6. เพลิง (แค้น) นาคี
เพลิงนาคีแผดเผาร่างไหม้...แทบดับสูญ
-----------------------------------------------
“ช่วยขะ...ข้าที...ข้าร้อนแทบมลาย” ชายหนุ่มกอดร่างของหญิงสาวแล้วหมดสติล้มตัวลงบนตั่งอีกครั้ง
“โอย... ทำไงดีล่ะเนี่ย” บัวระวงมึนงงกับสถานการณ์
เธอตัดสินใจยกร่างชายหนุ่มขึ้นมา...เธอหายใจเข้าเต็มปอดลงไปถึงช่วงท้องน้อย แล้วให้ปราณนี้กักอยู่ชั่วขณะ แล้วจึงค่อยผ่อนลมขึ้นมาทางหน้าอกขึ้นถึงลำคอ...กักไว้... จากนั้น
ริมฝีปากของชายหนุ่มถูกเธออ้าออก แล้วริมฝีปากของเธอกดลงไป ลมปราณที่กักไว้ค่อยปล่อยลงไปในช่องปากของเขา... ครั้งแรกชายหนุ่มร่างกระตุกสั่นสะเทือน แต่ยังไม่รู้สึกตัว
บัวระวงช่วยเอาลมปราณของเธอส่งลงไปในลมหายใจถึงปอดของเขา แล้วส่งกระแสของมันผ่านไปยังหัวใจ ร่างของเขาเริ่มกระตุกเต้นเร่าพรวดพราด จนในที่สุดร่างกายที่ร้อนดั่งไฟสุริยะแผดเผาเริ่มคลายลง เซลส์ทุกอณูค่อยเย็นลง
“นี่...ฉันเองไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอกนะ... นายมีฤทธิ์มากมาย ยังต้องมาอาศัยฉัน” เธอปล่อยให้ชายหนุ่มหลับต่อไปเพื่อร่างกายจะได้ฟื้นตัว
บัวระวงไม่รู้จะทำอะไรจึงเดินมองฝาผนังสีเหลืองทองแวววาวส่องประกายทั่วห้อง เธอเอามือลูบไล้ตรงภาพสลักของพญานาคากับหญิงสาวหน้าตาคล้ายแม่ของเธออีกครั้ง ความรู้สึกระยิบระยับตรงกลางฝ่ามือทั้งสองข้างไหลวนวิ่งขึ้นมายังแขนทั้งสองข้าง แล้วทะลุเข้ากลางหัวใจที่กำลังเต้นแรงเป็นจังหวะอย่างน่าพิศวง
“พ่อกับแม่คงเป็นห่วงลูก...อยู่ในขณะนี้ ท่านจะรู้ไหมว่าบัวลงมาอยู่เมืองนาคาของท่านแล้ว”
เสียงคำรามฟ่อๆ ดังอยู่ด้านนอกของหอสังวาส บัวระวงตกใจเมื่อเสียงหนึ่งดังกังวานราวฟ้าฟาด
“เจ้า...ธิดาของอรินทร์กับทิพปภา เจ้าต้องถูกฝังที่นี่นับแต่บัดนี้...ฮิ ฮิ ฮิ!!!”
