Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 13
Chapter 13: การซ้อมครั้งสุดท้าย ปัญหาของซินนามอน
(ซินนามอนบรรยาย)
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนเหลืออีกเพียง 2 วันก็จะถึงวันที่ชมรมคอรัชต้องไปแสดงในพิธีเปิดงานประกวดวาดภาพที่โรงเรียนเป็นสนามแข่งขัน ซึ่งมาการงเองก็เป็นหนึ่งในผู้ประกวดด้วย ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เพราะการที่จะได้มายืนอยู่บนเวทีโดยมีสายตาของผู้ชมทั้งโรงเรียนมองมา เป็นอะไรที่เกินความคาดหมายไปมากทีเดียว
“ไง ซินนามอน” พาเฟ่ต์เดินเข้ามาทักเมื่อฉันเดินเข้าไปในห้องดนตรี สมาชิกทุกคนในชมรมมากันพร้อมหน้า ฉันยิ้มให้เธอก่อนย้อนถาม
“อะไรเหรอพาเฟ่ต์ แล้ว… วันนี้ไม่ได้ซ้อมที่ห้องดนตรีเหมือนเดิมเหรอ?”
“เท่าที่ได้ยินจากพี่เชอร์มา รู้สึกว่าตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราจะต้องไปซ้อมเต็มรูปแบบเหมือนแสดงจริงที่หอประชุมน่ะ”
“โห ดูยิ่งใหญ่เนอะ” ฉันพูดยิ้มๆ แต่ในใจยิ้มไม่ออกเหมือนกับที่พูด การที่ต้องไปซ้อมที่หอประชุมทำให้รู้สึกกดดันมากขึ้นอีกสองเท่า เพราะการซ้อมที่ผ่านมา จะมีรุ่นพี่จากชมรมดนตรีที่อยู่อีกห้องหนึ่งมาช่วยเล่นคีย์บอร์ดให้พวกเรา ซึ่งบรรยากาศก็เป็นไปอย่างสบายๆ ไม่กดดันมากนัก จะมีคุณครูที่ปรึกษาชมรมคอยบอกว่าใครร้องผิด หรือต้องแก้ตรงไหนให้เสียงร้องเข้ากันได้กับเพื่อนๆ หรือต้องสลับตำแหน่งในการยืนเมื่อเห็นว่าใครเหมาะที่จะเป็นเซนเตอร์และร้องนำ ซึ่งก็สลับไปมาระหว่างฉันกับโรสแมรี่ แต่เมื่อเปลี่ยนสถานที่ซ้อม ทำให้ฉันตระหนักว่าการซ้อมหลังจากนี้เป็นการซ้อมเพื่อจะนำไปแสดงต่อหน้าผู้ชมทั้งโรงเรียนรวมถึงภายนอก การแสดงนี้เราต้องมีสมาธิและต้องสื่อสารผ่านบทเพลงเข้าไปให้ถึงใจผู้ชม
“ใช่ พวกเราคงร้องกันเล่นๆ เหมือนกับที่ผ่านมาไม่ได้แล้วล่ะ”
“นั่นสินะ เธอไม่รู้สึกตื่นเต้นบ้างเลยเหรอ?” ฉันถาม เพราะเท่าที่ฉันรู้จักเธอมาตั้งแต่เข้าชมรมวันแรก ไม่ค่อยเห็นเพื่อนคนนี้แสดงความรู้สึกออกมาผ่านสีหน้ามากนัก จนแทบจะเรียกได้เต็มปากว่า ‘หน้าตาย’ ก็ไม่ผิดจากความจริงเท่าไร
“จะบอกว่าไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยก็จะเป็นการโกหก” พาเฟ่ต์ตอบเรียบๆ “ฉันก็รู้สึกเหมือนกับเธอนั่นแหละ แต่ถ้าตื่นเต้นมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา สิ่งที่พวกเราทำได้คือ โฟกัสกับการซ้อมการแสดงที่จะมาถึงในอีกสองวันข้างหน้า และคิดไว้เสมอว่า เราทำได้ เข้าใจไหม?” คำพูดของพาเฟ่ต์เป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกว่าทำได้ยากเหลือเกิน แต่ฉันก็จะพยายามทำตามที่เธอพูดให้ได้ แม้สักนิดก็ยังดี
พวกเราเดินออกจากห้องดนตรีไปที่หอประชุมซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้นที่ตั้งอยู่ติดโรงอาหาร เดินผ่านร้านขายอาหารไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ประตูฝั่งหนึ่งซึ่งสามารถเดินทะลุหอประชุมได้ สัมผัสได้ถึงเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำที่เปิดเอาไว้เหมือนเป็นการเชื้อเชิญพวกเราให้เดินเข้าไป สมาชิกชมรมดนตรีเตรียมตัวสแตนด์บายรอพร้อมกับเครื่องดนตรีที่ต้องใช้บรรเลงเรียบร้อยแล้ว
