ตอนที่ 706 พิชิตศิลาหางฟีนิกซ์
ตอนที่ 706 พิชิตศิลาหางฟีนิกซ์
“ใบหญ้าใบที่ 4 หงส์ครามเติบโตในช่วงวิกฤติแบบนี้เนี่ยนะ?!” โอโร่อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
เมื่อขนอุยเพิ่มพลังขึ้นมาอย่างฉับพลันประกอบกับหงส์ครามงอกใบหญ้าขึ้นมาอีกหนึ่งใบ มันจึงทำให้ศิลาหางฟินิกซ์ที่ได้รับการเสริมพลังจากจักรวาลยังคงถูกเหนี่ยวรั้งเอาไว้ในตำแหน่งเดิม
‘หรือว่า… เซี่ยเฟยจะทำสำเร็จอย่างงั้นเหรอ?’ โอโร่อุทานขึ้นมาภายในใจ
เซี่ยเฟยแสดงความมุ่งมั่นออกมาอย่างเต็มที่ว่าเขาจะพยายามเหนี่ยวรั้งศิลาหางฟินิกซ์เอาไว้ให้ได้ ทั้งขนอุยและหงส์ครามจึงต่างก็ล้วนแล้วแต่ตอบรับความมุ่งมั่นภายในใจเจ้านายของพวกมัน จนทำให้พวกมันเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นมาในช่วงเวลาที่สำคัญ
ไม่ว่าศิลาหางฟินิกซ์จะพยายามดิ้นหนีไปทางไหน มันก็เป็นเหมือนกับสัตว์ร้ายที่ถูกขังเอาไว้ภายในกรง ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะพยายามพยศครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ท้ายที่สุดมันก็ยังไม่สามารถที่จะหลุดออกไปจากวงล้อมที่พันธนาการร่างของมันเอาไว้ได้
กาลเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง และในพริบตาเดียวเวลาก็ได้ผ่านพ้นไปนานถึง 3 ชั่วโมงแล้ว
เมื่อเซี่ยเฟย, ขนอุยและหงส์ครามร่วมมือกัน มันก็ได้ก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ที่สามารถเหนี่ยวรั้งศิลาหางฟินิกซ์เอาไว้ได้เป็นเวลานานขนาดนี้ โดยเฉพาะหงส์ครามกับขนอุยที่พยายามแข่งขันซึ่งกันและกันเพื่อพยายามเอาใจเจ้านายของพวกมันอย่างเซี่ยเฟย
ในทางกลับกันแม้ว่าศิลาหางฟินิกซ์จะเป็นอาวุธมายาที่ได้รับการสนับสนุนจากพลังของจักรวาล แต่การต่อสู้กับพวกเซี่ยเฟยเป็นเวลานานก็ทำให้มันรู้สึกอ่อนล้า จนทำให้แม้แต่เปลวไฟบนร่างของมันก็ยังอ่อนแรงลงไปเรื่อย ๆ
หากศิลาหางฟินิกซ์พูดได้มันคงจะร้องเสียงคร่ำครวญให้เซี่ยเฟยปล่อยมันไป แต่น่าเสียดายที่ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วและเขาก็จะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะเก็บอาวุธมายาชิ้นนี้กลับไปพร้อมกับเขา
“ลงมานี่” เมื่อชายหนุ่มสังเกตเห็นว่ามันได้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว เขาจึงออกแรงผ่านทางหงส์ครามเพื่อกระชากศิลาหางฟินิกซ์ให้ร่วงหล่นลงมาบนพื้นดิน
ตูม!
