บทที่ 155 ข้อตกลง
บทที่ 155 ข้อตกลง
“ได้สิ ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะซื้อที่ดินตรงไหนดี” สกายวูฟกล่าว
ลู่หยางชี้นิ้วไปยังที่ดินฝั่งตรงข้ามกับที่ดินที่เขาซื้อ ก่อนพูดว่า
“ซื้อที่ดินตรงนี้สิ แต่อย่าทำธุรกิจเกี่ยวกับยา ทางที่ดีคุณควรทำธุรกิจเกี่ยวกับอาวุธอุปกรณ์”
“ทำไมล่ะ?” สกายวูฟถาม
“เพราะร้านยาฝั่งตรงข้ามจะกลายเป็นร้านยาที่ขายดีที่สุดในเซิร์ฟเวอร์ไงล่ะ” ลู่หยางยิ้มอย่างมั่นใจ
สกายวูฟมองลู่หยางอย่างประหลาดใจเมื่อได้เห็นท่าทีอันอวดดีของอีกฝ่าย แต่ทำเลที่ลู่หยางแนะนำมาก็ถือได้ว่าเป็นทำเลที่ดีจริง ๆ
“ผมขอเชื่อคำแนะนำจากคุณก็แล้วกัน” สกายวูฟกล่าวก่อนที่เขาจะเลือกซื้อที่ดินฝั่งตรงข้ามร้านของลู่หยาง
“คุณลู่หยาง ถ้าคุณคิดจะเปิดร้านขายยา ไม่ทราบว่าคุณมีแหล่งวัตถุดิบที่มั่นคงแล้วหรือยัง?” สกายวูฟถาม
“ตอนนี้ยังไม่มี” ลู่หยางตอบ
“ไม่ทราบว่าคุณสนใจจะทำธุรกิจร่วมกับกิลด์สกายวูฟลีเจี้ยนของผมไหม? คนของผมกระจายอยู่ใน 10 หมู่บ้านมือใหม่เพื่อเก็บเลเวล ไม่ว่าคุณจะต้องการวัตถุดิบเป็นอะไร ผมก็สามารถจัดหาได้ทั้งหมด” สกายวูฟกล่าวด้วยแววตาอันเป็นประกาย
ตอนนี้เขามีสมุนไพรอยู่เป็นจำนวนมากจนไม่รู้ว่าจะเอาพวกมันไปเก็บไว้ที่ไหน แต่ของทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผู้เล่นสายไลฟ์สไตล์ในกิลด์เก็บมาจะให้ทิ้งไปเฉย ๆ มันก็น่าเสียดาย แต่จะให้นักปรุงยาภายในกิลด์ใช้ปริมาณของพวกมันก็มากเกินไป ถึงอยากจะขายแต่มันก็มีคนรับซื้ออยู่น้อยมากเช่นกัน
ลู่หยางไม่คิดว่าการเดินทางในครั้งนี้จะทำให้ได้รับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เขาจึงพูดออกไปด้วยรอยยิ้มว่า
“ได้สิ อย่างช้าคืนนี้เดี๋ยวผมจะส่งคนไปสั่งซื้อสมุนไพรจากคุณเอง ส่วนเรื่องราคาขอคิดเป็นชุดละ 10 เหรียญทองแดงครั้งละ 3,000 ชุดเป็นยังไง?”
