STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 26 ล่ามทดสอบ
6 เมษายน พ.ศ.2576
หลังจากเลขาของแพกซ์รับปากเรื่องสัญญาการทดสอบฝีมือ พวกเขาให้เวลาเตรียมตัวสองวันแม้แต่เหล่านักเรียนก็ยังตกใจที่จู่ ๆ มีการทดสอบของอาจารย์ให้ได้เชยชมซึ่งเป็นเรื่องหายากมาก ๆ
“เฮ้ย ๆ อีกหนึ่งชั่วโมงการทดสอบอาจารย์ก็จะเริ่มแล้ว พวกเราจะไปดูไหม?”
เหล่านักเรียนทุกชั้นปีต่างก็ตื่นเต้นที่จะได้เห็นฝีมือของผู้เป็นอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นด้านความรู้หรือความแข็งแกร่งขอแค่ได้เห็นได้ศึกษาก็ยิ่งทำให้พวกเขาตื่นตาตื่นใจ
“คนมากันเยอะกว่าที่คิดนะเนี่ย แต่ก็ไม่น่าแปลกเพราะการทดสอบอาจารย์มันไม่ได้ทำมาหลายปีแล้ว” แพกซ์เดาะลิ้นแสดงท่าทางหงุดหงิดอยู่ภายในห้องพิเศษ
แม้จะไม่ได้ประกาศหรือจัดพิธีอะไรมากมายแต่เพราะมีการบอกปากต่อปากจึงมีคนเข้ามาชมจนเกือบล้นอัฒจันทร์ การทดสอบที่ค่อนข้างเป็นกันเองเหมือนเพื่อน ๆ เล่นกันแต่ด้วยจำนวนคนดูมันกลับดูยิ่งใหญ่จนนึกว่าเป็นงานประจำปี
แพกซ์กระแอมก่อนจะยกไมโครโฟนขึ้นมา “ตอนแรกข้าก็ไม่ได้หวังอะไรแบบนี้หรอกแต่ในเมื่อมากันแล้วก็ขอให้สนุกล่ะ”
“ลำดับต่อไปขอเชิญอาจารย์ ซึฮากิ ฮลาฟกาด ขึ้นมาที่ลานประลองเลยค่ะ” เมื่อแพกซ์พูดเปิดเสร็จก็ให้เลขาส่วนตัวเข้ามาดำเนินพิธีต่อ
“นั่นเขาเหรอที่สนิทกับท่านผู้กล้า”
“ใช่จริงด้วย แต่หน้าไม่ค่อยน่าคบหาเอาเสียเลยต่างกับท่านผู้กล้ายิ่งกว่าฟ้ากับเหวอีก”
นินทากันให้เบากว่านี้ไม่ได้หรือยังไง ซึฮากิเดินขึ้นลานประลองที่มีอุปกรณ์จัดไว้เรียบร้อยแล้ว
“เราจะใช้รูปแบบการทดสอบเหมือนกับนักเรียนแต่เกณฑ์การให้คะแนนขึ้นอยู่กับอาจารย์ท่านอื่น”
แสดงว่าก็มีโอกาสโกงได้สินะ คงไม่มีอาจารย์คนไหนอยู่คนละฝ่ายกับเจ้าของโรงเรียนหรอก
“เอาเหอะจะให้ทำอะไรก็รีบ ๆ หน่อย” เลขาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำเอาคิ้วขมวดแต่ก็ต้องฝืนยิ้มเพื่อดำเนินการต่อไป
“อันดับแรกจะเป็นการทดสอบสมรรถภาพทางกาย ซึ่งเริ่มด้วยการยกน้ำหนัก...” หลังจากอธิบายเสร็จสรรพซึฮากิก็เข้าประจำที่เพื่อทดสอบ
สมรรถภาพทางกายสินะ ไม่ได้ทดสอบมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย
“นั่นเขากำลังยกลูกเหล็กจริง ๆ เหรอ? ทำไมเขาทำเหมือนเป็นแค่ท่อนไม้เล็ก ๆ เลยล่ะ” ภาพอันน่าสยดสยองที่ไม่รู้ว่าเหล็กจะหักลงมาเมื่อไรและวินาทีที่ซึฮากิยกเหล็กขึ้นสูงเหนือหัวเหยียดแขนจนสุดก็ถือเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
นึกถึงตอนเดดลิฟต์ได้ห้าร้อยกิโลกรัมเลย ตอนนั้นถือว่าใช้แรงทั้งหมดที่มีแล้วแต่พอมาตอนนี้เรากลับสามารถยกมันขึ้นเหนือหัวด้วยน้ำหนักหกร้อยกิโลกรัมและยังมีแรงเหลืออีกต่างหาก หรือจะเป็นเพราะเดอะบอดี้