“แก...นางมารร้ายจากไหน ฮะ!!!...ฉันไม่เคยรู้จัก” เธอโกรธจัด...จึงซัดกลับไป
“หลานข้า...มันดึงพละเจ้า แต่มันทรยศข้า!!!” เสียงพิโรธดั่งไฟโลกันต์
“เป็นหลาน...แต่ทำไมต้องทำกับเขาขนาดนี้...มันใช่รึ”
“...ข้าจะให้มันดับสูญกับเจ้า ที่นาคาบาดาล!!!” แม่เจ้ากระแทกเสียงแหลมลงกลางใจของบัวระวง
“มันคงง่ายหรอกนะ... ถ้าฉันมีฤทธิ์เหมือนพวกแก ฉันจะเอาแกฝังก่อนเลย หลานแกจะได้ตามไปดูไปเฝ้า...ไม่ให้ขึ้นมาทำร้ายกันอีกไม่จบไม่สิ้น”
บัวระวงเริ่มรู้เบื้องหลังของงานเข้ามาที่เธอแล้ว พ่อกับแม่เคยเกิดเป็นพญานาคาและพญานาคินีอยู่ที่เมืองบาดาลแห่งนี้ นาคินีตนนี้น่าจะเป็นอสูรร้ายที่พญานาคาได้ฝังนางไว้ แล้วในที่สุดวันดีคืนดีกลับกลายเป็นอสูรผุดร่างขึ้นมาใหม่จะด้วยมนตราบทใดเธอมิอาจล่วงรู้ได้
“นี่แก... เป็นใครและทำไมต้องให้หลานนาคาตนนี้มาทำร้ายฉันด้วย” เธอเอ่ยเบาๆ ลอยๆ ออกไป เสียงคงดังไปถึงนาง
“ข้า...แม่เจ้านิลตวง ย่าของจันทรปภาที่อุ้มเจ้าลงมาจากโลกาพิภพ” เสียงก้องกังวานทั้งหัวเราะเยาะ ช่างดูเป็นย่าแสนประเสริฐเหลือเกิน
“พวกแก... ตั้งศาลเตี้ยอุ้มฉันมาฆ่า เป็นคดีอาญา รู้ไว้ด้วยต้องถูกตัดสินประหารชีวิต!!!” เธอขู่ออกไปให้ดูเหมือนเป็นคดีบนโลกมนุษย์
“ข้าไม่แจ้งใจ... มันคือเช่นไร แต่ข้ารู้แจ้งว่าซากเจ้าต้องถูกจันทรปภาฝังที่สิงขรข้า”
“ทำไม... ข้ายังไม่เป็นไรเลย” เธอเถียงกลับอย่างเป็นต่อ
“หลานรักข้า...จะดับสูญเจ้า ฝังซากเจ้าที่นี่!!!” เสียงนางโมโหกระแทกกระทั้น แล้วหายไปไม่ตอบอะไรอีกเลย
เพลิงนาคีที่แผดเผาอยู่รอบหอสังวาสด้านนอก ที่ก่อนหน้าโหมกระหน่ำอยู่ไม่หยุดยั้ง แต่ไม่สามารถทำอะไรตำหนักแห่งนี้ได้
บัวระวงไม่รู้จะจัดการสถานการณ์อย่างไร จึงนั่งลงบนพื้นหันหน้าเข้าผนังที่เป็นภาพสลักของพ่อกับแม่ เริ่มทำสมาธิให้จิตเข้าสู่ฌานเพื่อกำหนดอารมณ์ให้อยู่ในระดับการเข้าบริกรรม
ขณะนี้เธอแน่ใจแล้วว่าสาเหตุของเรื่องทั้งหมดที่ถูกอุ้มมาเพื่อฝังเธอไว้อย่างสาสมมาจากความแค้นของย่าอสูรตนนี้ นางได้เปิดเผยแล้วว่าจะฝังเธอไว้กับหลานรักทรยศตนนี้ไว้ด้วยกัน
ครั้นเกือบใกล้ยามสนธยา อสูรนาคามานพรูปงามนามไพเราะเริ่มขยับร่างกาย ร่างนาคาถอดรูปของเขาหายวับไป กลายร่างเป็นพญานาคาธิบดีทรงเครื่องนักรบโบราณ
“เจ้า...ช่วย...ข้า...ข้าที...ที” เสียงแหบแห้งหายไปกับอากาศ
“มีอะไรอีกล่ะ...ยังไม่ดีขึ้นหรือไง ฉันไม่ใช่หมอ ไม่มีมนต์วิเศษเสกให้นายฟื้นหรอกนะ” หญิงสาวเดินมาดูเขาที่ตั่ง
บัวระวงหย่อนกายลงนั่งบนตั่งข้างเขา พินิจรูปหน้าและผิวกายทั่วร่าง ผิวสีคล้ำออกแดงระเรื่อเริ่มมีปราณแห่งชีวิต เธอลูบไล้ใบหน้าหน้าอกและแขนสองข้าง ไล่ไปจนถึงส่วนร่าง เธอตกใจ...