“ได้เลย ไม่มีปัญหา” สกายวูฟกล่าวอย่างดีใจ เพราะราคาที่ลู่หยางเสนอมามันก็มีค่าสูงถึง 3 เหรียญทอง
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้” ลู่หยางกล่าวก่อนจะเพิ่มสกายวูฟในรายชื่อเพื่อนแล้วเดินทางออกจากวัง
—
ตอนนี้ชายหนุ่มเหลือเงินอยู่อีกประมาณ 10 เหรียญทอง เขาจึงแบ่งเงิน 5 เหรียญทองไปวางขายบนเว็บไซต์ ซึ่งในเวลาเพียงแค่ไม่นานเขาก็ได้รับเงินกลับมา 4,000 เครดิต
ลู่หยางถอดหมวกพร้อมกับล็อคเอาท์ออกจากเกม ซึ่งในตอนนี้เขามีที่ดินทั้งหมด 6 แปลงแล้ว ที่ดิน 4 แปลงอยู่ในเมืองหลวงของเผ่ามนุษย์ ขณะที่ที่ดินอีกสองแปลงอยู่ในเมืองหลวงของเผ่าอสูร เมื่อมันรวมกับสูตรยาต้านพิษในตอนนี้ที่ยังไม่มีใครหาได้ มันก็จะทำให้เขาสามารถหาเงินได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด
ร้านยาทางฝั่งมนุษย์มีจินปู้ฮวนคอยเป็นผู้ดูแลอยู่แล้ว แต่ร้านยาทางฝั่งเผ่าสัตว์อสูรยังไม่มีผู้ดูแล ชายหนุ่มจึงกำลังวางแผนว่าจะให้ใครไปคอยดูแลร้านยาทางฝั่งนั้นดี
ในชาติก่อนหลังจากป้อมปราการถูกลิ่วเจียตีจนแตก มันก็มีคนหันหลังให้กับเขาเยอะมาก แต่มันก็มีคนที่อยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้ายไม่น้อยเช่นกัน ในบรรดาคนเหล่านั้นลู่หยางรู้สึกสงสารพี่น้องตระกูลมู่มากที่สุด
มู่ยี่และมู่หยูอยู่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับเขา โดยมู่ยี่มีอายุน้อยกว่าเขา 5 ปี ส่วนทางมู่หยูมีอายุน้อยกว่าเขา 7 ปี
พ่อแม่ของทั้งสองพี่น้องเสียชีวิตในระหว่างออกไปทำงานนอกบ้าน ย่าของพวกเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งสองคนนับแต่นั้นเป็นต้นมา ปกติเวลาเล่นกันในหมู่บ้านลู่หยางก็มักจะดูแลพวกเขาเป็นพิเศษเหมือนกับทั้งคู่เป็นพี่น้องแท้ ๆ ของตัวเอง
ต่อมาย่าของสองพี่น้องก็เสียชีวิตทำให้เด็กทั้งสองคนที่ไม่เหลือญาติอยู่ในโลกแห่งนี้อีกแล้วถูกส่งไปยังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งในภายหลังความจริงก็ถูกเปิดเผยว่าทั้งสองถูกรังแกในบ้านเด็กกำพร้าจนต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากตรากตรำ
โชคดีที่สถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านของลู่หยางมากนัก เขาจึงมักจะพาพวกเสี่ยวเหลียงไปเยี่ยมเยียนสองพี่น้องอยู่เป็นประจำ
ต่อมาหลังจากที่เขาหาเงินภายในเกมได้ เขาจึงได้พาเด็กทั้งสองคนออกมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าพร้อมกับส่งพวกเขาไปเรียนหนังสือ ซึ่งทั้งคู่ก็ถือว่าเป็นเด็กที่เรียนดีมาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเป็นหัวหน้านักปรุงยาภายในกิลด์เมื่อชาติที่แล้วอีกด้วย
ด้วยพรสวรรค์ทางด้านการปรุงยา มู่ยี่จึงเคยมีเงินเก็บอยู่หลายล้าน แต่หลังจากลู่หยางพ่ายแพ้ให้กับลิ่วเจีย มู่ยี่ก็ตัดสินใจเอาสินทรัพย์ทั้งหมดมาช่วยลู่หยางเพื่อชำระหนี้
