ตอนที่ 575 งานชุมนุมมังกรฟ้า
ตอนที่ 575 งานชุมนุมมังกรฟ้า
เซี่ยเฟยต้องการจะกลับบ้านไปหากระป๋องก่อนเป็นอันดับแรก แต่หยูฮัวบังคับลากตัวเขาไปยังบ้านของหยูเจียงเสียก่อน
“เอาน่า ไม่ว่ายังไงนายก็เป็นคนช่วยชีวิตมู่ฟู่ผิงเอาไว้ มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหากนายจะยอมรับความดีความชอบเรื่องนี้เอาไว้กับตัวเอง อีกอย่างตระกูลวิทเทอร์ก็เป็น 1 ใน 9 ตระกูลชั้นยอด การผูกมิตรกับพวกเขาเอาไว้ก็อาจจะทำให้นายเคลื่อนไหวได้สะดวกมากยิ่งขึ้น” อันธกล่าวออกจากด้านข้าง
เซี่ยเฟยก็มีความคิดเหมือนอันธเช่นเดียวกัน เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมามากนัก แต่มู่ฟู่ผิงก็ค่อนข้างจะมีสถานะที่สูงมากภายในตระกูลของเธอจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ยังถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ใกล้ชิดกับตระกูลชั้นยอด
บ้านของหยูเจียงตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองหลัก โดยมันเป็นคฤหาสน์อันกว้างขวางและสวยงามครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 250 ไร่
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่วินาทีที่ชายหนุ่มเดินเข้าประตูของคฤหาสน์มา เขาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นตุ ๆ เพราะเหล่าบรรดาคนรับใช้ที่รอต้อนรับเขาต่างก็ล้วนแล้วแต่มีใบหน้าที่เศร้าหมอง ส่วนผู้คุมจากตระกูลวิทเทอร์ก็กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาอันไม่เป็นมิตร
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกสับสนมาก ท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนช่วยชีวิตมู่ฟู่ผิงเอาไว้ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผู้คุมจากตระกูลวิทเทอร์ถึงแสดงความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเขาออกมาแบบนี้ และสถานการณ์ปัจจุบันก็ทำให้เขาค่อนข้างที่จะรู้สึกอึดอัดมาก
เมื่อชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขาก็ได้เห็นหยูเจียงนั่งอยู่ใกล้ ๆ กับชายวัยกลางคน มู่ฟู่ผิง, มู่ฉิงปิงและคนอีกหลาย ๆ คนที่เซี่ยเฟยไม่รู้จัก แต่เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าคนเหล่านี้จะต้องเป็นคนสำคัญในตระกูลวิทเทอร์แน่ ๆ
หยูเจียงเผยรอยยิ้มเมื่อเขาได้สังเกตเห็นเซี่ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามา จากนั้นเขาก็ส่งสัญญาณให้เซี่ยเฟยกับหยูฮัวมานั่งลงที่โซฟา แต่มันกลับมีเสียงพ่นลมหายใจอันเย็นชามาจากทางฝั่งผู้อาวุโสของตระกูลวิทเทอร์
เซี่ยเฟยขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างแท้จริง ว่าทำไมตระกูลวิทเทอร์ถึงได้แสดงท่าทางกับเขาออกมาแบบนี้
เมื่อชายหนุ่มเดินไปนั่งลงบนโซฟา มู่ฟู่ผิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็พยักหน้าให้กับเขาเล็กน้อย โดยสีหน้าของเธอผสมปนเปไปทั้งความขอบคุณและคำขอโทษ คล้ายกับว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้น่าจะมีต้นเหตุมาจากเธอเอง
“ฉันต้องขอขอบคุณพี่เซี่ยเฟยมากที่ทำให้ฉันรอดพ้นจากอันตรายในครั้งนี้มาได้ ยิ่งพี่ชายกลับมาได้อย่างปลอดภัยมันก็ทำให้ฉันรู้สึกโล่งอกมากจริง ๆ” มู่ฟู่ผิงเริ่มบทสนทนา
คำขอบคุณจากอีกฝ่ายทำให้บรรยากาศดีขึ้นมาบ้าง ซึ่งหลังจากที่พวกเขาสนทนากันไปสักพักเซี่ยเฟยก็เริ่มถามคำถามเกี่ยวกับมู่ฉิวโป๋
“มู่ฉิวโป๋เป็นขยะในตระกูลของเราเอง ฉันไล่เขาออกจากตระกูลก็เพราะว่ามันเป็นพวกขี้ขโมย จากนั้นมันก็คงจะรู้สึกโกรธแค้นฉันและเอาทุกอย่างไปลงกับมู่ฟู่ผิง” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ มู่ฟู่ผิงกล่าว
ขโมย?
