STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 3 ยากเย็น
วีด้าใช้เวลาอยู่ในห้องข้อมูลนานหลายชั่วโมงในขณะที่คนอื่นกลับไปพักผ่อนหมดแล้ว
แค่ผู้ตรวจการคนเดียวเรายังทำอะไรไม่ได้เลย แล้วอย่างนี้จะพาน้อง ๆ หนีได้ยังไง
“กลับมาก็เอาแต่อยู่ในห้องข้อมูลเลยเนี่ยนะ” ชายชรามายืนอยู่ข้าง ๆ โดยที่วีด้าไม่รู้ตัวเล่นเอาเกือบเหวี่ยงมีดสั้นใส่เสียแล้ว
“ห่างหายไปนานก็ต้องตามข่าวคราวให้ทันสิคะ” พูดจบเธอก็หันไปหาข้อมูลต่อทันที
ประสาทสัมผัสยังช้าอยู่แต่การตัดสินใจค่อนข้างรวดเร็ว ถ้าหากได้รับการฝึกแบบพวกศิษย์สายตรงคงจะดีไม่น้อยเลย
“ภารกิจสอดแนมพลาดเพราะอะไรหรือ?” ชายชรานั่งลงข้าง ๆ ดูไม่ต่างอะไรกับคุณปู่ทั่ว ๆ ไปเลย
“อา…ก็แค่โดนจับได้” ลืมนึกเหตุผลที่กลับมาได้เลย ถ้าทีมโดนเก็บไปหมดเขาก็คงคิดว่าเราทิ้งทีมไม่ก็ไว้ชีวิตเพื่อรีดข้อมูล เราจะตอบแบบไหนดีเพื่อไม่ให้เขาจับพิรุธได้
“สงสัยจะโดนรีดข้อมูลไปเยอะพอสมควรเลยนะ”
หา?อ่านใจได้หรือยังไงวะ วีด้าหันหน้าหนีไม่ให้ดูสีหน้าได้
“แล้วที่กลับมาอาจจะโดนใช้เป็นสายให้ฝั่งนั้นด้วยสินะ...”
“ไม่ใช่นะคะ” วีด้าตอบกลับทันควัน
ชายชราหัวเราะในลำคอเหมือนจะเชื่อแต่ก็เดาใจได้ยากยิ่ง เขานั่งลงข้าง ๆ ดูว่าวีด้าอ่านอะไรบ้างเหมือนโดนอาจารย์มานั่งคุมก็เลยไม่ค่อยมีสมาธินัก
“ทักษะหลาย ๆ อย่างที่ฉันเห็นทำเอานึกถึงพวกศิษย์สายตรงเลย เธอที่เป็นศิษย์สายนอกไปร่ำเรียนมาจากไหนล่ะ? จะบอกว่าเรียนด้วยตนเองก็คงต้องเป็นอัจฉริยะเท่านั้นแหละ”
“ก็แค่...เห็นพวกรุ่นพี่ทำได้ฉันก็เลยลองเลียนแบบดู”
“เลียนแบบจากการเฝ้าสังเกตเฉย ๆ เหรอ? ฟังดูไม่น่าเชื่อเลยเนอะ” เขาลุกเดินไปที่ประตูห้องถัดไปซึ่งต้องเป็นหมายเลขหนึ่งหลักขึ้นไปถึงจะเข้าไปได้
“ถึงจะโดนรีดข้อมูลไปแต่เพราะลำดับขั้นของการเอาถึงข้อมูลทำให้พวกหางแถวบอกอะไรมากไม่ได้ แต่การที่เธอกลับมาอาจจะมาล้วงข้อมูลภายในและทักษะพวกนั้นก็อาจจะได้รับการฝึกฝนมาจากฝั่งนั้นด้วย”
วีด้าเห็นท่าไม่ดีจึงตั้งหลักเตรียมปะทะอีกครั้ง
“แต่ตอนที่เธอปฏิเสธมันค่อนข้างจริงใจแต่ก็เหมือนจะมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่ดี ร่างกายไร้ซึ่งบาดแผลใหม่ ไร้ร่องรอยการจับมัดขึง ไร้ออร่ามานาแปลกปลอม ดูยังไงก็ไม่น่าใช่การรีดข้อมูลด้วยกำลัง...ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าเธอให้ความร่วมมือกับฝั่งนั้น และคงจะได้อยู่ดีกินดีจนผิวพรรณอุดมสมบูรณ์ผิดแปลกจากวิถีชีวิตของพวกหางแถวที่มักจะต้องอดข้าวอดน้ำเพื่อทำภารกิจ”
