STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 6 แสวด้อย

-A A +A

STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 6 แสวด้อย

แสงตะวันฉายลงบนพื้นหิมะสีขาวทอดยาวไปยังภูเขาสูงตรงหน้า หนุ่มสาวผู้ซึ่งมากไปด้วยรอยยิ้มกำลังวิ่งเล่นกันเพลิดเพลินไปกับทุ่งหิมะขว้างปาใส่กันไม่มีโกรธเคือง

“ทำไมประเทศไทยไม่มีแบบนี้บ้างนะ” พ่อหนุ่มผมสีทองลั่นวาจาเสียงดังต่อหน้าสาวสวย

“ถ้าเราได้กลับไปอีกทีก็อาจจะสร้างหิมะได้ก็ได้ ตอนนี้ฉันใช้เวทสายฟ้าเป็นธาตุรองจากเวทวารีแถมทั้งสองยังสามารถใช้งานร่วมกันได้ยอดเยี่ยม ในอนาคตนายก็อาจจะได้ธาตุรองเป็นหิมะก็ได้ใครจะรู้”

“ฮ่า ๆ ๆ ไฟกับหิมะเนี่ยนะ อืม...จะว่าไปทำไมฉันไม่ได้ธาตุรองบ้างล่ะ? ขอแบบลาวาหรือธาตุพิเศษแบบในนิยายก็ดี”

“ธาตุอะไรล่ะนั่น?” คานะหันหน้าขวับมองเซนสงสัยในคำพูดพวกนั้น

“ก็อย่างธาตุทอง ธาตุแสงแต่ถ้าเป็นธาตุแสงก็น่าจะเหมือนกับซากิล่ะมั้ง”

พวกเขาหยุดชะงักอยู่ที่ตีนเขาสูงกำลังชั่งใจว่าจะปีนขึ้นยอดเขาหรือเดินอ้อมดีแต่เมื่อได้สังเกตทางข้างหน้าจึงได้พบกับเส้นทางลอดภูเขา

“พวกคนในเมืองคงทำไว้นั่นแหละ” ช่องว่างเล็ก ๆ ที่มองเห็นได้แต่ถ้ามาช้ากว่านี้ก็คงโดนหิมะกลบไปหมดเสียก่อน พวกเขาขุดและเดินเข้าไปภายในนั้นที่เหมือนกับถ้ำปกติที่มีเส้นทางเดินไกลออกไปจนมองไม่เห็นทางออก

“แล้วทำไมกิต้องให้เรามาเดินสำรวจอะไรพวกนี้ด้วยล่ะเนี่ย ไม่เห็นจะมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย”

“บ่นไปเหอะเซน ฉันคิดว่ากิคงมีเหตุผลของเขานั่นแหละ”

ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่หิมะและภูเขา แม้แต่ต้นไม้หรือสัตว์ก็ไร้ร่องรอยเสียจนน่าขนลุก

“คิดว่าเราจะได้เจอสัตว์อสูรบ้างไหม? อยากลงไม้ลงมือจะแย่แล้ว” ท่าทางอันเบื่อหน่ายของเขาแสดงออกชัดเจนทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเดินเตะเศษดินเป็นว่าเล่น

“เดี๋ยวก่อน” คานะดึงแขนเสื้อเซนไว้เสียก่อนที่จะเดินออกจากถ้ำ

“อะไร? มีอะไร”

“ฉันได้ยินเสียงแปลก ๆ” ท่ามกลางเสียงลมกรรโชกก็ได้มีเสียงครวญครางของสิ่งมีชีวิตราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ

“ต้องเป็นสัตว์อสูรแน่ ๆ” เซนวิ่งหน้าตั้งไปตามที่มาของเสียงนั่นแต่ก็ต้องประหลาดใจเพราะที่แห่งนั้นมีแต่ทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต

“ยะอย่าบอกนะว่าเป็นผีภูเขา” เซนถึงกับก้าวเท้าถอยหลังขณะที่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ

“ไร้สาระน่าเราไปกันต่อเถอะ”