แรงกระแทกจากการกระชากในครั้งนี้รุนแรงมาก จนมันก่อให้เกิดหลุมลึกที่ยุบตัวลงไปมากกว่า 2 เมตร
เซี่ยเฟยค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้า ก่อนที่เขาจะหยิบศิลาหางฟินิกซ์ขึ้นมาไว้ในมือ
ปัจจุบันก้อนหินสีดำก้อนนี้มีเปลวไฟหลงเหลืออยู่เพียงแค่บาง ๆ เท่านั้น และเซี่ยเฟยที่สวมใส่ชุดเกราะชาร์ปเลสป้องกันร่างกายอยู่นั้นก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวความร้อนเพียงเท่านี้เลยแม้แต่น้อย
การต่อสู้อันยาวนานทำให้ศิลาหางฟินิกซ์อ่อนแอมาก และในปัจจุบันมันก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะหนีไปไหนอีกแล้ว
จากนั้นเซี่ยเฟยก็เริ่มถ่ายเทพลังของกฎแห่งความโกลาหลเข้าสู่ร่างของศิลาหางฟินิกซ์ ซึ่งพลังเหล่านี้ก็ได้เข้าไปกระตุ้นก้อนหินสีดำภายในมือของเขาอย่างเห็นได้ชัด
ในความเป็นจริงเซี่ยเฟยก็ไม่ได้ปลดปล่อยพลังของกฎแห่งความโกลาหลออกมาเป็นจำนวนมาก เพราะเขากลัวว่ามันจะสร้างความเสียหายให้กับอาวุธมายาภายในมือ ซึ่งถ้าหากว่ามันเป็นอะไรไปความพยายามทั้งหมดที่เขาได้ทำมาก็จะสูญเปล่าไปด้วยเช่นกัน
“เลิกดิ้นรนได้แล้วอยู่ที่นี่ต่อกับฉันเถอะ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งพลังของกฎแห่งความโกลาหลเข้าไปอีกครั้ง จนทำให้ศิลาหางฟินิกซ์รู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
“แม้ว่าหงส์ครามจะเป็นวัชพืชที่ดื้อรั้นแต่มันก็ดูเหมือนกับว่าอาวุธมายาชิ้นนั้นจะดื้อรั้นน้อยกว่านายที่เป็นเจ้านายของมันซะอีก ไม่น่าเชื่อเลยว่านายจะสามารถเหนี่ยวรั้งศิลาหางฟินิกซ์เอาไว้ได้ทั้ง ๆ ที่มันได้รับการเสริมพลังจากจักรวาลมาแบบนั้น” โอโร่พึมพำขึ้นมาเบา ๆ
แม้ว่าศิลาหางฟินิกซ์จะหมดแรงแต่มันก็ยังคงมีแรงกระตุ้นภายในสัญชาตญาณให้มันหวนคืนกลับไปสู่จักรวาล แต่ในเวลานี้มันกลับรู้สึกเหมือนกับมีมารตัวหนึ่งจ้องมองมันอยู่ และมารตัวนี้ยังใช้พลังอะไรบางอย่างที่ทำให้มันไม่สามารถที่จะหวนคืนกลับไปสู่จักรวาลได้
อาวุธมายาทุกชิ้นต่างก็มีความนึกคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งในปัจจุบันศิลาหางฟินิกซ์ก็รู้สึกหวาดกลัวเซี่ยเฟย ราวกับว่ามันเป็นหนูที่กำลังถูกจับอยู่ภายใต้อุ้งเท้าของแมว
ที่สำคัญพลังของกฎแห่งความโกลาหลยังได้เข้าไปลบล้างสัญชาตญาณดั้งเดิมของมันที่ต้องหวนคืนกลับสู่จักรวาล และถ้าหากว่าศิลาหางฟินิกซ์มีตา ทุกคนก็คงจะเห็นน้ำตาไหลอาบแก้มของมันแล้ว
อาวุธมายาทั่วทั้งจักรวาลมีถึง 30 ชิ้น แต่มันก็คิดว่าไม่มีอาวุธมายาชิ้นไหนโชคร้ายเหมือนกับมันแล้ว เพราะใครจะไปคิดว่ามันจะได้บังเอิญมาพบกับผู้ชายไร้เหตุผลที่พยายามเหนี่ยวรั้งร่างของมันเอาไว้ จนทำให้มันไม่สามารถหวนคืนกลับสู่จักรวาลตามสัญชาตญาณดั้งเดิมของมันได้ด้วยซ้ำ
