ภาคโซมายา บทที่ 11 ภาชนะของพระนาง
ในขณะนั้นเจ้าหญิงโมราน่ามีพระชนม์เพียงสิบหกชันษาต้องขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินีแทนบิดาซึ่งถูกราชาภูติสังหารขณะทำสงคราม พระนางพยายามทุกวิถีทางที่จะปกป้องชาวเมือง โดยการประกาศหาพันธมิตร แต่ก็ถูกเมินเฉยจากทุกเผ่าพันธุ์ แต่ด้วยรูปโฉมงดงามของเจ้าหญิงโมราน่าทำให้ราชาหลายเมืองต่างต้องการครอบครองเรือนร่างของพระนาง ดังนั้นเหล่าราชาต่างเผ่าพันธุ์จึงลอบทำสัญญาลับ โดยจะส่งกองทหารบางส่วนไปปกป้องเมืองมาดาฮาวาแลกกับการมีสัมพันธ์สวาทกับเจ้าหญิงแทนการออกหน้าช่วยเหลืออย่างโจ่งแจ้ง เพราะพวกเขาไม่ต้องการเป็นศัตรูกับราชาภูติ" ฮาฟเริ่มเล่าพร้อมกับทรุดนั่งลงบนลานหน้าคฤหาสน์ ลมยามบ่ายพัดเอื่อย ลูบไล้เรือนร่างทำให้รู้สึกสบายกายไม่น้อย แม้แต่กาบี้เองก็ยังนอนหมอบอย่างสงบเพื่อฟังเรื่องเล่าของเด็กหนุ่ม เอลลานีนและเชลีเองก็ลงนั่งไม่ห่าง
"เจ้าหญิงโมราน่าไม่มีทางเลือกจึงยอมรับข้อเสนอจากเหล่าราชา พระนางยอมอุทิศเรือนร่างเพื่อสนองตัญหาของบรรดาราชาทั้งหลายเพื่อต่อลมหายใจให้กับชาวเมือง แต่เจ้าหญิงเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ไหนเลยจะทันเล่ห์เหลี่ยมของเหล่าราชาเฒ่าพวกนั้นกัน เมื่อราชาภูติยกกองทัพมาประชิดเมืองกองทหารที่เหล่าราชาสัญญาว่าจะส่งมาก็ไม่ปรากฏ เจ้าหญิงรู้ว่าตัวเองถูกหลอกแล้ว จึงต่อสู้สุดกำลัง ท้ายที่สุดมาดาฮาวาที่เจ้าหญิงปกป้องก็ถูกราชาภูติยึดครองได้เป็นผลสำเร็จ
ราชาภูติไม่ได้สังหารเจ้าหญิง อาจเป็นเพราะหลงใหลในรูปโฉมงดงามของพระนางหรือเหตุผลใดก็สุดรู้ แต่เมื่อเผ่าพันภูติได้เมืองมาดาฮาวามาครองสงครามก็ยุติลง ความสงบกลับคืนสู่ดินแดนอีกครั้ง ชื่อของจักรพรรดินีโมราน่าก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของชาวเมือง"
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ร่างของฉันฟันแทงไม่เข้ากันล่ะ" เอลลานีนอดรนทนไม่ไหวถามขึ้น
"เธอเนี่ยใจร้อนเสียจริง ฉันก็กำลังจะเล่าอยู่นี่แล้วไง ตกลงจะฟังมั้ย หรือว่าจะไปอ่านเอง" ฮาฟตอบเสียงสะบัด
"ฟังเจ้าค่ะ" คนที่กระตือรือร้นกลับเป็นภูติน้อยเชลี
"เรื่องนี้เป็นความอัปยศที่ชาวภูติจำฝังใจไม่เคยลืม เพราะชาวภูติมองว่าเป็นความด่างพล้อยที่ในช่วงหนึ่งบัญลังก์ของตนตกอยู่ในการครอบครองของเจ้าหญิงโมราน่าซึ่งไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์ ว่าแต่เชลีไม่รู้เรื่องนี้เลยเหรอ" ฮาฟหันมาถามเชลีอย่างฉงน
"เชลีมาอยู่กับนายท่านตั้งแต่เกิดแล้วเจ้าค่ะ อีกอย่างนายท่านหรือลุงไลเบนก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลย" ภูติน้อยว่า