“เห็นนั่นหรือเปล่า นั่นมันระดับเดียวกับพวกพลเอกลักซ์หรือไม่ก็จอมพลโกโด้เลยนะ”
เหล่าผู้ชมต่างก็นั่งนิ่งคิดไปถึงเรื่องลับลมคมในว่าเขาใช้ยาหรือเปล่าหรือจะแอบใช้เวทมนตร์? แม้แต่แพกซ์ก็ยังต้องอึ้งจนพูดไม่ออก
หลังจากจดบันทึกข้อมูลซึฮากิก็ทำแบบทดสอบต่อไปจนเสร็จครบถ้วน ยิ่งเขาได้แสดงศักยภาพมากเท่าไรก็ยิ่งเกิดความสงสัยว่าอาจารย์ผู้นี้เป็นใคร ข่าวลือหลาย ๆ อย่างเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นไม่ว่าจะเรื่องเขากับผู้กล้ามีความสัมพันธ์กันแบบใด แล้วเรื่องที่เป็นกบฏแต่กลับมีอิสระเช่นนี้เป็นเพราะอะไร
“ต่อไปเป็นการทดสอบการใช้เวทมนตร์นะคะ” แม้เธอจะรู้สึกเคลือบแคลงใจแต่ก็ต้องทำหน้าที่ต่อไปให้สำเร็จลุล่วง
“เดี๋ยวก่อน ! ไหน ๆ ก็จะทดสอบแล้วอาจารย์ซึฮากิช่วยแสดงเวทมนตร์นั้นให้ดูเป็นขวัญตาหน่อยสิ” แพกซ์ยกไมโครโฟนพูดแทรกก่อนจะเริ่ม
“หมายถึงอะไรครับ?”
แพกซ์หัวเราะในลำคอเหมือนกำลังรอคำนี้อยู่ “ท่านผู้กล้ากล่าวยกยออาจารย์ซึฮากิไว้ค่อนข้างเยอะ แถมสิ่งที่เรียกว่าเครื่องบินก็เป็นฝีมือของอาจารย์ด้วยสินะ”
“ก็คือจะให้ผมแสดงเวทมนตร์ที่ใช้กับเครื่องบินใช่ไหมครับ?”
“นั่นแหละนายเข้าใจถูกแล้ว”
จะเอาอย่างนี้สินะ ให้เผยไพ่ในมือต่อหน้าคนมากขนาดนี้แถมยังมีอาจารย์ที่อาจจะมาเก็บข้อมูลเอาไปทดลองได้อีก
“ก็ได้ ๆ เพราะยังไงมันก็แค่เวทมนตร์ง่าย ๆ” ซึฮากิใช้เวทมนตร์บินลอยขึ้นกลางอากาศหมุนตัวไปรอบ ๆ ให้ทุกคนได้เห็น
ต่อให้บอกว่าใช้เวทมนตร์อะไรแต่ถ้าไม่บอกวิธีการมันก็ต้องใช้เวลาวิเคราะห์อีกนาน นอกจากเวทมนตร์ก็ต้องพึ่งการออกแบบเครื่องบินให้เข้ากันด้วย
ขณะที่ซึฮากิกำลังแสดงความสามารถก็มีเหล่าคณาจารย์ที่นั่งในห้องพิเศษช่วยกันวิเคราะห์และแกะเวทมนตร์ของเขา
“ใช้เวทวายุสินะ นั่นมันก็คล้าย ๆ เวทการบินของเราเหมือนกันนะเนี่ยหรือจะใช้หลักการเดียว” อาจารย์หญิงวัยกลางคนนั่งกระดิกเท้ามองดูการบินวนไปมาของซึฮากิ
“นี่เธอจะบอกว่าเจ้าเหล็กหนักหลายตันนั่นใช้เวทวายุแบบนั้นเนี่ยนะ มันต้องใช้มานามากขนาดไหนกันเชียวถึงจะไปไหนมาไหนได้”
“เวทการบินของเรามีการใช้เวทวายุควบรวมกับเวทประทับ เขาก็อาจจะมีเวทมนตร์อีกแบบที่ใช้ร่วมด้วยก็ได้” อาจารย์ที่นั่งอยู่ริมห้องตอบกลับ
“ก็อาจจะใช่ แล้วดูสายตาที่เจ้านั่นมองมาสิ…สายตาที่ราวกับบอกว่าเชิญดูให้เต็มที่ไปเลย”
หลังจากการทดสอบเวทมนตร์จบซึฮากิก็ไปยังการทดสอบต่อไปก็คือสอบข้อเขียนซึ่งจะยากกว่าของนักเรียนหลายเท่าตัว
เปิดมาด้วยประวัติศาสตร์สินะมันไม่ง่ายเกินไปหน่อยเหรอ
