ภาคโซมายา บทที่ 1 เรื่องประหลาดในดินแดนประหลาด
'กรีงงงงง!'
เสียงกระดิ่งเลิกเรียนดังพร้อมๆ กับเสียงตะโกนโหวกเหวกอย่างเริงร่าก้องไปทั้งห้อง ครูผู้สอนยังเดินไม่พ้นประตูห้องเลยด้วยซ้ำบรรดาเด็กสาวต่างก็เร่งมือประทินโฉม ปัดแป้งเติมปากกันอย่างกระตือรือร้นก่อนจะนวยนาดออกจากห้องเรียน ส่วนบรรดาเด็กหนุ่มบางคนต่างก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือยกเก้าอี้เทินบนโต๊ะเรียน พอทุกอย่างเรียบร้อยต่างก็ทยอยออกจากห้องพากันไปยังสถานที่ที่จะไปต่อกันในวันสุดสัปดาห์ ไม่นานเสียนงอึกทึกครึกโครมก็สงบลง ราวกับว่าความคึกคักก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น
เอลลานีนเด็กสาวร่างท้วมเก็บสมุดเล่มสุดท้ายลงในกระเป๋านักเรียนอย่างช้าๆ แล้วค่อยลุกจากที่นั่ง ยกกระเป๋านักเรียนขึ้นสะพาย แล้วก้าวออกจากห้องเรียน เธอเดินอย่างไม่รีบร้อนตรงไปยังหน้าโรงเรียน แม้ว่าระหว่างทางจะได้รับสายตาแปลกๆ จากคนในโรงเรียนก็ตามที แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะมันเป็นอย่างนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนเธอชินชากับมันเสียแล้ว
ไม่นานเด็กสาวก็เดินมาถึงหน้าโรงเรียน นักเรียนส่วนใหญ่ต่างก็รอผู้ปกครองมารับ อีกบางกลุ่มก็กำลังนัดแนะเพื่อจะไปเที่ยวกันต่อ และอีกบางส่วนก็กำลังยืนรอข้ามถนนเพื่อไปยังฝั่งตรงข้าม ส่วนตัวเอลลานีนเองเป็นกลุ่มที่รอผู้ปกครองมารับ แต่เธอจะต้องข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามด้วย ดังนั้นเธอจึงต้องไปยืนปะปนกับนักเรียนคนอื่นๆ เพื่อรอข้ามทางม้าลาย
เสียงเป่าปากจากบรรดาเด็กหนุ่มดังรับกันเป็นทอดๆ เมื่อกลุ่มดาวโรงเรียนปรากฏตัวขึ้น พวกเธอตั้งใจเดินมาหยุดยืนไม่ห่างจากเอลลานีนมากนัก และนั่นทำให้เด็กสาวร่างท้วมตกเป็นเป้าสายตาของบรรดานักเรียนไปโดยปริยาย เอลลานีนเพียงมองตรงไปข้างหน้านิ่ง เธอรู้ดีว่าเด็กผู้หญิงกลุ่มนี้ต้องการแกล้งเธอ มันเป็นอย่างนี้ทุกวัน และเธอเองก็เอาตัวรอดจากการถูกพวกเธอกลั่นแกล้งได้ทุกครั้งเหมือนกัน
เมื่อสัญญาณไฟของทางม้าลายอนุญาตให้คนเดินข้ามไปได้ รถก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลงจนบางคันจอดสนิทเพื่อให้นักเรียนทยอยข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม กลุ่มดาวโรงเรียนที่อยู่ข้างหลังเดินเบียดเสียดแซงหน้าเด็กสาวไป ทำให้เธอต้องผ่อนฝีเท้าลงเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกชนจนเสียหลัก แต่หนึ่งในกลุ่มดาวโรงเรียนฉวยจังหวะชุลมุนเอื้อมมือมากระชากสายกระเป๋าของเธออย่างแรง จนเธอแทบจะเสียหลักหัวขะมำ โชคดีที่ร่างของเธอไม่ได้บอบบางพอที่จะปลิวไปตามแรงลากได้ง่ายขนาดนั้น ดังนั้นเธอจึงใช้มือกระชากกลับคืนมาจนอีกฝ่ายเสียหลักเกือบจะล้ม จึงทำให้เกิดความโกลาหล เด็กหนุ่มหนึ่งในแฟนขลับเห็นเหตุการณ์จึงใช้ร่างกระแทกเอลลานีนอย่างแรง และนั่นทำให้ร่างของเธอกระเด็นไปกระแทกกับนักเรียนข้างหลังพอดี