“ทุกคน ตั้งแถวเลยจ้ะ” เมื่อขึ้นมาบนเวทีได้ ผู้เป็นหัวหน้าชมรมก็เอ่ยสั่งผ่านไมโครโฟนไร้สายทันที “เราจะลองซ้อม 1 รอบก่อน ตอนนี้ปัญหาของเราคือ ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะให้ใครยืนเป็นเซนเตอร์ระหว่างน้องซินกับน้องโรส” พี่เขาจัดการย่อชื่อฉันกับโรสแมรี่ให้เสร็จ
“ทั้งสองคน ออกมายืนข้างหน้าเลยจ้ะ” ฉันก้าวออกมาข้างหน้าโดยมีโรสแมรี่เดินตามมาติดๆ ทุกคนที่เหลือรวมทั้งพาเฟ่ต์ได้ตำแหน่งในการร้องสนับสนุนจึงไม่มีปัญหามากนัก สามารถยืนเรียงกันเป็นแถวตามลำดับความสูงได้เลย
“พี่จะให้แบ่งท่อนกันร้องคนละท่อน เมื่อเพลงจบแล้ว” หันไปหากลุ่มของพาเฟ่ต์ที่ยืนอยู่ข้างหลัง “ฉันจะให้ทุกคนออกความเห็นว่าใครควรจะเป็นเซนเตอร์ในการแสดงนี้ โดยต้องไม่ลืมนะว่า คนที่เป็นเซนเตอร์จะต้องเป็นคนร้องนำด้วย ถ้าคะแนนเสียงของใครมากกว่า คนนั้นจะได้เป็นเซนเตอร์ของเพลงนี้เลยทันที” ทุกคนขานรับ ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่นานเสียงเปียโนเป็นสัญญาณในการวอร์มเสียงก็ดังขึ้น
เมื่อการวอร์มเสียงเสร็จสิ้นแล้ว เสียงดนตรีท่อนอินโทรของเพลงก็เริ่มขึ้น ฉันหันไปสบตากับโรสแมรี่ เป็นอันรู้กันว่าใครต้องร้องท่อนไหน การร้องดำเนินไปได้อย่างราบรื่น โรสแมรี่ร้องท่อนของตัวเองได้ดีเยี่ยม เวลาเกือบเดือนที่ฉันได้รู้จักกับเพื่อนสาวผมสีส้ม ทำให้ฉันได้รู้ว่าเธอเป็นคนที่ร้องเพลงเก่งคนหนึ่ง จนฉันได้เห็นความสามารถจริงๆ กับตาตัวเองก็วันนี้ จนมาถึงตาฉัน ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเริ่มร้องท่อนของตน จนไปถึงท่อนบริดจ์ก่อนเข้าฮุกสุดท้ายที่ต้องขึ้นเสียงสูง…
จู่ๆ เสียงดนตรีก็หยุดลงกะทันหัน พร้อมกับเสียงของฉันที่ขาดหายไปดื้อๆ ทุกคนรวมถึงโรสแมรี่พากันหันมามองฉันเป็นตาเดียวราวกับถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่พี่เชอร์ที่ยืนอยู่มุมหนึ่งของเวทีจะเอ่ยขึ้น
“อ้าว เป็นอะไรไปเหรอจ๊ะ เมื่อกี้ก็ร้องดีแล้วแท้ๆ ไม่น่าเลย” ก่อนที่จะให้ฉันลองร้องท่อนนั้นแบบปากเปล่า ก็ผ่านไปได้ปกติจนฉันเองยังอดแปลกใจไม่ได้
“เมื่อกี้เป็นอะไรไปเหรอ?” พาเฟ่ต์ที่ยืนอยู่ข้างหลังถามขึ้น
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ฉันตอบอย่างจนปัญญาเต็มที “เนื้อก็จำได้หมดแล้วนะ แต่ว่าไม่รู้ทำไม พอถึงท่อนนั้นทีไร เสียงไม่ออกทุกที”
“ตอนที่ร้องก่อนหน้านี้เธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” โรสแมรี่ถาม ฉันส่ายหน้า
“งั้น เดี๋ยวพี่ให้ลองร้องใหม่อีกรอบนะ คราวนี้ให้ซินนามอนร้องคนเดียว โรสยืนเฉยๆ ไปก่อน ส่วนคนที่ร้องประสานก็ร้องพาร์ทของตัวเองไป โอเคนะ” รองหัวหน้าชมรมประกาศ ก่อนที่ฉันจะขยับไปยืนที่จุดเดิม และดนตรีก็เริ่มขึ้น
เมื่อมาถึงท่อนก่อนจบ ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสะกดกลั้นความตื่นเต้น และพยายามร้องท่อนนั้นใหม่อีกครั้ง ทุกอย่างดูเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่…
“เดี๋ยวๆๆ!” เสียงของพี่เชอร์ประกาศขึ้นทำให้ทั้งเสียงดนตรีและคนร้องหยุดชะงักกะทันหัน “น้องซิน ทำไมเสียงตอนท้ายมันเบาลงเรื่อยๆ เลยล่ะจ๊ะ?”
