร้อนเหมือนโดนผิงไฟและพากันคลานหนีไปรอบ ๆ บางตัวก็ร่วงหล่นลงมา
สิ่งมีชีวิตแบน ๆ ขยับหยุกหยิก ถ้ามองใกล้ ๆ พวกหนอนที่เกาะกลุ่มกันก็เหมือนเป็นเพดานดันเจี้ยนไปเลย ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจมุมมองของสัมผัสตรวจจับแต่ถ้ายิ่งไกลก็ยิ่งมองรายละเอียดได้ยากสินะ
“[กำแพงวายุ]” ซึฮากิร่ายเวทกางขึ้นด้านบนเหมือนร่มป้องกันหนอนพวกนั้นหล่นใส่หัว
“คานะโดนของเหลวจากพวกมันไปแล้วแต่ยังไม่เป็นอะไร เป็นไปได้สามอย่างก็คือมีคุณสมบัติเป็นพิษอ่อน ๆ ใช้เวลานานหรือไม่ก็เป็นน้ำย่อยที่ใช้ได้เฉพาะซากสัตว์และอย่างสุดท้ายก็คือเป็นสารที่ช่วยนำทางไม่ก็หาอาหาร พวกนายคิดว่าเป็นอย่างไหนล่ะ?” ซึฮากิเอานิ้วลูบของเหลวสีเขียวที่หยดลงมาเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าไม่ได้ทำอันตรายกับมนุษย์
“ฉันว่าเป็นพิษ?” ฟรานยกมือตอบเป็นคนแรกทำอย่างกับอาจารย์ถามในชั้นเรียน
“ฉันก็ด้วย มันอาจจะไม่แสดงผลตอนนี้ก็ได้” นาริทำท่าคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบ
“อืมตอบได้ดีแล้วพวกนายล่ะ?”
“ไม่รู้สิขอลอกคำตอบเพื่อนแล้วกัน” เซนหัวเราะในลำคอยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ผมเอาด้วยคน” คำตอบแซมทำให้เพื่อน ๆ แปลกใจไม่นึกเลยว่าชายหนุ่มผู้มีความสุภาพอ่อนน้อมพูดเพาะจะลอกคำตอบเพื่อนเหมือนคนอย่างเซน
ทุกสายตาจับจ้องไปที่คานะเพราะยังไม่ตอบอยู่คนเดียวทำเอาเธอสะดุ้งตกใจ
“ฉันว่าเป็นทั้งสองอย่างหลัง ของเหลวพวกนี้น่ามีสารอะไรสักอย่างทำให้มันรู้ตำแหน่งซึ่งอาจจะเป็นน้ำย่อยด้วยตอนอยู่ในกระเพาะ ดูจากเศษชิ้นเนื้อที่มันยังย่อยไม่เสร็จแล้วติดมากับของเหลวที่มันไม่กัดหรือละลายผิวเราก็เพราะเป็นน้ำย่อยแบบพิเศษที่ขับออกมาจาง ๆ เพื่อใช้งานด้านอื่น ที่สำคัญถ้ามันเป็นพิษก็ต้องใช้ในการป้องกันตัวแต่ทำไมถึงมีแค่บางตัวที่ใช้เมื่อเราเข้าใกล้มันก็ควรจะใช้กันทุกตัว”
ซึฮากิปรบมือทันทีที่ได้ฟังเช่นนั้น “พูดได้ดีเหมือนรู้อยู่แล้วเลยนะเนี่ย จากหนังสือข้อมูลที่ฉันอ่านเจ้าพวกนี้เป็นหนอนดันเจี้ยนซึ่งพบมากเป็นปกติอยู่แล้ว มันมีหน้าที่กำจัดเศษซากที่เหลือของมอนสเตอร์ถือเป็นนักย่อยสลายที่ดีมาก ลองคิดดูสิถ้าเศษซากพวกนั้นไม่ได้ถูกกำจัดแล้วหมกกันอยู่ในที่แคบ ๆ เป็นเวลานานจะเกิดอะไรขึ้น”
“อ้อ ! อย่างนี้นี่เอง” เซนพยักหน้าเออออตามเหมือนเข้าใจ
หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางต่อไปเรื่อย ๆ โดยมีนาธาคอยตามมาด้านหลังทิ้งระยะห่างพอให้มองเห็นได้และไม่อยู่ในระยะอันตรายของการต่อสู้ของพวกเขา