เขาใช้เวลาทำทุกหมวดวิชาไม่ถึงสิบห้านาทีอย่างกับเห็นคำถามก็ตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องทดเลขหรือคิดวิเคราะห์อะไรมากมายเลย
“ต่อไปจะเป็นการทดสอบพิเศษสำหรับอาจารย์นะคะ เชิญอาจารย์ทุกท่านขึ้นมาได้เลยค่ะ” ซึฮากินั่งลงตรงข้ามกับเหล่าอาจารย์ทั้งสามและก็มีผู้อำนวยการแพกซ์มาด้วย
“ต่อจากนี้จะเป็นการทดสอบสามหัวข้อ อาจารย์ซึฮากิต้องได้รับโหวตอย่างน้อยสามโหวตถึงจะผ่านนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอเปิดด้วยเรื่องของมานา” ทรัมป์อาจารย์ประจำชั้นของห้องเรียนพิเศษส่งยิ้มทักทาย
“โห...อาจารย์ทรัมป์เล่นของใหญ่ซะด้วย” อาจารย์สาววัยกลางคนข้าง ๆ ยิ้มอย่างมีเลศนัย
“รู้ไหมว่ามานาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย?” ทรัมป์ยิงคำถามที่เหมือนธรรมดาแต่ก็คาดหวังในคำตอบไม่น้อย
“รู้ครับ” ซึฮากิตอบสั้น ๆ มันทำให้อาจารย์เหล่านั้นถอนหายใจผิดหวัง
“ในบางครั้งจะมีมอนสเตอร์บางตัวสามารถใช้เวทมนตร์ได้แต่กับบางตัวก็ไม่สามารถใช้ได้ทั้ง ๆ มีมานาเหมือนกันเป็นเพราะอะไร?”
“ก็เพราะตัวกลางสำหรับแปลงมานาเป็นพลังเวท” ซึฮากิยังคงตอบเสียงแข็งทำอย่างกับอยากให้มันจบเร็ว ๆ
“มนุษย์เป็นเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่มีสติปัญญาสูงแต่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ตรง ๆ ได้ ในทางกลับกันก็มีเผ่าพันธุ์ที่ใช้เวทมนตร์ได้แต่ไม่นิยมใช้เป็นเพราะอะไร?”
“เหตุผลที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดก็คือไม่จำเป็น เหมือนกับเผ่าก็อบลินที่อาศัยกันอยู่แบบล่าสัตว์หาอาหารไม่ก้าวก่ายไปอาณาเขตอื่นและด้วยสภาพร่างกายที่แข็งแรงมากจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งเวทมนตร์”
“อืม แวมไพร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีตัวกลางมานาที่เข้มข้นที่สุดแต่ทำไมถึงนำมาใช้งานได้ยากกว่าเผ่าอื่น”
“คงต้องลงลึกไปถึงสถิติแวมไพร์ที่จับได้ก่อน แค่จำนวนนั้นก็มีน้อยมากจนนับนิ้วได้อีกทั้งส่วนใหญ่หัวใจก็ยังเสียหายไปก่อนจะได้นำมาวิจัยหรือหาวิธีใช้งานจริง ๆ ส่วนหัวใจที่มีก็เก็บไว้เพราะกลัวจะผิดพลาดแล้วไม่มีตัวอย่างอีก พูดง่าย ๆ ก็คือยังสรุปไม่ได้ว่านำมาใช้งานยาก”
“ว้าว ตอบได้ดีนี่อาจารย์ซึฮากิ” เสียงใสของอาจารย์สาวเคลิบเคลิ้มไปกับการถกเถียงของพวกเขา
“พลังเวทคือปริมาณของมานาที่แปลเปลี่ยนได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือยิ่งพลังเวทมากเท่าไรมานาก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากเท่านั้น แล้วถ้าพลังเวทเป็นศูนย์มานาจะมีลักษณะอย่างไร?”