ฉันหายใจหอบ หัวใจเต้นแรง รู้สึกว่าเหงื่อไหลซึมออกมาจากมือที่กำเอาไว้จนเปียกชึ่มไปหมดทั้งที่อากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ และไม่รู้ว่าฉันตาฝาดไปหรือไม่ ฉันเห็นดวงตาสีเขียวมรกตของใครคนหนึ่งมองมาด้วยความเป็นห่วง พอหันไปมองข้างหลังก็เห็นว่าเป็นพาเฟ่ต์ที่มองอยู่ก่อนแล้ว สายตาของเธอเปลี่ยนเป็นมองเฉยๆ ไม่มีแววห่วงใยหรืออะไรอย่างอื่นเหมือนที่ฉันรู้สึก ใบหน้านั้นกลับไปเรียบเฉยอีกครั้ง
“เป็นอะไรไปน่ะซินนามอน” โรสแมรี่ถาม ฉันได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบอย่างไรดี การทดลองยืนเป็นเซนเตอร์สำหรับฉันเป็นอะไรที่ยากกว่าที่คาดไว้มากทีเดียว ในการซ้อมครั้งแรก รุ่นพี่ทุกคนตกลงกันว่าอยากให้น้องๆ ม.ต้นมีบทบาทในการแสดงของชมรมมากขึ้น และด้วยความที่พวกเราอยู่ ม.2 และมีพื้นฐานในการร้องเพลงดีอยู่แล้ว ทั้งฉัน โรสแมรี่และพาเฟ่ต์จึงได้สลับกันร้องนำและยืนเป็นเซนเตอร์อยู่บ่อยๆ โดยไม่เคยมีปัญหาอะไรที่หนักเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย อาจจะเพราะนี่เป็นการซ้อมเสมือนแสดงจริง และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ขึ้นแสดงอย่างจริงจัง จึงทำให้ฉันทั้งกังวลและตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ จนทำให้อาการแสดงออกมาเป็นแบบนี้กระมัง
“เท่าที่ดูตั้งแต่รอบแรกแล้ว ทุกคนคงได้คำตอบแล้วนะว่าใครจะได้ยืนเป็นเซนเตอร์ของเพลงนี้” รุ่นพี่รองหัวหน้าชมรมเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ทุกคนพยักหน้า รวมถึงฉันด้วย
“ขอโทษนะคะ… ที่หนูทำได้ไม่ดี” พูดกับทุกคนด้วยความสำนึกผิด ก่อนจะถูกย้ายที่ไปยืนอยู่แถวกลาง โดยคนที่ยืนอยู่ต่อจากเซนเตอร์คือหัวหน้าชมรม และไล่ไปเรื่อยๆ ตามระดับความสูง ฉันได้ยืนอยู่ใกล้กับพาเฟ่ต์ โดยได้รับตำแหน่งร้องหลักพร้อมกับรุ่นพี่อีก 2 คน ส่วนพาเฟ่ต์ที่มีโทนเสียงต่ำกว่าได้รับหน้าที่ร้องประสานไปโดยปริยาย
การซ้อมยุติลงในเวลาห้าโมงเย็น โดยคุณครูที่ปรึกษาชมรมแจ้งว่าจะให้ทุกคนพัก 1 วัน แล้วมาแสดงจริงในวันมะรืน โดยให้เหตุผลว่าทุกคนจำเนื้อเพลงและทำนองได้หมดแล้ว จึงอยากให้กลับไปพักแล้วฝึกด้วยตัวเองบ้างเพราะที่ผ่านมาก็เหนื่อยกันมาพอสมควร โดยให้พวกเราจำตำแหน่งในการยืนของตัวเองเอาไว้ว่ายืนอยู่ใกล้กับใคร พอถึงวันแสดงจริงจะได้ไม่ต้องมาสลับตำแหน่งกันให้วุ่นวายอีก