"โอ๊ย! เป็นบ้าอะไรของเธอเนี่ย" เสียงของนักเรียนที่ถูกชนตวาดพร้อมกับผลักเด็กสาวอย่างแรง
กลิ่นหอมประหลาดลอยมาปะทะจมูกก่อนที่ร่างของเธอจะถูกผลักเป็นครั้งที่สอง คราวนี้เด็กสาวทรงตัวไม่อยู่ เธอเซไปตามแรงผลักจนกระเด็นไปไกล หางตาเห็นรถบรรทุกตะบึงใกล้เข้ามาทุกขณะ รถคันใหญ่บึ่งตรงเข้ามา มันชนรถคันเล็กที่จอดให้นักเรียนข้ามถนนพังระเนระนาด หันมองรอบตัวก็ไม่เห็นใคร มีเพียงเธอที่ยืนอยู่กลางถนนเพียงลำพัง
"กรี๊ด!" เอลลานีนกรีดร้องอย่างตระหนกเมื่อมัจจุราชสิบแปดล้อพึ่งตรงเข้าหาเธออย่างบ้าคลั่ง ลมหอบใหญ่ปะทะร่างจนเด็กสาวทรงตัวไม่อยู่อีกต่อไป ล้อมหึมาบดขยี้พื้นถนนใกล้เข้ามาทุกขณะ เธอได้แต่ทอดถอนใจ พยายามทำจิตใจให้สงบเผื่อตายอีกครั้งจะได้ไปสู่สุขติอย่างที่ว่าจริงๆ เสียที
"เกิดอะไรขึ้น" มีเสียงถามดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างขบขันดังเซ็งแซ่ เอลลานีนกระพริบตาอย่างงุนงง เมื่อครู่เธอไม่ได้ถูกรถเหยียบไปแล้วหรอกหรือ ทำไมสภาพแวดล้อมยังคงเป็นที่เดิมอยู่อีกเล่า
"ดูซิช้างล้ม น่าเกลียดชะมัด" เด็กสาวผมแดงหัวหน้าห้องของเธอป้องปากหัวเราะอย่างขบขัน
"นี่คงจะเรียกร้องความสนใจอีกล่ะซิ พวกเธออย่าไปสนใจยายนี่เลย ตัวกาลากินีที่อ่อนแอ ขี้โรค และเฉิ่มเชยของเมืองเรายังไงเล่า เด็กสาวร่างผอมที่ยืนอยู่ข้างๆ เด็กสาวผมแดงตะโกนขึ้น ทำให้เด็กสาวร่างท้วมที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางถนนได้รับสายตารังเกียจจากคนรอบตัว
"อ้อยายเอลลานีนที่ตกน้ำเมื่อสามเดือนก่อนนั่นน่ะเหรอ นึกว่าตายไปแล้ว นี่เธอยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอเนี่ย" หนึ่งในบรรดานักเรียนพูดขึ้น
"ถ้าไม่อยากมีเรื่องกับพี่ของเธอ ก็อย่าไปยุ่งเลยดีกว่าน่า" อีกเสียงปรามขึ้นมา
"พี่ของเธอน่ะเป็นหมาบ้าชัดๆ" เสียงวิภากษ์วิจารณ์ยังคงดังต่อเนื่อง
"เอาน่า เธอคงอยากจะเด่นน่ะ" เด็กสาวผมแดงพูดขึ้นก่อนจะเรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง
เอลลานีนได้แต่ปล่อยให้เสียงเหล่านั้นลอยผ่านหูไป ตอนนี้เธอได้แต่ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ก่อนหน้านั้นเธอเห็นรถบรรทุกคันใหญ่ห้อตะบึงมา แต่พอกระพริบตาทุกอย่างที่เห็นก็หายไป สภาพรอบตัวเป็นปกติ ไม่มีส่วนไหนที่ได้รับความเสียหายสักนิด ขณะที่เธอพยายามหาสาเหตุที่เกิดขึ้นกับตัวเองอยู่นั้นมืออบอุ่นของใครบางคนก็แตะลงบนหัวไหล่ทั้งสองของเธอ