“ต้องบอกว่าพลังเวทเป็นการเปลี่ยนมานาเป็นเวทมนตร์แต่ถ้ามานาสามารถเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบอื่นได้ล่ะ? อีกทั้งเวทมนตร์บางอย่างก็ไม่ใช่มานาแล้วจะเรียกเวทมนตร์ได้อยู่ไหม? เป็นไปได้ไหมที่จะมีค่าสถานะแบบอื่นที่ยังไม่แสดงให้เห็น”
อาจารย์ทรัมป์ถึงกับอ้าปากค้างเพราะนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน
“พลังแบบอื่นที่มีผลกับพลังเวทและมานาเหมือนกัน ถ้าเกิดมีตัวแปรเพิ่มอีกหนึ่งก็อาจจะตั้งสมมุติฐานใหม่ ๆ ขึ้นมาก็ได้”
อาจารย์ทรัมป์มองหน้าเพื่อน ๆ ของเขาส่งสัญญาณบางอย่าง
“การถกในเรื่องมานาผมขอโหวตผ่าน” หลังจากนั้นอาจารย์ทั้งสามก็ยกมือให้ผ่านโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ เหลือเพียงแพกซ์ที่นั่งกัดฟันลังเลใจ
“เฮอะ ก็ได้ ๆ” แม้จะดูหยิ่งผยองแต่เขาก็โหวตให้ผ่าน
“ต่อไปเป็นตาของผมก็แล้วกัน หัวข้อที่เราจะถกกันก็คือมอนสเตอร์และสัตว์อสูร”
อาจารย์มิเกลหนึ่งในอาจารย์เขตวิจัยมอนสเตอร์ ไม่แปลกที่เขาจะเสนอเรื่องที่ตัวเองถนัด
“ปกติดันเจี้ยนจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาขึ้นอยู่กับแก่นดันเจี้ยน ในช่วงเวลานั้นมอนสเตอร์ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน คำถาม...ทำไมมอนสเตอร์ถึงมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย”
เล่นยิงคำถามตรงตัวมาแบบนี้เลยเหรอ
“มอนสเตอร์เกิดจากแก่นดันเจี้ยนซึ่งแต่ละที่จะกำเนิดมอนสเตอร์ไม่เหมือนกัน เมื่อดันเจี้ยนเกิดการเปลี่ยนแปลงก็เป็นไปได้ที่แก่นดันเจี้ยนจะเปลี่ยนไปด้วยจึงทำให้การเปลี่ยนแปลงมายังมอนสเตอร์ภายในนั้น”
“บางครั้งสัตว์อสูรก็มีจำพวกเดียวกับมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนแต่ก็มีลักษณะการใช้ชีวิตต่างกัน คำถาม...ทำไมสัตว์อสูรและมอนสเตอร์ชนิดเดียวกันถึงใช้ชีวิตไม่เหมือนกันทั้งด้านอาหารและนิสัย”
“เป็นคำถามที่แปลกดีนะครับ คำตอบมันก็อยู่ในคำถามอยู่แล้วก็เพราะสถานที่ที่อาศัยแตกต่างกันหรือจะให้เจาะลึกก็ได้นะครับ มอนสเตอร์เกิดจากแก่นดันเจี้ยนอยู่และอาศัยในดันเจี้ยนที่มีแต่การฆ่าเพื่ออยู่รอด สัตว์อสูรเกิดและวิวัฒนาการต่อ ๆ กันมาตั้งแต่อดีต เพราะฉะนั้นมันจะมีการซึมซับวิถีชีวิตจากรุ่นสู่รุ่นไม่เหมือนมอนสเตอร์”
ท่าทางวางท่าของอาจารย์มิเกลค่อย ๆ ยิ้มอ่อนมองแววตาอันเฉยชาของซึฮากิ
“ถ้าเอาสัตว์อสูรเข้าไปในดันเจี้ยนมันจะกลายเป็นมอนสเตอร์ไหม?”
“ไม่ บางคนก็ใช้สัตว์อสูรที่ทำพันธสัญญาลงดันเจี้ยนด้วยกันแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง กลับกันมอนสเตอร์จะไม่สามารถออกจากดันเจี้ยนได้เพราะเมื่อออกห่างจากแก่นดันเจี้ยนที่เป็นต้นกำเนิดมันก็จะตายทันที”
“อืม สุดท้ายนี้...รู้จักแรปฟิตไหม?”
