ตอนที่ 137: สถาบันวิจัย
ตอนที่ 137: สถาบันวิจัย
เซี่ยเฟยได้ใช้ขวดยามาทำการเก็บเลือดของตั๊กแตนจำนวนหลายขวด ก่อนที่เขาจะเก็บศพของมันเข้าไปในแหวนมิติและเดินเข้าไปทางด้านในของฐานทัพ
บนกำแพงมีข้อความให้เห็นอยู่เป็นระยะเช่น ‘ต่อสู้เพื่อพันธมิตร’ หรือ ‘ โปรดปฎิบัติตามกฎและรักษาความลับอย่างเคร่งครัด’ และ ประโยคอื่น ๆ อีกมากมาย
อุโมงค์นี้มีความยาวมากโดยแสงเจิดจ้าตามเส้นทางและอากาศที่ค่อนข้างสกปรกทำให้ผู้คนรู้สึกง่วงนอน ชายหนุ่มจึงรักษาความเร็วเอาไว้ที่ประมาณ 50 เมตรต่อวินาที
ถ้าที่นี่เป็นฐานทัพของทหารมันก็จะต้องมีระบบป้องกันที่เข้มงวด เซี่ยเฟยจึงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ไม่สูงนักและสังเกตการเคลื่อนไหวรอบ ๆ ตัวตลอดเวลา
หลังจากมุ่งหน้าตรงมาอีกประมาณ 10 กิโลเมตร ในที่สุดชายหนุ่มก็เดินทางมาถึงปลายอุโมงค์
ด้านหน้าเป็นประตูโลหะขนาดใหญ่ที่มีหอคอยอยู่ซ้ายขวาถึง 4 แห่ง ซึ่งถ้าหากว่าเขามายังสถานที่แห่งนี้ในสมัยโบราณเขาก็คงจะถูกพวกทหารทำการสอบสวนอย่างแน่นอน
บนประตูโลหะขนาดใหญ่มีประตูบานเล็กอยู่ 2 บาน ซึ่งเซี่ยเฟยคิดว่าประตูบานเล็กน่าจะเป็นประตูเอาไว้ให้คนเดินผ่าน ส่วนประตูบานใหญ่เป็นประตูสำหรับยานพาหนะ
เมื่อเซี่ยเฟยเดินเข้าไปตรวจสอบประตูบานเล็กเขาก็ได้พบกับการป้องกันที่หนาแน่นถึง 4 ชั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบตรวจสอบลายนิ้วมือ, ระบบสแกนรูม่านตา, ระบบตรวจสอบ DNA และระบบการกรอกรหัสผ่าน
เมื่อได้เห็นระบบรักษาความปลอดภัยมันก็เป็นเรื่องที่ง่ายจะจินตนาการว่าการพยายามเข้าฐานทัพแห่งนี้มีความเข้มงวดมากแค่ไหน
ในที่สุดหนังสือที่เซี่ยเฟยอ่านอยู่ทุกวันก็มีประโยชน์ เขาจึงแงะฝาครอบระบบป้องกันด้วยใบดาบของเชสซิ่งไลท์
ในระหว่างการแงะเขาได้มุ่งเน้นความสนใจหลีกเลี่ยงตัวป้องกันแรงกระแทกเป็นพิเศษ เพราะถ้าหากเขาพลาดเคลื่อนไหวไปโดนตัวป้องกันแรงกระแทกขึ้นมา ระบบฉุกเฉินของฐานทัพจะถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติ
เซี่ยเฟยค่อย ๆ ไล่ใบดาบผ่านฝาครอบระบบความปลอดภัยไปอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะใช้มือแกะฝาครอบออกมาอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็วางระบบรักษาความปลอดภัยลงบนพื้นด้วยความโล่งอก ก่อนที่เขาจะหยิบถุงเครื่องมือขนาดเล็กออกมาจากแหวนมิติ
เซี่ยเฟยไม่ได้ทำการศึกษาแต่เพียงเรื่องยานอวกาศเท่านั้น แต่เขายังทำการศึกษาเรื่องระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ด้วย ดังนั้นเขาจึงมักที่จะพกเครื่องมือติดตัวเอาไว้เสมอเผื่อในกรณีที่เขาอาจจะจำเป็นต้องใช้เครื่องมือเหล่านี้เป็นครั้งคราว
ชายหนุ่มหยิบคีมตัดลวดและแหนบขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือ ก่อนที่จะเริ่มทำการตรวจสอบแผงวรจรอย่างระมัดระวัง
แหนบภายในมือของชายหนุ่มค้นสายไฟเส้นเล็กเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนและในที่สุดเขาก็ได้พบกับสายไฟของระบบป้องกันการสั่นสะเทือน ชายหนุ่มจึงทำการตัดสายไฟเส้นนั้นอย่างช่ำชองเพื่อตัดระบบป้องกันการสั่นสะเทือนไม่ให้ทำงาน
แปะ!
