ตอนที่ 739 นรกของผู้แข็งแกร่ง
ตอนที่ 739 นรกของผู้แข็งแกร่ง
“เซี่ยเฟย ฉันคิดว่าเขาคนนี้น่าจะเป็นปรมาจารย์ด้านการกลั่นพลังงาน และเขาก็น่าจะเป็นนักประดิษฐ์ด้วย” จู่ ๆ โอโร่ก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“นักประดิษฐ์!? ไม่ใช่ว่านักประดิษฐ์กับนักกลั่นพลังงานมีการฝึกฝนไปคนละทางงั้นเหรอครับ? แล้วทำไมคนคนหนึ่งถึงมีความเชี่ยวชาญทั้งสองด้านนั้นได้” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย
“ฉันเคยบอกนายแล้วใช่ไหมว่าการฝึกฝนที่แท้จริงไม่ได้วัดกันที่ระดับพลังเท่านั้น แต่การหลอมรวมร่างกายเข้ากับกฎก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ใช้กฎหลอมรวมพลังกฎเข้ากับร่างกายของตัวเอง เมื่อนั้นร่างกายของเขาก็จะกลายเป็นกฎโดยสมบูรณ์ และเขาก็จะสามารถใช้พลังอำนาจของกฎได้ตามแต่ใจต้องการ”
“การจะเป็นนักประดิษฐ์ได้ก่อนอื่นคนคนนั้นจะต้องฝึกทั้งกฎแห่งการกลั่นพลังงานและกฎแห่งการประดิษฐ์ ก่อนที่จะทำการหลอมรวมข้อดีของกฎทั้งสองชนิดเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นนักประดิษฐ์ในที่สุด”
“แน่นอนว่าการทำแบบนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะการฝึกฝนของแต่ละคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีข้อจำกัดอยู่เสมอ การพยายามเรียนรู้กฎหลาย ๆ กฎพร้อม ๆ กันจึงต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าคนอื่นเป็น 2 เท่า ที่สำคัญไปกว่านั้นคือมันจำเป็นจะต้องใช้พรสวรรค์ในระดับที่สูงมาก” โอโร่กล่าว
“คุณปู่เหล่าสือเขาเก่งกาจขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถาม
“ใช่ เขาเก่งมาก ถ้าหากฉันเดาไม่ผิดเขาไม่น่าจะฝึกเพียงแค่ 2 กฎนั่นเท่านั้น แต่เขาน่าจะเป็นนักรบที่ทรงพลังด้วย หมายความว่าเขาคือคนที่สามารถฝึกฝนกฎทั้งสามประเภทในเวลาเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็มีความเชี่ยวชาญในการใช้กฎทั้งสามประเภทเป็นอย่างดี”
“ทุก ๆ ตระกูลต่างก็หวังว่าจะมีคนแบบนี้ถือกำเนิดขึ้นมาในตระกูลของตัวเอง แล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตระกูลเล็ก ๆ ที่มีประชากรไม่มากนักอย่างตระกูลสกายวิง ถึงสามารถผลิตนักรบชั้นยอดขึ้นมาได้อย่างมากมาย ที่แท้มันก็เป็นเพราะสกายวิงได้ซ่อนบุคคลชั้นยอดแบบนี้เอาไว้ในตระกูลนี่เอง”
โอโร่กล่าวขึ้นมาด้วยความเสียดายเล็กน้อย เพราะเมื่อเขาเห็นเซี่ยเหล่าสือมันก็ทำให้เขาคิดถึงตระกูลของตัวเอง ซึ่งถ้าหากว่าตระกูลไลอ้อนฮาร์ทมีบุคคลชั้นยอดแบบนี้ภายในตระกูลเช่นเดียวกัน มันก็คงจะทำให้ไลอ้อนฮาร์ทมีอำนาจมากขึ้นกว่าเดิม
“คุณปู่คือนักประดิษฐ์ในตำนานใช่ไหมครับ? วันนี้ผมได้เปิดหูเปิดตาแล้วที่ได้พบกับบุคคลที่ทรงคุณค่าแบบคุณปู่” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับทำมือแสดงความเคารพเซี่ยเหล่าสืออย่างเอาใจ
ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าเซี่ยเหล่าสือคือบุคคลชั้นยอดที่เก่งกาจ เขาจึงจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีกับชายชราคนนี้เอาไว้ ซึ่งการพูดจาเอาอกเอาใจก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในทักษะที่เขาสามารถใช้การได้เป็นอย่างดี
เซี่ยเหล่าสือยืดอกอย่างภาคภูมิใจ เพราะมันคงจะไม่มีใครไม่ชอบการถูกผู้อื่นชมเชย และถึงแม้ว่าเขาจะชรามากแล้วแต่จริง ๆ สภาพจิตใจของเขายังไม่ต่างไปจากเด็กหนุ่ม เขาจึงเผยรอยยิ้มออกมาอย่างยิ้มแย้มหลังจากที่ได้รับคำชมจากเซี่ยเฟย
“นายพูดถูกแล้ว ฉันเป็นนักประดิษฐ์จริง ๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ยากมากกว่าที่ฉันจะได้มายืนอยู่ถึงจุดนี้ แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้ฉันจะเชี่ยวชาญกฎถึงสามประเภท แต่ฉันก็ไม่สามารถจะพัฒนากฎใดกฎหนึ่งไปจนถึงระดับสูงสุดได้ ซึ่งเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นความเสียใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉันเลย” เซี่ยเหล่าสือกล่าวพร้อมกับลูบเคราด้วยรอยยิ้ม
“คุณปู่อย่าพูดแบบนั้นเลย ผมได้ยินมาว่าการพยายามหลอมรวมพลังของกฎเข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่ยากมาก การที่คุณทำได้ถึงระดับนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากแล้ว ในความเห็นของผมถึงแม้ว่าคุณจะถูกเสนอชื่อขึ้นเป็นผู้นำตระกูล แต่มันก็คงจะไม่มีใครกล้าที่จะออกมาคัดค้านอย่างแน่นอน” เซี่ยเฟยพยายามประจบเอาใจอย่างรวดเร็ว
“นั่นสินะ เซี่ยบูหยุนมันยังติดหนี้ฉันอยู่มากกว่า 4 ล้านคริสตัลเหลือง และมันก็ไม่ยอมโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นด้วยซ้ำ ฉันควรจะไปเอาตำแหน่งผู้นำตระกูลจากมันมาดีไหม” เซี่ยเหลาสือกล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
เซี่ยเฟยอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เพราะถึงแม้ว่าเซี่ยเหล่าสือจะเป็นบุคคลที่เก่งกาจ แต่เขาก็เป็นคนที่ขี้งกที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมาด้วยเหมือนกัน บางทีจักรพรรดิกฎและราชากฎทั้งหมดของตระกูลก็คงจะเป็นหนี้ของชายชราคนนี้ แล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมไม่ว่าใคร ๆ ต่างก็เผยสีหน้าออกมาอย่างน่าเกลียดเมื่อพวกเขาได้ยินคำว่าศูนย์ฝึกสายลม
เมื่อคิดมาจนถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็อดที่จะรู้สึกกังวลขึ้นมาไม่ได้ เพราะการที่เขาเดินทางมายังศูนย์ฝึกสายลม มันก็หมายความว่าเขากำลังเดินเข้าถ้ำเสือด้วยเช่นกัน ซึ่งหลังจากนี้เขาก็จะต้องระมัดระวังชายชราตรงหน้าเอาไว้มาก ๆ เสียแล้ว
หลังจากกล่าวคำเยินยอชายหนุ่มก็เริ่มใช้ทักษะการให้ของขวัญอีกครั้ง ซึ่งมันเป็นทักษะการมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขามักจะใช้มาโดยตลอด แล้วมันก็เป็นทักษะการเอาอกเอาใจที่ได้ผลมากพอสมควร