สมกับเป็นลูกศิษย์เราจริง ๆ ปรับตัวเข้ากับดันเจี้ยนใหม่ได้ทันทีแต่ที่น่าเป็นห่วงก็คงมีสองคนก็คือผู้ชายที่ชื่อเซนและคนที่ยืนหลังสุดคานะ ผู้ชายก็เอาแต่พุ่งเข้าใส่ไร้หัวคิดส่วนแม่สาวนั่นก็กล้า ๆ กลัว ๆ แทบจะไม่ทำอะไรด้วยซ้ำ
“พวกนาย ! กลับมาคุยกันก่อนสิ” นาธาตะโกนลั่นเรียกพวกเขากลับมารวมตัวกัน
แม้จะไม่รู้ว่านาธาเรียกมาทำไมแต่พวกเขาก็ไม่ขัดขืนคิดว่าจะได้กลับแล้วด้วยซ้ำ
“ตรงไปอีกสักสิบนาทีจะมีทางแยกพวกนายจะต้องแยกกลุ่มกันไป เซนคานะไปทางขวา แซมนาริไปตรงกลาง ซึฮากิฟรานไปด้านซ้าย”
การที่มือใหม่มาทำงานเป็นทีมคงยากแต่ถ้าเป็นคู่หูแทนก็จะไปกันง่ายขึ้น การควบคุมสั่งการหรือการระวังหลังให้กันก็จะไม่ซับซ้อน ต้องให้พวกเขาค่อย ๆ ชินกับการฝึกเป็นทีมก่อนแล้วค่อยกลับมารวมกลุ่ม
“เอ่อ...คุณนาธาจะให้หนูไปกับเซนจริง ๆ เหรอคะ? พลังเวทของพวกเรามันขั้วตรงข้ามกันเลยนะคะ”
“เอาเถอะน่าถ้าไม่ไหวก็รีบหนีกลับมา เดี๋ยวฉันจะรออยู่แถวทางเดินเอง”
ใบหน้าสับสนลังเลเหลือบมองตาเซนที่ดูสนุกไปเสียทุกอย่าง
เอาก็เอาสิวะ คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าโดนเจ้านั่นทำโทษแล้ว
หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเองแต่ละคนก็กังวลไม่แพ้กันเพราะเส้นทางข้างหน้ามีแต่ความมืดหากคบเพลิงดับก็คือจบ
เบื้องหน้าของซึฮากิได้เจอกับกระต่ายถ้ำที่เคยรับมือมาแล้วจึงไม่ได้ตกใจอะไรแต่ไม่ใช่กับฟรานที่เห็นสิ่งมีชีวิตน่ารักทำใจฆ่าไม่ลง
“เราต้องสู้กับมันจริง ๆ เหรอ? มันอาจจะเหมือนหนอนเมื่อกี้ก็ได้มันคงไม่ทำอะไรพวกเราหรอก”
“คิดผิดแล้ว” ขณะที่กำลังกล่าวเช่นนั้นกระต่ายถ้ำก็กระโจนเข้ามากลางคันถ้าไม่ได้เวทกำแพงวายุของซึฮากิก็คงได้หลั่งเลือดเป็นแน่
“เจ้าพวกนี้มันมอนสเตอร์กระหายเลือดดี ๆ นี่เอง ลองดูท่าทางก้าวร้าวขบฟันกัดไม่หยุดนั่นสิ”
ฟรานเบิกตากว้างเห็นดวงตาแดงก่ำและฟันอันแหลมคมกำลังกัดแทะเวทมนตร์ของซึฮากิจนเริ่มเกิดรอยร้าว
“จำนวนของมันเยอะกว่าที่คิดคงต้านไว้ได้ไม่นาน ฉันจะค่อย ๆ ปล่อยพวกมันเข้ามาทีละชุดฝากจัดการด้วยแล้วกัน” ฟรานพยักหน้าตอบรับชักดาบคาตานะตั้งท่าเตรียม
เสียงกรีดร้องลั่นของคานะที่กำลังกัดฟันยิงธนูกำจัดหนูขนาดเท้าแมวที่กำลังวิ่งเข้ามาแม้จะไม่อยากฆ่าแต่ก็ต้องกลั้นใจทำเพื่อความอยู่รอด
“อย่าเข้ามานะเว้ย !” เซนควงดาบยักษ์สีชาดสะบัดเปลวเพลิงออกไปเหมือนเป็นการขู่แต่พวกมันก็หาสนใจไม่
เช่นเดียวกับทางของนาริที่เจอกับหนูยักษ์วิ่งพล่านเล่นเอาทำตัวไม่ถูกไปเลย