"เอาล่ะ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ขัดนายแล้ว รีบๆ เล่าเถอะน่า" เอลลานีนให้สัญญา ฮาฟจึงอมยิ้มแล้วก็เริ่มเล่าต่อ
"หลายสิบปีต่อมาข่าวราชาภูติสิ้นพระชนม์ก็แพร่สะพัดไปทั่ว และผู้ที่ขึ้นนั่งบัญลังปกครองดินแดนภูติกลับเป็นจักรพรรดินีโมราน่า เชลยจากเมืองมาดาฮาวาแทนสายเลือดบริสุทธิ์ของชาวภูติ และที่น่าตกใจคือการสิ้นพระชนม์ของราชาภูติเกิดจากการสังหารของพระนางและพลังแข็งแกร่งของราชาภูติถูกพระนางครอบครอง แม้ว่าชาวภูติต้องการจะกำจัดพระนางอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้อย่างใจหวังเสียแล้ว เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปจึงสร้างความหวาดวิตกให้กับราชาหลายเมืองที่เคยหลอกลวงพระนาง ราชาแต่ละเมืองตางก็ออกมาต่อต้านการกระทำอันเลวร้ายโดยหวังที่จะกำจัดพระนาง อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องถูกพระนางแก้แค้นในการกระทำครั้งก่อนของตน
ต่อมาไม่นานผู้วิเศษในดินแดนต้องตื่นตระหนกอีกครั้ง เมื่อราชาเผ่ามังกรผู้รักสันโดษประกาศการอภิเษกสมรสกับจักรพรรดินีโมราน่า ชาวภูติพยายามคัดค้าน แต่พระนางกลับปริดชีพผู้ที่ไม่เห็นด้วยทันที ดังนั้นผู้วิเศษของแต่ละเผ่าจึงรวมตัวผนึกกำลังเพื่อต่อต้านราชามังกรและจักรพรรดินีโมราน่าในการขยายอำนาจของทั้งคู่ เพียงไม่กี่ปีดินแดนที่เคยสงบสุขกลับร้อนระอุด้วยสงคราม จักรพรรดินีโมราน่าและราชามังกรมุ่งหน้าทำสงครามกับทุกเมืองจนในที่สุดอำนาจในการครอบครองดินแดนตกอยู่ในมือของทั้งคู่ เหล่าราชาเฒ่าทั้งหลายที่เคยหลอกลวงเพื่อต้องการครอบครองเรือนร่างของพระนางถูกทำลายจิตวิญญาณจนสูญสลายไปตามๆ กัน
ความน่าสะพรึงยังไม่จบแค่นั้นเมื่อข่าวว่าราชามังกรถูกลอบสังหารจนสิ้นพระชนม์แพร่สะพัดไปตามหัวเมืองต่างๆ แต่ผู้ที่สังหารราชามังกรไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นราชินีโมราน่า ดังนั้นผู้ที่มีอำนาจเหนือคนในดินแดนจึงเป็นพระนางเพียงคนเดียว เมื่อมีพลังและอำนาจในมือ แต่จิตใจที่ถูกครอบครองด้วยความชั่วร้ายทำให้เจ้าหญิงที่มีจิตใจดีงามกลายเป็นปีสาจ พระนางชอบการเข่นฆ่า และเลือกที่จะดื่มกินพลังชีวิตเพื่อนำมาหล่อเลี้ยงตน เหล่าผู้วิเศษจึงวางแผนเพื่อจะยับยั้งพระนาง ดังนั้นสงครามระหว่างจักรพรรดินีโมราน่ากับผู้วิเศษจึงอุบัติขึ้นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พลังอำนาจเพียงคนเดียวของจักรพรรดินีโมราน่าไหนเลยจะสู้พลังวิเศษจากคนหลายเผ่าพันธุ์ได้ สุดท้ายจักรพรรดินีโมราน่าจึงมอบจิตวิญญาณให้ปีสาจเพื่อขอพลังอำนาจมาต่อกรกับเหล่าผู้วิเศษ แต่ร่างกายของจักรพรรดินีโมราน่าไม่สามารถรองรับพลังมหาศาลได้อีกต่อไป ในการปะทะกันครั้งสุดท้ายผู้วิเศษเห็นจุดอ่อนจึงทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อผนึกจิตวิญญาณของพระนางลงในต้นไม้เก่าแก่ที่ตั้งอยู่ระหว่างสามเมืองซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ร่างกายของพระนางสูญสลายกลายเป็นฝุ่นผงล่องลอยในอากาศ แต่คำกล่าวสุดท้ายของพระนางกลับทำให้ผู้วิเศษถึงกับหนาวยะเยือกไปถึงไขสันหลัง" จู่ๆ เสียงเล่าเนิบช้าของฮาฟก็เงียบลงเสี่ยดื้อๆ ทั้งสามต่างจ้องเด็กหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
"นายก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอฮะกาบี้" ฮาฟหลุดหัวเราะพรืดเมื่อเห็นปฏิกิริยาของภูติจิ้งจอก มันมองเขาอย่างเคืองๆ ก่อนจะเมินหน้าไปอีกทาง
"เฮ้อ! นายเนี่ยเล่นตัวชะมัด สรุปว่าโมราน่าตาย แล้วไงต่อล่ะ ก็ยังไม่เกี่ยวกับความพิเศษของร่างกายฉันอยู่ดีแหละ" เอลลานีนบ่นแล้วตั้งท่าจะลุกหนี
"เกี่ยวสิ เพราะจักรพรรดินีโมราน่าแอบฝึกเวทมนต์ต้องห้าม และสร้างภาชนะซึ่งเป็นร่างกายใหม่ของพระนางขึ้นมา ร่างกายที่สามารถรองรับทุกพลังได้อย่างไม่สิ้นสุด ร่างกายสุดวิเศษที่ไม่มีสิ่งใดจะทำลายได้ และถ้าได้ผนึกหลอมรวมกับจิตวิญญาณของพระนาง ดินแดนนี้ก็จะสู่กลียุคอย่างที่เหล่าผู้วิเศษหวาดหวั่น และร่างกายที่ฟันแทงไม่เข้ารวมถึงพลังแขนขามหาศาลของเธอก็ตรงตามภาชนะของจักรพรรดินี แม้ว่าจะไม่ได้ตรงเป๊ะๆ ดังคำภีร์เวทย์โบราณว่าไว้ แต่ก็ยังไม่ปรากฏผู้ที่มีร่างกายสุดวิเศษอย่างนี้นอกจากเธอนะเอลล่า"
"บ้าน่า แล้วมีใครเห็นร่างที่จักรพรรดินีโมราน่าสร้างขึ้นไหมล่ะ" เอลลานีนแย้ง ยอมรับว่าเธอแอบกังวลขึ้นมาหน่อยๆ
"ไม่มีใครเคยเห็น แต่หลังจากจิตวิญญาณของพระนางถูกผนึกเหล่าผู้วิเศษต่างก็สืบหาเบาะแสจนในที่สุดก็มั่นใจว่าพระนางสร้างมันขึ้นมาสำเร็จแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าภาชนะที่พระนางสร้างขึ้นมานั้นอยู่ในรูปลักษ์ของมนุษย์กึ่งเผ่าพันธุ์ใด ที่น่าตระหนกก็คือก่อนที่พระนางจะถูกผนึกจิตวิญญาณนั้นพระนางได้แยกพลังวิเศษและดวงจิตอีกครึ่งออกจากกายเดิม" ฮาฟอธิบาย
"แล้วเรื่องมันเกิดมานานเท่าไหร่แล้วล่ะ"
"ก็เกือบสามร้อยกว่าปีแล้ว"
"โห! ตั้งสามร้อยปี ป่านนี้ร่างที่จักรพรรดินีโมราน่าสร้างขึ้นไม่กลายเป็นปุ๋ยไปแล้วเหรอ ฉันว่าร่างกายของฉันคงเกิดจากความผิดปกติบางอย่าง ไม่น่าเกี่ยวข้องกับภาชนะของจักรพรรดินีโมราน่าสร้างขึ้นหรอกน่า" เอลลานีนว่า รู้สึกโล่งอก เธอมั่นใจว่าตัวเองน่าจะไม่ใช่สิ่งที่เหล่าผู้วิเศษตามหาแน่ๆ