หลังจากตัดระบบป้องกันการสั่นสะเทือนออกไปแล้ว เซี่ยเฟยก็จู่โจมเข้าใส่แผงวรจรในส่วนที่เหลืออย่างเต็มกำลัง
เสียงไฟฟ้าลัดวงจรดังขึ้นมาให้ได้ยินเป็นครั้งคราวพร้อมกับประตูที่ค่อย ๆ ถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ
“นายจะเปิดประตูดี ๆ ไม่ได้หรอ ทำไมจะต้องทำอะไรป่าเถื่อนแบบนี้ด้วย” อันธกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
เซี่ยเฟยไม่สนใจคำพูดของวิญญาณนักฆ่าก่อนที่เขาจะเดินไปผลักประตูและเข้าไปทางด้านใน
“พวกเราศิษย์สำนักเงาสังหารเคลื่อนไหวโดยไม่เคยทิ้งร่องรอยเอาไว้เสมอ ถ้าเป็นไปได้นายช่วยให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้วย” อันธยังคงพยายามจู้จี้เซี่ยเฟยเกี่ยวกับกฎของสำนัก
“ฉันยังไม่ใช่ศิษย์ของสำนักนายสักหน่อย ถึงยังไงตอนนี้ฉันก็เข้ามาข้างในได้แล้วนายยังจะบ่นอะไรอีก” เซี่ยเฟยกล่าว
ด้านในของประตูเป็นห้องโถงว่างเปล่าที่มีโซฟาและจอทีวีขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่คล้ายกับว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นห้องรับรอง
บนโต๊ะภายในห้องมีนิตยสารแฟชั่นตั้งแต่สมัยโบราณโดยมีสาวผมลอนหยิกฟูกำลังส่งรอยยิ้มให้เขาอยู่
ชายหนุ่มหยิบนิตยสารเล่มนี้ขึ้นมาดูเล็กน้อยก่อนที่เขาจะโยนมันกลับลงไปที่โต๊ะ
สิ่งของทั้งหมดยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมโดยไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ ราวกับว่าเจ้าของห้องเพิ่งออกไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
ตรงกันข้ามกับโซฟามีแผนผังของฐานทัพทั้งหมดรวมถึงกฎและข้อบังคับของฐาน
เซี่ยเฟยมองภาพบนฝาผนังอย่างสนใจและเมื่อพิจารณาจากแผนผังภายในภาพแล้ว ฐานแห่งนี้ก็ไม่ได้มีความใหญ่โตเหมือนกับที่เขาได้จินตนาการเอาไว้ในตอนแรก
โดยพื้นที่ภายในฐานถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือพื้นที่รับรองที่สามารถรองรับคนได้ประมาณ 100 คน, พื้นที่สำหรับการวิจัยแบบปิดและพื้นที่สำหรับเหตุฉุกเฉิน
ด้านล่างของแผนผังมีตัวอักษรขนาดเล็กระบุเอาไว้ว่าสถานที่แห่งนี้คือสถาบันวิจัยหมายเลข 156 ของบริษัทเมเจอร์ไมน์
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ตระหนักได้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ฐานทัพของพวกทหาร แต่เป็นสถาบันวิจัยของบริษัทเหมืองแร่โบราณ และถ้าหากดูจากขนาดของแผนผังสถานที่แห่งนี้ก็ควรจะมีผู้ทำงานอยู่เพียงแค่ 100-200 คน
หลังเดินออกมาจากห้องมีทางแยกออกไป 3 เส้นทาง โดยทางซ้ายคือโกดัง, ทางขวาคือพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยและทางตรงคือพื้นที่สำหรับการวิจัย
พื้นที่อยู่อาศัยไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ เซี่ยเฟยจึงตัดสินใจเลี้ยวไปทางซ้ายก่อนเป็นอันดับแรก
ทางเข้าโกดังถูกขวางเอาไว้ด้วยประตูโลหะขนาดค่อนข้างใหญ่และเซี่ยเฟยก็ใช้วิธีการเดิมในการพังประตูผ่านเข้ามา
ด้านในโกดังมีกล่องเก็บแร่วางตั้งอยู่ เมื่อชายหนุ่มเดินเข้าไปเปิดกล่องโลหะที่อยู่ใกล้ที่สุดเขาก็ได้พบกับหินสีเทาที่มีแถบสีทองเป็นเส้นบาง ๆ
หินพวกนี้คือหินแร่ดับเบิลดอตที่หาพบได้ทั่วไปทั่วทั้งจักรวาลและมีมูลค่าอยู่เพียงแค่เล็กน้อย
กล่องที่อยู่ข้าง ๆ เป็นกล่องที่บรรจุหินแร่สีแดงเข้ม ซึ่งเซี่ยเฟยก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย เพราะมันคือหินมัวร์ซึ่งเป็นหินชนิดเดียวกันกับที่เขาห้อยไว้ที่คอและมันยังเป็นหินซึ่งเป็นที่อยู่ของอันธอีกด้วย
“ดูสิมีหินมัวร์อยู่เยอะเลย นายอยากย้ายไปอยู่ในหินก้อนที่ใหญ่กว่าเดิมไหม?” เซี่ยเฟยหยิบหินมัวร์ก้อนใหญ่ขึ้นมาก้อนหนึ่งพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็อุทานออกมาด้วยความสงสัยว่า
“ฉันอยากจะรู้จริง ๆ ว่าหินอื่นมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมนายถึงมาสิงอยู่ในหินมัวร์?”