“ใจเย็น ๆ ก่อนครับ” แซมก่อร่างมานาสร้างลูกศรเวทมนตร์สีน้ำทะเล ลูกศรพุ่งทะลวงร่างอ้วนท่วมของหนูพวกนั้นแต่มันก็ยังกระเสือกกระสนมีชีวิตจนได้เห็นภาพอันสยดสยองของหนูที่ไส้ไหลทะลักบางตัวขาดไปครึ่งหนึ่งก็ยังวิ่งเข้าใส่
“อืม...ฉันจะคอยจัดการตัวที่มันใกล้เข้ามาแล้วกัน” เธอต้องกัดฟันยืนหยัดต่อไปเพื่อไม่ให้แซมได้จัดการพวกมันง่าย ๆ แต่สีหน้าท่าทางพะอืดพะอมของนาริมันทำให้ชายสุภาพบุรุษชอบเอาใจใส่พยายามเล็งให้โดนหัวตายในทันทีโดยหวังว่ามันจะไม่เกิดภาพอันน่าเวทนาเหมือนตัวก่อนหน้านี้
ดูเหมือนการจับคู่คนที่ถนัดการต่อสู้สองรูปแบบไว้ด้วยกันจะเป็นเรื่องที่ดีเสมือนการเล่นเกมที่ต้องมีคนยืนด้านหน้าถ่วงเวลาพร้อมกับรับการโจมตีและผู้เล่นด้านหลังจะคอยช่วยเหลือและจัดการศัตรู และก็มีอยู่คู่หนึ่งที่ไม่ได้ทำแบบนั้นแต่กลับไร้รอยแผล เกือบจะสมบูรณ์แบบทั้งด้านการวางแผนและการปฏิบัติถ้าไม่ติดที่ฟรานยังเกร็ง ๆ เมื่อต้องกำจัดมอนสเตอร์หน้าตาน่ารัก
จนแล้วจนเล่าพวกเขาก็รอดพ้นไปจนสุดทางเดินที่รวมกันเป็นทางเดียว ร่างกายอันทรุดโทรมของเซนมีแต่รอยแผลเต็มตัวอย่างกับโดนคนรุมกระทืบยี่สิบคนแต่เขาก็ยังยิ้มทักทายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แหม ๆ ออกมาพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนนัดกันมาเลยนะ” นาริกล่าวทักทายก่อนใครเมื่อเหลือบไปเห็นสภาพของเซนก็หลุดหัวเราะออกมาแต่ก็เข้าไปดูอาการใกล้ ๆ ด้วยเหมือนกัน
“ไปทำอีท่าไหนถึงเละขนาดนี่เนี่ย เดี๋ยวฉันใช้เวทรักษาช่วยก็แล้วกัน”
“ปัดโธ่ ! ฉันไม่อยากยืมมือคนอย่างเธอหรอกให้คานะช่วยแทนดีกว่า”
“หา ! คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง” นาริเอามือขยุ้มหัวเซนเป็นว่าเล่นหยอกล้อกันรุนแรงไปบ้างแต่ก็ยังช่วยกันใช้เวทรักษา
“เราจะไปกันต่อหรือกลับไปรายงานคุณนาธาก่อน” ฟรานกระแอมคอก่อนจะเอ่ยปากถามพลางชำเลืองมองเส้นทางข้างหน้าที่ดูวิเวกวังเวงอย่างกับจะมีผีโผล่ออกมา
“จะกลับอะไรเล่าต้องไปต่อสิ พวกเราอยู่ด้วยกันไม่มีใครทำอะไรได้หรอก” หลังจากที่ได้รับการรักษาเซนก็เปิดปากเสียงดังอีกครั้งแต่ก็พยายามเบาลงเพราะกลัวจะเรียกมอนสเตอร์มาอีก
“คนอื่นล่ะว่ายังไง?” เมื่อเธอถามต่อก็มีแต่ความเงียบกริบทำเพียงพยักหน้าเออออตาม
โถงทางเดินที่ลึกลงไปเรื่อย ๆ เหมือนกับบันไดลาดเอียงต้องคอยเกร็งข้อเท้าทรงตัวอยู่ตลอดเพราะกลัวจะหน้าคว่ำมันยิ่งรู้สึกกดดันเข้าไปอีก
“รู้สึกขนลุกแปลก ๆ คงไม่เจอบอสหรืออะไรอย่างนั้นหรอกนะ?”
“เพ้อเจ้อได้ตลอดจริง ๆ มาบงมาบอสอะไร” ขณะที่กำลังแซวเซนเธอก็สะดุ้งตกใจกับเสียงก้อนหินหล่นพื้น
“ว้าย ๆ แค่ก้อนหินยังร้องเสียงหลงเลย” ได้ทีเซนก็หัวเราะเยาะไม่หยุด
การเดินทางอันแสนยาวนานเพราะมันช่างน่าเบื่อและว่างเปล่าจนนึกว่าไม่ที่สิ้นสุดแต่แล้วพวกเขาก็พบกับทางลงไปยังชั้นต่อไปซึ่งเป็นหลุมกว้างที่ยุบลงเองตามธรรมชาติ
“จะลงไปจริงเหรอ?” นาริชะโงกคอดูพื้นด้านล่างจึงได้เห็นว่ามันไม่ลึกมากนัก
“รออะไรเล่าลงไปก่อนสิ” เซนกระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัยทำท่าจะผลักนาริแต่ก็หักห้ามใจไว้ได้
พวกเขาเถียงกันไปมาว่าใครจะลงก่อนแต่ซึฮากิก็ฉวยโอกาสนั้นแซงหน้าไปแล้วตามมาด้วยฟรานและแซม
“ระรอด้วยสิ” คานะหย่อนตัวลงเป็นคนสุดท้ายตามหลังเซนไปติด ๆ เพราะกลัวหลงทาง
พวกเขายังดั้นด้นเดินหน้าต่อไปโดยที่นาธาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหล่าทหารฝึกหัดจะลงไปลึกถึงเพียงนี้ แต่เดิมการฝึกซ้อมดันเจี้ยนมีไว้ให้คุ้นชินกับการต่อสู้จริงไม่ว่าจะเทคนิคการใช้อาวุธหรือเวทมนตร์
“หยุดก่อนไหม? เดินมาพักใหญ่แล้วแต่ไม่เห็นมีมอนสเตอร์สักตัวเลย” ฟรานเพ่งสมาธิเพื่อใช้เวทตรวจจับหาตำแหน่งสิ่งมีชีวิตแต่ในขอบเขตของเธอยังไม่พบอะไร
รอยเท้าเหรอ ลักษณะเหมือนพวกหมีแถมยังมีขนาดค่อนข้างใหญ่ซะด้วย
ขณะที่คนอื่นกำลังนั่งพักผ่อนซึฮากิกลับเดินไปรอบ ๆ สังเกตเห็นร่องรอยของมอนสเตอร์ที่คาดว่าน่าจะเป็นหมี
“รอยเท้ายังใหม่อยู่มันน่าจะอยู่ไม่ไกล”
“เอาสิวะไปลุยกันเถอะ” เซนลุกพรวดพราดตะเบ็งเสียงดังเรียกกำลังใจ
ท่ามกลางความมืดมิดมีเพียงเปลวไฟจากคบเพลิงส่องแสงนำทางตามรอยเท้าของมอนสเตอร์ไปยิ่งเดินเข้าไปมากเท่าใดมันก็ยิ่งเห็นชัดขึ้น
แสงจากคบเพลิงตกกระทบกับขนสีน้ำตาลที่อยู่ไกลออกไปค่อย ๆ เลื่อนสายตามองจึงได้เห็นมอนสเตอร์หมีที่สูงมากกว่าสามเมตรกำลังหลับใหลอยู่
“มีแค่เจ้านั่นตัวเดียว” ฟรานใช้ตรวจจับเพื่อให้รู้จำนวนที่แน่ชัด บริเวณหลายสิบเมตรโดยรอบมีเพียงมอนสเตอร์หมีตรงหน้า
สถานการณ์อันตึงเครียดเงียบกริบไม่มีใครกล้าเปิดปากเหลือไว้เพียงแววตาหวั่นเกรง