ภายในเมืองที่กำลังคึกคักเมื่อชาวเมืองกำลังจัดเตรียมทรัพยากรเกือบทั้งหมดเพื่อขายให้กับจักรพรรดินีแม้จะโดนกดราคาแต่เพราะขายในจำนวนมหาศาลทำให้เมืองยังได้กำไรอยู่

“เร็ว ๆ เข้าเดี๋ยวพายุจะมาแล้วเราต้องรีบขนย้ายแร่ให้หมด”

“ครับ !” เสียงตอบรับอันครื้นเครงเต็มไปด้วยรอยยิ้มลาก แบก หามช่วยกันทำงานไม่มีใครอู้กัน

ฤดูหนาวมาไวกว่าที่คิด หากเก็บเกี่ยวช้ากว่านี้อีกสักสัปดาห์เมืองของเราคงอดอยากเป็นแน่

“หัวหน้าครับ ! พายุกำลังจะมาแล้วครับพวกเราต้องรีบกลับเข้าบ้านเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มวิ่งมาด้วยความร้อนรนดวงตาเบิกกว้าง

“อะไรนะ ! พายุกำลังมาแล้วเหรอทั้ง ๆ ที่นักพยากรณ์บอกว่าอีกสองถึงสามวันแท้ ๆ”

“ดูเหมือนกระแสลมจะพัดแรงขึ้นกะทันหันนะครับ พวกเราต้องเข้าไปหลบในบ้านแล้วนะครับท่าน”

บัดซบรู้อย่างนี้ไม่น่าไปดื่มเมื่อวานเลย

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?” เสียงจากชายหนุ่มร่างเล็กในชุดคลุมปกปิดทุกส่วนเข้าประชิดตัวโดยที่พวกเขาไม่รู้สึก

“ใครล่ะเนี่ย? ถ้าเป็นคนนอกก็อย่าเข้ามายุ่งเลยพวกเราทำงานกันเองได้”

“บังเอิญว่าเราได้ยินหมดแล้วล่ะ ถึงจะเป็นคนนอกแต่พอเห็นคนเดือดร้อนก็อยากจะช่วยเท่าที่ช่วยได้...คนนี้เป็นพ่อครัวที่เก่งสุด ๆ คนหนึ่งเราเชื่อว่าอาหารของเขาจะช่วยให้คนงานมีแรงมากขึ้น”

ด้วยภาพลักษณ์ที่ตัวเล็กไม่มีหน้าอกส่วนเสียงก็เป็นได้ทั้งชายและหญิงทำให้หัวหน้าคนเหมืองสับสน

“เหอะ จะทำอะไรก็เอาเถอะแต่เราจะไม่จ่ายให้แม้แต่แดงเดียว”

สเตล่าพยักหน้าตอบรับและให้ยูกิแจกจ่ายอาหารแห้งที่ทำเก็บไว้ให้กับพวกคนงานคนละหนึ่งชิ้น เนื้ออบแห้งที่มีกลิ่นสมุนไพรฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณนั้นกลบกลิ่นเหงื่อเหม็นเปรี้ยวได้หมดจด

“นี่มันอะไรกันเนี่ย แค่เนื้อแห้ง ๆ กลับหอมน่ากินขนาดนี้ สัมผัสของความเหนียวนุ่มแต่ไม่ติดฟัน ความเค็มที่ปรุงมาให้อย่างพอเหมาะกินได้ทั้งชิ้นหรือจะกินกับอย่างอื่นก็ได้ แล้วนี่มันอะไรอีกเนี่ย...” ชายวัยกลางคนเงียบไปหลังจากที่จ้องมองเนื้ออบแห้งที่เคี้ยวไปแล้วครึ่งชิ้น

“นี่มันหญ้าลาเวียช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นแถมยังกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัว”

ไม่นานหลังจากที่พวกคนงานได้กินอาหารเข้าไปแทนที่จะเหนื่อยเพราะทำงานมาหลายชั่วโมงแต่พวกเขากลับฮึกเหิมตาลุกแววเป็นประกาย

“ก็มาสิวะ พายุแค่นั้นมันจะไวไปกว่าเราได้ยังไง !”