“ทำไมนายถึงต้องสุภาพขนาดนี้ด้วย นายอุตส่าห์กลับมาที่ตระกูลได้ ตามปกติแล้วมันต้องเป็นฉันที่จะต้องให้ของขวัญกับนายด้วยซ้ำ” เซี่ยเหล่าสือเก็บของขวัญของเซี่ยเฟยเข้าไปในแหวนมิติพร้อมกับกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ซึ่งคำพูดกับการกระทำของเขาถือได้ว่าสวนกันไปคนละทางอย่างสิ้นเชิง
“คุณปู่อุตส่าห์ทำงานหนักเพื่อตระกูลนี้ ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะคุณยอมทำเพื่อตระกูล คุณปู่ก็คงจะออกไปเปิดธุรกิจและประสบความสำเร็จไปตั้งนานแล้ว ในฐานะของสมาชิกรุ่นใหม่ของตระกูล ผมขอขอบคุณคุณปู่จากใจจริง” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
เขาสัมผัสมาได้ตั้งนานแล้วว่าสมาชิกของตระกูลสกายวิงทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นพวกรักอิสระและชอบทำงานอดิเรกของตัวเองมาโดยตลอด ถ้าหากคนที่รักอิสระอย่างเซี่ยเหล่าสือได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ เขาย่อมออกไปทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
แต่การที่เขาจะต้องอยู่ที่ศูนย์ฝึกแบบนี้ มันก็หมายความว่าเขาได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ฝึกฝนเด็กรุ่นใหม่ของตระกูล และการที่เขาได้เปลี่ยนศูนย์ฝึกสายลมให้กลายเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ มันก็เพื่อที่เขาจะได้ตอบสนองความต้องการเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวเอง
เมื่อเซี่ยเฟยพูดแทงใจดำเซี่ยเหล่าสือก็รู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก
“นายนี่เข้าใจฉันดีจริง ๆ นี่ถ้าหากว่าบรรพบุรุษไม่ได้มอบความไว้วางใจให้ฉันมากขนาดนี้ ฉันก็คงจะออกไปสร้างอาณาจักรธุรกิจของตัวเองไปตั้งนานแล้ว” เซี่ยเหล่าสือกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“การอยู่ที่นี่คงจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับคุณปู่จริง ๆ บางทีด้วยความสามารถของคุณปู่ คุณปู่ก็ควรจะขึ้นไปยังเบื้องบนตั้งนานแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าว
“ฉันไม่ได้อยากจะขึ้นไปที่เบื้องบนนั้นหรอก การอยู่บนนั้นมันไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนที่นี่ อีกอย่างฉันขึ้นไปที่เบื้องบนมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี สู้ฉันอยู่ที่นี่เพื่อสั่งสอนเด็กรุ่นใหม่ ๆ ให้กับตระกูลยังจะมีประโยชน์ซะกว่า” เซี่ยเหล่าสือกล่าว
—
การเอาอกเอาใจถือได้ว่าเป็นหนึ่งในทักษะที่ดีมาก เพราะหลังจากที่เซี่ยเฟยตีสนิทชายชราได้แล้ว เซี่ยเหล่าสือก็พาชายหนุ่มไปที่ลานหน้าศูนย์ฝึกด้วยความเอ็นดู
กลุ่มเด็กที่เรียนในตอนเช้าได้กลับไปแล้ว แต่มันถูกแทนที่ด้วยเด็กกลุ่มใหม่ที่มีอายุประมาณ 13-15 ปี ซึ่งทุกคนต่างก็มีท่าทางกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