“อยากจะพูดอะไรกันแน่คะ?” วีด้ายกมีดสั้นขึ้นมาไว้ระดับสายตาเพื่อเตรียมจู่โจมชายชรา
“บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงมาซะแล้วฉันจะปิดตาข้างหนึ่งให้”
เสียงหายใจถี่และเลือดที่กำลังสูบฉีดเพราะหวาดกลัวชายชราแต่ก็ยังอยากโค่นเขาให้ได้ ความรู้สึกหวาดระแวงที่เคยโดนซึฮากิตามดูค่อย ๆ ฉายภาพกลับมาอีกครั้งแล้วมองทับกับชายชราตรงหน้า
“ขอโทษค่ะ” เธอกลั้นใจไม่พุ่งเข้าใส่เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่อาจทำอะไรได้ น้ำเสียงเรียบนิ่งที่กำลังสับสนกล่าวขอโทษโดยไม่มองหน้า
“แหม ๆ นึกว่าจะใจกล้ากว่านี้ซะอีก เธอคงจะมาเพราะเรื่องของรุ่นน้องสินะ”
วีด้าสะดุ้งหูผึ่งทำให้ชายชรารู้ได้ทันทีว่าเขาพูดตรงประเด็นแล้ว
“ดูเหมือนโยฮันจะเร่งฝึกศิษย์รุ่นต่อไปแล้วเพราะมีเรื่องของเอลโฟเรียเข้ามาป่วน การโดนยึดน่านน้ำทำให้การขนส่งข้อมูลและทรัพยากรบุคคลยากลำบากยิ่งขึ้น รวมถึงต้องคอยระแวงเพราะโดนศัตรูอ้อมล้อมจากทะเล”
“ฟังดูเหมือนสถานการณ์จะย่ำแย่มากเลยนะคะ”
“แน่นอน และการเรียกประชุมผู้บริหารครั้งนี้อาจจะเป็นการหาทางออกสำหรับปัญหาซึ่งฉันเดาว่าพวกเขาจะขอให้ศูนย์ช่วย”
“แล้วทำไม…คุณผู้ตรวจการถึงมาบอกฉันล่ะ?” ท่าทางหวาดระแวงค่อย ๆ หายไปเพราะสัมผัสอันตรายจากชายชราไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“นอกจากปัญหาเรื่องน่านน้ำก็ยังมีการคัดเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก แน่นอนว่าคนที่โยฮันเล็งไว้คือคนขี้เกียจแต่เจ้าตัวกลับไม่อยากทำเนี่ยสิ”
อะไรของเขา พอถามก็เมินไม่ตอบแถมยังพูดอะไรตามใจไปเรื่อยอยู่นั่นแหละ
“ตามมา” จู่ ๆ เขาก็พูดอะไรแปลก ๆ ที่ทำให้วีด้าครุ่นคิด จากนั้นก็เปิดประตูไปห้องข้อมูลของหมายเลขหนึ่งหลัก
“หมายเลขหนึ่งหลักจะสามารถเข้าถึงข้อมูลของสำนักได้รวมถึงข้อมูลเบื้องต้นของผู้บริหาร แต่ข้อมูลเชิงลึกและเป้าหมายหลักจะต้องเป็นผู้ช่วยของผู้บริหารขึ้นไปเท่านั้น”
วีด้าเดินตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นแม้มันจะดูไม่น่าไว้ใจเสียเท่าไร
“กิลด์นักผจญภัยสร้างขึ้นเพื่อทำงานรับจ้างทั่วไป ในขณะที่สำนักมนตร์ดำจะรับจ้างทำงานสกปรกทั้งหลาย...แต่เป้าหมายที่แท้จริงมันไม่ใช่แค่นั้นหรอก”
เขาเดินต่อไปยังห้องอีกชั้นหนึ่งที่ต้องมีกุญแจประจำตัวถึงจะเข้าไปได้
“เป้าหมายของสำนักมนตร์ดำคือสิ่งที่ผู้ก่อตั้งต้องการมาตลอดแต่ในตอนนั้นเขาไม่สามารถทำได้”
