อุ่นในไอรัก บทที่ 27 บทส่งท้าย
นภทีป์ลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากสนามบินสายตาก็มองหาคนที่ธีรกานต์เพื่อนสนิทที่แจ้งว่าจะส่งมารับเพื่อพาเข้าไร่ซึ่งเป็นที่พำนักของเพื่อน ชายหนุ่มเดินหลบผู้โดยสารมองหาไปพลางแต่ก็ยังไม่เห็นผู้ที่จะมารับตนสักที เสียงโทรศัพท์มือถือดังเขาจึงลากกระเป๋าหลบแล้วล้วงมือหยิบเครื่องมือสื่อสารที่ส่งเสียงดังไม่หยุดจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมา เห็นว่าหน้าจอปรากฏหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยจึงกดรับสายโดยหวังว่าจะเป็นเบอร์โทรของคนที่เพื่อนส่งมารับเขา
"สวัสดีครับ" เขากรอกเสียงลงไป เสียงตอบกลับมาเป็นเสียงของผู้หญิง เธอนัดแนะจุดนัดพบก่อนที่จะกดวางสายไป
"บ้าเอ๊ย! ไม่ฟังอะไรเลย" เขาสบถอย่างหงุดหงิด ตอนแรกตั้งใจจะบอกว่าเขาไม่รู้จักที่ที่เธอบอก แต่ฝ่ายนั้นเอาแต่พูดๆ แล้วกดวางสายไปเลย ชายหนุ่มทำได้แต่หัวเสียไปตามเรื่อง
กว่าที่นภทีป์จะหาจุดนัดพบเจอก็ใช้เวลาไปนานพอควร เขาต้องไล่ถามพนักงานมาตลอดทาง พอมาถึงยังถูกแม่เจ้าพระคุณที่รออยู่ก่อนชักสีหน้าไม่พอใจใส่อีก ชายหนุ่มได้แต่วางกระเป๋าแรงๆ บนกระบะหลังเพื่อระบายอารมณ์ก่อนจะขึ้นไปนั่งกอดอกหน้ามุ่ยทางฝั่งผู้โดยสาร
รถเคลื่อนตัวจากตัวเมืองเข้าสู่ชนบท ตลอดสองข้างทางมีแต่ต้นไม้ใบหญ้า จากทางราดยางกลายมาเป็นทางลูกรังสลับกันอยู่อย่างนั้น นภทีป์ชมวิวสองข้างทางจนเบื่อแล้วก็ลอบสังเกตพนักงานขับรถที่ธีรกานต์ส่งมารับเงียบๆ
เธอมีรูปร่างผอมสูง เสื้อและกางเกงขายาวแขนยาวสีทึบทึมหลวมโพรกบนเรือนร่างทำให้ยากจะสังเกตเห็นทรวดทรงองค์เอว ทั้งยังหมวกแก๊ปที่สวมบนศีรษะแม้ขนาดขึ้นมานั่งบนรถแล้วก็ไม่ยอมถอด รวมถึงแว่นกันแดดอันโตทำให้บดบังเครื่องหน้าไปจนหมดสิ้น เมื่อไม่สามารถหาความเจริญตาเจริญใจจากคนข้างๆ นภทีป์ก็เลิกสนใจเธอ เขาลงความเห็นว่าเจ้าหล่อนคงเป็นสาวหล่อที่หมายปองสาวๆ เฉกเช่นเดียวกันกับเขา เพราะจากลักษณะท่าทางที่เธอแสดงออกมานั้นดูดมาดแมนเสียเหลือเกิน
นั่งไปไม่นานเจ้าเครื่องยนต์ที่เขาอาศัยก็สำลักควันค็อกแค็ก เครื่องกระตุกสองสามทีก็จอดนิ่งสนิท ฝ่ายคนขับเหมือนจะหัวเสียมากพอดู เธอกระแทกประตูเปิดออก ตรงไปเปิดกระโปรงรถขึ้น นภทีป์เห็นเธอก้มๆ เงยๆ อยู่เป็นนาน เขาจึงตัดสินใจลงไปดู เผื่อว่าจะช่วยอะไรเธอได้บ้าง แม้ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ตามที
"รถเป็นอะไรน่ะ" เขามาหยุดยืนข้างๆ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขานิ่งๆ
