ภาคโซมายา บทที่ 12 ไปตลาด
ไม่นานกับข้าวหอมฉุยก็พร้อมให้สมาชิกในคฤหาสน์เทซนิมรับประทาน ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงเอลลานีนตั้งใจสำรวจห้องครัวด้วยความสนใจ วัตถุดิบบนชั้นวางของ ตู้เก็บของล้วนเป็นอาหารกระป๋อง ขนมปัง และเครื่องปรุงรสทั้งที่เธอรู้จักและไม่รู้จักวางเต็มไปหมด
เด็กสาวสำรวจไปเรื่อยๆ ในระหว่างที่รอเชลีเก็บผักจากสวนด้านหลังจนไปพบถังบรรจุข้าวสารขนาดย่อม เอลลานีนจึงจัดแจงตักข้าวสารใส่หม้อล้างน้ำสะอาดหนึ่งถึงสองน้ำ แล้วก็ใส่น้ำลงไปในหม้อข้าวจนเกือบเต็มหม้อ จากนั้นเธอก็มาจัดการติดเตาถ่าน เธอโกยถ่านดำๆ จากกระสอบลงบนเตาจนเรียบร้อย แต่ปัญหาต่อมาคือเอลลานีนติดเตาไม่เป็น เธอพยายามใช้หินเหล็กไฟตีๆ ถูๆ ตามที่เคยได้ดูจากสารคดีหรือซีรีส์ แต่ทำอย่างไรก็ไม่มีประกายไฟขึ้นมาสักที สุดท้ายกาบี้ที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นทนรำคาญไม่ไหวจึงพ้นลูกไฟใส่กองถ่านที่เด็กสาวใส่ลงในเตา ไม่นานเสียงแตกเปรี๊ยะปร๊ะก็ดังปะทุขึ้นมา เธอถึงกับหันมายกนิ้วให้ผู้ช่วยที่กำลังใช้สายตาเหนื่อยหน่ายมองมา
เมื่อติดเตาสำเร็จเด็กสาวก็ยกหม้อข้าวขึ้นตั้งบนเตาไฟพร้อมกับคนข้าวในหม้อและใช้ไม้คัดฝาหม้อเข้ากับตัวหม้อข้าว ในระหว่างนี้เธออยู่หน้าเตาเพื่อคุมไฟ พอข้าวเดือดจึงเปิดฝาหม้อคนและเมื่อสังเกตเห็นว่าข้าวเริ่มแตกเมล็ดแล้ว เด็กสาวจึงจับไม้ที่คัดฝากหม้อที่ยื่นออกมาทั้งสองด้านยกหม้อข้าวขึ้นจากเตา เธอรินน้ำข้าวลงใส่กะละอลูมีเนียมที่เตรียมไว้ให้น้ำแห้งจนเสด็ด ระหว่างนั้นเด็กสาวหันไปใช้ไม้คีบถ่านจากเตาออกจนหมด จากนั้นก็ยกหม้อข้าวขึ้นตั้งบนเตาเพื่อให้ข้าวแห้งและพร้อมรับประทาน
เชลีหอบผักมาวางลงบนโต๊ะ โชคดีที่ผักที่ภูติน้อยเก็บมาเธอรู้จักเกือบทั้งหมด แม้ว่าขนาดของมันจะใหญ่โตกว่าโลกเก่าของเธอเป็นเท่า แต่หน้าตาของมันก็ไม่แตกต่างจากเดิมเลย ไม่ว่าจะเป็นกะหล่ำปรี คะน้า ผักกาดขาว และที่สำคัญภูติน้อยยังมีไข่เป็ดหลายฟองติดมาด้วย เอลลานีนไม่รู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำอาหากินเองสักหน่อย หลังจากที่เธอถูกสามีเนรเทศให้มาอยู่เรือนหลังเล็กก่อนที่เธอจะตายนั้น เธอต้องดูแลตัวเองแทบทั้งหมดรวมถึงอาหารการกินของตัวเองด้วย เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ส่งคนรับใช้ให้มาอยู่กับเธอเลยสักคน ดังนั้นเธอจึงทำทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ส่วนการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำนั้น เป็นการหุงข้าวครั้งแรกของเธอ ถ้าโชคดีไม่แฉะหรือไม่แข็งจนเกินไปก็ถือว่าโชคช่วยด้วยเหมือนกัน