ห้องที่วีด้าตามเข้าไปคือห้องของสมาชิกระดับสูงที่ต้องเป็นผู้ช่วยขึ้นไปเท่านั้นถึงจะย่างกายเข้าไปได้ ข้อมูลลับมากมายของทุก ๆ ตระกูลถูกเก็บบันทึกไว้ ข้อมูลของประวัติศาสตร์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสำนักก็มีและยังละเอียดราวกับได้อยู่ในยุคนั้นจริง ๆ
“ถ้าถามว่าทำไมฉันถึงบอกเรื่องพวกนี้ให้ฟัง ก็คงจะ...” ชายชรายิ้มมุมปากก่อนจะพูดต่อ “เพื่อคลายความสงสัยยังไงล่ะ”
วีด้าที่ได้ยินคำตอบยังต้องขมวดคิ้วสงสัยแทน
“เดี๋ยวอีกไม่นานเธอก็จะรู้เอง” นั่นเป็นคำตอบสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่เขาจะหายตัวไปทิ้งวีด้าไว้ในห้องข้อมูลลับเพียงลำพัง
11 กรกฎาคม พ.ศ.2576
ฟรานตื่นขึ้นมาเพราะแสงจากหน้าต่างแยงตา สายตาเธอเหลือบไปเห็นซึฮากินอนกุมมืออยู่ข้าง ๆ ไม่ปล่อยไปไหน
“นายตื่นแล้วก็ไป...ทำอะไรรอเลยก็ได้นะ” เสียงงัวเงียเอ่ยขึ้นทันทีที่ตื่นแม้ตาจะยังสะลึมสะลืออยู่ก็ตาม
“ตามสบายเถอะ เพราะหลังจากนี้อาจจะไม่ได้นอนดี ๆ แล้วก็ได้” ซึฮากิลุกไปเตรียมเอกสารแผนพัฒนาเมืองต่อ
“ขอบใจ ฉันไปอาบน้ำแต่งตัวรอนะ”
“อืม” เขาตอบกลับสั้น ๆ จากนั้นฟรานก็แยกตัวออกไป
ถึงเวลาที่จะเข้าสู่ยุคไร้พรมแดนหรือยังนะ แต่พลเรือนส่วนใหญ่เป็นอมนุษย์ที่ไม่ค่อยคุ้นชินกับเทคโนโลยี แค่วิทยุสื่อสารก็ยังต้องสอนใช้ไม่เหมือนคนของอาณาจักรเซียที่พอจะเห็นของพวกนี้อยู่บ้าง คงต้องเริ่มจากอะไรง่าย ๆ อย่างโทรศัพท์บ้านไม่ก็เสียงตามสายให้รู้สึกคุ้นชินกับของพวกนี้เสียก่อน
ซึฮากิสร้างร่างโคลนออกมาหลายร่างซึ่งใช้มานาน้อยเพราะต้องการแค่ส่งเอกสารและมอบหมายงานเท่านั้น
ในเมื่อยึดน่านน้ำมาได้แล้วก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวทรัพยากรมากมายที่อยู่ในนั้น หวังว่าเคนจะไม่ขัดขวางนะ
เมื่อถึงเวลาอาหารเช้าพวกเขาก็ไปรวมตัวกันที่ห้องอาหาร
“พี่กิ…” เอเดินมากระซิบข้าง ๆ ระหว่างที่คนอื่นกำลังเอร็ดอร่อยกับมื้ออาหาร
“อืม” ซึฮากิตอบรับเสียงเบาไม่อยากให้คนอื่นสนใจ
“ก่อนหน้าคิโนริบุกเดี่ยวในดันเจี้ยนไม่สนใจพวกเราเลย พอมาเมื่อวานเธอก็เอาแต่นั่งหงอยไม่ยอมทำอะไรเลย”
“เหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่แล้วสิ นั่นอาจจะเป็นช่วงอารมณ์แปรปรวนจากการเติบโตและฮอร์โมน พยายามอยู่เป็นเพื่อนเธอไว้ละกัน”
เอพยักหน้ารับภารกิจแล้วกลับไปนั่งเหมือนเดิม
“หลังกินเสร็จอย่าพึ่งไปไหนนะ ฉันจะเริ่มประชุมแผนต่อ”
“มาแล้ว ๆ ฉันอยากยืดเส้นยืดสายจะตายแล้วเนี่ย” เซนยิ้มร่าเริงอย่างกับเด็กน้อยที่ได้ออกไปเล่นกับเพื่อน ๆ
“มีเรื่องกันตลอดเลยแฮะ หรือพวกเจ้าจะเป็นตัวซวยนำพาปัญหามาตลอด” ลิงเมฆาหัวเราะคิกคักหยอกล้อพวกเซน
