ตอนที่ 380 สมองแมลงยักษ์

-A A +A

ตอนที่ 380 สมองแมลงยักษ์

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 380 สมองแมลงยักษ์

ดาอิมพาเซี่ยเฟยออกจากกระโจมและมุ่งหน้าตรงขึ้นไปยังภูเขา และถึงแม้ว่าชายชราคนนี้จะตาบอด แต่เขากลับเดินได้อย่างคล่องแคล่วคล้ายกับว่าเขาคุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี

“เรียนนายท่านภูเขาลูกนี้เป็นยานอวกาศที่บรรพบุรุษของเราใช้สมัยที่พวกเขาเดินทางมายังดาวดวงนี้ แต่หลังจากที่เวลาผ่านพ้นไปมันจึงได้สูญเสียรูปลักษณ์ดั้งเดิมของมันไปแล้ว” ดาอิมกล่าวขณะหยุดอยู่บริเวณช่องเหว

เซี่ยเฟยชะงักขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะยื่นมือออกไปลูบกำแพงหินสีดำ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังลูบตัวเกราะของยานเลย

“เชิญตามข้ามาทางด้านนี้”

ทั้งสองเดินไปตามร่องเหวประมาณ 1 กิโลเมตร ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงกำแพงหินเรียบ ๆ ที่มองดูจากระยะใกล้มันก็ดูคล้ายกับประตูจริง ๆ แต่เนื่องจากระยะเวลาที่ผ่านพ้นไปอย่างยาวนาน มันจึงทำให้รูปลักษณ์แทบจะดูไม่เหมือนเดิม

หลังจากนั้นดาอิมก็หยิบคริสตัลสีดำออกมา ซึ่งคริสตัลนี้มีรูปทรงเป็นรูปสามเหลี่ยมและมันก็มีสิ่งที่คล้าย ๆ ชิพอันแปลกประหลาดฝังอยู่ด้านใน

ต่อมาชายชราก็ใส่คริสตัลนี้เอาไว้ในหลุมบนกำแพง ซึ่งถูกออกแบบมาให้มีขนาดกำลังพอดีราวกับว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกันและกัน

ทันใดนั้นเองมันก็มีแสงสว่างพุ่งเข้ามาใส่ร่างของชายชราอย่างกะทันหัน พร้อมกับกำแพงภูเขาที่ค่อย ๆ เคลื่อนออกไปทางด้านข้างอย่างช้า ๆ จนเปิดให้มีพื้นที่มากพอที่คนคนหนึ่งจะเดินเข้าไปด้านในได้

“ข้าแก่เกินไปที่จะใช้พลังสมองแล้ว นายท่านโปรดยกโทษให้ข้าด้วย” ดาอิมกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับเพื่อขอโทษ

“พลังสมองที่แกพูดถึงน่าจะหมายถึงพลังพิเศษสินะ? ไม่ต้องมาเรียกฉันว่านายท่าน ฉันมีชื่อว่าเซี่ยเฟย” เซี่ยเฟยกล่าว

“นายท่านช่างเป็นผู้รอบรู้จริง ๆ พลังสมองจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพลังพิเศษก็ได้ และผู้ที่มีพลังสมองต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นนักรบที่แข็งแกร่ง ถ้าหากท่านไม่ชอบให้ข้าเรียกว่านายท่าน ถ้าอย่างนั้นข้าขอเรียกท่านว่านายหัวแทนก็ได้” ดาอิมกล่าว

เซี่ยเฟยเพียงแต่เผยรอยยิ้มที่มุมปากโดยไม่พูดอะไร เพราะท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นนายท่านหรือนายหัวก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันสำหรับเขาเลย

“ในเผ่าของแกมีผู้มีพลังพิเศษอยู่ทั้งหมดกี่คน?” เซี่ยเฟยถาม

“3 คนขอรับ” ดาอิมกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

“แค่ 3 คนเองเหรอ? ทำไมมีน้อยจัง ทั้งเผ่าแกมีคนอยู่มากกว่า 20,000 คนแต่กลับมีผู้มีพลังพิเศษอยู่แค่ 3 คนเท่านี้เนี่ยนะ?” เซี่ยเฟยถามอีกครั้ง

“ถ้าจะให้ถูกควรจะพูดว่าในเผ่าเรามีผู้พลังพิเศษอยู่เพียงแค่คนเดียว เพราะข้ากับลูกชายมีพลังสมองด้านพลังงานที่เอาไว้สำหรับการเปิดยานอวกาศของบรรพบุรุษเท่านั้น มันจึงทำให้สายเลือดของเราถูกมอบหมายให้เป็นหัวหน้าเผ่าต่อ ๆ กันมา”