เมื่อต้องลงมือทำอาหารเอลลานีนจึงเลือกทำเมนูง่ายๆ เธอตั้งกระทะ ลงบนอีกเตา เทน้ำมันลงรอให้ร้อน จากนั้นใส่กระเทียมสับขั้วให้หอม ใส่น้ำปลาที่เตรียมไว้ลงรอบๆ ขอบกระทะเพื่อให้น้ำปลาไหลลงก้นกระทะ รอให้ได้กลิ่นน้ำปลาก็ใส่กะหล่ำปรีที่แกะออกมาล้างจนสะอาดและผึ่งไว้จนแห้งลงไปผัดทั้งใบ เด็กสาวเพิ่มถ่านเข้าไปเพื่อให้ไฟแรงขึ้น แล้วใช้ตะหลิวขั้วใบกระหล่ำปรีให้ไล่ไปตามขอบกระทะ โดยไม่ลืมเพิ่มรสชาติด้วยน้ำตาลทรายสักเล็กน้อย แล้วผัดอย่างเร็ว จากนั้นก็ยกกระทะขึ้นจากเตาตักใส่จานเตรียมไว้
อีกเมนูเธอตั้งหม้อใส่น้ำลงบนเตา ใส่รากผักชีและกระเทียมลงไป ตามด้วยผักกาดขาวและคะน้าลงไปด้วย อย่างน้อยเชลีที่เก็บมาจะได้ดีใจที่เธอใช้วัตถุดิบของเจ้าหล่อนจนหมด นำไข่ที่เจียวและหั่นเป็นชิ้นๆ ที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในหม้อเมื่อน้ำเดือด ปรุงรสชาติตามชอบใจแล้วก็จัดขึ้นโต๊ะทันที
หลังจากที่เอลลานีนนำอาหารขึ้นโต๊ะ สมาชิกเทซนิมต่างก็มีสีหน้าแปลกๆ แต่เด็กสาวก็ไม่ใส่ใจ เธอยังคงแนะนำอาหารที่ตัวเองทำให้ทุกคนฟัง แต่เมื่อไม่ได้รับความสนใจแถมสมาชิกยังมีสีหน้าแปลกประหลาด เอลลานีนจึงลงมือจัดการอาหารบนโต๊ะก่อนใครเสียเลย แถมยังพูดทิ้งท้ายอีกว่า
"ถ้าไม่กินฉันจะกินละนะ ตอนนี้หิวจะแย่" เด็กสาวลงมือกับอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย เชลีที่ทนความหิวไม่ไหวทิ้งความลังเลจากอาหารหน้าตาแปลกๆ ตัดสินใจตักซุปผักที่อยู่ใกล้ตัวเข้าปาก ฮาฟมองเชลีนิ่ง แต่เมื่อภูติน้อยอ้าปากตาโต ทั้งยังตักซุปผักคำแล้วคำเล่าเข้าปากอีกครั้งและอีกครั้ง เขาจึงลงมือกับอาหารตรงหน้าของตัวเองด้วยเช่นกัน ส่วนกาบี้รายนั้นเติมเป็นครั้งที่สองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"นี่เรียกว่าอะไรเจ้าคะ" เชลีถามหลังจากที่ปล่อยให้บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบไปนาน เด็กสาวมองตามช้อนที่ชี้ไปทางถ้วยซุป รู้สึกว่าเชลีค่อนข้างถูกใจเสียด้วย
"ซุปไข่น้ำ เป็นไงรสชาติใช้ได้ไหมเชลี" ภูติน้อยพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้เด็กสาว
"นึกว่าจะเป็นซุปไข่เอลล่าเสรียอีก" ฮาฟว่ายิ้มๆ
"อร่อยมากเจ้าค่ะ ผัดผักนี่ก็ด้วย" ภูติน้อยตักกระหล่ำปรีผัดน้ำปลาเข้าปากพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักอย่างพึงใจ