“ไม่มีหรอกผู้นำพาโชคร้ายอะไรนั่นน่ะ ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลมิใช่จะเกิดก็เกิด” เฮร่ากล่าวด้วยน้ำเสียงอันไพเราะราวกับนักบุญมาแสดงธรรม
“พูดได้ดีแต่ถ้าได้หมูทอดอีกจานจะดีกว่านี้” เคานต์กระดกมุมปากยิ้มหน้าระรื่นเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารอันโอชะที่หาที่ไหนไม่ได้อีก
“ขออีก ๆ” แม่สาวมังกรยกจานขึ้นสูงเพื่อขออาหารจากยูกิทำอย่างกับเป็นนกที่ชูคอรออาหารจากแม่ของมันเลย
ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหล่าสหายบ้านหลักนั่งตัวตรงตื่นเต้นว่าซึฮากิจะพูดอะไร
“คุณมังกี้พาเด็ก ๆ ออกไปรอข้างนอกก่อน”
มังกี้ที่ขี่คอเซนอยู่สะดุ้งตกใจที่ได้ยินชื่อเอ่ยขึ้นมา "รับทราบ...เจี๊ยก"
หลังจากที่เด็ก ๆ ออกไปหมดซึฮากิจึงวางมือลงบนโต๊ะพร้อมกับสูดหายใจเตรียมใจ “ฉันกับมังกี้จะพาคิโนริไปที่สำนักเทวาคารประทับ ส่วนเซน...คานะแล้วก็ฟรานจะประจำการอยู่ที่เรือริมชายฝั่งรอสัญญาณถึงจะเริ่มเคลื่อนไหว”
“เคลื่อนไหวอะไร?” คานะถาม
“โธ่ ! คานะ ก็ต้องไปไล่อัดศัตรูอยู่แล้วสิ”
ซึฮากิพยักหน้าบอกว่าใช่ “หลังจากที่ยึดน่านน้ำของพวกสำนักมนตร์ดำได้เราต้องเพิ่มมาตรการป้องกันอีกชั้นหนึ่ง พวกมันต้องหาทางทำอะไรสักอย่างแน่ ๆ และเราอาจจะได้ปะทะกันเร็ว ๆ นี้ แต่จะเปิดฉากก่อนก็ยากเพราะข้อมูลมีน้อยเกินไป ดังนั้นเราจะแค่เตรียมพร้อมไว้และระหว่างนั้นฉันจะพาคิโนริไปหามิโกะ”
“แล้วจะให้พวกเราอยู่ฟังด้วยทำไมเนี่ย? ไม่เห็นจะให้ทำอะไรเลย” ลิงเมฆาเดาะลิ้นหงุดหงิดทำท่าจะเดินออกจากห้อง
“การปะทะครั้งนี้จะยากลำบากมาก ๆ จนอันตรายอาจจะมาถึงเมืองโดยไม่รู้ตัว ฉันก็เลยจะประสานงานกับผู้นำเขตอื่นและปิดอาณาจักรชั่วคราว ฉันจะแบ่งกลุ่มส่งพวกเธอไปประจำตำแหน่งทั่วอาณาจักร”
“งานหนักของจริงเลยสินะ” นาธากล่าว
“ครับ ถ้าเราได้ข้อมูลมากกว่านี้ก็จะวางแผนได้ชัดเจนกว่านี้ แต่ตอนนี้เราทำได้แค่เตรียมพร้อมในทุกส่วนเพื่อรับมือกับพวกมัน แน่นอนว่าจะมีทีมที่ประจำอยู่ในเมืองนี้ด้วย”
เขาทำการแบ่งทีมและกางแผนที่เพื่อนัดแนะจุดต่าง ๆ
“ศัตรูในครั้งนี้นับว่ายุ่งยากที่สุดเพราะข้อมูล ในขณะที่อีกฝ่ายรู้ข้อมูลเราเกือบทุกอย่างแต่ฝั่งเรากลับแทบไม่มีข้อมูลของอีกฝ่ายเลย”
“แล้วทำไมเราไม่หาข้อมูลก่อนจะเปิดศึกล่ะ?” นาธาถาม
“จริง ๆ ก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ผมต้องพาคิโนริไปเหยียบที่นั่นซึ่งอาจจะเป็นโอกาสให้พวกมันบุกมาได้”
“นั่นคงเป็นสาเหตุที่ให้พวกเด็ก ๆ ออกไปกันก่อนสินะ เธอคงจะโทษตัวเองแน่ ๆ ถ้ารู้ว่านายต้องเสี่ยงอันตรายเพราะเธอ”