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างก็มีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเป็นของตัวเอง และมันก็จะพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัยด้วยเช่นกัน ดังนั้นถึงแม้ว่าสัญชาตญาณของมันจะกระตุ้นให้มันหวนกลับคืนสู่จักรวาล แต่อีกสัญชาตญาณหนึ่งก็ได้บอกมันว่าหากมันพยายามหนีไปจริง ๆ ชายคนนี้ก็อาจจะทำลายชีวิตของมันลงไปเลยก็ได้
ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมานี้เอง ในที่สุดศิลาหางฟินิกซ์ก็ยอมจำนนต่อเซี่ยเฟย
เหตุการณ์นี้ทำให้โอโร่แทบไม่อยากจะเชื่อสายตา เพราะเซี่ยเฟยไม่เพียงแต่จะสามารถพิชิตอาวุธมายาชิ้นนี้ได้เท่านั้น แต่เขายังฝ่าฝืนโชคชะตาของจักรวาลได้อีกด้วย
“เขาทำสำเร็จจริง ๆ งั้นเหรอ?”
แม้ว่ากระบวนการฝ่าฝืนโชคชะตาในครั้งนี้จะเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ความจริงที่เซี่ยเฟยสามารถฝ่าฝืนโชคชะตาของจักรวาลก็เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้
ทันใดนั้นโอโร่ก็นึกถึงคำ ๆ หนึ่งที่เซี่ยเฟยมักจะพูดอยู่เป็นประจำ และคำ ๆ นั้นนั่นก็คือมันไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
เซี่ยเฟยเก็บศิลาหางฟินิกซ์เข้าไปไว้ในแหวนมิติ จากนั้นเขาก็ทิ้งตัวนอนพักลงบนพื้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
—
เมื่อชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ได้พบกับใบหน้าอันตื่นเต้นของเซธที่กำลังจ้องมองมายังเขาอยู่
“นายท่าน! ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้ว” เซธกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่เกือบจะร้องไห้
หลังจากการต่อสู้ในครั้งนี้เซธก็ได้ตระหนักแล้วว่าระดับพลังไม่ใช่สิ่งที่สามารถนำมาวัดพลังการต่อสู้ได้อย่างแท้จริง และเซี่ยเฟยก็ได้สั่งสอนบทเรียนให้เขาได้รู้แล้วว่าการประยุกต์ใช้พลังจากสิ่งต่าง ๆ ในระหว่างการต่อสู้นั้นสามารถที่จะนำมาเพิ่มพลังการต่อสู้ให้กับพวกเขาได้
แม้ว่าระดับพลังของเซี่ยเฟยจะต่ำกว่าควินซี่มาก แต่ท้ายที่สุดชายคนนี้ก็สามารถที่จะสังหารนักรบชาวไลอ้อนฮาร์ทได้โดยไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรออกมามากนัก
เซี่ยเฟยล้วงมือเข้าไปในแหวนมิติ ก่อนที่เขาจะหยิบขวดน้ำยาสีฟ้าออกมาให้กับเซธ
“ดื่มยาขวดนี้แล้วรูปลักษณ์ของนายจะกลับมาเป็นปกติ ระหว่างนั้นออกไปรอฉันข้างนอกก่อน”
เซธพยักหน้าซ้ำ ๆ ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งออกไปจากห้องตามคำสั่งของเซี่ยเฟย
ความแข็งแกร่งคือรากฐานของทุกสิ่ง และพลังที่เซี่ยเฟยได้แสดงออกมาก็ได้ขจัดความสงสัยทุกอย่างภายในใจของเซธอย่างสมบูรณ์แล้ว สิ่งเดียวที่ชายฉกรรจ์คนนี้กำลังคิดคือการพยายามทำอะไรก็ได้ให้เซี่ยเฟยรู้สึกพึงพอใจ
เมื่อเซธจากไปชายหนุ่มก็หยิบคริสตัลต้นกำเนิดออกมามอบให้ขนอุย เพื่อที่มันจะได้ฟื้นฟูพลังงานกลับมาด้วยเช่นกัน ซึ่งในคราวนี้ขนอุยถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้เขาได้รับชัยชนะกลับมา