“พื้นที่ค่อนข้างกว้างน่าจะล้อมมันได้อยู่” ฟรานส่งสัญญาณมือให้เซนและนาริไปดักมันทั้งสองฝั่งส่วนตัวเธอเข้าประชิดจากด้านหน้า
“เอาเลย ! [คมดาบไร้รูป]” ฟรานเปิดด้วยการฟาดดาบเป็นเส้นตรงหวังจะปลิดชีพให้ได้ในดาบเดียว
“[หมัดหินกระแทก]”
“[เพลิงฟาดฟัน]”
เวทมนตร์ทั้งสามเข้าปะทะกับร่างกายกำยำแน่นปึกสร้างบาดแผลได้ไม่น้อยแต่มันก็ไม่อาจสังหารมอนสเตอร์ตัวนี้ลงได้ เสียงร้องคำรามด้วยความโมโหตวัดกวาดมือไปรอบ ๆ กระแทกนาริและเซนกระเด็นไปไกลหลายเมตร
“[ศรวารี]” ขณะที่มันกำลังจะเข้าไปซ้ำเซนคานะก็ยิงศรเวทมนตร์เข้าที่เบ้าตาได้อ่างแม่นยำทำให้มันสูญเสียการมองเห็นไปส่วนหนึ่ง
ยิงแม่นมากเลยนะเนี่ยแต่ถ้าเป็นหมีที่จมูกดีก็คงช่วยไม่ได้มากนัก ซึฮากิยืนในแนวหลังวิเคราะห์รูปแบบของมอนสเตอร์ไปพลางมองดูคนที่บาดเจ็บ
แทนที่หยุดแต่มันดันทุรังเข้าร่างอันอ่อนปวกเปียกของเซนพยายามจะบีบให้ตายคามือแต่ฟรานก็กระโจนขึ้นไปในระดับเดียวกับฟาดดาบสีชาดสร้างเปลวเพลิงตัดผ่านผิวหนังของมัน
“ฝากสนับสนุนด้วย !” ฟรานอุ้มเซนออกมาจากระยะมือของมันและมีศรเวทมนตร์จากแซมและคานะยิงสกัดไว้ตลอดเวลา
นาริตั้งสติได้อีกครั้งวิ่งตามหลังมอนสเตอร์หมีออกหมัดที่ห่อหุ้มด้วยเวทมนตร์ชกไปที่ขาของมันรวมกับศรเวทมนตร์ทำให้มันเสียหลักล้ม
“กลับไปตั้งหลักกันก่อนมานาพวกเราเหลือไม่มากแล้วด้วย”
“ซึฮากิแกก็ทำอะไรบ้างสิ !” นาริตะโกนเรียกซึฮากิที่ยืนมองพวกเธออยู่ห่าง ๆ
“เดี๋ยวผมถ่วงเวลาไว้ให้รีบหนีเถอะครับ” แซมยกคันธนูขึ้นด้วยมือที่สั่น พยายามเพ่งเล็งสติสายตาแต่เป้าก็ไม่ตรงสักที เขาตัดสินใจยิงออกไปทั้งอย่างนั้น ลูกธนูดอกแรกยิงไปโดนขาของมันได้แค่สร้างบาดแผลเพียงเล็กน้อย แซมจึงยิงลูกธนูดอกที่เหลือใส่มันไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ทุกคนกำลังถอย
รู้ตัวอีกทีลูกธนูของเขาก็หมดเสียแล้วในขณะที่มอนสเตอร์หมีกำลังมุ่งตรงเข้ามาเรื่อย ๆ ช่วงวินาทีที่แซมละสายตาไปมองทางออกและตัดสินใจว่าจะหนีพอหันกลับมาอีกทีกรงเล็บคมกริบกำลังพุ่งเข้าที่หน้าของเขาในระยะห่างเพียงแค่หนึ่งเมตรเท่านั้น
แซมยืนหลับตาถอดใจที่จะหนีและยอมรับความตายตรงหน้าแต่แล้วก็มีใครบางคนเข้ามาขวาง