“อย่าคิดอย่างนั้นเลยคุณนาธา ยังไงสักวันหนึ่งเราก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกมันอยู่ดี”
“เหอะ ๆ ทำตัวเป็นพ่อพระไม่ถือโทษโกรธใครแต่ลึก ๆ ในใจก็คงคิดอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ…”
เคานต์รวบตัวลิงเมฆาจากด้านหลังแล้วเอามือปิดปาก “พูดอะไรที่มันสร้างสรรค์บ้างสิ”
“ปล่อยนะเว้ย ! เจ้าแวมไพร์ตัวซีดเดี๋ยวก็พาไปอาบแสงอาทิตย์ซะเลย”
“ก็เอาสิ ข้าจะได้เอาเธอไปแช่น้ำเล่นเสีย”
“พอได้แล้วน่า” เฮร่าพยายามแยกทั้งสองออกจากกันแต่ก็ไม่กล้าลองมือแรงนัก
“ข้าบอกให้...พอ !” เธอขึ้นเสียงใส่ทำเอาทั้งห้องเงียบสงัดเพราะคนที่พูดจานอบน้อมไพเราะเสนาะหูกลับต้องหัวเสียเพราะสองคนนั้น
“ขอโทษก็ได้ เอาเป็นว่าเราต้องตรวจสอบทุกอย่างอย่าให้ขาดตกบกพร่องเลยใช่ไหม?”
“ครับ ทุกอย่างจะดำเนินต่อไปจนกว่าผมจะพาคิโนริกลับมา...”
ซีโร่ยกมือขัด “กิ...แล้วทำไมฉันไม่มีชื่ออยู่ในภารกิจเลยล่ะ?”
“อืม ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อนได้ เราจะคุยกันแค่สองคนเท่านั้น” ท่าทางเป็นกังวลที่ฟรานเคยสัมผัสได้กำลังแสดงออกชัดเจน ความร้อนรนในแผนการทำเกิดความลังเลจนต้องเลือกว่าจะเดินไปในเส้นทางไหนโดยไม่มีเวลาไตร่ตรองให้ดีก่อน
พอทุกคนออกไปหมดซึฮากิก็ถอนหายใจให้ได้ยิน “ตระกูลแอสซินคือหนึ่งในตระกูลที่แยกตัวมาจากสำนักมนตร์ดำ ถึงจะทำงานคล้าย ๆ กันแต่อุดมการณ์แตกต่างจึงเกิดความขัดแย้ง คำถาม...เธอเตรียมใจพร้อมเผชิญหน้ากับพวกที่ล้างบางครอบครัวของเธอหรือยัง?”
ซีโร่เดินมายืนอยู่ข้าง ๆ และนั่งคุกเข่าด้วยแววตาขมขื่น
“ฉัน...อยากแก้แค้น”
“แล้วทำไมถึงตอบด้วยความลังเล ทำไมถึงไม่ยืดอกแล้วพูดมันออกมา...เพราะไม่มั่นใจใช่ไหมล่ะ”
“ฉันรู้ตัวดีว่ายังแข็งแกร่งไม่พอแต่ฉันก็พยายามมาตลอด ขอแค่มีโอกาสสักนิดฉันจะฆ่ามัน ขอแค่มีเวลาสักหน่อยฉันจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ขอแค่...” ภาพความโหดร้ายในค่ำคืนนั้นได้ย้อนให้เห็นเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจ ระดับพลังของศัตรูที่ต้องกำจัด กองกำลังมากมายที่ต้องเผชิญและแรงกดดันจากสายตาเยาะเย้ยที่ได้รับยิ่งทำให้เธอลังเล ใจหนึ่งก็อยากแต่อีกใจหนึ่งกลับหวาดกลัวสายตาคู่นั้น
“ลุกขึ้น…”
ซีโร่ได้แต่คิดทบทวนอยู่ในโลกของตนเอง เสียงที่ได้ยินมีเพียงคำถามติติงครหาจากญาติพี่น้องตามหลอกหลอนว่าทำไมถึงเอาตัวรอดคนเดียว เสียงด่าทออย่างบ้าคลั่งของศัตรูที่กำลังเฉือนร่างกายของญาติพี่น้องเหล่านั้นยังคงฝังลึกอยู่ภายในใจ