เหล่าคนงานวัยกลางคนกำลังโห่ร้องไปพร้อม ๆ กับการขนย้ายแร่อย่างกับเตรียมทำสงครามเสียมากกว่าและไม่เกินครึ่งชั่วโมงพวกเขาก็สามารถขนย้ายของทั้งหมดเข้าโกดังแต่พละกำลังก็ยังเหลือล้นดูได้จากสายตาอันแข็งเกล้า

“สุดยอดเลยพวกนายทำแบบนี้ได้ยังไง?” หัวหน้าคนเหมืองยิ้มไม่หุบเมื่อได้เห็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

“เป็นความลับนะครับ”

“ก็ได้ ๆ ฉันจะไม่ถามเซ่าซี้แล้วกัน ยังไงก็ขอบใจมาก ๆ”

“ไม่เป็นอะไรครับ คนเราก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว” สเตล่าตอบรับคำขอบคุณอย่างเต็มใจก่อนจะพายูกิออกไปจากที่แห่งนั้น

แผนแรกเป็นไปได้ด้วยดี ทำให้พวกเขาเชื่อใจให้ได้แล้วค่อยเค้นข้อมูลมาทีหลัง

“ไม่เห็นต้องทำอะไรยุ่งยากขนาดนี้เลยนี่ ถ้าเป็นเธอที่หายตัวไปมาอย่างกับพวกโรคจิตก็คงจะดักฟังข้อมูลได้ง่ายแท้ ๆ” ยูกิชักสีหน้าสงสัยชกหมัดเบา ๆ ไปที่หลังของสเตล่า

“ฉันก็ทำแบบนั้นเหมือนกันแต่ที่นี่ดันมีคนที่ใช้เวทตรวจจับได้อยู่ด้วย ทำให้การซุ่มมองหรือสอดแนมเป็นไปได้ยาก”

แม้เมืองยองยองจะเป็นเมืองขนาดเล็กแต่ก็มีสำนักงานกิลด์ประจำเมืองโดยมีนักผจญภัยไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่ประจำอยู่ที่นี่

“สวัสดีครับเจ๊ใหญ่” ชายวัยกลางคนตะโกนเรียกแม่สาวตัวโตที่ประจำการอยู่หน้าเคาร์เตอร์

บรรยากาศเป็นกันเองของเหล่านักผจญภัยกำลังนั่งสังสรรค์อย่างสนุกสนาน สเตล่าและยูกิเดินเข้าไปในสำนักงานกิลด์ที่เป็นเช่นนั้นทำให้ทุกสายตาจับจ้องมายังคนนอกที่สวมชุดปกปิดเต็มตัวกับสาวน้อยที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์

“เก็บสีหน้าหน่อยสิยูกิ” สเตล่ายังต้องกระซิบบอกทันทีเพราะแววตาของผู้คนเหล่านั้นดูหวาดระแวงเสียจนน่าขนลุก

“อะไรเล่าก็แค่พวกนักผจญภัยจะไปกลัวอะไร?”

“หยุดก่อนเลยพ่อหนุ่ม ขอดูบัตรนักผจญภัยหน่อยสิ” ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปที่เคาร์เตอร์ก็มีชายวัยกลางคนเดินดุ่ม ๆ เข้ามาขวางไว้

“ลุงเป็นใคร? เรากำลังจะมาติดต่อกับเจ้าหน้าที่พอดีเพราะฉะนั้นช่วยหลบออกไปด้วยครับ”

“เหอะ ก็ได้ ๆ ผ่านไปเลย” ทั้ง ๆ ที่เขาให้เดินผ่านแต่เพราะรอยยิ้มเยาะนั้นทำให้สเตล่าไม่สบายใจสักเท่าไร

“นี่ครับบัตรยืนยันตัว”

“ค่ะคุณ...สเตล่า ดูเหมือนจะไม่ได้อัปเดตข้อมูลมานานนะคะทั้งสเตตัสและเลเวลก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว”

“เอ่อ...พอดีมันมีเรื่องหลาย ๆ อย่างจนไม่ว่างน่ะ”

“นี่ค่ะหัวหน้า” หญิงสาวตัวโตยื่นบัตรนักผจญภัยให้กับชายวัยกลางคนคนนั้นพร้อมกับเรียกว่าหัวหน้าทำเอาสเตล่าต้องหลบสายตา

“เธอตรวจสอบดีแล้วใช่ไหม?”