"ไม่รู้เหมือนกัน คุณซ่อมรถเป็นไหม" เธอถาม
"ไม่เป็น" เขาส่ายหน้ารับรองคำตอบ เธอถอนใจอย่างระอา
"ฉันก็ว่า..." เธอพูดแค่นั้นก็หันไปมองเครื่องยนต์อย่างจนปัญญา
"ว่าอะไร" เขาถามเมื่อเห็นแววดูถูกที่ฉายชัดบนดวงตา
"ว่าคนอย่างคุณคงช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าช่วยไม่ได้ก็ไปอยู่ห่างๆ ฉันหน่อย เห็นคุณแล้วหงุดหงิด" เธอว่าเขาตรงๆ นภทีป์เริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาแล้วเหมือนกัน จำได้ว่าเขายังไม่ได้ทำอะไรให้เธอเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่นั่งรถมาด้วยกันเขาก็ยังไม่ได้พูดคุยกับเธอเลยสักคำ
"ถ้าฉันไม่รู้เรื่องเครื่องยนต์ก็ไม่แปลกหรอก แต่คนขับรถของไร่ไม่รู้เรื่องรถนี่สิแปลก ไม่รู้ว่าผ่านงานมาได้ยังไงกัน" ที่เขาคิดว่าคนตรงหน้าเป็นคนงานในไร่นั้นก็เพราะธีรกานต์โทรมาบอกก่อนแล้วว่าจะให้คนงานไปรับ ดังนั้นเขามั่นใจเกินร้อยว่าแม่สาวหล่อคนนี้จะต้องเป็นหนึ่งในคนงานแน่ๆ ยิ่งได้เห็นแววขบขันที่มองผ่านแว่นออกมาก็ทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิด จึงเผลอพูดไปตามอารมณ์เพื่อจะขู่ให้เธอกลัวเกรงเขาเสี่ยบ้าง
"เจ้านายไม่บอกรึว่าฉันเป็นแขกของเขา" เธอยังคงใช้สายตาเช่นเดิมมองเขานิ่ง
"เป็นแขกของเจ้านายแล้วไง มีสิทธิ์มายืนต่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของคนอื่นด้วยเหรอ คุณนี่แยกแยะอะไรไม่เป็นเอาเสียเลย เอาล่ะฉันขี้เกียจเถียงกับคุณแล้ว คุณขึ้นไปบังคับรถเดี๋ยวฉันไปเข็นรถเอง ขืนมัวแต่ยืนบื้อกันอยู่อย่างนี้ก็เสียเวลากันพอดี" พูดจบเธอก็เดินไปประจำที่ยังท้ายรถ แถมยังส่งสายตาดูถูกดูแคลนให้เขาเสียอีก
นภทีป์ขึ้นประจำที่คนขับ บังคับพวงมาลัยเมื่อรถค่อยๆ เคลื่อนตัว เขาอดทึ่งแรงเข็นรถของเธอไม่ได้ รูปร่างผอมบางอย่างนั้นทำไมถึงได้แรงเยอะขนาดนี้ เมื่อรถมีความเร็วในระดับหนึ่งชายหนุ่มจึงสตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม เขาผุดรอยิ้มชั่วร้ายเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารออก เขาก็เหยียบคันเร่งกระชากรถออกตัวไปทันที
ชายหนุ่มทันได้เห็นแววตระหนกก่อนจะกลายเป็นเดือดดาลจากสีหน้าของเธอ เขาหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ ตั้งใจจะกำหราบสาวหล่อให้รู้จักเกรงกลัวเขาเสียบ้าง อย่างน้อยเมื่อไปถึงไร่เธอจะได้ไม่กำเริบเสิบสานกับเขา เหลือบดูแผนที่ที่ปักหมุดไว้บนโทรศัพท์ก็รู้ว่าจุดหมายเหลืออีกไม่ไกลแล้ว แต่ความสำเริงสำราญก็อยู่กับเขาได้ไม่นาน เจ้ารถสับปะลังเคก็กระตุกแล้วก็ดับลงเสียดื้อๆ