เสียงฝ่ามือตบหน้าดังสนั่นเรียกสติซีโร่กลับมาอีกครั้ง ซึฮากิไม่รอช้ากระชากคอเสื้อดึงให้เธอลุกขึ้นมา
“ไปเตรียมอาวุธให้พร้อมแล้วเจอกันที่ป่าทางเหนือ”
“อือ…” เธอลูบคลำรอยแดงบนหน้าพลางคิดว่าซึฮากิกำลังจะทำอะไร
ทั้งสองแยกกันไปเตรียมตัว ขณะที่ซีโร่กำลังเดินออกจากห้องฟรานก็เข้ามาทักด้วยสีหน้าสงสัย
“เขาจะฉุดเธอขึ้นมาเหมือนกับที่เคยฉุดฉันขึ้นมาสินะ...โชคดีล่ะ” ฟรานยิ้มกว้างพลางเอามือตบบ่าให้กำลังใจ
ไม่นานนักซีโร่ก็เดินเท้าไปที่ป่าทางเหนือซึ่งไม่รู้ว่าต้องไปเจอกันตรงไหน เธอเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ต่อให้เส้นทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคมากเพียงใด มีดสั้นที่สั่งทำมาอย่างดีนับสิบเล่มจัดเตรียมไว้ตามที่ซึฮากิบอก
“กิ !” เธอตะโกนเรียกตลอดทางจนสุดท้ายก็ต้องหาที่นั่งรอ
ตั้งแต่เข้ามาในป่าก็ไม่เจอสัตว์เลย ปกติจะมีพวกกระรอก งู ไม่ก็นกแต่จนถึงตอนนี้ยังเห็นเลยสักตัว
ซีโร่ครุ่นคิดว่ามันจะมีความเกี่ยวข้องซึฮากิหรือเปล่า พอสังเกตเห็นถึงความผิดปกติเธอก็เอาแต่มองหาความผิดปกติเหล่านั้น ต้นไม้ต้นนั้นก็น่าสงสัย สายน้ำตรงหน้าก็ต้องจับตามอง เหนือหัวที่มีกิ่งไม้ก็ต้องระวัง พื้นดินที่แห้งสนิทก็ไม่ควรละสายตา
ใบไม้ปลิวไสวผ่านสายตาของเธอเป็นจังหวะเดียวกับที่มีมีดฟันผ่านเป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าเธอกำลังจะโดนเฉือนเหมือนใบไม้ใบนั้น
ศัตรู ด้วยสัญชาตญาณทำให้เธอใช้เวทมนตร์ล่วงรู้โดยทันทีและพยายามมองหาอีกฝ่าย ภาพในอนาคตในไม่กี่วินาทีกำลังฉายให้เห็นว่าซึฮากิเป็นฝ่ายบุกมาหาเอง
เล็งคอเลยเนี่ยนะ จะฆ่ากันจริง ๆ เลยหรือยังไง
ซีโร่ยกมีดขึ้นมารอไว้ พอซึฮากิพุ่งเข้าใส่เธอจึงใช้จังหวะนั้นเบี่ยงตัวหลบแล้วเหวี่ยงด้ามมีดลงกระแทกแขนให้ซึฮากิทิ้งอาวุธ
คราวนี้ด้านบน ซีโร่ใช้ล่วงรู้และสลับกลับมามองแบบปกติเรื่อย ๆ
ซึฮากิร่างแรกสลายไปทันทีที่โดนด้ามมีดกระแทกเหมือนตั้งใจสร้างมาเพื่อใช้แล้วทิ้งทันที จังหวะที่แขนของซีโร่พุ่งลงต่ำก็มีร่างโคลนอีกร่างโผล่มาจากด้านบนเหมือนรออยู่บนต้นไม้อยู่แล้ว
ใช้รูปแบบพุ่งแทงสินะ
ก่อนที่มีดจะพุ่งลงมาถึงหัว ซีโร่ก็ได้ม้วนตัวลดตำแหน่งหัวลงเป็นจังหวะเดียวกับที่เท้าขวายกขึ้นมาฟาดร่างโคลนพอดี
นี่ก็ไม่ใช่ร่างจริง ทุกร่างเปราะบางถึงขนาดโดนด้ามมีดฟันยังสลายหายไปเลย กิเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่
คราวนี้ภาพของล่วงรู้ที่ฉายให้เห็นคือซึฮากิโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินและใช้มีดแทงทะลุเท้า พอเห็นเป็นเช่นนั้นซีโร่จึงกระโดดออกจากจุดที่ยืนอยู่แล้วยิงกระสุนวายุดักจังหวะที่ซึฮากิโผล่ออกมา