"ผัดผักจานนี้เรียกว่าอะไร" ฮาฟถาม แต่ดูอาการของเด็กหนุ่มไม่น่าจะอยากรู้จริงๆ
"ผัดผักเอลล่า" เด็กสาวตอบยิ้มๆ ทำเอาเชลีที่กำลังตักซุปเข้าปากถึงกับสำลักค็อกแค็ก
"แหมๆ เธอเนี่ยก็เจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกันนะเนี่ย" ฮาฟว่า เอลลานีนอมยิ้มก่อนจะเฉลย
"เป็นไงล่ะ อร่อยใช่ไหม ผัดนี้เรียกว่ากระหล่ำปรีผัดน้ำปาจ้า เดี๋ยวฉันจะบอกวิธีทำให้เชลีนะ" ประโยคหลังเธอหันไปพูดกับเชลีน้อยที่กำลังง่วนอยู่กับอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย
"ส่วนกาบี้ฉันไม่ถามนายหรอก ไม่อยากขัดความสุข" เอลลานีนว่ายิ้มๆ เมื่อเห็นกาบี้ตั้งหน้าตั้งตาจัดการอาหารในจานของตัวเองเป็นครั้งที่สอง
"บ่ายนี้ฉันกะว่าจะเข้าไปในตัวเมืองสักหน่อย นายจะไปกับฉันไหมฮาฟ" เด็กสาวถามหลังจากที่แต่ละคนอิ่มจากอาหาร เอลลานีนนำน้ำข้าวจากการหุงข้าวเติมน้ำตาลลงเล็กน้อยใส่แก้วให้แต่ละคน
"ไป กะว่าจะไปดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง" ฮาฟลดแก้วที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะ
"ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปด้วยกันหมดนี่แหละเจ้าค่ะ จะได้ช่วยกันคิด" เชลีเสนอ ทุกคนจึงพยักหน้าเห็นด้วย
"แล้วเราจะไปกันยังไงล่ะ" เอลลานีนยังคงไม่วายสงสัย
"เทซนิมของเรามีรถม้าเจ้าค่ะ แต่ว่า...ไม่มีคนขับ" เชลีชี้ปัญหาพร้อมกับใช้เวทมนต์บังคับให้ข้าวของบนโต๊ะยกขบวนกันลอยเข้าไปในครัว
กาบี้ลุกจากโต๊ะเดินไปทิ้งตัวนอนอาบแดดอยู่หน้าคฤหาสน์ ปล่อยให้สองมนุษย์กับอีกหนึ่งภูติคิดหาวิธีกันไป มันแหงนเงยขึ้นมองบนท้องฟ้าใสกระจ่างปุยเมฆขาวล่องลอยคลอเคลียกับยอดเขาที่มองเห็นอยู่ลิบๆอย่างหงอยเหงา นานแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงของเจ้านาย มีเพียงกลิ่นกายที่หลงเหลือให้อุ่นใจ ป่านนี้จะเป็นยังไง ไลเบนเองก็หายเงียบไม่ส่งข่าว จะเกิดอะไรกับเจ้านายไหม เจ้านกยักษ์ที่มีดวงจิตของเจ้านายยังคงกางปีกปกป้องคฤหาสน์และสมาชิกที่เจ้านายพามาอย่างแข็งแกร่งบนยอดสูงของหลังคา มันเองก็มีหน้าที่ไม่ต่างกัน