“เหนื่อยจังเลยน้า” ฉันพูดขึ้นขณะที่เดินลงมาจากหอประชุมพร้อมกับพาเฟ่ต์และโรสแมรี่ ในโรงอาหารยังเหลือร้านขายของทอดอยู่ร้านหนึ่งที่ยังไม่ปิด แม้ว่าผู้คนที่เคยเดินกันขวักไขว่จะซาลงจนแทบไม่เหลือใครอยู่บริเวณนั้นแล้วก็ตาม พวกเราพากันมายืนต่อแถวซื้อของกินรองท้องก่อนกลับบ้าน เวลาขนาดนี้แล้ว มาการงอาจจะกำลังฝึกวาดรูปอยู่ที่ห้องศิลปะ ฉันที่ตั้งใจว่าจะรอกลับบ้านพร้อมกับเพื่อนสนิทต้องล้มเลิกความตั้งใจไปเพราะรู้สึกเหนื่อยมาก จึงคิดว่าเมื่อกินขนมกันเสร็จแล้วจะรีบกลับบ้านเพื่อไปนอนพักเสียที
“นั่นสินะ ซ้อมเหมือนวันแสดงจริงนี่ยากกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลย” พาเฟ่ต์เห็นด้วย เธอเดินไปรับถุงมันฝรั่งทอดแล้วเดินนำพวกเราไปที่ม้านั่งใกล้กับประตูทางออก
“ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย ก็เหมือนกับที่ซ้อมปกตินั่นแหละ” โรสแมรี่แย้ง ฉันหันไปมองก่อนจะพูดอย่างทึ่งๆ ว่า
“โรสนี่เก่งเนอะ ร้องเพลงก็เพราะ แถมเวลายืนเป็นเซนเตอร์ก็ยังร้องได้ดีไม่มีตกเลย” รอยยิ้มพึงใจปรากฏบนริมฝีปากของเพื่อนผมส้ม เธอตอบว่า
“คนที่จะเป็นเซนเตอร์ได้น่ะมันต้องมั่นใจในตัวเอง แล้วก็ต้องรู้ตัวด้วยว่าความสามารถของเราน่ะเหมาะจะไปยืนอยู่ตรงไหนของเวทีได้บ้าง” ดวงตาสีอเมทิสต์มองมาที่ฉันนิ่งเหมือนจะส่งสาส์นอะไรบางอย่าง ฉันชะงักไปเล็กน้อย ก็เข้าใจที่เธอพูดอยู่หรอกนะว่าหมายถึงอะไร เมื่อจะตอบพาเฟ่ต์ก็ชิงพูดขึ้นก่อนว่า
“พูดอะไรของเธอน่ะ โรส?”
“ก็พูดความจริงไง หรือเธอคิดว่าที่ฉันพูดน่ะไม่จริง?” โรสแมรี่ยังคงพูดต่อไป ฉันสังเกตว่าเพื่อนสองคนนี้นอกจากจะไม่สนิทกันแล้ว เวลาคุยกันทีไรก็เหมือนจะจบลงด้วยการทะเลาะกันเสียทุกครั้ง
“เอาน่าๆ โรสก็พูดถูกนะ” และก็จบลงด้วยการห้ามทัพไม่ให้ทั้งสองคนทะเลาะกันมากไปกว่านี้ “แต่โรสกับตำแหน่งเซนเตอร์ก็เหมาะแล้วแหละ ฉันยังไม่รู้เลยว่าถ้าตัวเองไปยืนอยู่ตรงนั้นจะทำได้ดีเหมือนกับเธอหรือเปล่านะ”
“อ้อ จริงสิ ว่าแต่ตอนนั้นซินนามอนเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมพอถึงช่วงท้ายเพลงแล้วร้องไม่ได้เหรอ?”