เขาเปิดประตูออกมานอกรถ ก่นด่าเพื่อนตัวดีที่ไม่รู้จักเช็คสภาพรถก่อน นภทีป์ได้แต่เดินรอบตัวรถอย่างหงุดหงิด แหงนเงยดูดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ คล้อยต่ำลงไปเรื่อยๆ เสียงรถเครื่องดังฝ่าความเงียบใกล้เข้ามา ชายหนุ่มนึกดีใจจึงยืนโบกไม้โบกมือขอความช่วยเหลือ แต่พอรถเข้ามาใกล้เขาก็ต้องชะงัก เพราะคนขับกลายเป็นเธอคนนั้น
"อ้าว! ฉันนึกว่าคุณไปถึงไร่แล้ว รถดับหรอกเหรอเนี่ย" เธอแสยะยิ้มสะใจ
"เธอแกล้งฉัน" เขาโบ้ยความผิดให้เธอเสียเลย
"หน้าไม่อาย ทิ้งให้ฉันเดินข้างถนนคนเดียวไม่พอ ยังหาว่าฉันแกล้งอีก คุณนี่มันใจยักษ์ใจมารจริงๆ" คำพูดของเธอทำเอานภทีป์ถึงกับหน้าชา
"แล้วจะเอายังไงล่ะ ฉันก็แค่แหย่เธอเล่นๆ เอง" เขายอมรับ นึกละอายเด็กหนุ่มที่นั่งซ้อนท้ายเธอคนนั้นมา
"พี่ศิเดี๋ยวผมเฝ้ารถอยู่ตรงนี้ พี่พาคุณเขาไปที่ไร่เถอะ" เด็กหนุ่มตั้งท่าจะลงจากมอร์เตอร์ไซค์ แต่เธอส่ายหน้า
"ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันจะไปตามคนงานในไร่มารับคุณก็แล้วกัน เตือนไว้ก่อนเลยว่าที่นี่โจรชุมยิ่งกว่ายุงเสียอีก ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อของโจร คุณควรลากกระเป๋าของคุณไปด้วยแล้วอยู่ให้ห่างจากรถเสีย" พูดจบเธอก็กระชากรถออกไปทันที นภทีป์ได้แต่มองตามไฟท้ายรถที่ค่อยๆ ห่างออกไปอย่างใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา อุ่นใจเพราะอย่างน้อยแบตเตอร์รี่ก็ยังไม่หมด เขาเลื่อนหารายชื่อของเพื่อนแล้วก็กดโทรออก อดกระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อสิ่งที่ยายทอมหวังไว้คงไม่เป็นความจริง นี่เธอคงหวังให้เขาหวาดกลัวล่ะสิ แต่ธว่า...
"ชิบหายแล้ว ไม่มีสัญญาณ" หลังจากที่เขาพยายามกดโทรรอบแล้วรอบเล่าก็ไม่มีสัญญาณใดๆ ตอบรับหรือปรากฏขึ้นมา
ดวงอาทิตย์ผลุบหายไปนานแล้ว เหลือเพียงลำแสงเรื่อเรืองก่อนจะอ่อนแสงกลายเป็นความมืด นภทีป์ตัดสินใจยกกระเป๋าลากแล้วเดินห่างจากรถ มุ่งหน้าเดินตรงไปที่ไร่โดยใช้แสงสว่างจากโทรศัพท์ส่องทาง พระจันทร์ดวงโตเยี่ยมหน้าออกมาทักทายสรรพสิ่งอย่างเช่นเคย แต่นภทีป์ไม่มีกระจิตกระใจที่จะชื่นชมความงาม เงาตะคุ่มจากต้นไม้ข้างทางสร้างความหวาดหวั่นให้เขาไม่น้อย หลายต่อหลายครั้งที่ต้องสะดุ้งโหยงจากเสียงสัตว์กลางคืน ชายหนุ่มพยายามที่จะเร่งฝีเท้า แต่ระยะทางเกือบสิบกิโลกอรปกับรู้สึกกระหายน้ำส่งผลให้เขาเดินได้ไม่เร็วอย่างใจหวัง