"ลุกไหวไหม" เสียงทุ้มของชายหนุ่มดังใกล้หู เด็กสาวยังคงงุนงงจึงไม่ได้ตอบทันที แต่พอลำแขนแข็งแรงโอบร่างของเธอเพื่อพยุงให้ลุกขึ้นเด็กสาวจึงได้สติอีกครั้ง
เอลลานีนเงยหน้าขึ้นมอง รู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงหัวเราะหรือคำพูดถากถางให้ได้ยิน เธอขมวดคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อสังเกตเห็นว่าสายตาทุกคู่ต่างก็จ้องมองมาทางเธอ โอ...ไม่สิ พวกเขาไม่ได้จ้องมองเธอแต่กลับมองใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอต่างหาก
"ขอโทษทีเมื่อกี๊ฉันเดินชนเธอ เธอบาดเจ็บตรงไหนไหม" เสียงนุ่มกังวารของคนที่ยืนพยุงเธอข้างๆ ทำให้เอลลานีนเบนสายตามองเขาทันที
"เอ่อ!...ไม่เป็นไรค่ะ" เธอตอบตะกุกตะกักเมื่อมองเห็นอีกฝ่ายถนัดชัดตา
ชายร่างสูงที่ยืนข้างเธอกำลังยิ้ม ผมตรงยาวสีรัตติกาลรวบมัดจากสายหนังสีเดียวกันเผยให้เห็นเครื่องหน้าหล่อเหลาชวนมอง ชุดหนังบนร่างเสริมให้เห็นโครงร่างกร้าวแกร่งดุดันของผู้สวมใส่ ยามที่บังเอิญสานสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลลึก ก็สัมผัสได้ถึงความลึกลับและอันตรายของท้องทะเล ยิ่งเธอมองนานเท่าไหร่ก็เหมือนจะถูกพลังจากดวงตาของเขากระชากจิตวิญญาณให้หลุดเข้าไปในเวิ้งน้ำกว้างใหญ่ แรงบีบรัดไร้ที่มาทำให้เอลลานีนแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ดั่งถูกพลังจากน้ำมหาศาลกดทับจนกระดุกกระดิกไม่ได้
'ปิ๊น...ปิ๊น!' เสียงที่คุ้นเคยดังแว่วๆ เอลลานีนพยามดึงจิตใจให้หลุดจากอาการอึดอัดนี้แต่เธอกลับทำอะไรไม่ได้เลย สุดท้ายก็ได้รับความปราณีจากเจ้าของดวงตา เวิ้งน้ำกว้างใหญ่ที่บีบรัดผ่อนกำลังลง ท้ายที่สุดมันก็ปล่อยให้เธอได้รับอิสระ
"เฮือก!" เด็กสาวอ้าปากหอบหายใจ มืออวบๆ ของเธอยังคงวางบนลำแขนแข็งแรงของบุรุษหนุ่ม และเหมือนว่าเขาเองก็ไม่ยินดีสักเท่าไหร่
"ขอบคุณค่ะ" เธอพึมพำพร้อมเก็บมือกลับ และค้อมศีรษะแสดงถึงความขอบคุณอย่างจริงใจให้เขา
"ไม่เป็นไร" เสียงนุ่มตอบกลับ เธอสัมผัสถึงกลิ่นไออันตรายที่แผ่ออกมาจากร่างสูงนั่นสร้างความรู้สึกไม่สบายใจให้กับเธอไม่น้อย แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเด็กสาวผมแดงเอลลานีนก็ละความสนใจจากผู้มีพระคุณทันที
เอลลานีนปรี่เข้าไปยังจุดที่เด็กสาวผมแดงยืนอยู่ มือหนึ่งก็หยิบของในกระเป๋านักเรียนออกมา เมื่อใกล้พอเธอก็สาดผงหมามุ่ยที่เธอทำขึ้นมาลงบนร่างของเด็กสาวผมแดงทันที ฝ่ายนั้นเหมือนจะยังไม่ทันได้ตั้งตัว ผงหมามุ่ยที่เอลลานีนทำขึ้นมานั้นจึงกระจายทั่วตัวของเธอ
"กรี๊ด! นี่แกเอาอะไรมาใส่ฉันฮะ" เด็กสาวผมแดงกระโดดโหยงเหยง ไม่นานอาการคันยุบยิบตามตัวก็ทวีความรุนแรงขึ้น
"รีบไปหาหมอซะนะ ไม่งั้นเธออาจจะตายเพราะเชื้อกาลากินีจากฉันก็ได้" เด็กสาวกวาดตามองรอบตัวอย่างดุร้าย