“[กำแพงวายุ]” กำแพงวายุหลายชั้นวางทับกันเป็นกำแพงหนา ๆ หลังจากรับแรงกระแทกจนแตกไปมากถึงสองชั้นและหยุดชั้นที่สามก่อนจะเข้าถึงตัวพวกเขา
ซึฮากิผลักกำแพงวายุออกไปกระแทกตัวมันให้เสียสมาธิและเข้าประชิดตัวได้อย่างรวดเร็ว เขากระโดดขึ้นเกาะหลังปีนไปยังท้ายทอยของมันและรัดคอทั้งอย่างนั้น
ขอลองสักหน่อยก็แล้วกัน “[แรงอัดอากาศ]”
ซึฮากิใช้มีดแทงเข้าไปในหูและตามมาด้วยเวทแรงอัดอากาศที่รุนแรงจนทำให้มอนสเตอร์แน่นิ่งไปทันที
ภายนอกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอชักมีดออกมาหมีตัวนั้นก็ล้มลงกับพื้นนอนแน่นิ่งไปก่อนจะมีของเหลวไหลออกมาทางหู อวัยวะภายในหัวถูกอัดจนเละไม่มีชิ้นดีแซมที่ได้เห็นถึงกับขาสั่นยืนไม่อยู่ ภาพอันน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าอะไรที่เคยเห็นมาในชีวิตทำให้เขาพะอืดพะอมอาเจียนออกมาหมดไส้หมดพุง
ไม่ว่าจะหู ปากหรือเบ้าตา ขอเป็นจุดไหนก็ได้ที่เข้าใกล้สมองได้มากที่สุดเพื่อให้เวทมนตร์ไม่อ่อนกำลังก่อนจะถึงเป้าหมาย
“[พาวเวอร์อัป] [สปีดอัป] [เสริมกำลังระดับหนึ่ง] นายกลับไปรวมกลุ่มกับพวกเซนเถอะ” ซึฮากิพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะลากศพหมีตัวนั้นหายไปในความมืด แซมตั้งสติลุกขึ้นยืนและเดินกลับทางเดิมโดยไร้ข้อสงสัยในซึฮากิ
วิถีชีวิต ลักษณะการกินอยู่ หรือแม้แต่จุดอ่อนอื่น ๆซึฮากิใช้มีดชำแหละซากศพเพื่อตรวจสอบดูหลาย ๆ ส่วน
“เซน !” นาริตบหน้าเซนอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอายากรอกปากช้า ๆ ไม่รู้ว่าเพราะยาหรืออะไรแต่เซนก็สำลักจนตื่นขึ้นมาเอง
“โย่ว ! ฉันอยู่ในนรกเหรอ?”
“นรกบ้านเอ็งสิ !” นาริตบหัวเซนดึงสติอีกครั้ง
“นายไม่เป็นอะไรนะแซม” คานะที่มักจะเงียบขรึมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“อืม...ต้องขอบใจคุณกิจังด้วย”
“พวกเราต้องขอบคุณนายจริง ๆ” นาริส่งยิ้มอ่อนดูมีเสน่ห์แตกต่างกับลักษณะนิสัยที่เหมือนผู้ชาย
“ครับ ! ได้เสมอ” แซมยิ้มเกร็ง ๆ เขินจนทำตัวไม่ถูก
“แล้วเซนไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ?”