“แต่ความรับผิดชอบนี้ก็มีราคาที่ต้องจ่ายออกไปเช่นเดียวกัน อย่างที่นายหัวได้เห็นว่าข้าเป็นคนตาบอดตั้งแต่เกิด ส่วนลูกชายของข้าก็เกิดมาเป็นคนหูหนวก ซึ่งความพิการทั้งหมดคือราคาที่พวกเราต้องจ่ายออกไป”

“เขาไม่ได้พูดโกหก พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเขาอยู่ในสภาพกึ่งปิดกึ่งเปิดแตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในเผ่า” อันธกล่าวอธิบาย

ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็นึกถึงคอนสแตนตินเจ้าชายแห่งอาณาจักรเทียนโลหิต เพราะเท่าที่เขาจำได้คอนสแตนตินเคยบอกเขาว่าในอาณาจักรของเขามีจำนวนของผู้มีพลังพิเศษอยู่สูงมาก แต่ผู้มีพลังพิเศษทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีความบกพร่องทางร่างกายที่แตกต่างกัน

หรือว่ามันจะมีวิธีเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 โดยแลกกับความพิการทางด้านร่างกาย?

ไม่ว่าจะเป็นการเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ผ่านทางการฝึกฝน หรือจะเสียสละอวัยวะส่วนหนึ่งเพื่อเปิดใช้งานพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ขึ้นมา แต่ท้ายที่สุดเป้าหมายของทุกคนก็คือการเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ออกมาให้ได้อย่างเต็มที่เพื่อที่พวกเขาจะได้กลายเป็นผู้ใช้พลังเหนือธรรมชาติ

ในฐานะที่เซี่ยเฟยคือผู้ที่สามารถเปิดใช้งานพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้อย่างสมบูรณ์ มันจึงทำให้เขามักที่จะให้ความสนใจทั้งเรื่องราวและตำนานเกี่ยวกับพื้นที่สมองส่วนที่ 7 อยู่เสมอ แต่เรื่องนี้มันก็มีปริศนาลึกลับซับซ้อนมากเกินไปแล้วมันก็เป็นปริศนาที่กวนใจมนุษยชาติมาโดยตลอด

แต่ตอนนี้มันก็ดูเหมือนกับว่าความลึกลับนี้ไม่ได้เพียงแต่จะสร้างปัญหาให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น แต่มันยังสร้างปัญหาให้กับสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเผ่าพันธุ์อื่นที่อยู่ในจักรวาลด้วย

ชายหนุ่มยกดาอิมขึ้นมาไว้ในมือ ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ เดินเข้าไปภายในยาน

“มาดูซิว่ายานอวกาศของบรรพบุรุษพวกแกมันเป็นยังไง?”

ดาอิมเพียงแค่เผยรอยยิ้มเป็นคำตอบโดยไม่กล้าที่จะพูดอะไรตอบกลับไป เพราะถ้าหากว่าเขาพูดอะไรขัดใจเขาก็อาจจะถูกชายหนุ่มคนนี้สังหารได้ทุกเวลา

“เลี้ยวซ้ายด้านหน้าแล้วเดินตรงไป ก่อนจะเดินผ่านประตูที่สุดทางเดินและขึ้นบันไดไปยังชั้นบน…”

เซี่ยเฟยเดินสำรวจยานรบโบราณด้วยความตื่นเต้น ซึ่งในระหว่างที่เขาสังเกตโครงสร้างของยานมันก็มีข้อสงสัยอย่างมากมายที่เขารู้สึกไม่เข้าใจ

ในที่สุดชายหนุ่มก็เดินเข้าไปในห้องบัญชาการของยานอวกาศ ซึ่งรูปแบบภายในห้องมีความคล้ายคลึงกับห้องบัญชาการภายในยานของมนุษย์มาก สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือหลอดใสใส่อวัยวะบางอย่างที่อยู่ตรงกลางห้องบัญชาการ

ด้านในหลอดน่าจะเคยใส่น้ำยาชีวภาพเอาไว้เพื่อรักษาสภาพอวัยวะที่เก็บเอาไว้ด้านใน แต่ตอนนี้น้ำยาชีวภาพได้เหือดแห้งไปจนหมดแล้ว มันจึงเหลือเพียงแต่อวัยวะแห้ง ๆ สีดำที่ถูกเชื่อมต่อกับเส้นไหมโปร่งแสงหลาย ๆ เส้น

ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็นึกถึงภาพยนตร์ไซไฟบางเรื่องที่นำสมองของมนุษย์เอามาแช่ไว้ในของเหลวชีวภาพ และเส้นไหมโปร่งแสงก็น่าจะทำหน้าที่คล้ายกับระบบประสาทที่ถูกเชื่อมต่อไปยังเครื่องจักรที่อยู่ทางด้านนอก

ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคืออวัยวะชิ้นนั้นย่อมไม่ใช่สมองของมนุษย์ เพราะขนาดของมันใหญ่เกินกว่าสมองของมนุษย์ที่ถูกขยายขนาดขึ้นมาถึง 100 เท่าเสียอีก

เซี่ยเฟยหยิบมีดเล่มเล็กออกมาจากแหวนมิติพร้อมกับค่อย ๆ ตัดสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นสมองออกมา จากนั้นเขาก็ใช้ระบบเพิ่มกำลังขยายของไมโครคอมพิวเตอร์เพื่อสังเกตสมองตรงหน้าอย่างระมัดระวัง

สมองก้อนนี้เหือดแห้งมาเป็นเวลานานแล้ว แต่เขายังสามารถมองเห็นโครงสร้างเซลล์ของมันได้อย่างชัดเจนหลังจากที่ได้มองผ่านกล้องของไมโครคอมพิวเตอร์

“ดาอิมฉันคิดว่ายานลำนี้ไม่ใช่ยานของบรรพบุรุษเผ่าพันธุ์ของพวกแก แต่มันน่าจะเป็นยานของพวกเซิร์กมากกว่า”

“นายหัวคาดการณ์ได้ถูกต้องแล้ว ตามบันทึกของบรรพบุรุษพวกเขาได้ขโมยยานลำนี้มาจากพวกเซิร์ก นั่นก็เพราะว่าเผ่าพันธุ์ทูรอนของเราไม่มีความสามารถมากพอที่จะผลิตยานรบเป็นของตัวเอง” ดาอิมกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

“จะพูดว่ายานรบลำนี้ถูกผลิตขึ้นมามันก็ไม่ถูก แต่มันควรจะถูกดัดแปลงมาจากร่างของหนอนขนาดใหญ่มากกว่า สถานที่ที่เราเดินทางผ่านมามันก็น่าจะเป็นอวัยวะภายในของหนอนร่างยักษ์ และถึงแม้ว่าอวัยวะพวกนั้นจะเสื่อมโทรมตามกาลเวลา แต่มันก็ยังพอมีรูปร่างของอวัยวะให้พอเห็นเค้าโครงเดิมของพวกมันอยู่บ้าง” เซี่ยเฟยกล่าว

“นายหัวพูดถูกอีกแล้ว ตามบันทึกของบรรพบุรุษยานรบของเซิร์กถูกดัดแปลงขึ้นมาจากร่างของแมลงขนาดใหญ่มากเป็นพิเศษ โดยเหลือเอาไว้เพียงแต่สมองเพื่อคอยสั่งการเท่านั้น ซึ่งกัปตันก็จะคอยออกคำสั่งยานรบผ่านทางสมองของแมลง มันจึงไม่จำเป็นจะต้องมีลูกเรือเพื่อคอยควบคุมยานรบให้ยุ่งยาก” ดาอิมกล่าว

คำอธิบายนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง เพราะเพียงแค่แมลงขนาดใหญ่ก็มากพอที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจแล้ว แต่เทคโนโลยีชีวภาพในการดัดแปลงร่างของแมลงเป็นยานรบก็เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากยิ่งกว่า

แม้แต่มนุษย์ในยุคปัจจุบันก็ยังไม่สามารถที่จะทำการดัดแปลงร่างของแมลงให้กลายเป็นยานรบได้

หรือว่าเทคโนโลยีของเซิร์กจะก้าวล้ำเกินกว่าเทคโนโลยีของมนุษย์ไปแล้ว?