"มีใครอยากลองดีอีกไหม อ้อ!...พี่สาวของฉันไม่ใช่หมาบ้า แต่เป็นฉันต่างหากล่ะ ไหน...เมื่อกี๊ใครมันพูด" เอลลานีนถลึงตาใส่กลุ่มนักเรียนที่ค่อยๆ ถอยห่างจากเด็กสาวผมแดงที่ร้องกรี๊ดๆ อย่างตระหนก
"เอลล่า" เสียงเรียกจากคนในรถทำให้เด็กสาวหมุนตัวเดินตรงไปยังรถที่จอดรอ ปลายตามองยังจุดที่บุรุษหนุ่มยืนอยู่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
รถเคลื่อนตัวออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเด็กสาวจะหันกลับมามองยังจุดที่เธอยืนอยู่เมื่อครู่ก็จะเห็นชายร่างสูงทอดตามองตามหลังรถที่เธอโดยสารไปด้วยดวงตาที่ยากจะคาดเดา ริมฝีปากยกยิ้มอย่างพึ่งใจ ก่อนที่จะพึมพำคำพูดบางอย่าง
"ในที่สุดเราก็ได้พบกันสักทีนะ ดูเหมือนว่าเธอจะแข็งแกร่งขึ้นด้วย"
บรรยากาศภายในรถยังคงเงียบทั้งๆ ที่รถเคลื่อนตัวห่างจากโรงเรียนมาไกลโขแล้ว เด็กสาวที่สวมเครื่องแบบนักเรียนยังคงนั่งกอดกระเป๋าไว้กับอก ใบหน้าเคร่งเครียด คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันจนคนที่นั่งข้างๆ อดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วเล็กๆ ของเธอมาคลึงตรงหว่างคิ้วให้คลายออกจากกัน
"จะเครียดทำไม เมื่อกี๊พี่เห็นนะว่าเราทำอะไรกับเด็กนั่น แล้วมันจะเป็นอันตรายหรือเปล่า" หญิงสาวผมซอยสั้นระต้นคอละมือจากหว่างคิ้วของน้องสาวมาบังคับพวงมาลัยรถถามขึ้น
"เป็นพิษอ่อนๆ จากพืชบางอย่าง แค่สร้างความรำคาญให้ยายแอมเบอร์นิดหน่อย ไม่อันตรายหรอก พี่ไม่ต้องกังวล" เอลลานีนว่า พร้อมนึกถึงความทรมานที่เด็กสาวผู้โชคร้ายกำลังประสบก็อดอมยิ้มไม่ได้
"ไม่อันตรายก็ดีแล้ว" เธอว่า ตายังคงจับจ้องบนถนน
"แล้ววันนี้พี่แดนนี่ไปไหน ทำไมไม่มาด้วยล่ะ" เด็กสาวถามหาว่าที่สามีของพี่สาว เพราะหลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้นเขาก็จะมารับเธอเป็นเพื่อนอลิเซียพี่สาวของเธอแทบจะทุกวัน
"เขามีธุระ" เอลลานีนพยักหน้ารับรู้ แล้วก็เอนหลังพิงพนักหลับตา
เมื่อบรรยากาศในรถตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เอลลานีนก็อดที่จะครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นไม่ได้ เธอมั่นใจว่ามีเพียงเธอเท่านั้นที่เห็นเหตุการณ์หายนะและรถบรรทุกคันนั้น เพราะจากสีหน้าหลังกระพริบตา และสภาพรอบตัวที่ปกติบ่งบอกได้อย่างดี อีกอย่างเธอมั่นใจว่าบุรุษลึกลับที่เข้ามาช่วยเธอ เขาน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้
แต่เด็กสาวก็หาข้อสรุปให้ตัวเองไม่ได้ว่า ทั้งเหตุการณ์รถบรรทุกพ่งชนระเนระนาดและยามที่ตัวเองสบตาเข้ากับชายลึกลับแล้วรู้สึกถึงพลังประหลาดนั้น มันเกิดจากพลังวิเศษเวทมนต์หรือเพียงถูกเขาสะกดจิตให้เห็นสิ่งเหล่านั้นกันแน่ เพราะตั้งแต่เธอหลุดเข้ามายังโลกใหม่ใบนี้เธอก็ยังไม่เคยสัมผัสถึงพลังเหนือธรรมชาติหรือแม้กระทั่งมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างที่เขียนไว้ในหนังสือสักครั้ง