ราชากฎยังจำเป็นจะต้องเป็นขโมยอีกงั้นเหรอ?
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่คิดคำถามเหล่านี้ขึ้นมาภายในใจ แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะคาดเดาเรื่องอะไรต่าง ๆ ได้จริง ๆ ท้ายที่สุดอีกฝ่ายก็เติบโตขึ้นมาในตระกูลชั้นยอดและสภาพแวดล้อมภายในตระกูลอื่น ๆ ก็เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มยากจะคาดเดาได้
“นี่คือมู่หนานเฉินเป็นพ่อของฉันเอง” มู่ฟู่ผิงกล่าวแนะนำ
มู่หนานเฉินโบกมือไปมาเป็นสัญญาณว่าเซี่ยเฟยไม่ต้องสุภาพกับเขามากนักก็ได้ จากนั้นเขาก็เริ่มถามเซี่ยเฟยว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ชายหนุ่มได้หายตัวไปพร้อมกับมู่ฉิวโป๋ แน่นอนว่าเซี่ยเฟยได้เตรียมเรื่องโกหกสำหรับเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว เขาจึงเล่าเรื่องทุกอย่างออกไปได้ราวกับเรื่องทุกอย่างคือความจริง
มู่ฟู่ผิงกับมู่ฉิงปิงยังไม่มีประสบการณ์ในโลกภายนอกมากนัก พวกเธอจึงหลงเชื่อคำโกหกของเซี่ยเฟยโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ และเมื่อเซี่ยเฟยได้เล่าไปจนถึงฉากอันตรายพวกเธอก็ยกมือขึ้นมากุมหน้าอกด้วยความกังวล
ในทางกลับกันมู่หนานเฉิน, หยูเจียงและหยูฮัวต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นนักสู้ที่มีประสบการณ์ พวกเขาจึงสามารถคาดเดาได้อย่างง่ายดายว่าเซี่ยเฟยไม่ต้องการที่จะบอกเล่าความจริง และเมื่อชายหนุ่มคนนี้ไม่ต้องการจะพูดพวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะคาดคั้นอะไร
“นายชื่อเซี่ยเฟยสินะ?” มู่หนานเฉินกล่าวถาม
“ใช่ครับ”
“นายเป็นนักสู้ที่พึ่งเดินทางเข้ามาในดินแดนนี้ใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
“นายมาจากพันธมิตร?”
“ใช่ครับ”
“บ้านเกิดของนายอยู่ที่ไหน?”
“ดาวโลกครับ”
“พ่อแม่นายล่ะ ทำอะไรอยู่ที่ไหน?”
“ผมไม่มีพ่อมีแม่ครับ”
…
คำถามจากอีกฝ่ายเริ่มทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกหดหู่ เพราะตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะได้รับคำขอบคุณ แต่ไป ๆ มา ๆ เขากลับถูกตั้งคำถามในเรื่องทุก ๆ อย่างตั้งแต่สมัยที่เขาเป็นเด็ก
อย่างไรก็ตามชายหนุ่มก็ยังคงตอบคำถามพื้นฐานอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งหลังจากที่อีกฝ่ายถามคำถามจนหมดแล้วเขาก็ถอนหายใจและมองไปที่มู่ฟู่ผิงด้วยแววตาที่อ่อนใจ
ในเวลาเดียวกันมู่ฟู่ผิงก็มองไปทางเซี่ยเฟยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความละอายใจ ราวกับว่าเธอทำอะไรบางอย่างผิดพลาดและเธอก็ไม่รู้ว่าเธอจะแก้ไขเรื่องนี้ยังไงดีเหมือนกัน
‘เอาแต่ถามเรื่องของฉัน แล้วมาถอนหายใจทำไมกันวะ!’ เซี่ยเฟยสาปแช่งภายในใจเมื่อได้เห็นมู่หนานเฉินถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