“ค่ะ สเตตัสของเธอเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากถ้าเทียบกับข้อมูลในบัตร”

“อืม ถ้าอย่างนั้นฉันอนุมัติให้แก้ไขข้อมูลโดยการทำบัตรใหม่”

ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่ากังวลแต่เมื่อพวกเธอหันกลับหลังก็ได้เห็นสายตาของนักผจญภัยอันน้อยนิดกำลังจ้องมองมาด้วยความสงสัย

“ทั้งหมดสิบเหรียญเงินค่ะ”

โห ! นั่นมันหนึ่งในสิบของที่เรามีเลยนะ กิก็ดันขี้งกให้มาคนละหนึ่งเหรียญทองเอง

“นี่ครับ” แม้จะไม่เห็นใบหน้าแต่ด้วยน้ำเสียงก็รู้ได้ว่าเธอกำลังยิ้มทักทาย

ชายวัยกลางคนเอาแต่จ้องหน้าพวกเธอท่าทางอยากจะถามอะไรสักอย่างจนพวกเธอเกือบจะเดินออกไปจึงได้เอ่ยออกมา “ได้ข่าวว่าพวกนายไปช่วยพวกคนเหมืองมา โดยใช้อาหารที่เพิ่มพลังกายทำให้พวกเขาขนย้ายแร่ได้ทัน”

“คุณลุงต้องการอะไร?” เธอถามกลับทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

“ฮึ ๆ ถ้าเป็นจริงฉันก็อยากจะขอซื้ออาหารที่ว่านั่นสักหน่อย อยากจะลองเหมือนกันว่าอาหารที่เพิ่มพลังมันเป็นอย่างไร”

“เอ่อ...” สเตล่าเหลือบมองหน้ายูกิเพื่อให้เธอเป็นคนตอบด้วยตัวเอง

“ถ้าอยากซื้องั้นเอาเป็นชิ้นละยี่สิบเหรียญเงิน...ดีไหม?” สายตายียวนของยูกิจงใจท้าทายชายวัยกลางคนอย่างชัดเจน

“ก็เอาสิ มีเท่าไหร่ก็บอกมาเลยฉันจะซื้อมันเอง” แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็ไม่มีท่าทีจะโกรธเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งยังยิ้มเยาะตอบรับราวกับจะบอกว่าเงินแค่นี้ขนหน้าแข็งยังไม่ร่วงเลย

จู่ ๆ พวกนักผจญภัยที่เฝ้ามองอยู่ก็พากันเข้ามาล้อมดูอาหารเพิ่มพลังที่ได้ซื้อขายเสร็จสรรพด้วยความที่มันเป็นของแปลกทำให้มันดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก

“กินให้ดูหน่อยสิลุงมาธอน” เสียงหัวเราะปนไปกับความสงสัยจดจ่ออยู่กับปฏิกิริยาของหัวหน้ากิลด์

“ก็ได้ ๆ มาดูกันดีกว่าว่าอาหารเพิ่มพลังมันเป็นยังไง” เนื้ออบแห้งสอดเข้าไปในปากกัดเคี้ยวช้า ๆ ไม่ใช่เพราะมันเหนียวแต่เพราะเขาต้องการลิ้มรสชาติให้มากที่สุด

“โอ้พระเจ้า ! นี่มัน...” แววตาที่เหมือนจะร้องไห้บรรยายรสชาติออกมาเป็นคำพูดไม่ได้จนนิ่งเงียบไป

“โห ! แกล้งหรือเปล่าเนี่ย”

“หัวหน้าคะ?” แม่สาวตัวโตก้มลงมองใบหน้าของมาธอนจนต้องผงะ

“ค่าพละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นมานาก็ด้วย”

“จริงเปล่าเนี่ย?”