เมื่อได้ข้อสรุปสมาชิกของเทซนิมก็โดยสารรถม้าซึ่งเป็นคันเดียวกันกับที่ไลเบนเอามารับพวกเธอยั่งท่าเรือในวันแรกที่พวกเธอมาถึงโซมายา โดยครั้งนี้ฮาฟรับหน้าที่เป็นสารถี ส่วนเอลลานีน เชลีและกาบี้ก็นั่งกันอยู่ในตัวรถ คราวนี้เด็กสาวได้กินลมชมวิวสมใจ เมื่อเชลีเลื่อนบานหน้าต่างไม้ไผ่ออก บรรยากาศสองข้างทางจึงปรากฏต่อสายตา อากาศยามบ่ายไม่ร้อนเลย เนื่องจากโซมายาเป็นเมืองหนาว สองข้างทางเป็นป่าโปร่ง มีบ้านเรือนทรงแปลกตาปลูกไปตลอดทาง ที่อยู่อาศัยของชาวเมืองนี้ปลูกสร้างตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นบ้านบนต้นไม้ บ้านในโพรงถ้ำ กระท่อมไม้ กระท่อมหิน ล้วนปรากฏให้เห็นตลอดทาง พอเข้าสู่เขตเมืองก็เริ่มเห็นเป็นอาคารภานิชย์ก่อด้วยอิฐ คฤหาสน์รูปแบบต่างๆ ตามแต่เจ้าของจะนิยมชมชอบ พัตตาคาร ห้างร้านแน่นขนัดเรียงรายตามรายทาง
เนื่องจากรถม้าวิ่งได้ไม่เร็วนักเพราะค่อนข้างเก่า และม้าเองก็แก่มากแล้ว ฮาฟจึงใช้พลังเวทช่วย เพียงไม่นานมันก็มาจอดสนิทยังที่พักม้า เชลีจ่ายเงินให้ภูติผู้ดูแลม้าก่อนจะพากันมุ่งหน้าไปยังตลาดในตัวเมือง เดินตามถนนไม่กี่สายเชลีก็พาทุกคนมาหยุดยังลานกว้างสุดลูกหูลูกตา บรรดาพ่อค้าแม่ค้ากำลังจัดเตรียมสินค้า รูปลักษณ์ของคนในเมืองนี้ช่างตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก เอลลานีนมองความอัศจรรย์ตรงน่าอย่างตลึง มนุษย์ที่บนศีรษะประดับด้วยเขาโง้ง มนุษย์ที่มีท่อนล่างเป็นม้า มนุษย์ที่มีท่อนล่างเป็นลา ลิงยักษ์ที่พูดภาษาคนได้ แม่มดพ่อมดที่โดยสารไม้กวาดส่วนตัวร่อนลงยังจุดจอดก่อนจะเดินช้อปปิ้งอย่างสบายใจโดยแต่ละจุดจอดไม้กวาดนั้นจะมีภูติสิงห์โตคอยดูแลประจำจุดต่างๆ
เชลีพาสมาชิกทั้งหมดเดินไปตามทางเล็กๆ ที่มีแผงลอยตั้งเรียงราย ทั้งขายของวิเศษ เครื่องรางหน้าตาแปลกๆ โดยพ่อค้าแม่ค้าต่างเผ่าพันธุ์ เมื่อเดินผ่านแผงลอยขายเครื่องดื่มและอาหารเอลลานีนก็หยุดดูเป็นพิเศษ ในส่วนของอาหารเธอคงเปลี่ยนแปลงการกินของคนที่นี่ได้ยาก ดังนั้นเด็กสาวจึงมุ่งเน้นไปที่ขนมและเครื่องดื่ม ซึ่งขนมและเครื่องดื่มของเมืองนี้นั้นจะมุ่งเน้นสรรพคุณช่วยฟื้นฟูกำลังวังชา รักษาอาการบาดเจ็บ แต่หน้าตาไม่น่ารับประทานทั้งรสชาติก็ไม่ชวนลิ้มชิมรสทำให้เด็กสาวรู้สึกผิดหวังเมื่อขอเชลีซื้อมาลองชิม ดังนั้นเอลลานีนจึงหมายมั่นอยู่ในใจว่า เธอจะต้องเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าเครื่องดื่มและเบเกอร์รี่ของเมืองนี้เสียใหม่ จากสินค้าที่ใครๆ ก็เดินผ่าน เธอจะต้องเรียกความนิยมให้เทียบเท่ากับร้านขายอาวุธให้จงได้
"ฉันขอไปดูอาวุธที่ร้านนั้นหน่อยนะ" ฮาฟชี้ไปยังร้านขนาดใหญ่ที่แขวนอาวุธเรียงรายหลายแบบ พอเด็กสาวเลื่อนสายตาขึ้นมองก็เห็นชื่อร้านเด่นหรา
"ดรากอนเวพเพินช้อป ร้านขายอาวุธของเผ่ามังกรเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นเชลีฝากท่านฮาฟดูชุดเกราะให้ท่านเอลล่าด้วยนะเจ้าคะ เผื่อจำเป็นต้องใช้"