“พวกเขาคือกองกำลังหลักของสกายวิงในอนาคต สักวันหนึ่งพวกเขาจะต้องเติบโตไปจนกลายเป็นราชากฎหรืออาจจะไปจนถึงจักรพรรดิกฎเลยก็ได้” เซี่ยเหล่าสือกล่าวอย่างภาคภูมิใจ และเมื่อเด็ก ๆ ได้ยินคำชมจากอาจารย์พวกเขาก็ยืดอกอย่างภาคภูมิใจเช่นเดียวกัน
‘กลุ่มราชากฎ!? ตระกูลอื่นค่อย ๆ ฝึกราชากฎขึ้นมาทีละคน แต่สกายวิงฝึกราชากฎขึ้นมาทีละกลุ่มงั้นเหรอ?’ เซี่ยเฟยคิดภายในใจอย่างตกตะลึง
“เอาล่ะวันนี้นายก็ดูการฝึกของเด็ก ๆ ไปก่อนก็แล้วกัน ใช้เวลาช่วงนี้ฟื้นฟูกำลังกลับมาให้เต็มที่แล้วการฝึกพิเศษของนายค่อยเริ่มกันในวันพรุ่งนี้” เซี่ยเหล่าสือกล่าว
หากจะบอกว่าการฝึกฝนของเด็ก ๆ ในช่วงเช้าเป็นการฝึกฝนที่สนุกสนาน การฝึกของกลุ่มเด็กวัยรุ่นพวกนี้มันก็ไม่ต่างไปจากการฝึกฝนที่โหดร้าย
เมื่อเข้าสู่การฝึกท่าทางของเซี่ยเหล่าสือก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างกะทันหัน คล้ายกับปีศาจถือแส้ที่คอยกระตุ้นให้นักเรียนของเขาฝึกฝนอย่างหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชายชราคนนี้ถือได้ว่าเป็นครูฝึกที่มีความเข้มงวดเป็นอย่างมาก และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีนักเรียนคนไหนทำผิดพลาดเด็กพวกนั้นก็จะถูกดุหรือแม้กระทั่งถูกทุบตี
เหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งเซี่ยเฟยและโอโร่ต่างก็รู้สึกตกตะลึง โดยเฉพาะโอโร่ที่ถึงแม้เขาจะเคยมีประสบการณ์ในการฝึกสอนลูกศิษย์มาบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยฝึกสอนลูกศิษย์อย่างเกรี้ยวกราดเหมือนกับชายชราคนนี้
ตูม!
เมื่อนักเรียนคนหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างเหน็ดเหนื่อยจนล้มลง เซี่ยเหล่าสือก็พุ่งตัวไปเตะเด็กคนนั้นอย่างรุนแรง จนทำให้ร่างของเขาพุ่งเข้าไปกระทบกับพื้นจนแสดงสีหน้าออกมาอย่างเจ็บปวด
“นักรบพรสวรรค์ทุกคนจะต้องรับผิดชอบในการปกป้องตระกูล ยิ่งใครมีพรสวรรค์มากเท่าไหร่ความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับเอาไว้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น พวกนายทุกคนจะกลายเป็นเสาหลักของตระกูลในอนาคต อย่ามาทำตัวปวกเปียกแบบนี้ ไม่อย่างนั้นในอนาคตพวกนายจะปกป้องตระกูลเอาไว้ได้ยังไง”
“ฉันรู้ว่าพวกนายอิจฉาเพื่อนที่ไม่ต้องผ่านการฝึกฝนที่โหดเหี้ยมแบบนี้ และสามารถทำสิ่งที่ตัวเองชอบได้ตามแต่ใจต้องการ แต่พวกนายก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเหตุผลที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ นั่นก็เพราะว่ามันมีนักรบของเราคอยปกป้องทุกคนเอาไว้”
“ในอนาคตพวกนายก็จะต้องกลายเป็นนักรบที่คอยพิทักษ์ตระกูลด้วยเหมือนกัน หากใครทำตัวปวกเปียกอีก ฉันจะเพิ่มการฝึกให้หนักกว่าเดิมเป็น 3 เท่า!!” เซี่ยเหล่าสือตะโกนด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