“อาหารที่เพิ่มสเตตัสได้...มันต้องแพงสุด ๆ ไปเลยสิ”

ทันใดนั้นทั้งสำนักงานก็เกิดความวุ่นวายมากเสียจนเสียงดังไปยังตึกข้าง ๆ หลังจากที่มาธอนตั้งสติและพูดได้อีกครั้งเขาก็ได้บอกถึงความรู้สึกหลังกินเข้าไป แรงฮึด สายตารวมทั้งรสชาติ

“ผมขอซื้อต่อนะครับ”

“ฉันด้วย ๆ”

เมื่อมีคนเสนอราคาก็มีคนตามต่อทำให้ราคาของเนื้ออบแห้งพุ่งไปสูงถึงหนึ่งเหรียญทองนั่นทำให้ยูกิทำหน้าบูดหน้าเบี้ยว

“พอเลยทุกคนฉันไม่คิดจะขายมันหรอกนะ” มาธอนส่งสายตาให้กับยูกิราวกับรู้ว่ายูกิคิดอะไรอยู่

“โถ่...อะไรกันเนี่ยลุงมาธอน”

หลังจากที่ความวุ่นวายสงบลงพวกเขาก็แยกย้ายกลับไปที่นั่งของตัวเองเว้นเสียแต่มาธอนและพวกสเตล่า

“ฉันอยากขอคุยเรื่องธุรกิจจะได้ไหม?” มาธอนพูดตรง ๆ ไม่มีการอ้อมค้อม

“เอ่อ...น่าจะได้” หวังว่ายูกิจะคุยรู้เรื่องนะหรือถ้าไม่ก็คงต้องให้กิจัดการ

“ถ้าอย่างนั้นเชิญมาที่ห้องส่วนตัวได้เลยเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล” มาธอนยิ้มตอบรับอย่างเป็นมิตรแตกต่างกับตอนแรกเป็นอย่างมาก

ห้องมันอุ่นกว่าข้างนอกเยอะเลยนะเนี่ย พรมขนสัตว์ที่ทำจากสัตว์อสูรตัวโตกว่าห้าเมตรกับอาวุธหลากรูปแบบทั้งเก่าและใหม่ประดับเต็มห้อง

“เชิญตามสบายเลยครับ” เขายังคงยิ้มให้อย่างเป็นมิตรแต่มันกลับทำให้สเตล่าไม่สบายใจ

“ก่อนอื่นเลยนะครับ อาหารนั่นพวกคุณเป็นคนทำเองหรือซื้อมาอีกที”

“ฮึ ๆ ข้าเป็นคนทำเองนั่นแหละถึงมันจะเน้นไปที่การเก็บรักษาแต่ก็ยังคงรสชาติของเนื้อไว้ ถ้าได้การบรรจุดี ๆ อย่างที่กิบอกก็คงจะดีกว่านี้”

“กิ? ถ้าอย่างนั้นพวกคุณอยากทำอาหารขายให้กับกิลด์โดยตรงไหมครับ?”

“ไม่มีทาง ข้าไม่อยากยึดติดอยู่ที่ที่เดียว อีกอย่าง...ข้าอยากให้อาหารเหล่านี้ได้โลดแล่นไปทั่วทุกอาณาจักรอยากให้ทุกคนได้รับรู้ถึงมัน”

มาธอนถึงกับเงียบไปเลยหลังจากได้ยินคำตอบที่คาดไม่ถึงของยูกิ แววตาที่เปลี่ยนไปจากความคาดหวังกลายเป็นความอ่อนโยนเหลือบมองยูกิ

“ถ้าอย่างนั้นระหว่างที่พวกนายอยู่ที่นี่ทางกิลด์จะขอซื้ออาหารจากพวกนายได้หรือไม่?” มาธอนหยิบเอาเอกสารที่ให้ผู้ช่วยเตรียมไว้มาให้พร้อมกับเขียนข้อกำหนดไว้มากมาย

ฝากด้วยล่ะยูกิ ถึงเราจะพอพูดภาษาที่นี่ได้เพราะกิสอนไว้แต่การอ่านตัวหนังสือมันเกินความสามารถไปจริง ๆ

“ข้อตกลงข้อที่หนึ่ง กิลด์สามารถขอซื้อสินค้าโดยตรงจากผู้ผลิตได้ ข้อที่สอง กิลด์สามารถขายสินค้าต่อโดยสามารถเพิ่มกำไรได้ไม่เกินสามในสิบ ข้อที่สาม...”