"ได้สิ กาบี้ไปด้วยกันไหม" ฮาฟหันมาถามกาบี้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเอลล่า มันส่ายหัวปฏิเสธทันที เด็กสาวรู้สึกว่าหลังจากที่อยู่ด้วยกันหลายวันกาบี้ก็คุ้นเคยกับเธอมากขึ้น จากที่ไม่มองเธอในวันแรกนั้น หลังๆ ก็มักจะมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ จนกลายเป็นความเคยชินเสรียแล้ว
"ฉันเองก็ว่าจะไปซื้อเนื้อสัตว์สักหน่อย ถ้าอย่างนั้นอีกหนึ่งชั่วโมงก็ไปเจอกันที่รถม้าก็แล้วกันนะ" เอลลานีนว่า ฮาฟพยักหน้ารับ จากนั้นเขาก็เดินเข้าร้านขายอาวุธ ชายชราซึ่งเป็นเจ้าของร้านกุลีกุจอออกมาต้อนรับเด็กหนุ่มอย่างกระตือรือร้น ทั้งสามจึงออกเดินชมตลาดโดยมีเชลีเป็นไกด์นำเที่ยว
หลังจากเชลีแวะซื้อเนื้อสัตว์กับพอลพ่อค้าหนุ่มน้อยเจ้าประจำพร้อมกับแนะนำเด็กสาวให้เด็กหนุ่มรู้จักแล้ว ทั้งสามก็แยกย้ายจากพ่อค้าหนุ่ม ฝ่ายนั้นฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับนับเงินที่ได้อย่างอารมณ์ดี การซื้อเนื้อสัตว์กับพอลครั้งนี้ทำให้เงินของเทซนิมลดลงไปสามเหรียญเงินเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่จะซื้อเนื้อสัตว์เอลลานีนยังให้เชลีซื้อน้ำตาล แป้ง ไข่ นม ถั่วเหลืองและเครื่องปรุงรสที่คฤหาสน์ขาดอีกหลายอย่าง จากนั้นเชลีก็พาไปยังอาคารสองชั้นซึ่งมีป้ายเขียนติดหน้าร้านว่า "รับส่งของทุกชนิดไปยังบ้านของท่าน" ภูติน้อยเอาของทั้งหมดให้ผู้ดูแลพร้อมกับจ่ายเงินตามราคาที่กำหนดตามน้ำหนักของและระยทางก่อนจะเดินตัวเปล่าออกมา
เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วเอลลานีนจึงขอให้เชลีพาเดินดูร้านขนมหวานและเครื่องดื่มอีกครั้ง ทังสามมาหยุดยังหน้าร้านที่มีไฟประดับหลากสี ในตู้กระจกมีเค้กสีสันต์ฉูดฉาดบาดตา หน้าตาขนมในตู้ไม่ดึงดูดลูกค้าสักเท่าไหร่ เด็กสาวจึงเลื่อนสายตาไปยังชั้นเครื่องดื่ม แต่ละแก้วที่เชิญชวนลูกค้าล้วนมีควันขโมง บางแก้วก็เดือดปุดๆ เหมือนว่ามีส่วนผสมของโซดาไฟร่วมด้วย สรรพคุณของเบเกอร์รี่และเครื่องดื่มเน้นการฟื้นฟูพลังไม่ต่างจากร้านอื่นๆ ในตลาดเลย
"ลองไหมกาบี้" เด็กสาวก้มลงถามภูติจิ้งจอกในอ้อมแขน มันส่ายหัวดุกดิก
"ฉันก็ไม่กล้า" เธอว่าพร้อมกับเดินข้ามถนนตรงไปยังร้านฝั่งตรงข้าม
ดวงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุที่แขวนหน้าร้านยามสนทยาทำให้บรรยากาศเงียบเหงาวังเวง ในร้านที่ร้างไร้ผู้คนมีชายวัยกลางคนนั่งเล่นหมากรุกเพียงลำพัง ชุดโต๊ะเก้าอี้สองสามตัวข้างในร้านว่างเปล่า เอลลานีนเลือกพาสองภูติเข้าไปยังร้านทันที เนื่องจากไม่ต้องเลือกสินค้าร่วมกับลูกค้าคนอื่น ดวงตาสีนิลเงยขึ้นมองนาฬิกาแขวนผนังที่แขวนอยู่กลางร้าน เห็นว่าเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง เด็กสาวจึงลงนั่งยังเก้าอี้ใกล้ตัว เพื่อรอเวลา อีกอย่างร้านนี้ก็ไม่ได้ไกลจากที่จอดรถม้าสักเท่าไหร่ พอใกล้เวลานัดพบกันกับฮาฟเพื่อกลับเทซนิมก็ค่อยชวนเชลีและกาบี้เดินไปก็น่าจะทันกันพอดี
เชลีและกาบี้เดินชมสินค้าบนชั้นวางในร้าน ทำให้เด็กสาวอดกวาดตามองตามภูติทั้งสองไม่ได้ โหลน้ำหวานหลากสีบนชั้นจากพื้นสูงจรดเพดานวางประปราย ฝุ่นและหยากไย่จับเขรอะดั่งถูกละเลยมานานแรมปี
"เอ่อ!...ไม่ทราบว่าที่ร้านของคุณลุงขายอะไรเหรอคะ" เอลลานีนหันไปถามชายเจ้าของร้าน
แต่คำถามของเธอเหมือนจะไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะชายเจ้าของร้านยังคงก้มหน้าก้มตากับกระดานหมากรุกตรงหน้า เด็กสาวกำลังจะถอดใจไม่อยากรู้แล้ว เสียงแหบห้าวจากชายเจ้าของร้านก็ดังขึ้น
"โอ้ว! ยินดีต้อนรับท่านทั้งสาม จะรับอะไรดีขอรับ" เสียงตื่นเต้นของเจ้าของร้านดึงความสนใจจากเด็กสาวอีกครั้ง
"ร้านท่านขายเครื่องดื่มอะไรบ้างเจ้าคะ" คราวนี้เชลีเป็นฝ่ายถาม
"เป็นน้ำหวานจากดอกไม้ขอรับ พวกท่านสามารถเลือกหาได้ตามต้องการได้เลยขอรับ" เขาลุกจากที่นั่งแล้วเริ่มแนะนำสินค้าที่เหลืออยู่โหรงเหรงบนชั้นวางของในร้านอย่างกระตือรือร้น ผิดกับอาการเอื่อยเฉื่อยเมื่อแรกพบอย่างกับคนละคน
"น้ำหวานที่สกัดจากดอกไม้เจ้าค่ะ ถ้าจะรับประทานจะต้องนำมาผสมกับน้ำอุ่นดื่ม ดอกไม้บางชนิดก็มีรสหวาน บางชนิดก็กลิ่นหอม บางชนิดรสจืดให้แต่สีสันต์ และก็มีสรรพคุณแตกต่างกันเจ้าค่ะ" เชลีอธิบาย เจ้าของร้านมองเด็กสาวอย่างฉงน จนเชลีต้องอธิบายให้เขาคลายความสงสัย
"ท่านนี้เป็นชาวมนุษย์จากลูน่าเจ้าค่ะ"
"อ้อ! ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเลือกตามสบายนะขอรับ สงสัยอะไรก็ถามกระผมได้เลยนะขอรับ" ในขณะที่เชลีกำลังแนะนำน้ำหวานให้เอลลานีนรู้จักอยู่นั้น เสียงกระโชกโฮกฮากของลูกค้าอีกคนก็ดังเข้ามาในร้าน
"เจ้าของร้านอยู่ไหน" เสียงถามไม่เบานักทำให้ทั้งสามต้องละสายตาจากสินค้าบนชั้นวางหันมองผู้มาใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามายังร้านเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 119
แสดงความคิดเห็น