ทอดตามองถนนสายเปลี่ยวที่กลืนหายไปกับความมืดก็รู้สึกทดท้อใจ เขาไม่น่าเชื่อคำของยายทอมนั่นเลย นี่ถ้าอยู่ที่รถอย่างน้อยคนที่มารับก็จะหาเขาเจอได้ง่าย เหลือบมองโทรศัพท์ในมือก็หมดอาลัย แบตเตอร์รี่เหลือไม่กี่เปอร์เซ็นต์ทุกอย่างก็จะตกอยู่ในความมืด แล้วคราวนี้ใครจะหาเขาเจอกันเล่า กว่าจะหาเจอเขาไม่ได้ไปอยู่ในท้องของพวกสัตว์ที่ออกมาหากินตอนกลางคืนหรือไร ชายหนุ่มได้แต่ก่นด่าสาปแช่งไอ้เพื่อนตัวดีและยายทอมคนใจร้ายต้นเหตุของความลำบากที่เกิดขึ้นกับเขาในยามนี้ไปตลอดทาง
ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยและหิว นภทีป์ได้แต่กัดฟันเค้นแรงทั้งหมดที่มีออกเดินหวังใจว่าจะถึงปากทางเข้าไร่ อย่างน้อยคนที่ออกมาตามหาเขาก็จะได้ไม่ต้องค้นหาตัวเขายากนัก แต่ชายหนุ่มกลับไม่เอะใจเลยว่า ตั้งแต่ที่เขาผละจากเธอและเด็กหนุ่มนั้นก็ไม่มีรถขับผ่านมาแม้แต่คันเดียว
นานเข้าความอ่อนล้าทางร่างกายก็จู่โจมอย่างหนัก ปากคอก็แห้งผาดน้ำลายสักหยดก็ไม่มีให้กลืนลงคอ ท้องไส้เบาโหวงเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง หูได้ยินเสียงวิ้งๆ มือไม้อ่อนแรงเย็นเฉียบ ฝืนเดินไปสองสามก้าวร่างของเขาก็ทรุดสลบลงข้างกระเป๋าเดินทาง แสงริบหรี่จากหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังจะดับทำให้คนที่ออกมาตามด้วยความเป็นห่วงทันได้เห็นก่อนจะเข้าไปช่วยเหลือชายหนุ่มได้ทันท่วงที
เปลือกตาหนาหนักปลือขึ้นอย่างยากลำบาก เสียงเอะอะดังอยู่รอบตัว นภทีป์กรอกตามองดวงหน้าที่ชะโงกเข้ามามองเขาอย่างฉงน ไม่นานเสียงตะโกนของใครบางคนก็ดังขึ้น
"นายครับนาย คุณเขาฟื้นแล้วครับ"
"เฮ้ย! หลบๆ" ชายร่างสันทัดแหวกไทยมุงถลาตรงเข้ามายังจุดที่เขานอนอยู่
"เป็นยังไงบ้างวะนิวเคลียร์ ไอ้แหลมเอายาดมมา ดูซิเพื่อนกูหน้าซีดอีกแล้ว" ธีรกานต์รับยาดมจากคนงานมาจ่อจมูกเพื่อน
"ไอ้ไกด์" นภทีป์ได้แต่ครางชื่อเพื่อนอย่างโมโห
"เออ...กูเอง มึงยังไม่ตาย อย่าทำหน้าอยากจะร้องไห้อย่างนั้นดิวะเพื่อน" ธีรกานต์ยิ้มแหยเมื่อเห็นสายตาอยากจะฆ่าคนของเขา
"เอาล่ะ มึงฟื้นแล้วก็ดี กูล่ะตกใจแทบแย่ เฮ้ย!...พวกมึงมาพยุงเพื่อนกูไปขึ้นรถหน่อยเร็ว" คนงานชายสองสามคนเข้ามาพยุงคนป่วยไปยังรถอีกคันที่จอดอยู่
"โห! ถึงกับหมดสภาพ" เสียงเล็กๆ ของยายทอมที่ยืนพิงรถดังพอที่จะทำให้นภทีป์ต้องเบนสายตาไปทางเธอ เขาเพียงใช้สายตามองเธอนิ่งๆ แต่ในใจกับหมายหัวเธอเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
"กูแนะนำให้มึงไล่เธอออกซะ" นภทีป์อดไม่ไหวที่จะหันไปพูดกับธีรกานต์ที่กำลังเปิดประตูฝั่งคนขับ ส่วนเขาอ้อมไปนั่งยังฝั่งผู้โดยสาร