“นี่นาย...ถูกเผาตรงส่วนนั้นด้วยหรือ...โห ทำไมย่าตนนี้โหดร้ายขนาดนี้” เธอส่ายหน้ามองทะลุผ้าสีขาวบางๆ ที่ห่มส่วนนั้นไว้
“ช่วยข้าที...ที ข้าปวดร้อน...ดั่ง...เพลิงแผดเผา...” เสียงเขายังทุรนทุราย ยังไม่ฟื้นขึ้นเท่าไหร่
“ฉันจะทำยังไงดีล่ะ...ฉันไม่ใช่หมอนะ” บัวระวงใจสะท้อน...ถอนหายใจสงสารชายหนุ่ม
“ช่วยข้าที...ช่วยขะ...ข้า” เสียงเขาทุรนทุราย
“เอาไงดีเนี่ย...ฉันจะรู้ได้ยังไง” เธอมองหน้าชายหนุ่ม อย่างหมดปัญญา...จนใจไม่รู้จะช่วยอย่างไร
แล้วบัวระวงจึงสังเกตว่าลมปราณของเขาแผ่วมาก เมื่อเอานิ้วไปแตะที่จมูก ลมหายใจดูผิดปกติ เธอเอาหูลงไปแนบฟังเสียงหัวใจของเขาที่หน้าอกด้านซ้าย
“แย่แล้ว ถ้าจะไม่รอดแน่”
เธอแน่ใจว่าเขาต้องการให้เธอช่วยผายปอดให้ น่าจะเป็นการถ่ายโอนลมปราณเข้าไปยังร่างกาย หญิงสาวหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดอย่างเต็มที่ กักลมไว้แล้วเอามือบีบจมูก จากนั้นจึงประกบริมฝีปากของเขาอีกครั้งพ่นลมออกจากปากเธอลงไปในอุ้งปากของเขา
“นี่ต้องดุนลิ้นของเขาให้มันเปิดลมจากเรา...ลงไป” เธอถอนหายใจด้วยความที่ไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ช่วยเหลือแบบนี้ เหมือนคนจมน้ำเลย
“นี่อะไรกัน...”
กว่าเธอจะถอนริมฝีปากที่ถูกเขาประกบไว้แน่น และยังไม่ยอมให้เธอล่ะจากการถ่ายโอนปราณ เธอแทบขาดอากาศหายใจ
“อีกคราเถิด...นา...” เสียงเขากระซิบแผ่วเบา เหมือนหัวใจกำลังจะเริ่มเต้นแรงขึ้น
“ไม่ได้...นายทำให้ฉันหายใจไม่ออก” เธอหงุดหงิดกับนาคาหนุ่มคนนี้เต็มประดา
“ช่วยข้าที...ที ข้ากำลังจะ...” เสียงเบาของเขาหายไป...ทันใด
“โอเค...ฉันจะช่วยนาย ถือว่าที่ช่วยฉันฟื้นมา ถือว่าเจ๊ากัน ไม่มีบุญคุณติดค้าง”
หญิงสาวหันซ้ายแลขวา ไม่รู้จะทำอย่างไร เธอจึงตัดสินใจขึ้นนั่งคร่อมตัวเขาแล้วเอาฝ่ามือสองข้างประกบกันกดลงที่หัวใจด้านซ้ายลึกลงไปแล้วปล่อยให้อกดันฟูขึ้น ทำเป็นจังหวะให้ได้ตามแบบ CPR ที่เคยเรียนรู้มาบ้าง 100 ถึง 120 ครั้งต่อนาที
“นายดีขึ้นรึยัง...” เธอเอ่ยถามข้างหู ขณะเอาหูแนบที่หน้าอก จับชีพจร ตรวจดูอีกครั้ง
“ข้าพึงใจนัก...เจ้า...ช่วย ช่วย ขะ...ข้า” เสียงของเขาเริ่มกลับมาอีกครั้ง
“หัวใจนายเต้นแรงขึ้นแล้วนะ...ชีพจรดีขึ้นแล้ว” เธอถอนหายใจโล่งอก
“ขอปราณ...เจ้าอีกครา” เสียงกระซิบแหบแห้ง