"ฉันก็หวังอย่างนั้น แต่เธอก็ควรจะระมัดระวังไว้หน่อยก็ดี" ฮาฟเตือน
"เชลีเห็นด้วยกับท่านฮาฟเจ้าค่ะ" เชลีน้อยสัมทับ เอลลานีนจึงพยักหน้ารับเพื่อให้เด็กหนุ่มและภูติน้อยสบายใจ
"มานี่ฉันจะสอนการใช้กำไลให้" ฮาฟเอื้อมมือมาคว้ากำไลจากมือของเด็กสาวแล้วสอนวิธีใช้ให้เธอทันที เมื่อมีสิ่งอื่นมาทดแทน เรื่องราวของจักรพรรดินีโมราน่าก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของมนุษย์และภูติอีกต่อไป
"เพียงเธอปลดสลักตรงนี้" เด็กหนุ่มกดปุ่มเล็กๆ ที่อยู่ข้างกำไล พลันเข็มหลายสิบเล่มก็ลอยออกไปปักตามต้นไม้ดังฉึกฉักจนเด็กสาวตื่นตกใจ "ส่วนปลายของเข็มเธอสามารถเคลือบพิษเอาไว้ อย่างน้อยก็ช่วยลดการจู่โจมจากศัตรูได้ และถ้าต้องการเก็บเข็มกลับคืนก็กดปุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนี้ซะ" ฮาฟอธิบายพร้อมสาธิตวิธีการใช้งาน หลังจากที่เด็กหนุ่มกดปุ่มเข็มที่ปักตามสุมทุมพุ่มไม้ก็ลอยกลับเข้ามาเสียบเรียงตัวตามแนวกำไล
"โห! สุดยอดเลย" เอลลานีนพูดอย่างตื่นเต้น พร้อมกับสวมกำไลอย่างรวดเร็ว
"ถ้ามีเจ้าพวกนี้ฉันก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกรังแกแล้วน่ะสิ ขอไปเอาคืนยายแอมเบอร์หน่อยเถอะ" เอลลานีนพูดอย่างอารมณ์ดี
"เธอนี่มันเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง" ฮาฟว่าพร้อมกับออกเดินตรงไปยังซากปลักหักพังหน้าคฤหาสน์
"เฮ้อ! ลงมือทำงานดีกว่าน่า จะได้มีเวลาคิดวิธีหาเงินมาใช้หนี้กัน" ฮาฟว่า
เอลลานีนจึงพาสมาชิก ตกแต่งลานด้านหน้าอย่างที่ตั้งใจ โดยเธอให้ฮาฟและกาบี้ขนซากปลักหักพังของรูปปั้นไปทิ้งทั้งหมด จากนั้นเด็กสาวก็ให้เชลีใช้เวทในการปรับพื้นที่เพื่อปลูกดอกไม้ จะด้วยเวทมนต์หรือต้นไม้ที่นี้เจริญเติบโตวัยกว่าต้นไม้ในโลกเก่าของเธอ ไม่กี่วันเมล็ดที่เชลีหามาก็แตกหน่ออ่อนแทงยอดออกมารับแสงแดดแล้ว เมื่อใช้เวลาจัดการกับคฤหาสน์จนสวยงามน่าอยู่แล้วทั้งหมดจึงมาปรึกษาหารือการปฏิบัติภารกิจกันอย่างจริงจัง
"โอ๊ย! กว่าเราจะหาได้ยี่สิบห้าเหรียญทอง ฉันไม่แก่ตายไปหลายครั้งเลยเหรอเนี่ย มันจะโหดเกินไปไหม" เอลลานีนฟุบหน้าลงบนโต๊ะอย่างอ่อนแรง
หลังจากรับประทานอาหารเช้าประจำเมืองโซมายาที่เชลีตั้งอกตั้งใจทำสุดฝีมือมาเกือบอาทิตย์แล้ว เอลลานีนจึงหาจังหวะที่จะลงมือเข้าครัวด้วยตัวเองสักครั้ง เพราะเธอเบื่อที่จะกินซุปผัก ขนมปังทาเนยอีกต่อไปแล้ว แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังคงต้องกินอาหารที่เชลีประกอบขึ้นมาด้วยความตั้งใจอยู่อย่างนั้น และมื้อเช้านี้ก็ด้วย จากนั้นหนึ่งมนุษย์ หนึ่งมังกร และสองภูติก็มารวมตัวระดมความคิดกันที่โถงกลางคฤหาสน์