“แผลสมานไม่มีเลือดไหลแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ” ฟรานตอบหลังจากใช้เวทรักษาเบื้องต้นไปแล้ว
ระหว่างที่กำลังพักหายใจก็ต้องช่วยกันระแวดระวังมอนสเตอร์จนลืมซึฮากิไปเลย
“แล้วกิจังล่ะ?” ฟรานลุกพรวดพราดหันมองไปรอบ ๆ
“เขาจัดการหมีตัวนั้นแล้วก็เดินเข้าไปอีก แต่คงไม่ต้องห่วงเขาหรอก” แซมมองฟรานด้วยสายตาหนักแน่นหลังจากได้เห็นฝีมือของซึฮากิเพียงครู่เดียว
“เหมือนได้ยินคนพูดถึง” พูดไม่ทันขาดคำซึฮากิก็โผล่หัวกลับมาเสียทีเล่นเอาฟรานใจหายใจคว่ำ
“ทำไมนายถึงเอาแต่ยืนดูล่ะ?” ฟรานยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อกระซิบคำถามที่ทำให้ซึฮากิไม่กล้าตอบ
“เพื่อตัวพวกเธอเอง”
เราแค่ไม่อยากยื่นมือไปช่วย เพราะถ้าทำอย่างนั้นพวกเธอก็จะเอาตัวเองไม่รอดได้แต่รอความช่วยเหลืออย่างเดียว
แม้เนื้อตัวพวกเขาจะมีแต่เลือดและกลิ่นคาวช่วงแรกแทบจะไม่กล้าหายใจแต่พวกเธอก็ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้โดยใช้เวลาไม่นาน เมื่อเวลาผ่านไปสักพักพวกเขาก็ออกล่ามอนสเตอร์ต่อโดยมีการแนะนำจากซึฮากิให้ขุดหลุมทำกับดักและมันก็ได้ผลดีทีเดียว
“ขอนอนตักหน่อยสิ” หลังจากมานาใกล้หมดพวกเขาก็นั่งพักหวาดระแวงทุกเมื่อแต่ก็มีฟรานและซึฮากิที่ไม่มีท่าทีเช่นนั้นอีกทั้งฟรานยังนอนหนุนตักซึฮากิระหว่างพักอีกด้วย
“ตักกิจังอุ่นมากเลย ไว้วันหลังฉันขอนอนอีกนะ” สายตาที่มองขึ้นมาจากด้านล่างเพื่อให้เห็นซึฮากิที่กำลังกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ไม่ได้เย็นชาไม่สนใจใครอย่างที่คนอื่นคิดแต่เขาก็มักจะอยู่กับความคิดตัวเองมากกว่า
“ตามใจเธอเถอะ”
หลังจากพักหายเหนื่อยพวกเขาก็เดินทางกลับมายังค่ายพบกับทีมอื่น ๆ แต่บางทีมมีคนหายไป ทุกคนภายในทีมนั้นต่างก็เศร้าโศกเสียใจแค่ได้เห็นก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหล่านั้น
“วันนี้ดูจากรายงานพวกเราได้สูญเสียกำลังรบไปสองคนแต่ก็…พวกเราแค่ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น” ทุกคนต่างก็กลับเข้าห้องพักด้วยเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนและสีหน้าที่เศร้าหมองความเหนื่อยล้าทางด้านร่างกายยังพอพักได้แต่กับทางใจนั้นไม่หายไปง่าย ๆ
ฉันต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้เพื่อปกป้องกิจังและเพื่อน ๆ ทุกคน ฟรานนอนมองเพดานพลางคิดไปเรื่อยก่อนนอน
กว่าจะถึงสี่ปีพวกเราจะเหลือสักกี่คนกันนะ ตราบใดที่เรา…ไม่สร้างความสัมพันธ์กับใครก็จะไม่รู้สึกเสียใจอะไรทั้งนั้น เรามีองค์ความรู้จากบันทึกนั่น มันก็พอที่จะเอาตัวรอดไปได้ แต่ถ้า… ซึฮากิเองก็นอนมองเพดานคิดไม่ตกเช่นกัน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 1034
ความคิดเห็น
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น