การทำข้อตกลงยังคงดำเนินต่อไปโดยมียูกิและมาธอนเป็นผู้ดำเนินการส่วนสเตล่าทำได้แค่เฝ้ามองเพราะอ่านภาษาของที่นี่ไม่ได้

“ยินดีที่ได้ร่วมธุรกิจนะครับ” มาธอนยิ้มแก้มปริเห็นถึงความดีใจอย่างชัดเจน

ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดีทั้ง ๆ ที่ตอนแรกไม่ได้คาดคิดว่าจะมาทำสัญญาธุรกิจกับกิลด์แต่มันก็คุ้มกับการหาข้อมูลเชิงลึก

“ดูท่าทางพายุคงไม่หยุดคืนนี้แน่ ๆ”

“ก็คงงั้นแล้วเราจะนอนไหนล่ะ? แต่ไหน ๆ ก็มาที่กิลด์แล้วเราไปหาเพื่อนคุยสักหน่อยไหม?” ยูกิยิ้มอย่างมีเลศนัยส่งสายตามั่นอกมั่นใจให้กับสเตล่า

“ก็ดีนะเวลาพวกเขาเมา ๆ เราจะได้หลอกถามข้อมูลมาได้”

หลังจากนั้นพวกเธอก็ได้เข้าไปในส่วนที่เป็นร้านอาหารซึ่งอยู่ใกล้ ๆ เคาร์เตอร์เจ้าหน้าที่กิลด์ พวกเธอสั่งอาหารมาเล็กน้อยและเครื่องมาพอประมาณพอให้กินฆ่าเวลาได้

“โอ้ ! แม่สาวน้อยนั่งกันอยู่สองคนไม่เหงาแย่เหรอ?”

นั่นแหละเหยื่อมาแล้วคนหนึ่ง “ก็ถ้าพี่ชายมาร่วมวงด้วยก็คงจะสนุกไม่น้อยเลย”

น้ำเสียงและท่าทางอันเย้ายวนของยูกิทำเอาชายหนุ่มผู้นั้นยืนตัวไม่ตรงก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ

“พี่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย สาว ๆ เป็นคนนอกใช่ไหม?”

“ใช่จ้ะพวกเราเป็นนักเดินทางแต่ตอนนี้ติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง”

“มีอะไรปัญหาอะไรครับผมอาจจะช่วยได้” ยูกิชนแก้วกับชายหนุ่มทำเป็นดื่มแต่ก็แค่ยกหลอก

“คือว่าพวกเราอยากจะสำรวจกำลังรบของอาณาจักรน่ะก็เลยเดินทางไปตามที่ต่าง ๆ แต่ถ้าพี่ชายรู้แหล่งข้อมูลพวกนี้เราก็จะขอบคุณมาก ๆ”

เดี๋ยวสิเล่นถามตรง ๆ เลยเนี่ยนะ สเตล่าขมวดคิ้วลุ้นตัวเกร็งคิดว่าชายหนุ่มจะสงสัยหรือไม่

“อ้อ ๆ พวกกองทัพเหรอ อืม...ในเมืองหลวงพวกเขาจะมีศูนย์บัญชาการอยู่ที่เดียวกับที่จักรพรรดินีอยู่นั่นแหละ ผมเคยไปอยู่หลายครั้งเพราะโดนเรียกตัวไปอบรมการรบ...ดูเหมือนจะมีศูนย์กระจายข่าวอยู่ ที่นั่นน่าจะมีข้อมูลทุกอย่างในอาณาจักรเลยล่ะ”

เห…เล่นบอกซะหมดเปลือกเลยนี่หว่า

“โห ขอบคุณมาก ๆ นะพี่ชายยกอีกแก้วแล้วกันเดี๋ยวน้องรินให้”

สเตล่ายังคงจ้องมองการแสดงท่าทีออดอ้อนของยูกิราวกับเป็นผู้มีประสบการณ์มามากมาย

“หมดแก้ว !” ยูกิมาชายหนุ่มกระดกหมดในครั้งเดียวหลังจากนั้นไม่กี่นาทีเขาก็เมาจนหลับไปเลย