"ฮาฟนายมีไอเดียเจ๋งๆ อะไรบ้างไหม" เมื่อไม่ได้อยู่กับพี่สาวเอลล่านีนก็ไม่ต้องระวังคำพูดอีกต่อไป แต่พอเห็นสีหน้างุนงงของเด็กหนุ่มเธอจึงเปลี่ยนคำพูดใหม่
"เอ่อ! ฉันหมายถึงนายพอจะมีความคิดอะไรดีๆ เสนอบ้างหรือไม่ คือตอนนี้ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย" เด็กหนุ่มส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
"บอกตรงๆ ตอนนี้ฉันมีเงินติดตัวยังไม่ถึงสิบเหรียญทองแดงเลยด้วยซ้ำ" ฮาฟแบมือ เหรียญกลมๆ สลักสัญลักษณ์ราชัญถือคธาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองโซมายาสี่ห้าเหรียญนอนสงบนิ่งอยู่บนฝ่ามือของเขา
"แล้วคฤหาสน์เรามีเงินอยู่เท่าไหร่ล่ะเชลี" เอลลานีนถามภูติน้อย
"มีเท่านี้เจ้าค่ะ" เชลีนำเงินออกมาวางบนโต๊ะ
"สองเหรียญทองเท่ากับสองร้อยไพพ์ ห้าเหรียญเงินเท่ากับสองร้อยห้าสิบไพพ์ รวมแล้วเทซนิมมีเงินทั้งหมดสี่ร้อยห้าสิบไพพ์ มีเท่านี้จริงๆ เหรอเชลี ไม่มีอีกเลยเหรอ" ฝ่ายนั้นส่ายหน้าหวือ
"หมดแล้วเจ้าค่ะ นายท่านบอกเชลีว่า มีเงินมากก็จะถูกขโมย เป็นอันตรายต่อตัวเอง" เอลลานีนนึกหมั่นไส้นายท่านสุดกำลัง ทำมาเป็นห่วงกลัวจะถูกขโมย แต่ดันทิ้งภารกิจบ้าๆ ให้พวกเธอรับผิดชอบ เธอจึงได้แต่สาปแช่งในใจให้เขาเจอความลำบากอย่างเธอบ้าง
"ถ้าอย่างนั้นเอาของในคฤหาสน์ไปขายดีไหม ยังไงนายท่านก็ไม่ได้กำหนดวิธีการหาเงินนี่นา" จบคำแสงไฟบนแชนเดอร์เลียก็กระพริบจนเอลลานีนต้องยกมือปิดปากอย่างตระหนก
"ไม่ขายแล้วเจ้าค่ะ ไม่ขายแล้วก็ได้" เด็กสาวละล้ำละลัก สองคนกับอีกหนึ่งตัวต่างมีสีหน้าตื่นตกใจ
"เงินก็มีให้น้อย แถมยังหวงของอีก เฮ่อ!...นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ สรุปจะเอายังไงกันดีล่ะคราวนี้" เอลลานีนอดที่จะบ่นออกมาดังๆ ไม่ได้จริงๆ
"ถ้าอย่างนั้นฉันจะออกไปทำงาน เชลีเห็นว่ายังไงล่ะ" ฮาฟเสนอตัว แต่ภูติน้อยส่ายหน้า
"ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับคนที่มีรอยประทับหรอกเจ้าค่ะ ถ้ามีถือว่าท่านฮาฟโชคดีมาก และถ้ามีใครรู้ว่าร้านไหนรับพวกที่มีรอยประทับทำงาน ก็จะแห่กันไปแจ้งทางการแน่ๆ ฉะนั้นไม่มีใครกล้าเสี่ยงหรอกเจ้าค่ะ"
"เออใช่ ฉันลืมข้อนี้ไปเลย ขอบใจนะเชลี" เด็กหนุ่มหันไปขอบคุณภูติน้อยที่ยิ้มแฉ่ง
"เอายังไงดีล่ะกาบี้ นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ เอานายไปขายแลกเงินดีไหมนะ ถือว่าทำคุณตอบแทนนายท่านไง" เอลลานีนหันไปหากาบี้ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือเขี้ยวขาววาววับ และดวงตาดุที่มองตอบกลับมา
"โฮ่ง! ฮ่ง!"