ความช่วยเหลือในครั้งนั้นถือได้ว่ามู่ยี่ทำหน้าที่น้องชายที่ดีแล้ว และด้วยทักษะการปรุงยาที่เขามีในเกม แม้จะต้องออกจากกิลด์ของลู่หยางแต่อีกฝ่ายก็สามารถที่จะหากิลด์ดี ๆ ได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามมู่ยี่กลับตัดสินใจขายบัญชีของตัวเองเพื่อนำเงินมาช่วยชำระหนี้ให้กับลู่หยางอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้อีกฝ่ายยังออกไปหางานทำในโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อช่วยลู่หยางชำระหนี้อีกด้วย
ในชาติก่อนลู่หยางมัวแต่จมอยู่กับความแค้นจนไม่ได้ตระหนักถึงความเสียสละเหล่านี้เลย เมื่อเขาได้กลับมาเกิดใหม่เขาจึงสัญญากับตัวเองว่าเขาจะไม่ทำให้พี่น้องต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอีก
“คิดอะไรอยู่?” ฮั่นจงถามหลังจากเห็นลู่หยางเหม่อลอยอยู่เป็นเวลานาน
“อาจารย์ ผมขอให้คุณช่วยสักเรื่องหนึ่งได้ไหมครับ?” ลู่หยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ว่ามาสิ” ฮั่นจงกล่าว
“ช่วยไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วรับเด็กสองคนมาอุปการะหน่อยได้ไหมครับ” ลู่หยางกล่าว
ฮั่นจงไม่เคยคิดเลยว่าลู่หยางจะพูดเรื่องแบบนี้ เขาจึงถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า
“นายจะรับเด็กสองคนนั้นมาอุปการะทำไม?”
“เดี๋ยวผมค่อยอธิบายให้ฟังระหว่างทางนะครับ” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับนำฮั่นจงออกจากบ้าน โดยในระหว่างทางเขาได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับสองคนนี้ให้อีกฝ่ายฟัง
“ฉันไม่ได้คัดค้านที่นายจะรับพวกเขามาอุปการะหรอกนะ แต่นายเข้าใจภาระของการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งหรือเปล่า? อีกอย่างพ่อกับแม่ของนายรู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง?” ฮั่นจงถามเพราะเขาเห็นว่าสถานะทางการเงินของครอบครัวลู่หยางไม่ค่อยดีมากนัก หากมันมีเด็กเข้ามาเพิ่มในครอบครัวอีกสองคน มันคงจะสร้างภาระให้กับครอบครัวอย่างหนัก
“อาจารย์วางใจได้ครับ ผมรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่” ลู่หยางกล่าว
เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงประตูของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ฮั่นจงจึงพูดขึ้นมาว่า
“ฉันเข้าใจว่านายไม่ใช่เด็กธรรมดา ถ้านายมั่นใจฉันก็ไม่มีปัญหาอะไร”
แม้จะออกไปอยู่ต่างประเทศมานานแต่ฮั่นจงก็ยังคงมีสัญชาติจีน การรับเลี้ยงเด็กสัญชาติเดียวกันจึงไม่ได้ยุ่งยากอะไร ยิ่งถ้าหากพวกเขาบริจาคสนับสนุนสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยกระบวนการต่าง ๆ ก็จะยิ่งรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
หลังจากบอกจุดประสงค์กับยามที่ประตู ทั้งสองคนก็ถูกเชิญไปยังห้องทำงานของผู้อำนวยการเพื่อเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง หลังจากนั้นผู้อำนวยการก็เป็นคนพาทั้งคู่เข้าไปในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยตัวเอง
“ยุคนี้มีเด็กปกติที่เข้ามาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่มีโรคติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด เด็กปกติในสถานรับเลี้ยงของเราจึงมีอยู่เพียงแค่ 27 คน” ผู้อำนวยการกล่าวอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นมันก็มีเสียงที่เกรี้ยวกราดดังขึ้นมาจากชั้น 2 ของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
