บทที่ 476: ดูเหมือนข้าจะลืมอะไรไป

-A A +A

บทที่ 476: ดูเหมือนข้าจะลืมอะไรไป

“ทำไม เจ้ามีปัญหากับแมวตัวนี้หรือ?” เจ้าส้มเหลือบมองฉินเซียว “แมวตัวนี้ไม่ได้ขอเจ้ากินสักหน่อย มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

“เจ้าแมวนี่กำลังพูดอะไรของมัน?” ฉินเซียวคิดครู่หนึ่งก่อนจะปรบมือเบา ๆ เหมือนกับว่าเขาเข้าใจอะไรบางอย่าง “อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว มันคงกำลังต่อว่าข้าใช่หรือไม่?”  

“พี่จวินเซิ่ง ท่านมองตามันสิ นี่มันไม่ใช่แววตาเหยียดหยามหรอกหรือ?”

น่าสนใจ น่าสนใจ น่าสนใจจริง ๆ!

เจ้าส้มกลอกตาใส่ผู้บัญชาการหนุ่ม มันคิดว่ามนุษย์ตรงหน้านั้นถึงแม้ว่ารูปร่างภายนอกจะดูดี แต่สมองคงจะมีปัญหาไม่น้อย

อีกฝ่ายรู้ว่ามันกำลังด่าตัวเองอยู่ แต่เขาก็ยังหัวเราะอย่างมีความสุขได้อยู่อีก

“เจ้าอย่าไปยั่วมัน” มู่จวินเซิ่งรู้สึกขบขันกับท่าทางนั้นเช่นกัน “เจ้าส้มถูกไป๋ไป่ตามใจจนเคยตัวไปแล้ว ระวังอย่าได้ไปยั่วมันอีก ไม่อย่างนั้นมันข่วนหน้าเจ้าแน่”

“เจ้าหมายความว่าแมวตัวนี้ถูกตามใจจนเสียคนรึ!” เจ้าส้มส่งเสียงร้องโวยวายใส่แม่ทัพหนุ่ม

 มู่จวินเซิ่งคิดว่ามันคงกำลังเร่งเร้าให้เอาอาหารมาให้มันเร็ว ๆ เขาจึงกระซิบปลอบใจมันว่า “ห้องครัวกำลังทำอาหารให้เจ้าอยู่ เจ้าอดใจรอสักครู่”

“ฉินเซียว ข้าจะไปที่จวนตระกูลเสิ่น เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่?”

ตามที่ระบุในจดหมาย มู่ไป๋ไป่บอกให้เขามุ่งหน้าไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด

ฉินเซียวอยากจะปฏิเสธ เขาอยากอยู่ที่นี่เพื่อดูเจ้าส้มกินอาหาร แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบ อีกฝ่ายก็ดึงคอเสื้อเขาออกจากห้องไปแล้ว

“ช่างเถอะ ถ้าปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียว เจ้าก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว มิสู้ให้เจ้าไปกับข้าด้วย บางทีเจ้าอาจจะช่วยอะไรข้าได้”

ยิ่งเขาคิดถึงเสิ่นจวินเฉามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกคุ้นมากขึ้นเท่านั้น

“ใครบอกว่าข้าอยู่ที่นี่ไม่มีอะไรทำ...” ฉินเซียวเปิดเผยความคิดของตัวเองให้สหายรับรู้โดยตรง “ท่านคงกังวลว่าหากปล่อยข้าไว้ที่นี่คนเดียว ข้าจะไปคุยกับคุณหนูหลัวในขณะที่ท่านไม่อยู่สินะ?”

มู่จวินเซิ่งชะงักไปเล็กน้อย แล้วเขาก็ทำเป็นไม่สนใจคำพูดของสหาย แต่หูที่แดงระเรื่อของเขากลับฟ้องความจริงออกมาหมดแล้ว

ในตอนที่หลัวเซียวเซียวกลับมาพร้อมกับชาที่ชงใหม่ นางก็บังเอิญได้พบกับมู่จวินเซิ่งและฉินเซียวที่กำลังเดินออกไปข้างนอก นางรู้ว่าพวกเขาคงจะไปทำธุระให้องค์หญิงหก

ความจริงหญิงสาวก็อยากจะไปด้วยเหมือนกัน

แต่แล้วนางก็คิดว่าเจ้าส้มยังอยู่ในจวน ช่วงนี้สถานการณ์ข้างนอกก็ไม่สู้ดีนัก ดังนั้นนางจึงไม่ได้ทำตามความคิดของตัวเองแล้วบอกให้ทั้ง 2 คนระวังตัวด้วย

เมื่อมู่จวินเซิ่งกับฉินเซียวออกจากจวนไป หลัวเซียวเซียวก็ถอนหายใจเบา ๆ และเดินเข้าไปหาเจ้าส้มในห้องทำงานของท่านแม่ทัพ