“ครับ ผมรู้จัก”
อาจารย์มิเกลถอนหายใจครู่หนึ่งเหมือนกำลังตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่
“นายคิดยังไงกับแรปฟิต หลาย ๆ คนก็มักจะนับถือมันเป็นสัตว์เทพเพราะเป็นมอนสเตอร์เพียงชนิดเดียวที่ไม่ทำร้ายเราก่อน บางคนก็เชื่อว่ามันเป็นตัวแทนของพระเจ้าถึงขนาดมีเรื่องเล่าขานมากมายโดยเฉพาะเรื่องที่ท่านแอสต้าเลี้ยงมันไว้ข้างกาย”
แรปฟิตก็คือเผ่าของเจ้าปุยสินะ จะว่าไปเราก็ไม่เห็นมันมานานแล้วนะเนี่ย
“มันเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่มีทั้งนอกดันเจี้ยนและในดันเจี้ยน ปกติมักจะอยู่กันเป็นฝูงแต่ก็มีพบเห็นพวกที่อยู่แบบสันโดษ พวกมันเป็นสัตว์รักสงบที่กินได้ทั้งพืชและเนื้อแถมยังสามารถใช้เวทมนตร์ได้อีกด้วย ข่าวลือและความเชื่อคงเริ่มจากบุคคลในตำนานที่มีนามว่าแอสต้าได้ชุบเลี้ยงแรปฟิตด้วยตัวเอง”
“แล้วคิดว่ามันมีอะไรพิเศษมากกว่านั้นอีกไหม?” อาจารย์มิเกลถามกลับทันทีเหมือนยังไม่พอใจในคำตอบ
“มัน...มีสติปัญญาใกล้เคียงกับเรา”
“อืม ช่วยขยายความให้ได้ไหม?”
“ผมคิดว่ามันสื่อสารกับพวกเราได้จากการกระทำต่าง ๆ คงเพราะมันเป็นมิตรก็เลยมีโอกาสได้อยู่กับมนุษย์บ่อย ๆ” ซึฮากินึกถึงเจ้าปุยว่ามันทำอะไรได้บ้างแต่ก็มากกว่าที่เขียนไว้ในบันทึกหรือหนังสือหลาย ๆ เล่มเสียอีก ถ้าพูดออกไปก็กลัวว่าความลับจะแตกไม่ก็โดนสงสัยว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น
เป็นไงก็เป็นกันวะ
“ผมเคยเห็นแรปฟิตแปลก ๆ ตัวหนึ่ง มันสามารถใช้เวทมนตร์ได้ทุกธาตุและยังลบตัวตนได้อีกด้วย”
“หา? ไหนลองเล่ามาสิ”
“ผมเคยเจอมันในดันเจี้ยนตอนฝึกในค่ายแต่ผ่านไปสักพักตอนผมไปที่ดันเจี้ยนอื่นก็ดันได้เจอมันอีกครั้ง”
“ดันเจี้ยนอื่น? พวกมันอาจจะเป็นคนละตัวก็ได้” การถกเถียงของอาจารย์มิเกลและซึฮากิเริ่มดุเดือดยิ่งขึ้นจนคนอื่นที่ได้ยินยังตกใจ
“ตอนแรกก็คิดอย่างนั้นแต่เพื่อนผมตั้งชื่อให้มันไว้และ...ตอนเจอมันอีกครั้งมันก็ตอบสนองกับชื่อเรียกที่ตั้งให้ด้วย พวกเราจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นตัวเดียวกัน”
“เป็นไปได้ยังไง แสดงว่ามันตามพวกนายไปถึงดันเจี้ยนอื่นเลยเหรอ”
ขณะที่กำลังสนทนาซึฮากิก็เหลือบไปเห็นเจ้าปุยกระโดดดีใจอยู่ไม่ไกล
“เอาเป็นว่าผมขอตอบไว้แค่นี้ก็แล้วกันนะครับ” ซึฮากิเผลอยิ้มอ่อนดีใจที่ได้เห็นเจ้าปุยสุขสบาย
“ก็ได้ ๆ พอแค่นี้ก็พอ” อาจารย์มิเกลยกมือโหวตให้ซึฮากิทันทีและตามมาด้วยอาจารย์ท่านอื่น
แต่แทนที่จะจบเพียงเท่านั้นอาจารย์มิเกลก็เดินเข้าไปกระซิบคุยกับซึฮากิสองคน