นั่นสินะ…
คำถามของโรสแมรี่ทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการซ้อม ทั้งที่จำเนื้อได้หมดแล้ว แต่เมื่อเข้าดนตรีในช่วงท้ายกลับร้องออกมาไม่ได้ เสียงสูงที่เคยร้องได้ดีในเวลาซ้อมกลับหายลงคอไปเฉยๆ จนทำให้รู้สึกโมโหตัวเองไม่น้อย
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” หลังจากที่เงียบไปเกือบนาที ฉันก็ตอบออกมาจนได้ “ตอนที่ซ้อมในห้องดนตรี ตรงนี้ก็ไม่เคยมีปัญหา แต่พอถึงวันที่ต้องซ้อมจริง ดันมาจอดซะได้ ร้องกี่ทีก็มีปัญหาตลอด พอถึงวันจริงต้องแย่แน่ๆ เลย”
“พรุ่งนี้ยังมีเวลา เธอก็ลองซ้อมดูสิ จะเวลาไหนก็ได้ เพราะพวกรุ่นพี่ไม่ได้นัดซ้อมนี่นะ” โรสแมรี่แนะนำ ฉันพยักหน้า ก่อนที่เธอจะพูดต่อ “ลองร้องหลายๆ รอบ มันต้องดีสักรอบแหละน่า และพอจำได้แล้วว่าตรงนั้นต้องร้องยังไงก็พยายามจำความรู้สึกตอนนั้นเอาไว้ และลองเอามาใช้ตอนแสดงจริงดู พอถึงเวลาที่ต้องขึ้นเวทีจะได้ไม่ขายหน้าคนอื่นเขา”
คำแนะนำของเพื่อนผมส้มดูเหมือนจะเป็นคำแนะนำที่ดี แม้คำพูดในประโยคท้ายจะเป็นอะไรที่แรงไปบ้าง แต่ฉันก็จะพยายามลองเอาสิ่งที่เธอแนะนำไปลองปรับใช้ดูเผื่อมันจะได้ผลดีบ้างไม่มากก็น้อย
โรสแมรี่เดินออกไปแล้ว เหลือแค่ฉันกับพาเฟ่ต์นั่งกินขนมกันอยู่สองคน ใบหน้าที่เรียบเฉยนั้นแสดงความหงุดหงิดออกมาชัดเจนจนฉันรู้สึกไม่สบายใจว่าไปทำอะไรให้เธอโมโหหรือเปล่า
“พาเฟ่ต์ ไม่เป็นไรนะ” เอ่ยถามอย่างหวาดๆ ฝ่ายนั้นหันมามองนิดหนึ่ง ใบหน้ายังคงบึ้งอยู่ มือเรียวยกขวดน้ำขึ้นดื่มแก้กระหายก่อนจะพยักหน้า “ฉันไม่เป็นไรหรอก เธอไม่ต้องห่วง”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายสงบลงแล้ว มันฝรั่งทอดที่ซื้อมาก็หมดพอดี ฉันจึงลุกขึ้นพร้อมกับเอาถุงเปล่าไปทิ้งถังขยะ และชวนคนที่นั่งอยู่ให้กลับบ้านด้วยกัน พวกเราเดินออกจากโรงอาหารโดยไม่มีใครคุยอะไรกันเลย จนฉันทนกับความเงียบไม่ไหว จึงเปิดบทสนทนาขึ้นว่า
“นี่ พาเฟ่ต์ก็ร้องเพลงดี ทำไมถึงไม่อยากยืนเป็นเซนเตอร์เหรอ?”
“ฉันไม่ชอบเป็นจุดเด่นเท่าไหร่ เวลามีคนมองเยอะๆ มันรำคาญ” ฉันพยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่คนข้างๆ จะเอ่ยต่อไปว่า
“เธอก็ร้องเพลงดีนะ แต่ว่า…” หยุดหายใจสักพักก่อนพูดต่อ “ฉันรู้สึกว่ายังขาดอะไรไปสักอย่างน่ะ”
“อะไรเหรอ?”
“ลองเช็คตัวเองดูสิ ว่าตอนที่ซ้อมน่ะ เธอร้องด้วยความมั่นใจมากพอหรือยัง?”
(ติดตามตอนต่อไป)
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 756
แสดงความคิดเห็น