"วันนี้มีเพื่อนแกล้งอีกไหม" คำถามไม่มีปีไม่มีขลุ่ยของอลิเซียดังทำลายความเงียบขึ้นมา
"ไม่มีหรอกน่า พี่สบายใจได้" เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ เสียงถอนใจอย่างโล่งอกดังมาจากหญิงสาว
"เห็นนั่งเหม่อ นึกว่ามีคนแกล้งอีก ถ้ามีให้รีบบอกพี่เลยนะ"
น้ำเสียงจริงจังของอลิเซียทำให้เอลลานีนอมยิ้ม เธอรู้ดีว่าพี่สาวเป็นห่วงมากเพียงใด เพราะตั้งแต่ที่เธอหมดอายุขัยในโลกก่อนและวิญญาณของเธอหลุดเข้ามายึดครองร่างนี้ได้เกือบสามเดือนซึ่งมันเป็นวันเดียวกันกับที่เด็กสาวเจ้าของร่างถูกเพื่อนผลักตกน้ำนั้น อลิเซียก็เฝ้าระมัดระวังน้องสาวกำมะลออย่างดี ตอนที่เธอหมดอายุขัยนั้นเธออายุสี่สิบปี เป็นแม่บ้านที่ไร้ซึ่งความสุขโดยสิ้นเชิง เป็นผู้หญิงที่ล้มเหลวทั้งชีวิตคู่และการงาน ดังนั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้ายเธอก็เฝ้ารอวันลาโลกอย่างใจจดใจจ่อ แต่พอวันนั้นมาถึง วิญญาณของเธอกลับไม่ได้ถูกส่งไปตัดสินบุญบาปเพื่อพิภากษา แต่กลับหลุดเข้ามายังโลกที่ไม่ปรากฏในแผนที่โลกที่เธอเคยอยู่
"เอลลี่" คือชื่อของเธอในโลกที่แล้ว แต่เด็กสาววัยสิบเจ็ดที่เธอมาอาศัยร่างอยู่นี้ก็มีชื่อที่ใกล้เคียงกับเธอคือ "เอลลานีน" ดังนั้นเมื่ออะไรก็ตามที่ส่งให้เธอมีชีวิตอีกครั้งในโลกอีกใบ เธอก็จะทำให้แม่หนูเอลลานีนมีชีวิตที่ดีและมีความสุข ทิ้งชีวิตบัดซบของเอลลี่ที่โลกใบเก่า แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเอลลานีนในโลกใบใหม่อีกครั้ง
เมื่อร่างกายแข็งแรงเธอก็ต้องกลับมาใช้ชีวิตตามกิจวัฒน์ของเจ้าของร่างเดิม และสิ่งที่กังวลที่สุดคือการใช้ชีวิตในโรงเรียน แต่ก็โชคดีที่เอลลานีนไม่มีเพื่อนเลยสักคน ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องกลัวว่าใครจะจับโป๊ะได้ พอไม่มีใครให้ถามถึงดินแดนแปลกประหลาดแห่งนี้เด็กสาวจึงหาข้อมูลจากห้องสมุดแทน และก็ทำให้เธอรู้ว่าเมืองที่เธออาศัยอยู่นี้มีชื่อว่า "ลูน่า"
ลูน่าเป็นเมืองท่าติดทะเล ชาวลูน่าส่วนใหญ่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่มีพลังวิเศษใดๆ เนื่องจากเป็นเมืองที่อยู่ติดทะเล จึงสะดวกต่อการเดินทางและทำการค้าขายกับชาวต่างเผ่า จึงทำให้ลูน่าเป็นเมืองที่เจริญเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ต่อให้จะเป็นเมืองที่เจริญและคึกคักเพียงใดเมื่อมีภูมิประเทศติดทะเลติดภูเขาจึงทำให้ชาวลูน่าเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวนอยู่บ่อยครั้ง ทั้งฝนตกชุกและเผชิญกับลมมรสุมสลับกันตลอดปี