“หินมัวร์มันไม่ใช่แร่ธรรมดาแต่มันเป็นแร่ที่สามารถให้พลังงานได้อย่างถาวร ส่วนเหตุผลที่ฉันต้องมาอยู่ในหินก้อนนี้นั่นก็เพราะว่าฉันใช้วิชาลับพิเศษที่ฉันไม่สามารถเล่าให้นายฟังได้” อันธกล่าว
อันธกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันจริงจังเซี่ยเฟยจึงไม่อยากจะเสียเวลาพูดเล่นอีกต่อไป เพราะถึงแม้ว่าเขากับอันธจะอยู่ด้วยกันมานานแต่อันธก็ยังคงซ่อนความลับเอาไว้อีกอย่างมากมาย
ความลับที่เซี่ยเฟยยังไม่รู้ยังมีอยู่อีกมาก เช่น อันธเป็นอะไรตาย, เขาเข้ามาอยู่ในหินก้อนเล็กก้อนนี้ได้ยังไงกันแน่หรือสำนักกับอาจารย์ของเขาอยู่ที่ไหน?
เมื่อเซี่ยเฟยพยายามหลอกถามถึงเรื่องพวกนี้ อันธก็มักที่จะตอบคำถามอย่างบ่ายเบี่ยงอยู่เสมอ
ชายหนุ่มรู้สึกว่านักฆ่าหัวใจนักกวีคนนี้จะต้องปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่ถึงยังไงอันธก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขา ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้อันธปกปิดมันต่อไป เพราะท้ายที่สุดทุก ๆ คนต่างก็เก็บงำความลับอะไรบางอย่างเอาไว้กับตัวเองและไม่สะดวกที่จะเล่าเรื่องพวกนั้นให้ใครฟัง
มูลค่าของหินมัวร์ในตลาดมีค่อนข้างน้อยและขนาดของกล่องเก็บแร่ต่าง ๆ ยังมีขนาดใหญ่กว่าที่แหวนมิติของเขาจะสามารถเก็บพวกมันเข้าไปได้ เซี่ยเฟยจึงล้มเลิกความคิดที่จะเก็บหินแร่พวกนี้กลับไปและออกค้นหาของมีค่าชิ้นอื่น ๆ ในโกดัง
หลังจากเปิดลังในโกดังไปมากกว่า 100 ใบเขาก็ได้พบว่า 70% ของของที่ถูกเก็บเอาไว้คือหินแร่ต่าง ๆ, อาหาร, เสื้อผ้าและของใช้ที่มีไว้สำหรับรับรองพนักงาน
ของพวกนี้ไม่ได้มีค่ามากนักเว้นแต่ว่าเซี่ยเฟยจะสามารถขนแร่ทั้งหมดออกไปได้ ซึ่งมันก็น่าจะทำเงินให้เขาได้มากพอสมควร
แน่นอนว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ดูเหมือนความหวังสุดท้ายของชายหนุ่มจะอยู่ในห้องวิจัย
อารยธรรมโบราณได้ครอบครองเทคโนโลยีระดับสูง แล้วมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ภายในห้องวิจัยจะมีเครื่องมือล้ำสมัยถูกรวบรวมเอาไว้ และตราบใดก็ตามที่เซี่ยเฟยได้ค้นพบเครื่องมือที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ เขาก็จะสามารถเอาเครื่องมือพวกนั้นไปทำเงินได้อย่างมากมาย
หลังจากเดินตามทางเดินไปประมาณ 20 ก้าว ชายหนุ่มก็มาถึงทางเข้าของห้องวิจัย
ประตูผสมโลหะหนักถูกบังคับให้เปิดออกอย่างช้า ๆ โดยสถานที่แห่งนี้ยังคงว่างเปล่าไม่รู้ว่าเจ้าของเดิมของพวกมันหายไปไหนกันหมด
หากนักวิจัยได้เสียชีวิตภายในห้องพวกเขาก็สมควรจะต้องทิ้งเบาะแสอะไรบางอย่างเอาไว้บ้าง แต่เท่าที่เซี่ยเฟยได้ลองสังเกตการณ์มันกลับเหมือนว่าผู้คนในสถานบันวิจัยได้หายตัวไปอย่างกะทันหัน เพราะเสื้อผ้าของพวกเขายังคงถูกทิ้งเอาไว้ภายในตู้และอาหารที่ถูกทิ้งไว้ก็ถูกกินไปเพียงแค่ครึ่งเดียว
ในห้องวิจัยมีอุปกรณ์ที่เซี่ยเฟยไม่รู้จักอยู่มากมาย ชายหนุ่มจึงเดินไปจับเครื่องมือเหล่านี้อย่างอยากรู้อยากเห็น
“เครื่องวิเคราะห์สสาร!” เซี่ยเฟยอ่านตัวอักษรที่ติดอยู่บนเครื่องอย่างตื่นเต้น
“เครื่องสแกนอนุภาคแร่!”