“ถึงตอนแรกฉันจะไม่ชอบหน้านายสักเท่าไรแต่ตอนนี้ฉันไม่สนเรื่องนั้นแล้ว ถ้าเจอมันอีกเมื่อไรก็รีบบอกนะ” แววตาแห่งความหวังที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นของนักวิจัยที่อยากได้องค์ความรู้ใหม่ ๆ จนตัวสั่น ทำเอาคนรอบตัวขนลุกเพราะอาจารย์มิเกลมักจะทำหน้าบึ้งอยู่ตลอด
“ผมจะรีบบอกนะครับ” ซึฮากิกระตุกยิ้มมุมปากทำอย่างกับถือไพ่เหนือกว่า
หลังจากคุยกันเสร็จสรรพอาจารย์มิเกลก็กลับไปนั่งที่โดยมีเจ้าปุยกระโดดไปทั่วหยอกล้อเหล่าอาจารย์ที่นั่งอยู่ตรงนั้น
“ต่อไปก็เป็นตาของฉันแล้วสินะ หัวข้อที่ฉันอยากถกด้วยก็คือพลังเดอะ” อาจารย์สาวยิ้มเยาะชอบใจที่จะได้พูดเรื่องนี้
ทำไมถึงเลือกหัวข้อแบบนี้กันนะ? หัวข้อที่คุยได้ยากเพราะอาจจะเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของพลังเดอะได้
“อย่างแรกเลย อาจารย์ซึฮากิอยากได้พลังเดอะแบบไหนคะ?”
เปิดมาแบบนี้มันก็เหมือนถามเพื่ออยากรู้รูปแบบความคิดซะมากกว่า
“ตอบยากเหมือนกันนะครับ จากบันทึกพลังเดอะก็ไม่ได้มีมากมายอะไรและอาจจะมีพลังที่ยังไม่ค้นพบอีกก็ได้ แต่ถ้าให้เลือกก็คงเป็นเดอะสตอปเปอร์ที่พลเอกลักซ์ครอบครองอยู่”
แม้มันจะมีข้อเสียก็ตามแต่ก็ถือเป็นพลังเดอะที่แข็งแกร่งและประยุกต์ใช้ได้เยอะ
“เลือกได้ดีนะคะ ถ้าอย่างนั้นคำถามต่อไปก็คือมีวิธีไหนที่จะดึงประสิทธิภาพของเดอะสตอปเปอร์ได้มากที่สุด?”
โห มามุกนี้เหรอเนี่ย ซึฮากิยิ้มอย่างมีเลศนัยเห็นถึงเป้าหมายผ่านดวงตาของอาจารย์ผู้นั้น
“ผมคิดว่าคงเป็นจังหวะ ด้วยพลังของเดอะสตอปเปอร์เราสามารถหลีกเลี่ยงการปะทะและลดความเสียหายได้มากมายจากการใช้ในจังหวะที่เหมาะสม”
“ขอบคุณสำหรับคำตอบค่ะ คำถามต่อไปก็คือเป็นไปได้ไหมที่คนหนึ่งจะมีพลังเดอะมากกว่าหนึ่งอย่าง”
“แม้จะยังไม่มีการบันทึกไว้แต่ผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้”
“เป็นคำตอบที่เรียบง่ายดีนะคะ ถ้างั้นคำถามต่อไปเป็นพลังเดอะที่ยังไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์...เดอะบอดี้ของอาจารย์ซึฮากิ”
“เอาจริงเหรอครับ? ผมเองก็ยังไม่เข้าใจพลังเดอะได้อย่างถ่องแท้เลย”
“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ฉันก็แค่อยากรู้เฉย ๆ” ภายใต้ใบหน้ายิ้มอ่อนกลับเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่คอยจับจ้องทุกการกระทำของซึฮากิ
“เอางั้นก็ได้ครับ เดอะบอดี้ของผมมีพลังในการเพิ่มสเตตัสแค่นั้นจริง ๆ” ถึงจะฟังดูแปลก ๆ แต่มันก็เรื่องจริงนี่นา
“เพิ่มสเตตัสสินะ แล้วมันเพิ่มได้มากแค่ไหน?”