เพียงไม่นาน แมวอ้วนตัวโตก็เริ่มกินผิงกั่วที่จัดไว้ที่โต๊ะแล้ว

“นี่หลัวเซียวเซียว ทำไมเจ้าถึงไม่ไปกับพวกเขาล่ะ?” เจ้าส้มที่ขนเปียกเต็มหน้าเอ่ยถามอีกฝ่าย

หญิงสาวอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบน้ำผลไม้บนใบหน้าของมัน “องค์ชายรองกำลังมุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลเสิ่น ข้าไม่มีความจำเป็นต้องตามเขาไป”

นางอาศัยอยู่กับเจ้าส้มมานานกว่า 10 ปี แม้ว่านางจะไม่เข้าใจภาษาสัตว์ แต่นางก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากมู่ไป๋ไป่ ดังนั้นนางจึงเดาได้คร่าว ๆ ว่าแมวตัวนี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไร

“นั่นสินะ” แมวส้มตัวใหญ่พยักหน้า หลังจากหลัวเซียวเซียวเช็ดหน้าให้มันแล้ว มันก็หันกลับไปกัดผิงกั่วกินต่อ

แต่คราวนี้มันมีความรู้สึกแปลก ๆ เช่นเดียวกับตอนที่มันเห็นหญิงสาวเมื่อกี้

เอ๊ะ! ข้าลืมอะไรไป?

เจ้าส้มคิดอย่างจริงจังจนกระทั่งกรามที่ขยับเคี้ยวผิงกั่วช้าลง 

ขณะที่มันกำลังจะนึกอะไรออก กลิ่นอาหารก็ลอยมาเตะจมูกเข้าเสียก่อน

เจ้าแมวจอมตะกละรีบสลัดคำถามพวกนั้นออกจากหัวและดวงตาของมันก็เบิกกว้างขึ้นทันทีที่ได้กลิ่นอาหารโชยมาแต่ไกล

อาหารอร่อยมาแล้ว ทำไมมันจะต้องเสียเวลาคิดถึงเรื่องเหลวไหลอยู่อีกล่ะ!

สนใจอาหารอร่อย ๆ ไม่ดีกว่าหรืออย่างไร?

อีกด้านหนึ่ง ฉินเซียวเดินตามมู่จวินเซิ่งไปบนถนนสายหลักของเมืองหลวง เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปพบเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังหอไป่เฉ่าตามที่มู่ไป๋ไป่ขอร้อง เขาก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

“องค์หญิงหกเป็นสหายกับเถ้าแก่หอไป่เฉ่าจริง ๆ หรือ? น่าทึ่งมาก!”

แม่ทัพหนุ่มเม้มปากแสดงสีหน้าภาคภูมิใจ

“แต่ข้าได้ยินมาว่าคุณชายเสิ่นเป็นคนลึกลับมาก” ผู้บัญชาการหนุ่มลูบคางตัวเองพร้อมกับลดเสียงพูดทำให้ฟังดูน่าสนใจ “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาท่านแทบจะไม่ได้กลับมายังเมืองหลวงเลย ดังนั้นท่านคงจะไม่รู้ มีคนบอกว่าเขาเป็นคนที่ไร้พ่อแม่ แต่เขามีพรสวรรค์ด้านการค้าขาย จึงสามารถสร้างรายได้ก้อนโตก้อนแรกตั้งแต่อายุยังน้อย”

“ต่อมา หอไป่เฉ่าก็ได้ถูกขยับขยายจนกลายเป็นร้านขายสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในเป่ยหลง แต่ตัวเขานั้นก็ไม่ค่อยออกหน้ามาพบปะผู้คนในแวดวงเดียวกัน แถมยังไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนด้วย ตามปกติแล้วหากใครต้องการไปพบเขาก็จะถูกขับไล่ออกมา”

“ดังนั้นจึงมีข่าวลือเล่ากันปากต่อปากว่าคุณชายเสิ่นหน้าตาไม่ดี บางคนก็บอกว่าคุณชายเสิ่นไม่ได้เป็นบุคคล แต่เป็นเพียงชื่อบังหน้าซึ่งเป็นเพียงลูกเล่นที่ตระกูลเสิ่นสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างตำนานให้ผู้คนกล่าวขาน”

ขณะที่มู่จวินเซิ่งได้ฟังคำพูดของสหาย คิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากัน “มันเป็นเพียงแค่ข่าวลือ เขาเป็นสหายของไป๋ไป่ ดังนั้นตัวตนของเขาย่อมไม่มีปัญหา”

ในเรื่องการคบค้าสมาคม เขาไว้ใจน้องสาวมาก

ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ทั้ง 2 ก็ได้มาถึงจวนตระกูลเสิ่น

จากนั้นแม่ทัพหนุ่มก็มอบจดหมายที่มู่ไป๋ไป่เขียนให้แก่คนเฝ้าประตูจวน ไม่นานพวกเขาก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีโดยให้ไปรออยู่ที่ห้องโถงด้านหน้าสักพัก