“พวกเรารู้สึกขอบคุนมากที่นายช่วยชีวิตมู่ฟู่ผิงเอาไว้ และเรื่องนี้มันก็ต้องได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง” มู่หนานเฉินกล่าวหลังจากจิบชาเพื่อสงบสติอารมณ์
ท่าทางของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ และเขาก็ยังไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์ในปัจจุบันได้จริง ๆ
หยูฮัวที่อยู่ด้านข้างพยายามจะส่งสัญญาณให้กับชายหนุ่ม เพราะเขากลัวว่าเซี่ยเฟยจะทำอะไรที่ไม่สุภาพลงไป ท้ายที่สุดอีกฝ่ายก็เป็นคนจากตระกูลชั้นยอดและการไปยั่วยุคนกลุ่มนี้มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อตระกูลหยู
“นั่นพ่อกำลังพูดเรื่องอะไร?” มู่ฟู่ผิงกล่าวพร้อมกับจ้องมองไปยังบิดาด้วยแววตาอันคาดคั้น
มู่หนานเฉินตบหน้าผากเบา ๆ ราวกับว่าเขาทำอะไรไม่ถูก ซึ่งเซี่ยเฟยก็ดูออกในทันทีว่าชายคนนี้คงจะแพ้ทางลูกสาวของตัวเองมาก ถึงขนาดที่ไม่กล้าจะทำอะไรขัดใจลูกสาวของตัวเอง
เมื่อหยูเจียงเห็นว่าบรรยากาศไม่ค่อยดี เขาก็เริ่มออกหน้าเพื่อให้สถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น
“เอาล่ะในเมื่อเซี่ยเฟยเดินทางกลับมาได้อย่างปลอดภัย เรื่องทุกอย่างก็ถือว่าจบลงได้ด้วยดี เดี๋ยวคืนนี้ผมจะจัดงานเลี้ยงในตระกูล ผมขอเชิญแขกผู้มีเกียรติจากตระกูลวิทเทอร์มาเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย”
“ผู้อาวุโสหยูคุณไม่จำเป็นจะต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ อีกอย่างในตระกูลยังมีเรื่องอีกมากมายให้ผมต้องรีบกลับไปจัดการ” มู่หนานเฉินกล่าวพร้อมกับโบกมือไปมา
“มู่หนานเฉินไม่ใช่คนธรรมดาเขาเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาทายาทสายตรงของตระกูล แต่ตอนนี้เขายังมีอิทธิพลไม่มากพอที่จะควบคุมตระกูลวิทเทอร์ แต่มันก็มีข่าวลือมาว่าเขาคือคนที่มีโอกาสจะกลายเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปมากที่สุด” หยูฮัวกระซิบบอกตัวตนของอีกฝ่ายใกล้ ๆ หูของเซี่ยเฟย
“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับผม?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ตอนนี้อาจจะยังไม่เกี่ยว แต่อนาคตก็ไม่แน่” หยูฮัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คำตอบจากพ่อค้าคนนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกหงุดหงิดมาก เพราะตั้งแต่เขากลับมาอีกฝ่ายกลับแสดงท่าทางดูมีเลศนัยกับเขามาโดยตลอด
“เอาล่ะเซี่ยเฟย ครั้งนี้นายได้ยื่นมือเข้ามาช่วยมู่ฟู่ผิงเอาไว้จริง ๆ ดังนั้นพวกเราก็จำเป็นจะต้องตอบแทนบุญคุณครั้งนี้อย่างเหมาะสม” มู่หนานเฉินกล่าวก่อนที่เขาจะหันไปหาหยูเจียง
“ผู้อาวุโสหยูครั้งนี้ตระกูลของคุณได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมมังกรฟ้ากี่สิทธิ์?”
“พวกเราเป็นเพียงแค่ตระกูลเล็ก ๆ พวกเราจึงได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมมังกรฟ้าเพียงแค่สิทธิ์เดียวเท่านั้น” หยูเจียงกล่าวตอบ
“แล้วพวกคุณตัดสินใจกันแล้วหรือยังว่าจะมอบสิทธิ์นั้นให้กับใคร?”
“พวกเราตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่าเราจะมอบสิทธิ์นั้นให้หยูเสี่ยวเป่ย”
คำตอบนี้ทำให้เซี่ยเฟยชะงักไปเล็กน้อย ซึ่งในความเป็นจริงเขาก็เคยได้ยินชื่อนี้มาแล้วหลายครั้ง ท้ายที่สุดอีกฝ่ายก็น่าจะเป็นสมาชิกคนสำคัญของตระกูลหยู เพราะไม่ว่าจะเป็นหยูฮัวหรือหยูเจียงต่างก็ล้วนแล้วแต่เคยพูดชื่อนี้ออกมาให้เขาได้ยินจนชื่อติดหู
ขณะเดียวกันชายหนุ่มก็ไม่รู้ว่างานชุมนุมมังกรฟ้าคืองานอะไร แต่มันจะต้องเป็นหนึ่งในงานที่ยิ่งใหญ่มากแน่ ๆ ตระกูลหยูที่มีประชากรมากถึง 1 ล้านคนจึงได้สิทธิ์เข้าร่วมงานเพียงแค่สิทธิ์เดียวเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นผมก็จะมอบสิทธิ์เข้าร่วมงานชุมนุมมังกรฟ้าให้กับตระกูลหยูอีกหนึ่งสิทธิ์ เพื่อให้เซี่ยเฟยได้มีโอกาสเดินทางไปร่วมงานชุมนุม” มู่หนานเฉินกล่าว
คำพูดของชายคนนี้ทำให้ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด แม้แต่หยูเจียงที่มักจะรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีก็ยังรู้สึกตกตะลึงจนเงียบเสียงไป
“ไอ้เราก็คิดว่าพวกเขาจะให้คริสตัลต้นกำเนิดเป็นของรางวัลกับนายซะอีก แต่ดูเหมือนว่านายจะได้รับสิทธิ์ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงอะไรสักอย่างนะ” อันธบ่นจากด้านข้าง
เซี่ยเฟยก็ไม่ได้ต้องการได้รับสิทธิ์ไปเข้าร่วมงานชุมนมมังกรฟ้าอะไรนั่นเหมือนกัน เพราะเขาเพิ่งได้นำโอโร่จากเผ่ามารเดินทางกลับมาพร้อมกับเขาด้วย ดังนั้นเป้าหมายที่ชายหนุ่มตั้งเอาไว้คือการใช้ช่วงเวลานี้ฝึกฝนอย่างหนักและตักตวงความรู้จากโอโร่กลับมาให้ได้มากที่สุด
“งานชุมนุมมังกรฟ้าถือว่าเป็นงานใหญ่มาก แล้วมันก็เป็นงานที่รวบรวมอัจฉริยะรุ่นใหม่เอาไว้โดยเฉพาะ” หยูฮัวโน้มตัวไปกระซิบข้างหูชายหนุ่ม
“มันเป็นงานใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถาม
“นี่คืองานชุมนุมที่จัดขึ้นโดยหอมังกรฟ้า ซึ่งเป็นองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากเผ่าเทพโดยตรง ดังนั้นถ้าหากว่าใครสามารถแสดงความสามารถในงานชุมนุมได้อย่างโดดเด่น คนคนนั้นก็จะเริ่มถูกจับตามองเป็นพิเศษและอาจจะถูกทาบทามเข้าไปในเผ่าเทพในอนาคต”
“เผ่าเทพคือกองกำลังที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดจากดินแดนผู้ใช้กฎเอาไว้ หอมังกรฟ้าจึงทำหน้าที่ไม่ต่างไปจากแมวมองของเผ่าเทพโดยเฉพาะ มันจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมงานชุมนุมนี้จึงถูกประเมินค่าเอาไว้สูงมาก เพราะผู้ที่มีโอกาสเข้าร่วมงานชุมนุมก็คือผู้ที่มีโอกาสเดินทางไปยังเผ่าเทพได้ด้วยเช่นเดียวกัน”
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องการช่วยเหลือนายนะ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะช่วยเหลือนายจริง ๆ” หยูฮัวกล่าว
เซี่ยเฟยกำลังจะเอ่ยปากถามเพราะเขาไม่เข้าใจว่าหยูฮัวกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่หยูเจียงก็ได้กล่าวขัดขึ้นมาเสียก่อน
“พวกเราดีใจมากที่ตระกูลวิทเทอร์ต้องการที่จะหยิบยื่นโอกาสมาให้กับเรา แต่ตระกูลหยูคงไม่สามารถยอมรับความเมตตาในครั้งนี้ได้จริง ๆ”
คำตอบของชายชราถึงกับทำให้เซี่ยเฟยชะงักค้างไป แล้วเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหยูเจียงถึงปฏิเสธโอกาสดี ๆ ไปแบบนี้
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” มู่หนานเฉินกล่าวถาม
“ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึง 15 วันก่อนที่งานชุมนุมมังกรฟ้าจะได้เริ่มต้นขึ้น แต่ข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับผู้เข้าร่วมงานชุมนุมคือการเป็นอัศวินกฎให้ได้เสียก่อน แต่ตอนนี้เซี่ยเฟยเพิ่งจะเป็นเพียงแค่นักรบกฎขั้นที่ 6 เท่านั้น” หยูเจียงกล่าวพร้อมกับชำเลืองสายตามองไปทางเซี่ยเฟย
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็เข้าใจทุกอย่างในทันที ที่แท้มู่หนานเฉินก็พูดแบบนั้นออกมาเพราะคำนวณแล้วว่าเขายังไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมมังกรฟ้าได้
“อ้าวเหรอ? ผมเห็นว่าเขาสามารถช่วยมู่ฟู่ผิงจากเงื้อมมือของมู่ฉิวโป๋ได้ ผมก็นึกว่าอย่างน้อยเขาจะมีพลังอยู่ในระดับอัศวินกฎขั้นสูงแล้วเสียอีก” มู่หนานเฉินกล่าวเหมือนเสียดายแต่ท่าทางของเขาเหมือนกับว่าเขาคาดเดาเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว
สมาชิกในตระกูลหยูต่างก็ทำได้เพียงแต่ถอนหายใจ เพราะเซี่ยเฟยอุตส่าห์มีโอกาสดี ๆ เข้ามาในชีวิต แต่น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของเขากลับยังมีไม่พอ
ในทางกลับกันเหล่าบรรดาผู้คนจากตระกูลมู่ต่างก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ และรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาต่างก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแค่กัดฟันและกำหมัดเอาไว้ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าเขาไปทำอะไรให้คนพวกนี้รู้สึกขุ่นเคืองกันแน่
“เวลากระชั้นชิดมากจริง ๆ แต่ตระกูลหยูก็น่าจะช่วยสนับสนุนให้เซี่ยเฟยกลายเป็นอัศวินกฎภายใน 15 วันได้ใช่ไหม?” มู่หนานเฉินแสร้งกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
เลื่อนขั้นจากนักรบกฎขั้นที่ 6 เป็นอัศวินกฎภายใน 15 วันเนี่ยนะ!!
แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!!
ยิ่งไปกว่านั้นกำแพงที่ขวางกั้นนักรบกฎขั้นที่ 9 กับอัศวินกฎเอาไว้ยังเป็นกำแพงที่ยิ่งใหญ่มาก มันจึงทำให้แม้แต่นักรบที่มีพรสวรรค์ก็ยังจำเป็นจะต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปีในการก้าวข้ามผ่านอุปสรรคอันยิ่งใหญ่นี้ไป แล้วมันก็มีนักสู้อีกอย่างมากมายที่ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคนี้ได้สำเร็จ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามมาเป็นเวลานานนับสิบ ๆ ปีแล้วก็ตาม
“ผู้อาวุโสจะตอบรับคำเชิญของคุณมู่หนานเฉินก็ได้นะครับ พอดีว่าผมยังไม่มีโอกาสรายงานให้ผู้อาวุโสทราบว่าช่วงที่ผมไม่อยู่ผมได้พัฒนาขึ้นมาจนอยู่ในขั้นที่ 9 แล้ว” จู่ ๆ เซี่ยเฟยก็กล่าวขึ้นมาอย่างฉับพลันท่ามกลางสายตาอันเย้ยหยันของสมาชิกตระกูลวิทเทอร์
“อะไรนะ?! เซี่ยเฟยกลายเป็นนักรบกฎขั้นที่ 9 แล้ว?!”
“ไม่มีทาง! เขาหายตัวไปเพียงแค่ 10 กว่าวัน ตอนนั้นเขายังเป็นเพียงแค่นักรบกฎขั้นที่ 6 อยู่เลย”
“ฉันไม่เชื่อ!! มันไม่มีใครสามารถพัฒนาได้เร็วขนาดนั้นหรอก”
“นายกำลังจะบอกว่าตอนนี้นายมีพลังอยู่ในระดับนักรบกฎขั้นที่ 9 แล้วงั้นเหรอ?” มู่หนานเฉินขมวดคิ้วถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ จากคนของตระกูลวิทเทอร์
“ใช่ครับ ตอนนี้ผมกลายเป็นนักรบกฎขั้นที่ 9 แล้วและผมก็ฝึกกฎแห่งการกลั่นพลังงานขั้นแรกได้สำเร็จแล้วด้วยเหมือนกัน” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
***************
ตอกหน้ากลับมันไปเล้ยยยยยย!!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 204
แสดงความคิดเห็น