ธีรกานต์ออกรถไปคนละทางกับรถที่ยายทอมเป็นคนขับ เขาคิดว่าเธอคงจะพาคนงานบางส่วนไปลากรถคันที่จอดเสียกลางทาง เครื่องปรับอากาศภายในรถทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสบายตัวขึ้น จึงคิดที่จะสั่งสอนยายทอมมหาภัยนั่นสักหน่อย
"ที่ไร่มึงไม่มีคนงานคนอื่นหรือไง ทำไมต้องให้ยายทอมมารับกูด้วย" นภทีป์เปิดฉากจัดการต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตของเขาลำบาก
"ฮะ!...มึงว่าใครเป็นทอม" ธีรกานต์หันมาถามเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ
"ก็ยายบ้าที่มากับมึงเมื่อกี๊ไง" จบคำพูดธีรกานต์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทำเอาเขาที่นั่งข้างๆ ถึงกับมองผู้เป็นเพื่อนด้วยความไม่เข้าใจ
"มึงเป็นบ้าอะไรไอ้ไกด์" นภทีป์ถามอย่างโมโห
"ยายทอมที่มึงว่าน่ะ คือน้องศิ...ศิรัญดา...โอ๊ะ! ไม่ใช่สิ...น้องจินนี่ของมึงต่างหากเล่า" ธีรกานต์ยิ้มอย่างสมใจ
"จินนี่" นภทีป์ครางชื่อของคนที่อยู่ในใจอย่างเลื่อนลอย แต่ดูเหมือนว่าธีรกานต์จะจับอารมณ์อ่อนไหวของเพื่อนไม่ได้จึงพูดต่อ
"ใช่...น้องจินนี่ มึงดูยังไงว่าน้องมันเป็นทอม ตาถั่วแล้วมึง" นภทีป์ไม่ได้ฟังสิ่งที่เพื่อนสาธยายสักนิด ได้แต่ทวนชื่อ 'จินนี่' ในใจซ้ำไปซ้ำมา
แม้กระทั่งรถพาเขามายังบ้านหลังใหญ่ และธีรกานต์จัดแจงให้เขานอนในห้องพักแขกก่อนจะหาที่พักให้ใหม่ในวันพรุ่งนี้ นภทีป์ก็ยังคงไม่หยุดคิดถึงเด็กสาวร่างเล็กที่มีรอยยิ้มสดใส ซึ่งเขาตกหลุมรักรอยยิ้มพิมพ์ใจของเธอตั้งแต่แรกเห็น เธอซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของปลายนาน้องสาวของเขา
"เธอรู้ไหมว่า...เป็น..." ก่อนที่ธีรกานต์จะผละจากไปนภทีป์ถามสิ่งที่อยู่ในใจ
"ศิไม่รู้ว่าเป็นมึง" คำตอบของเพื่อนทำให้เขาพลูลมออกจากปากอย่างโล่งใจ
"บนโลกนี้ไม่ได้มีแต่มึงที่ชื่อนิวเคลียร์...จริงไหม" ธีรกานต์พูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินลงบันไดไป
"ขอบใจมึงมากไอ้ไกด์" เขาพึมพำ รู้ดีว่าธีรกานต์ต้องการให้เขาทำอะไรต่อจากนี้
...ตามต่อในเรื่อง "รอเพียงรัก"
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 725
ความคิดเห็น
เย่ ในที่สุดก็ส่งพี่วินกับปลายนาสู่ฝั่งฝัน แม้ว่าจะใช้เวลาเขียนนานไปหน่อย ...ไม่สิ...ใช้เวลานานไปมากเลย อิๆ แต่ก็จบน้าาาา ขอบคุณใครก็ตามที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ...รักที่สุด
ขอบคุณมากครับ อ่านสนุกมาก
ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ ปลื้มใจอ่ะ ขอบคุณมากกกกกค้า
แสดงความคิดเห็น