“จุ๊ ๆๆ สมแล้วที่เขาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเป่ยหลง” ฉินเซียวกล่าวพลางเดินสำรวจไปรอบ ๆ ห้องโถง “แค่ของตกแต่งพวกนี้ก็เพียงพอที่จะซื้อจวนหลาย ๆ หลังของครอบครัวข้าแล้ว”

ฉินเซียวเป็นบุตรของตระกูลขุนนาง เขาเข้าออกรั้ววังเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะได้เห็นของดี ๆ มากมายผ่านตา

แต่เขาก็ยังคงตกตะลึงกับของประดับในจวนตระกูลเสิ่น

ตัวเขานั้นนับได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ เพียงแค่มองก็บอกได้แล้วว่าสิ่งของหลาย ๆ ชิ้นที่ถูกจัดตกแต่งอยู่ที่นี่มีคุณภาพดีกว่าของที่อยู่ในวังหลวงเสียอีก

ทางด้านมู่จวินเซิ่งไม่ได้สนใจเรื่องดังกล่าว เขาจึงเหลือบมองของพวกนี้แบบผ่าน ๆ ก่อนจะหันมาตั้งใจดื่มชารอเจ้าของจวน

เวลาผ่านไปไม่นาน ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาช้า ๆ ทว่ามั่นคงสม่ำเสมอ

มู่จวินเซิ่งกับฉินเซียวเงยหน้าขึ้นมองไปทางต้นเสียงพร้อมกันและเห็นชายรูปงามเดินเข้ามาโดยที่ชายคนนั้นสวมชุดผ้าไหมเข็มขัดหยกซึ่งขับให้เจ้าตัวดูสง่างามมาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ทั้ง 2 ต้องตกตะลึงไม่ใช่เครื่องแต่งกายที่ดูหรูหราของอีกฝ่าย แต่เป็นใบหน้าของเขาต่างหาก

“พี่จวินเซิ่ง ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าเคยเห็นคุณชายเสิ่นคนนี้ที่ไหนมาก่อน” ผู้บัญชาการฉินเป็นคนแรกที่แสดงปฏิกิริยา “เขาดูคุ้นตามาก”

  ส่วนแม่ทัพหนุ่มไม่ได้พูดอะไร พร้อมกับที่เขาพยายามระงับความสงสัยในใจเอาไว้

“ท่านคงเป็นพี่ชายของไป๋ไป่ใช่หรือไม่?” เสิ่นจวินเฉาอมยิ้มจาง ๆ และโค้งคำนับให้กับมู่จวินเซิ่ง “ข้าได้ยินไป๋ไป่พูดถึงท่านบ่อย ๆ นางบอกว่าท่านเป็นคนที่มีความสามารถมาก”

“คุณชายเสิ่นกล่าวหนักเกินไปแล้ว” แม่ทัพหนุ่มเองก็ทักทายอีกฝ่าย เดิมทีเขาคิดว่าหลังทำธุระเสร็จแล้วเขาก็จะกลับทันที แต่ใบหน้าของชายรูปงามผู้นี้กลับดูคุ้นตามากขึ้นจนกวนใจเขา

“คุณชายเสิ่น ท่านเคยเดินทางไปชายแดนมาก่อนหรือไม่?”

“ชายแดน?” เสิ่นจวินเฉายิ้มน้อย ๆ พลางตอบว่า “ข้าเคยไปที่นั่นเมื่อตอนทำการค้าเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว แต่ก็รั้งอยู่ได้ไม่นานนัก เหตุใดท่านจึงถามเช่นนี้หรือพี่ไป๋?”

ในตอนที่มู่ไป๋ไป่พบเสิ่นจวินเฉาตั้งแต่สมัยยังเด็ก เธอไม่ได้บอกชื่อจริงของตัวเองให้เขารู้ ต่อมาความสัมพันธ์ของพวกเธอก็ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าเธอก็ไม่เคยอธิบายเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายฟังมาก่อน

ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงคิดว่ามู่ไป๋ไป่นั้นแซ่ไป๋ เขาจึงเรียกมู่จวินเซิ่งว่าพี่ไป๋

“ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกคุ้นหน้าคุณชายเสิ่นเพียงเท่านั้น” แม่ทัพหนุ่มคิดสักครู่แล้วกล่าวไปตามตรงว่า “ข้าอยู่ที่ชายแดนมานานหลายปี ดังนั้นข้าจึงคิดว่าข้าคงเคยพบคุณชายเสิ่นที่ชายแดน”

เสิ่นจวินเฉาเลิกคิ้วขึ้นพลางพูดว่า “คงจะเป็นเช่นนั้น”

ใจจริงเขาเองก็แอบรู้สึกประหลาดใจไม่แพ้อีกฝ่าย

เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะเขาก็รู้สึกว่ามู่จวินเซิ่งดูคุ้นหน้ามากเช่นกัน

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.