ร่างโคลนอีกแล้ว
คราวนี้โผล่ออกมาจากด้านหลังต้นไม้พร้อม ๆ กับอีกร่างที่กระโจนขึ้นมาจากแม่น้ำ ซีโร่งอขาแล้วกระโดดสูงถึงห้าเมตรหลบการฟาดฟันของร่างโคลนได้พอดิบพอดี จากนั้นก็หมุนตัวกลางอากาศเหวี่ยงเวทมนตร์วายุเป็นเหมือนฝนใส่ทำลายร่างโคลนทั้งสอง
ยังไม่ใช่ร่างจริง ด้านบนจากต้นไม้ ซ่อนหลังต้นไม้ ซ่อนอยู่ใต้พื้น ซ่อนอยู่ในน้ำ เขาต้องการจะบอกอะไรแน่ ๆ
ทันใดนั้นล่วงรู้ก็มองเห็นซึฮากิร่างโคลนแปดร่างกระโจนเข้าใส่จากทุกทิศทุกทาง เธอตัดสินใจฝ่าไปสักทางหนึ่งด้วยการวัดฝีมือความไวของมีดและฝ่าฟันผ่านร่างโคลนออกไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัยได้
ขณะที่กำลังจะใช้ล่วงรู้เธอก็โดนซึฮากิอีกคนชกหน้าหงายไปหนึ่งทีและก่อนที่จะได้ตั้งหลักก็มีร่างโคลนเข้ามาช่วยกันล็อกแขนขา
“ยังคงมีจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดอยู่นะ”
“จุดอ่อนเหรอ...ช่วยบอกฉันที ฉันจะลบมันให้ได้ไอ้จุดอ่อนที่ว่านั่นน่ะ” ร่างโคลนทั้งหลายค่อย ๆ สลายหายไปคลายให้ซีโร่ได้ขยับตามปกติ
“วินาทีที่ใช้ล่วงรู้เธอจะสูญเสียปัจจุบัน วินาทีที่กลับมาสู่ปัจจุบันเธอก็จะสูญเสียล่วงรู้ ซึ่งก็ช่วยไม่ได้เพราะมันทำได้แค่นั้นไม่เหมือนกับดวงตาของนักดมกลิ่นที่มองปัจจุบันและอนาคตพร้อม ๆ กันได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอพลาดไป...” ซึฮากินั่งในระดับสายตาเดียวกันจากนั้นก็สร้างกลุ่มก้อนมานาและขว้างมันออกไปไกล ๆ
“ตอนที่ใช้ล่วงรู้เธอเอาแต่มองภาพรอบ ๆ แต่กลับไม่มองดูออร่ามานาด้วย ถ้าเธอมองเห็นทั้งสองแบบก็คงจะรู้ว่าตัวจริงฉันอยู่ไหน”
“มองภาพสองแบบ...” เธอลองใช้ล่วงรู้อีกครั้งแล้วมองตามก้อนมานาที่ขว้างออกไปแต่ก็ยังโฟกัสได้แค่ทีละภาพ พอตั้งใจมองหาก้อนมานาเธอจะไม่ทันสังเกตเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบเหมือนกำลังมองหน้าศัตรูแล้วไม่เห็นธนูที่กำลังพุ่งมา
“เข้าใจแล้วฉันจะทำให้ได้”
“ดี !” ซึฮากิยื่นมือช่วยดึงซีโร่ขึ้นยืนแต่พอลุกขึ้นได้เขาก็ถีบอย่างแรงจนล้มลงไปอีกครั้ง
“ต้องทำให้ได้ภายในวันนี้” พูดจบเขาก็ยิงกระสุนวายุใส่พร้อม ๆ กับพุ่งจู่โจมตามกระสุนนั่นมาติด ๆ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ยังขว้างมานาขึ้นไปด้านบนโดยเล็งให้ร่วงลงมาตรงซีโร่พอดี การกระทำทั้งสามอย่างเกิดขึ้นภายในสองวินาทีซึ่งซีโร่มีเวลาใช้ล่วงรู้แค่หนึ่งวินาทีเท่านั้น
ไม่ทันแน่ ต้องถอยก่อน