ส่วนทางด้านของหงส์ครามก็เป็นเหมือนกับปรสิตที่อยู่ติดกับแขนขวาของเขา มันจึงไม่จำเป็นจะต้องดูดซับพลังงานเหมือนกับขนอุย เพียงแค่จำเป็นจะต้องใช้เวลาพักผ่อนเงียบ ๆ สัก 2-3 วัน มันก็ฟื้นฟูร่างกายกลับมาเป็นปกติแล้ว
ทางด้านของบลัดบิวเทียสก็ส่องแสงสีแดงออกมาอย่างสวยงาม เซี่ยเฟยจึงเดินไปถือมันขึ้นมาชั่งน้ำหนักภายในมือ 2-3 ครั้ง ก่อนที่เขาจะพึมพำขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ทั้งที่ฉันได้รับพลังงานมาเพียงแค่ 30% แต่พลังงานที่มันส่งมาให้ก็ทำให้ฉันใกล้ที่จะกลายเป็นราชากฎแล้ว แต่ทำไมบลัดบิวเทียสที่ได้รับพลังงานไป 70% ถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย?”
“นี่นายยังอยากจะให้อาวุธของนายพัฒนาไปอีกงั้นเหรอ? แค่นี้มันก็เป็นอาวุธที่น่ามหัศจรรย์มากแล้วนะ” โอโร่กล่าวพร้อมกับกรอกตาไปทางเซี่ยเฟย
“ยิ่งอาวุธของผมมีพลังมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นผลดีต่อผมมากขึ้นไม่ใช่เหรอครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเก็บบลัดบิวเทียสกลับไปในตำแหน่งเดิม
“ไอ้คนโลภมาก! ตอนนี้นายก็มีของดีอยู่กับตัวเยอะแยะแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าเป็นฉัน…” โอโร่กล่าวก่อนที่เขาจะหยุดพูดอย่างฉับพลัน
“ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำยังไงเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามอย่างมีเลศนัย
“ช่างมันเถอะ! ว่าแต่นายใช้พลังกฎอะไรออกมากันแน่? แค่มันสามารถล้มล้างกฎของทางฝั่งเทพได้มันก็น่าตกใจมากพอแล้ว แต่นี่แม้แต่กฎแห่งความมืดของทางฝั่งมารก็ยังไม่สามารถทำอะไรกฎนั่นได้ หรือว่ามันจะเป็นกฎที่ถูกสร้างขึ้นจากปรมาจารย์ชั้นยอดงั้นเหรอ?” โอโร่กล่าวถามเปลี่ยนเรื่อง
กฎแห่งความโกลาหลทำให้โอโร่รู้สึกสงสัยมาก และถึงแม้เขาจะรู้ว่าเซี่ยเฟยจะไม่ตอบคำถาม แต่เขาก็ยังคงพยายามถามคำถามออกไปซ้ำ ๆ
นักรบทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีความสนใจในการแสวงหาพลังที่แข็งแกร่ง ซึ่งโอโร่ก็พยายามทำความเข้าใจกฎแห่งความโกลาหลของเซี่ยเฟยอย่างสุดความสามารถ แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะพยายามคิดยังไง เขาก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจพลังที่สับสนวุ่นวายของกฎแห่งความโกลาหลได้
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแค่ยักไหล่ตอบกลับไป เพราะอันที่จริงเขาก็รู้เรื่องของกฎแห่งความโกลาหลไม่ต่างไปจากโอโร่เลย
ตอนที่เทพดำมอบกฎแห่งความโกลาหลกับเขามา อีกฝ่ายก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้กับเขาฟังด้วยซ้ำ เซี่ยเฟยจึงพยายามคลำทางด้วยตัวเองจนใช้กฎแห่งความโกลาหลได้อย่างทุกวันนี้ ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมกฎแห่งความโกลาหลถึงเป็นกฎที่ทรงพลังมากขนาดนั้น
เป็นไปได้ไหมว่ากฎแห่งความโกลาหลอาจจะเป็นกฎโบราณที่สูญหายไป เหมือนกับกฎแห่งเวลาของทางเผ่าเทพและกฎแห่งชีวิตของทางฝั่งเผ่ามาร?