“ได้...ขอฉันเก็บกักลมปราณก่อน...” เธอเริ่มนั่งสมาธิหายใจเข้าให้ลึกที่สุดแล้วเก็บกักลมผ่อนออกทางปาก จนได้หนึ่งรอบจำนวน 10 ครั้ง จากนั้นจึงไปที่ตั่งนอนจับเขาลุกนั่งหันหน้าเข้าหาเธอ
บัวระวงจับมือเขาโอบเอวเธอไว้ แล้วจึงกอดร่างของเขาในท่านั่งสมาธิ เธอประกบริมฝีปากชายหนุ่มค่อยผ่อนลมปราณจากร่างกายเธอผ่านเข้าไปยังช่องปาก ให้ลมเข้าไปผายปอดให้ได้ออกซิเจน ทั้งหมดถึง 10 เซ็ต เซ็ตละ 10ครั้ง รวมแล้ว 100 ครั้งที่เธอประกบปากแล้วผ่อนลมเข้าออก เพื่อช่วยให้เขาหายใจออกทางจมูกได้เป็นปกติ
“เออ...ไม่ได้กินข้าวเลย...แต่ทำไมถึงไม่หิว ฉันอิ่มทิพย์หรือ” เธอเอ่ยถามไปเฉยๆ ไม่คิดว่าจะมีใครตอบกลับมา
‘เจ้ามิต้องพะวง...ฤทธิ์ข้าจะกลับมาวันพรุ่ง’ เสียงชายหนุ่มดังก้องในดวงจิตเธอ
บัวระวงฟุบลงไปที่พื้นของหอสังวาสตรงหน้าภาพสลักนาคาอุ้มเสพสม และหลับไปตอนไหนเธอไม่อาจคาดเดาได้ รู้เพียงว่าช่วงจิตกำลังตกภวังค์หลับลึกได้ยินเสียงแว่วไกลๆ
‘จุมพิตของเจ้า...ทำใจข้าสั่นสะเทือน’ เสียงจันทรปภาก้องเข้าสู่มโนสำนึกของเธอ
บัวระวงตื่นขึ้นรุ่งสาง...เป็นวันที่สามแล้ว เธอคิดในใจว่า...ต้องทำอะไรแล้ว!!!
“นาย...ช่วยพาฉันกลับบ้านเถอะ” เสียงอ้อนวอนของหญิงสาวดังกังวานก้องในหอสังวาส
“ข้าจะช่วยเจ้า...ขอพละข้าคืนกลับ...” เสียงของเขายังไม่ดังพอ เหมือนดังในมโนสำนึกเมื่อคืนวาน
ด้วยญาณของเขาส่งออกไปสำรวจ จึงรับรู้ได้ทันทีว่าเพลิงนาคีของแม่เจ้านิลตวงถูกร่ายกำกับด้วยบทมนตราแห่งพลังบังบด….ปิดปากทางประตูมิติ นางต้องการให้จันทรปภากำจัดอนงค์นางนี้ตามที่สั่งไว้แต่คราแรก
“วันพรุ่ง ข้าจะขอให้จักรเพชร...ช่วยข้า” เสียงเรียบเบาของเขาบ่งบอกถึงพละที่ยังต้องการเวลาฟื้นตัว ผิดกับหญิงสาวที่เธอได้รับพลังคืนดังเดิม เธอไม่ได้ถูกพิษร้ายแผดเผาเช่นเขา
จากนั้นไม่นานเขาจึงหลับใหลไป ร่างกายนิ่งหัวใจเต้นเบาประหนึ่งนาคาจำศีล คงน่าจะช่วยรักษาให้พลังกลับคืนมาอีกครั้ง
จันทรปภาตื่นขึ้นมายามดึก พลังอาคิระแสนกัปของเขาเริ่มกลับคืนมา จากอาการหลับนิ่งสงบคล้ายจำศีลระยะสั้น ร่างกายเย็นชืดเพื่อช่วยรักษาบาดแผลที่ร้อนเผาร่างกายก่อนหน้านั้น ก่อนจะลุกขึ้นเขาจึงต้องใช้เวลานานกว่าที่หัวใจจะกลับมาเต้นปกติ
“ขอข้ากอดเจ้า...อีกครา” คำพูดแทบไม่ได้ยิน... บัวระวงต้องเอาหูไปแนบที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม
“อะไรนะ...มากไปไหมนี่” เธอร้องเสียงหลง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 85
แสดงความคิดเห็น