คำถามก็คือทำไมเซิร์กถึงละทิ้งเทคโนโลยีที่ล้ำหน้านี้แล้วหันมาใช้โลหะในการผลิตยานรบคล้ายกับมนุษย์ เพราะข้อได้เปรียบของยานรบชีวภาพเหนือเกินกว่ายานรบแบบปกติไปไกล โดยเฉพาะความสามารถในการรับฟังคำสั่งจากกัปตันได้โดยไม่จำเป็นจะต้องมีลูกเรือ

ลองนึกภาพว่าในกองยานประกอบไปด้วยยานรบชีวภาพทั้งหมด มันก็หมายความว่ายานรบทุกลำจำเป็นจะต้องรับฟังคำสั่งจากผู้บัญชาการเพียงคนเดียวเท่านั้น และมันก็จะสร้างความสามัคคีอย่างที่กองยานใดก็ไม่สามารถที่จะเลียนแบบมันขึ้นมาได้

ท้ายที่สุดเผ่าพันธุ์เซิร์กก็ขาดแคลนประชากรที่มีสติปัญญาสูง การบัญชาการยานรบทั้งหมดด้วยผู้บัญชาการเพียงคนเดียวย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่าการสั่งงานผ่านแมลงหลาย ๆ ตัว

แล้วทำไมเซิร์กถึงทิ้งเทคโนโลยีชีวภาพที่แข็งแกร่งขนาดนี้เพื่อไปใช้เทคโนโลยียานรบที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ด้วย?

“ดาอิมดูเหมือนสติปัญญาของแกจะสูงกว่าคนอื่น ๆ ภายในเผ่าใช่ไหม?” เซี่ยเฟยถามพร้อมกับกอดอก

“ผู้อาวุโสของเผ่าสามารถเข้าไปในซากปรักหักพังของบรรพบุรุษเพื่อทำการศึกษาหาข้อมูลได้ ซึ่งภายในนั้นมีหนังสือถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมากมาย…” ดาอิมกล่าวขึ้นมาด้วยความกระวนกระวายแล้วมันก็มีร่องรอยแห่งความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายชรา

“แกรู้ดีใช่ไหมว่าการโกหกมันหมายถึงอะไร? แกลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นคนตาบอดแล้วแกจะอ่านหนังสือได้ยังไง? แล้วเท่าที่ฉันสังเกตเผ่าพันธุ์ของแกไม่มีตัวอักษรของตัวเอง แกคิดจะโกหกฉันจริง ๆ ใช่ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวออกไปอย่างเย็นชา

ดาอิมรู้สึกหวาดกลัวจนพูดไม่ออกและทั่วทั้งตัวของเขาก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ

“แกรอฉันอยู่ที่นี่ละกัน เดี๋ยวฉันกลับมา”

ทันทีที่กล่าวจบเซี่ยเฟยก็ทำท่าที่จะเดินออกไป ดาอิมจึงไม่สามารถที่จะเก็บงำความลับเอาไว้ได้อีกแล้ว เพราะในใจเขาคิดเสมอว่าเซี่ยเฟยคือเทพเจ้าแห่งความตาย และการที่เซี่ยเฟยออกไปนั่นก็หมายถึงความตายของสมาชิกภายในเผ่า

“นายหัวข้ายอมบอกแล้ว ข้ายอมบอกทุกอย่างแล้ว!” ดาอิมพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือพร้อมกับคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น

ท่าทางของชายชราทำให้ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มออกมาจาง ๆ ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนที่นั่งของกัปตันและได้พบว่าที่นั่งนี้กว้างมากเพราะว่ามันไม่ได้ถูกออกแบบมาไว้สำหรับมนุษย์

“เล่าไปสิ ฉันฟังอยู่”

“อย่างที่นายหัวบอกชนเผ่าทูรอนของพวกเราไม่มีภาษาเป็นของตัวเอง ดังนั้นความรู้ทั้งหมดที่พวกเราได้รับจึงมาจากผู้บงการ” ดาอิมกล่าวพร้อมกับเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก

“ผู้บงการ?”

“ท่านบรรพบุรุษได้นำยานเซิร์กเดินทางมายังดาวดวงนี้ทั้งหมด 9 ลำ ซึ่งยานลำที่ใหญ่ที่สุดยังมีสมองที่สามารถใช้การได้อยู่ พวกเราจึงเรียกสมองของยานลำนั้นว่าผู้บงการ”

“ผู้บงการจะคอยสั่งสอนเราเกี่ยวกับเรื่องราวในประวัติศาสตร์และทักษะในการดำเนินชีวิต แต่มันก็มีเพียงแต่ผู้อาวุโสของแต่ละเผ่าเท่านั้นที่สามารถเข้าไปยังสถานที่ตั้งของผู้บงการได้”

“อะไรนะ?! สมองของเซิร์กที่ยังสามารถใช้การได้อยู่อย่างนั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

***************

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.