“ผมต้องขอโทษด้วยที่บอกไม่ได้ ค่าสเตตัสที่เพิ่มขึ้นตลอดและช่วงเวลาที่ได้พลังเดอะมาทำให้คาดการสเตตัสแบบเจาะจงไม่ได้แต่ก็อาจจะมากถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
“อะไรนะ ! ห้าสิบเปอร์เซ็นต์นั่นมันสูงมากเลยนะ”
“ช่วยใจเย็นลงก่อนเถอะครับ ยังไงพลังของผมก็ยังยืนยันอะไรไม่ได้นักที่พูดไปก็เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น”
อาจารย์สาวผู้นั้นเขียนบันทึกเก็บข้อมูลไม่หยุดมือขณะเดียวกันภายในหัวก็ยังคิดวิเคราะห์พลังเดอะเพื่อหาข้อเท็จจริงให้ได้
“มาคำถามข้อสุดท้ายก็แล้วกัน อาจารย์ซึฮากิคิดว่าพลังเดอะเกิดจากอะไร?”
เป็นคำถามที่ตอบได้ยากจริง ๆ เราต้องตอบแบบไหนถึงจะเข้าใกล้ความจริงที่สุดหรือจะตอบเพื่อหาข้อถกเถียงดีล่ะ
“พลังเดอะเกิดจากโชคครับหรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือคนที่พระเจ้าถูกใจ”
“อืม ๆ นั่นก็เป็นคำตอบที่ฉันคิดไว้แล้วว่านายจะตอบ” อาจารย์สาวยิ้มอย่างพึงพอใจยกมือโหวตให้ทันที
ขณะที่กำลังเป็นไปได้ด้วยดีก็มีสายตาเขม้นจ้องมองจากชายสูงวัยผู้ริเริ่มการทดสอบอาจารย์ เขากัดฟันฝืนยกมือโหวตให้เพราะมีสักขีพยานมากเกินไปจนไม่กล้าแย้ง
“เนื่องจากการถกประเด็นทั้งสามได้รับโหวตผ่านหมดแล้ว ดังนั้นขณะนี้จึงเป็นเวลาอันสมควรแล้ว ดิฉันขอประกาศว่าอาจารย์ซึฮากิ ฮลาฟกาด เป็นอาจารย์ตัวอย่างที่ได้รับความยินยอมอย่างเป็นทางการและมีอำนาจโหวตตัดสินโครงการภายในโรงเรียนหลวง”
เสียงปรบมือมาพร้อมด้วยเสียงร้องเฮลั่นจากเพื่อน ๆ ที่มาให้กำลังใจ เซนตะโกนจนคอแทบแตกทำเอาผู้คนใกล้ ๆ ตกใจตาโตแต่ก็ยังยิ้มสนุกไปกับการทดสอบครั้งนี้
“ยินดีด้วยนะกิจัง” ฟรานกระโจนเข้าสวมกอดต่อหน้าผู้คนกว่าเธอจะรู้ตัวก็ไม่ทันการเสียแล้ว
“เอาเว้ย ! ต้องจัดแล้วสิคานะ” เซนยิ้มเยาะส่งสัญญาณผ่านสายตาให้คานะ
“ไปกันเลย !” พวกเธอวิ่งเข้ากอดซึฮากิเฉกเช่นเดียวกับฟรานเพื่อช่วยกลบเกลื่อนแต่ก็ทำเพราะสนุกที่ได้ทำด้วย
ยูกิถอนหายใจกระตุกยิ้มมองหนุ่มสาวกอดกันกลม “ร่าเริงกันจริง ๆ เลยนะ”
“อืม พวกเขาเคยเป็นทีมเดียวกันมาก่อน ทีมที่ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาด้วยกัน”
“แหม ๆ พูดอย่างกับเราสบายตายแหละ ตั้งแต่ได้อยู่กับเจ้าพวกนั้นเราก็เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายตลอดเลยแต่พอผ่านมาได้มันก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ”
ยูกิและสเตล่าเฝ้ามองเพื่อน ๆ ไม่กล้าเข้าไปขัดแต่ทันใดนั้นเซนก็พุ่งเข้ามาลากตัวทั้งคู่เข้าไปร่วมวงด้วย
“อา ! อย่ามาจับก้นข้านะ” ยูกิอุทานเสียงหลงเมื่อเซนบังเอิญรวบมือไปโดนก้นของเขา
เสียงหัวเราะลั่นดีใจราวกับถูกรางวัลที่หนึ่ง หลังจากเสร็จงานพวกเขาก็พากันไปกินอาหารมื้อใหญ่เป็นการฉลอง