ถ้าหากว่ามันคือสมบัติที่ล้ำค่าแบบนั้นจริง ๆ แล้วเทพดำจะมามอบกฎแห่งความโกลาหลให้กับเขาง่าย ๆ ไปทำไม?
เซี่ยเฟยไม่มีคำตอบสำหรับคำถามพวกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งเขาก็คงจะได้พบคำตอบในวันหนึ่งที่เขาบังเอิญได้พบกับเทพขาวหรือเทพดำอีกครั้ง
แน่นอนว่าเซี่ยเฟยย่อมไม่รู้ว่าเทพขาวกับเทพดำกำลังหลบหนี เนื่องมาจากว่าพวกเขาได้ครอบครองกฎแห่งความโกลาหล ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่ทางชายหนุ่มกับเทพขาวดำจะได้โคจรมาพบเจอกัน
“คุณพูดเรื่องอะไร? ผมก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมใช้กฎมิติที่มีการตีความแตกต่างจากคนอื่นก็เท่านั้นเอง” เซี่ยเฟยกล่าวตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ลึกลับ โดยไม่คิดที่จะตอบคำถามออกไปจริง ๆ
เมื่อได้รับคำตอบโอโร่ก็แทบที่จะสำลักน้ำลาย เพราะก่อนหน้านี้เซี่ยเฟยได้ใช้พลังปริศนานั้นในการสังหารควินซี่ แล้วเขายังจะกล้าบอกอยู่อีกงั้นเหรอว่ามันคือพลังของกฎมิติ
“เอาล่ะ หลังจากเหน็ดเหนื่อยมานาน มันก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวสินสงครามแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวขณะที่เขาเดินเข้าไปยังร่างของควินซี่ด้วยรอยยิ้ม
การประกาศออกมาในครั้งนี้เป็นเหมือนกับการบอกโอโร่เป็นนัย ๆ ว่า เขาผ่านพ้นความยากลำบากมามาก อีกฝ่ายไม่มีสิทธิ์ที่จะมาทวงสมบัติของราชวงศ์ไลอ้อนฮาร์ทคืนจากเขา
โอโร่ทำได้เพียงแต่จ้องมองไปทางชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกมาได้
ขั้นตอนแรกเซี่ยเฟยได้หยิบชุดเกราะของควินซี่ออกมาจากร่างที่เหี่ยวแห้ง และถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ดีเท่ากับชุดเกราะชาร์ปเลสของเขา แต่มันก็ยังถือว่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งที่หาได้ยาก
“ชุดเกราะอาทิตย์อัสดงเป็นผลงานชั้นยอดของปรมาจารย์แคมโพส ซึ่งเป็นนักประดิษฐ์ชั้นหนึ่งในแดนมารของเรา ในอดีตฉันเป็นคนมอบชุดเกราะชุดนี้ให้กับควินซี่ด้วยตัวเอง ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งมันจะกล้าทรยศแม้กระทั่งพ่อของมัน” โอโร่กล่าวขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่เผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ถอดแหวนมิติออกมาจากนิ้วซากศพของควินซี่
***************
ถึงเวลารับของฟาร์มแล้ว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 254
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น