“คิดจะไปไหน?” เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีร่างโคลนมาดักข้างหลัง สุดท้ายก็โดนซึฮากิฟันด้วยด้ามมีดจนแขนช้ำ
“เอาใหม่” ซึฮากิถอยห่างออกไปให้ซีโร่ได้ตั้งหลัก
เมื่อกี้เขาสร้างร่างโคลนตอนไหนเนี่ย
ซึฮากิขว้างก้อนหินใส่เป็นเวลาเดียวกับการยิงกระสุนวายุที่ระนาบต่างกันแต่ครั้งนี้เขาไม่พุ่งตามไปด้วย
สร้างโล่วายุเป็นแนวตั้งก็น่าจะกันได้ โล่วายุของเธอกันก้อนหินตรงหน้ากับกระสุนวายุได้ก็จริง แต่ดันมีก้อนหินอีกก้อนพุ่งมาจากด้านข้างกระแทกขาจนร้องเสียงหลง
“เอาใหม่”
ซีโร่ฝึกหนักอยู่ในป่าจนตะวันตกดินก็ยังไม่หยุดฝึก ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน เวลาพักก็ยังไม่มี ร่างกายสะบักสะบอมเต็มไปด้วยแผลและรอยช้ำ มานาก็ใกล้หมดในไม่ช้า ตอนจะดื่มน้ำก็ต้องหวาดระแวงว่าซึฮากิจะเล่นงานตอนไหน ทุก ๆ วินาทีเสมือนอยู่ในสนามรบที่ตายได้ทุกเมื่อและการฝึกก็ยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงเช้าวันถัดมา
12 กรกฎาคม พ.ศ.2576
สีหน้าแววตาของซีโร่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาแข็งกระด้างมองหาศัตรูตลอดเวลาเหมือนทหารที่พึ่งผ่านสมรภูมิมา
“เอาใหม่...” นาน ๆ ครั้งจะมีเสียงพึมพำออกมาจากปากแห้ง ๆ นั้น แม้ร่างกายดูเหมือนคนใกล้ตายแต่เธอกลับไม่ลนลานหรือแสดงท่าทีเหนื่อยล้าใด ๆ ออกมาเลย
ซึฮากิพุ่งเข้าใส่พยายามดวลมีดกับซีโร่และระหว่างนั้นก็ยังสร้างร่างโคลนดักอีกทางไว้ แต่วินาทีที่ร่างโคลนกำลังขึ้นรูปซีโร่ก็ได้เตะก้อนหินกลับหลังไปทำลายการขึ้นรูปของร่างโคลนเสียก่อน และเธอยังดวลมีดกับซึฮากิไปด้วยเช่นเดียวกับซึฮากิที่แอบรวมมานาสร้างเวทมนตร์รอบ ๆ หลาย ๆ จุด
“เอาใหม่...”
“พอแล้ว”
คำตอบสั้น ๆ จากซึฮากิทำให้ซีโร่หัวเราะลั่นอย่างกับคนบ้าที่รอดตายมาได้ พอหัวเราะจนสะใจแล้วเธอก็ล้มหมดสติไปทั้งอย่างนั้น
ผลลัพธ์ของความพยายามได้บังเกิดขึ้นแล้ว ยินดีด้วยนะที่ตามมาทันสักที ซึฮากิใช้ตรวจสอบมองดูพัฒนาการจึงเห็นว่าเธอเลเวลเจ็ดเท่ากับพวกเขาแล้ว รวมถึงสเตตัสโดยรวมก็ถือว่ายอดเยี่ยมพอทำให้ซึฮากิเหนื่อยได้
เขาแบกซีโร่ที่สภาพเหมือนคนตายกลับไปที่บ้านหลัก พอทุกคนเห็นก็ได้แต่อุทานตกใจออกมาเป็นเสียงเดียวกันก่อนที่จะเข้ามาดูอาการของซีโร่
“เย็นนี้ฉันจะออกเดินทางแล้ว คิโนริไปเตรียมตัวได้เลย”
“ค่ะ...” น้ำเสียงที่ผิดแปลกไปทำให้ทุกคนมองด้วยความสงสัยแต่เธอก็ยังฝืนยิ้มให้ซึ่งมันยิ่งน่าเป็นห่วงเข้าไปใหญ่
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 18
แสดงความคิดเห็น