พายุหิมะพัดผ่านกายหยาบของหนุ่มสาวทั้งสามท่ามกลางพื้นที่รกร้าง สถานที่ที่ใช้เนรเทศนักโทษหรือเหล่าอมนุษย์เพศชายให้เดินเร่ร่อนหาวิธีเอาตัวรอดกันเอง
“จากทิศทางของกลุ่มดาวน่าจะไปทางนี้ค่ะ” ทีโอน่าจำเป็นต้องคอยหาทิศทางเพื่อกลับไปยังพื้นที่อยู่อาศัยหรืออย่างน้อยก็ขอให้เจอมนุษย์บ้าง
“เคยแต่ส่งคนอื่นมาแท้ ๆ พอมาวันนี้กลับต้องติดอยู่ที่นี่เสียเอง” แคทเทอรีนเดินเอ้อระเหยสบายใจช่างแตกต่างกับตอนอยู่ในดันเจี้ยนก่อนหน้านี้ลิบลับเลย
“เหมือนจะเจอหมู่บ้านแดนเถื่อนแล้วนะคะ”
“หา? ในนี้มีหมู่บ้านด้วยเหรอ” แคทเทอรีนเพ่งสายตามองฝ่าพายุหิมะเห็นแสงอ่อน ๆ สว่างมาจากบ้านตรงหน้า
หมู่บ้านที่สร้างจากท่อนไม้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของนักโทษทั้งหลาย พวกเขาร่วมมือกันเพื่อเอาตัวรอดจากสถานที่อันโหดร้ายเช่นนี้
“นั่นใคร? เป็นคนมาใหม่สินะถ้าไม่อยากตายก็ยกมือขึ้นเดี๋ยวนี้” ก่อนที่จะได้เข้าเขตหมู่บ้านก็มีเสียงอันคมเข้มตะโกนมาแต่ไกลพร้อมด้วยมานาที่ก่อรวมเตรียมร่ายเวทมนตร์
“กล้าดียังไงถึงหันเวทมนตร์ใส่พวกเรา” ทีโอน่าตะเบ็งเสียงข่มเดินเข้าไปในหมู่บ้านไม่สนคำเตือนใด ๆ
“ถือว่าพวกเจ้าฝ่าฝืนคำเตือน ข้าจะตัดสินโทษของเจ้าเอง” ลูกศรวายุพุ่งเข้าหัวแคทเทอรีนแต่มันก็โดนกำแพงน้ำแข็งป้องกันไว้ได้
“บังอาจยิ่งนัก !” แคทเทอรีนส่งออร่ามานากระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้านแผ่ขยายความหนาวเหน็บข่มขวัญ
“พลังน้ำแข็ง...” ชายผู้นั้นเหลือบมองใบหน้าที่คุ้นเคยกำลังขมวดคิ้วโกรธเกรี้ยวพร้อมฆ่าทุกคนในหมู่บ้านทันที
“กล้ามากนักเจ้าพวกนักโทษ” ขณะที่แคทเทอรีนกำลังจะลงทัณฑ์หมู่บ้านก็มีชายวัยกลางคนที่มีท่อนล่างเป็นสัตว์สี่เท้าก้มกราบแนบพื้น
“ขออภัยท่านจักรพรรดินีครับ ถ้าหากจะมีใครต้องตายก็ขอให้เป็นข้าคนเดียวเท่านั้น”
แคทเทอรีนเหลือบมองรอบ ๆ จึงได้เห็นผู้คนออกมาจากหมู่บ้านมองดูชายผู้นั้นก้มกราบเป็นสัญญาณว่าพวกเขาหมดทางเลือกแล้วจริง ๆ
“ลุกขึ้นซะ !”
“ข้าทำไม่ได้ ข้าที่หันอาวุธใส่และปองร้ายจักรพรรดินีมีแต่โทษประหารเท่านั้น” แม้จะต้องกัดฟันพูดเพราะเกร็งจนขยับตามใจไม่ได้แต่เขาก็ยังยึดมั่นเพื่อความอยู่รอดของผู้คนในหมู่บ้าน
“ฉันบอกให้ลุกขึ้น !” แคทเทอรีนส่งคลื่นมานากระแทกร่างหนาของชายผู้นั้นจนกระเด็นออกไปหลายเมตรแต่ทันใดนั้นเธอก็ได้เห็นภาพอันน่าแปลกใจจากการรวมตัวกันของชาวบ้านที่คอยปกป้องชายผู้นั้น
แคทเทอรีนถอนหายใจหงุดหงิดที่พูดไม่รู้เรื่องสักที “ฝากทีโอน่ากับคาร์เตอร์คุยก็แล้วกัน ถ้าฉันพูดเองคงไม่ได้เรื่อง”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 252
แสดงความคิดเห็น