"โถๆ! ก็แค่ล้อเล่นเอง คิดจริงจังไปได้" เธอว่า พร้อมกับหดคอด้วยอาการอกสั่นขวัญผวา
"เอาล่ะทุกคน ไหนๆ นายท่านผู้ใจดีก็รับฉันมาทำงานแม่ครัวแล้ว เดี๋ยวฉันจะแสดงฝีมือการทำอาหารให้พวกเธอชิมหน่อยก็แล้วกัน ขืนนั่งอย่างนี้ฉันต้องปวดหหัวตายแน่ๆ ไปเชลีไปแนะนำห้องครัวให้แม่ครัวกิติมศักดิ์ดูหน่อย ไปกันเราปล่อยให้ฮาฟกับกาบี้ใช้ความคิดกันไป" เอลลานีกระเด้งตัวจากที่นั่งแล้วเดินตามเชลีไปอย่างกระฉับกระเฉง ปล่อยให้หนึ่งคนหนึ่งหมามองตามหลังอย่างจนใจ
"ไปเดินเล่นนอกคฤหาสน์กันดีกว่ากาบี้" เด็กหนุ่มผมสีฟางแห้งยืนขึ้นพร้อมกับบิดขี้เกียจ แต่ภูติจิ้งจอกกลับกระโดดผลุงเข้าไปทางเดียวกับเด็กสาวและภูติน้อยที่เดินตามกันไปเมื่อครู่ เด็กหนุ่มส่ายหน้า รอยยิ้มประหลาดผุดขึ้นก่อนที่เขาจะเดินออกไปนอกคฤหาสน์อย่างที่ว่าไว้
เชลีพาเอลานีนมายืนในห้องขนาดใหญ่ ภายในมีเครื่องครัวครบครัน แต่หน้าตาของมันออกจะโบราณไปสักหน่อย เตาก็เป็นเตาถ่านขนาดเล็กใหญ่ลดหลั่นกันลงไปตามแต่จะเลือกใช้งาน อุปกรณ์ปิ้งย่าง หม้อกะทะ ถ้วยโถโอชามสวยงามมีให้เลือกใช้มากมายหลายแบบ ชั้นวางของจากพื้นจรดเพดานมีเครื่องปรุงทั่วทุกที่วางแน่นขนัด แต่กลับไม่มีวัตถุดิบในการประกอบอาหาร ไม่มีของสดเลยสักอย่าง ช่องเก็บความเย็นทุกช่องว่างเปล่าจนน่าใจหาย เด็กสาวเงยหน้าสบตากับเชลีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
"เราจะหาเนื้อสัตว์ได้จากที่ไหนน่ะเชลี"
"เนื้อสัตว์ต้องไปที่ตลาดหรือไม่ก็ซื้อจากนายพรานเจ้าค่ะ เดี๋ยวเชลีจะไปเก็บผักมาให้ก่อนนะเจ้าคะ ภูติน้อยอาสา เด็กสาวพยักหน้าแล้วครุ่นคิดว่ากลางวันนี้จะทำอะไรให้ทุกคนรับประทานดี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 120
แสดงความคิดเห็น