“บอกมา! แกเป็นคนขโมยมันไปใช่ไหม?!” เสียงเด็กผู้หญิงร้องตะโกนดังขึ้นมาแต่ไกล
“ใช่”
เมื่อลู่หยางได้ยินเสียงนี้ เขาก็สามารถจดจำได้ในทันทีว่าคนที่ถูกดุอยู่คือมู่ยี่
“กล้าดียังไงถึงมาขโมยของ!” เสียงผู้หญิงดังขึ้นอีกครั้งตามมาด้วยเสียงถูกฟาดดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ลู่หยางรีบวิ่งเข้าไปดูสถานการณ์ในทันทีและได้พบกับมู่หยูที่กำลังคุกเข่าร้องไห้อยู่กับพื้น โดยมีมู่ยี่คอยโอบกอดปกป้องน้องสาวเอาไว้
ภาพที่ปรากฏคือผู้หญิงคนหนึ่งถือไม้บรรทัดยาวฟาดหลังของมู่ยี่ไม่หยุด แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงหลับตาแน่นด้วยสีหน้าที่ดื้อดึง
“หยุดนะ! คุณกำลังทำอะไร?” ลู่หยางแย่งไม้บรรทัดมาพร้อมกับขมวดคิ้ว
“นายเป็นใครถึงกล้ามายุ่งกับฉัน?” ผู้หญิงคู่กรณีกล่าว
ลู่หยางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อถ่ายภาพ จากนั้นเขาก็เปิดฟังก์ชั่นบันทึกวิดีโอ
“อย่าถ่าย ๆ” ผู้อำนวยการรีบเดินเข้ามาไกล่เกลี่ยสถานการณ์
“นั่นนายกำลังทำอะไร?” ผู้หญิงคู่กรณีก็รู้สึกกลัวเช่นกัน เธอจึงรีบวิ่งเข้ามาเพื่อหวังจะแย่งโทรศัพท์ของลู่หยาง แต่ก่อนที่เธอจะทันได้วิ่งมาถึงฮั่นจงก็คว้าจับร่างของเธอเอาไว้ก่อน
“ผู้อำนวยการสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า คุณปฏิบัติต่อเด็ก ๆ แบบนี้งั้นเหรอ?” ลู่หยางถามด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
ผู้อำนวยการเต็มไปด้วยความอึดอัด เขาจึงรีบหันไปพูดกับหญิงสาวคู่กรณี
“มันเกิดอะไรขึ้น?”
ผู้หญิงคนนี้คือลูกจ้างของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าและเธอก็กำลังตอบมาด้วยสีหน้าอันบูดบึ้ง
“ไอ้เด็กนี่มันขโมยของฉัน”
ลู่หยางพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจ ก่อนที่เขาจะเดินไปถามมู่ยี่กับมู่หยูเบา ๆ
“จริงหรือเปล่า?”
เมื่อมู่ยี่เห็นลู่หยาง เขาก็พูดออกมาพร้อมกับห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่
“พี่ ผมกับน้องถูกรังแกมาโดยตลอด อาหารดี ๆ พวกเราก็ไม่ได้กิน ผมเลยไปขโมยอาหารจากครัวมาให้น้อง”
“พี่ หนูขอโทษ” มู่หยูกล่าวพร้อมกับร้องไห้
“พวกนายอยากไปอยู่กับพี่ไหม? ถ้าไม่ปฏิเสธอะไรพี่จะเป็นคนอุปการะพวกนายเอง” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“อยากครับ/ค่ะ” มู่ยี่กับมู่หยูตอบรับกลับมาพร้อมกัน
“เราจะรับเด็กทั้งสองคนนี้ไปอุปการะ พวกเราต้องจ่ายเงินค่าสนับสนุนสถานรับเลี้ยงเท่าไหร่?” ลู่หยางหันมาพูดกับผู้อำนวยการ
“ถ้าคุณยินดีลบวิดีโอ ทางเราก็ยินดีที่จะดำเนินการให้ฟรี ๆ ด้วยเหมือนกัน” ผู้อำนวยการกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ตกลงตามนี้ หลังจากจัดการเรื่องเอกสารเสร็จผมจะลบวิดีโอให้ทันที” ลู่หยางตอบกลับ
เอ็นดูน้อง ขวัญเอ้ยขวัญมานะ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 85
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น