ส่วนวิถีชีวิตของคนในเมืองก็ยังคงพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และโทรคมนาคม ซึ่งเป็นปัจจัยหลักๆ ของการดำรงชีวิต เมื่อการใช้ชีวิตไม่แตกต่างจากโลกที่ตัวเองจากมา เธอจึงไม่ต้องปรับตัวเลยด้วยซ้ำ แต่ที่จะผิดแผกแตกต่างก็คงจะเป็นมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์ที่มาค้าขายในเมืองนี้อยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกภูต พ่อมด หรือว่าเผ่ามังกร โชคดีที่ยามที่พวกเขาย่างเข้ามายังเมืองนี้ก็จะถูกจำกัดพลังวิเศษ ดังนั้นชาวลูน่าจึงไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้าย ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เธออ่านในหนังสือเท่านั้น แต่ยังไม่มีโอกาสได้เจอตัวเป็นๆ เลยสักครั้ง หรือบาง ที่เธออาจจะเจอร่างจำแลงของพวกเขาแล้วก็ได้
“ไม่มีใครแกล้งฉันหรอก พวกเขากลัวพี่สาวของฉันจะตาย”
สิ่งที่เด็กสาวพูดนั้นมันไม่ได้เกินจริงเลย เพราะตั้งแต่ที่น้องสาวถูกเพื่อนผลักตกน้ำในครั้งนั้น อลิเซียก็กลายเป็นผู้ปกครองของเอลลานีนที่ไม่มีใครอยากจะมีเรื่องด้วย ดังนั้นจึงไม่มีใครพาตัวเองมายุ่งเกี่ยวหรือสร้างความลำบากใจให้กับเด็กสาวอีก เพราะอลิเซียสามารถลากนักเรียนที่กระทำกับน้องสาวของเธอให้เผยโฉมหน้าและออกมารับโทษต่อหน้าคนทั้งเมืองได้จนครบทุกคน แม้ว่าครอบครัวของเธอจะถูกคุกคามจากครอบครัวของเด็กบางคนที่เป็นผู้มีอิทธิพลในเมืองนี้ แต่อลิเซียก็ไม่ได้หวาดหวั่น เธอเพียงหวังให้เอลลานีนไม่ต้องถูกรังแกอีก
โชคดีในโชคร้ายที่หลังจากน้องสาวของเธอฟื้นจากการตกน้ำในครั้งนั้น ร่างกายที่อ่อนแอแต่กำเหนิดก็แข็งแรงขึ้น ไม่ป่วยกระเสาะกระแสะเหมือนเมื่อก่อน นิสัยขี้ขลาดหวาดกลัวหายไป กลายเป็นเอลลานีนที่ร่าเริงสดใส อลิเซียไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับเอลลานีน แต่ถ้าอะไรที่เกิดขึ้นกับเอลลานีนแล้วทำให้น้องสาวของเธอมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็ไม่จำเป็นที่พี่สาวอย่างเธอต้องหาคำตอบ
"กลัวก็ดี จะได้ไม่มีใครมารังแกเราอีก" อลิเซียว่ายิ้มๆ
"แปลกจัง ปกติพี่แดนนี่จะไม่ปล่อยให้พี่มาคนเดียวนี่นา แสดงว่าเป็นธุระที่สำคัญมาก" รอยยิ้มสดใสของอลิเซียทำให้เอลลานีนรู้สึกมีความสุข เด็กสาวรู้สึกถึงออร่าของเจ้าสาวที่แผ่ออกมา จึงอดที่จะยินดีกับพี่สาวของตัวเองไม่ได้
"เขาไปรอรับพ่อแม่ที่ท่าเรือน่ะ"
"อ้อ! แล้วพี่เตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว อีกสามวันก็จะเป็นเจ้าสาวแล้วนะ"
"ไม่ต้องห่วงพี่หรอกน่า ว่าแต่วันนี้ไปเป็นเพื่อนพี่รับชุดเจ้าสาวหน่อยนะ"
"ได้สิ ว่างทุกวันแหละ" เด็กสาวตอบด้วยรอยยิ้ม