“อัลตราเซนตริฟิวจ์!”
อุปกรณ์แต่ละชิ้นที่เขาได้เจอทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมากและถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอุปกรณ์ส่วนใหญ่เอาไว้ใช้ทำอะไร แต่ดูจากชื่อแปลก ๆ ของพวกมันมูลค่าของของเหล่านี้ก็ยากที่จะประมาณการได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม้เวลาจะผ่านไปอย่างเนิ่นนาน แต่อุปกรณ์ทั้งหมดยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์ที่ถูกผลิตขึ้นมาจากสมัยโบราณมีความปราณีตมากเพียงใด
“ฉันนึกออกแล้ว” จู่ ๆ อันธก็อุทานออกมาจากด้านหลัง
“นึกอะไรออก?” เซี่ยเฟยถามออกมาด้วยความสงสัย
“ฉันคิดว่าฉันนึกออกแล้วว่าทำไมคนที่อาศัยอยู่ที่นี่เหมือนจะหายไปในทันที” อันธกล่าวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น จากนั้นเขาก็อธิบายต่อไปว่า
“คนพวกนี้จะต้องถูกโจมตีด้วยคลื่นแสงทำลายล้างของพวกหุ่นยนต์ ซึ่งมันสามารถเอามาอธิบายได้ว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงมีแต่มนุษย์ที่หายไปแต่ของทุกอย่างยังคงปกติอยู่เหมือนเดิม”
คำตอบนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งเขาเคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับคลื่นแสงทำลายล้างมาบ้าง โดยมันเป็นพลังงานรูปแบบคลื่นที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยอารยธรรมโบราณ
ว่ากันว่าคลื่นโจมตีนี้มีผลเฉพาะกับมนุษย์เท่านั้นและมนุษย์ทุกคนที่อยู่ในระยะของคลื่นจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นอนุภาคสสารที่ลอยฟุ้งกระจายไปในอากาศ
การโจมตีด้วยคลื่นแสงทำลายล้างสามารถลบมนุษย์ให้หายไปจากดวงดาวได้อย่างสมบูรณ์ และเปลี่ยนมนุษย์พวกนั้นให้กลายเป็นเพียงแค่เศษฝุ่นผงที่ล่องลอยไปมา
“ฉันว่าเป็นไปได้…คนในสถาบันวิจัยนี่จะต้องคิดว่าการหลบอยู่ในศูนย์วิจัยใต้ดินน่าจะหลีกเลี่ยงการโจมตีของพวกหุ่นยนต์ได้ พวกเขาจึงใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิม… แล้วมันก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลักฐานที่เหลืออยู่ถึงดูเหมือนกับคนในสถาบันวิจัยได้หายตัวไปอย่างลึกลับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
การค้นพบครั้งใหญ่ในคราวนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และเมื่อเขาได้มองไปยังมุมหนึ่งของห้องวิจัยเขาก็ได้พบกับเครื่องมือขนาดใหญ่ที่ถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าขาว
เมื่อเซี่ยเฟยได้เดินไปดึงผ้าขาวออก มันก็ทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
***************
คลื่นแสงทำลายล้างมันจะน่ากลัวเกินไปแล้วววว ว่าแต่พี่เฟยเจออะไรอีกล่ะเนี่ย?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 165
แสดงความคิดเห็น