เซี่ยเฟยถึงกับแอบกลืนน้ำลายอย่างลับ ๆ และอดที่จะกังวลขึ้นมาไม่ได้ว่าเด็กวัยรุ่นพวกนี้จะเริ่มต่อต้านไปตามวัย แต่น่าแปลกที่วัยรุ่นทุกคนต่างก็เลือกที่จะอดทนอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครหลั่งน้ำตาหรือบ่นออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
จักรวาลรู้เพียงแต่ว่าตระกูลสกายวิงคือตระกูลที่เป็นอิสระ แต่พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าความรับผิดชอบที่นักรบทุกคนของตระกูลจะต้องแบกรับเอาไว้คือภาระที่หนักอึ้งมากแค่ไหน และด้วยการฝึกฝนอันเข้มงวดเช่นนี้นี่เอง มันจึงทำให้สกายวิงอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
‘ยิ่งใครมีพรสวรรค์มากเท่าไหร่ความรับผิดชอบก็จะยิ่งมากขึ้นไปเท่านั้น…’ เซี่ยเฟยย้ำคำพูดของเซี่ยเหล่าสือภายในใจ
ถึงแม้ว่าเซี่ยเหล่าสือจะปฎิบัติตัวอย่างเย็นชาต่อนักเรียน แต่เมื่อเขาหันมาพูดกับเซี่ยเฟยสีหน้าของชายชรากลับถูกประดับด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
“ตระกูลของเราไม่เหมือนกับตระกูลอื่นที่บังคับให้สมาชิกทุกคนฝึกฝนอย่างหนัก เพราะพวกเราจะบังคับเฉพาะเด็กที่มีพรสวรรค์ชั้นสูงเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ”
“เหตุผลที่พวกเราสามารถยืนหยัดในดินแดนกฎได้จนถึงทุกวันนี้ นั่นก็เพราะว่าถึงแม้พวกเราจะบ้าแต่พวกเราก็ไม่ได้โง่ อีกเหตุผลหนึ่งนั่นก็คือทุกคนจะรู้หน้าที่ของตัวเอง และทุกคนก็พร้อมที่จะปกป้องตระกูลตลอดเวลา”
เซี่ยเฟยพยักหน้าอย่างเข้าใจคำพูดของเซี่ยเหล่าสือเป็นอย่างดี เพราะในสายตาของนักรบชั้นยอดนักรบธรรมดาก็ไม่ต่างไปจากมดปลวกสำหรับพวกเขา สกายวิงจึงฝึกฝนเฉพาะนักรบที่มีพรสวรรค์เท่านั้น ไม่จำเป็นจะต้องให้ผู้ที่ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านการรบเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร
“ด้วยเหตุนี้เองหากใครไม่มีพรสวรรค์ที่จะเติบโตกลายเป็นนักรบกฎจริง ๆ เด็กพวกนั้นก็จะไม่ได้รับการบังคับให้ฝึกฝนตั้งแต่แรก แน่นอนว่าการออกแบบตระกูลในลักษณะนี้เป็นเรื่องที่บ้ามากอย่างไม่ต้องสงสัย และมันก็เป็นสิ่งที่ตระกูลใด ๆ ก็ไม่สามารถที่จะลอกเลียนแบบสกายวิงได้อย่างแท้จริง”
“นายไปพักผ่อนเถอะ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปนายจะต้องฝึกหนักกว่าพวกเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่า” เซี่ยเหล่าสือกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยสะดุ้งเล็กน้อยและในตอนนี้เขาก็เริ่มเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่า ทำไมเหล่าบรรดานักรบของสกายวิงถึงกลัวสถานที่แห่งนี้มากนัก เพราะนอกเหนือจากมันจะเป็นสถานที่ฝึกฝนของตระกูลแล้ว มันยังเป็นนรกสำหรับนักรบทุกคนที่ผ่านพ้นจากศูนย์ฝึกแห่งนี้ไปอีกด้วย
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 307
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น