"พรุ่งนี้ก็ไปช่วยขนของชำร่วยด้วย"
"แหมๆ ได้ทีล่ะใช้ใหญ่เลยน้า"
"หรือว่าเราจะช่วยป้ามาลีรอต้อนรับบรรดาป้าจอมเรื่องมากกันล่ะ" เอลลานีนทำหน้าสยอง ก่อนจะส่ายหน้าหวือ
"ไม่เอาหรอก ปล่อยให้ป้ามาลีรับศึกไปคนเดียวเถอะ ขืนฉันไปต้อนรับ พวกป้าๆ ต้องกระโดดขึ้นรถกลับบ้านไม่ทันแน่ๆ" จบคำเสียงหัวเราะก็ดังประสานกันลั่นรถ
นี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่อลิเซียมั่นใจว่าน้องสาวของเธอสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว เพราะหลังจากที่เอลลานีนพักฟื้นได้ไม่นาน บรรดาป้าๆ หรือพี่สาวของพ่อก็แห่กันมาเยี่ยมเอลลานีน คงมาดูว่าน้องสาวของเธอฟื้นขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้กุเรื่อง อลิเซียไม่นึกชอบพี่สาวของพ่อเลยสักคน เพราะพวกเธอต่างก็เชื่อว่าเอลลานีนเกิดมาพร้อมกับดวงกาลากินีต่อครอบครัว เพราะหลังจากที่แม่คลอดเอลลานีนได้ไม่นาน พ่อก็จากไปอย่างไม่มีสาเหตุ ตามด้วยเพื่อนบ้านสองสามราย แม่กลัวว่าจะเกิดอันตรายกับเอลลานีนจึงย้ายบ้านอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งมาลงหลักปักฐานที่ลูน่า ที่สำคัญไม่มีใครตาย แม่จึงยึดเมืองนี้เป็นที่พำนัก แต่สุขภาพของเอลลานีนก็ไม่ไม่ดีอย่างเด็กทั่วไป แต่แม่ก็ดูแลลูกสาวคนเล็กอย่างดี จนกระทั่งสามปีก่อนแม่ล้มป่วยแล้วก็เสียชีวิต หน้าที่ดูแลน้องสาวเลยตกกับอลิเซียเต็มตัว
บรรดาป้าๆ พยายามเกลี้ยกล่อมให้อลิเซียส่งเอลลานีนให้ไปทำงานกับเศรษฐีของเมืองโซมายา ซึ่งเป็นเมืองที่มนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ในทุกๆ ปีเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านของตระกูลเศรษฐีจะมาที่เมืองลูน่า เพื่อรับสมัครพ่อครัวแม่ครัวเข้าคฤหาสน์ของตน เพราะต่างก็รู้ดีว่าชาวเมืองโซมายานั้นชอบกินอาหารที่ประกอบขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ธรรมดามากกว่าใช้เวทมนต์สร้างขึ้นมาเพียงใด
อลิเซียเกือบจะคล้อยตามเหตุผลของป้าๆ ว่าที่เมืองนั้นมีพลังวิเศษช่วยยืดอายุให้เอลลานีนเสียแล้ว และตั้งใจจะส่งเอลลานีนไปตามคำพูดของป้าๆ แต่น้องสาวของเธอกลับลุกขึ้นมาตอบโต้โดยการโยนกระเป๋าเสื้อผ้าของป้าๆ ออกจากบ้าน และประกาศลั่นไม่ให้ป้าๆ มาที่บ้านของพวกเธออีก แต่คราวนี้เลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ให้พี่สาวของพ่อมาที่บ้าน เพราะงานแต่งของเธอกับแดนนี่จำเป็นต้องเชิญญาติผู้ใหญ่มาเป็นสักขีพยาน และญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดที่สุดก็คือพี่สาวทั้งสามของพ่อนั่นเอง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 36442
ความคิดเห็น
ฝากติดตามการผจญภัยของเอลล่าด้วยนะค้า
แสดงความคิดเห็น