“เป็นพลังที่ใช้ได้หลากหลายจริง ๆ นะเนี่ย แค่เพิ่มความเข้มข้นของแอลกอฮอล์โดยไม่ต้องเป็นคนปรุงมันขึ้นมาก็ได้” ยูกิเหลือบมองแก้วเหล้าพร้อมกับร่ายเวทของตัวเองลงไปทำให้น้ำเมาส่งกลิ่นแรงขึ้น

“เห็นแล้วมันก็น่าอิจฉาเหมือนกันนะ ถ้าฉันมีพลังเดอะบ้างก็ดีสิ”

“อย่าน้อยใจไปเลยน่าอย่างน้อยเธอก็มีเวทล่วงรู้อยู่นะ” ยูกิยิ้มพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้กำลังใจท่าทางชักจะเหมือนเซนมากขึ้นทุกที

“เฮ้อ...ตอนนี้พวกเขาทำอะไรกันอยู่นะ?”

23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2576

แม้ในอาณาจักรนอดกำลังอยู่ในช่วงที่มีพายุหิมะแต่ในอาณาจักรเซียกลับเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ มากเสียจนเหล่านักเรียนโรงเรียนหลวงเอาแต่หมกตัวอยู่ในอาคารเรียน

“ดีมาก ๆ ทำต่อไป” นัตโตะยิ้มไม่หุบที่ได้เห็นฟรานทำความสะอาดโรงฝึกและที่พักให้

“ทำแบบนั้นพวกผู้กองจะไม่โกรธเอาเหรอ เล่นเอาผู้กล้าฟรานมาปัดกวาดที่ที่สกปรกแบบเนี่ย” หญิงสาวที่มีท่าทางทะมัดทะแมงราวกับเป็นผู้ชายชายตามองผู้กล้าฟรานที่ใคร ๆ ต่างก็จำนนแต่ตอนนี้กลับถูกสั่งให้ทำสิ่งต่าง ๆ

“เหอะ โกรธก็โกรธไปสิยังไงฟรานก็เป็นคนรับปากเอง อืมแล้วเราจะให้เธอทำอะไรอีกดีนะ?”

“ฉันว่าให้เธอเบิกงบเพิ่มดีไหม? ถ้าเป็นเธอก็คงจะของบให้หน่วยเราเพิ่มได้สบาย ๆ หลังจากนี้เมื่อฟรานได้สิ่งที่ต้องการไปแล้วเธอก็คงไม่มาที่นี่อีกเมื่อถึงตอนนั้นเราก็จะมีเงินไว้ใช้ในระยะยาว”

“ยอดไปเลยแก้ว มีเธออยู่เป็นมันสมองของหน่วยเรานี่มันดีจริง ๆ” รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความปลื้มใจของนัตโตะส่งให้กับสาวน้อยผู้นั้น

“ผมเองก็เห็นด้วยครับ” ชายร่างหนากับดวงตาที่เหมือนหรี่มองเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันคมเข้มจนนึกว่าเป็นชายอายุสี่สิบไปเสียแล้ว

“เอางั้นก็ได้ เฮ้ฟราน ! มานี่สิ” เขาตะโกนเรียกไม่มีหางเสียงทำเอาเพื่อนร่วมกองทัพแปลกใจเข้าไปใหญ่

“ว่ายังไงมีอะไรให้ทำอีก?” ฟรานวิ่งหน้าตั้งกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียง

“ก็ไม่มีอะไรมาก...เธอช่วยของบให้หน่วยเราได้ไหม?”

“ของบเหรอ...” เธอยืนนึกคิดอยู่พักใหญ่ ๆ ทำให้นัตโตะและเพื่อนพ้องรู้สึกสิ้นหวังกับเงินไปเรื่อย ๆ แววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าของแก้ว ความกังวลใจของวาและการยอมรับจากเจาเสมือนพวกเขาพอจะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วเพียงแค่ลองขอดู

“น่าจะได้นะแล้วต้องการเท่าไหร่ล่ะ?” สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปยิ้มอย่างมีความหวังทันที

“เยส !” เสียงอุทานของวาดังจนฟรานตกใจ

“เยี่ยมไปเลย ถ้าเป็นไปได้พวกเราอยากได้งบสักหนึ่งร้อยเหรียญทอง” นัตโตะลุกจากเก้าอี้เดินเข้าประชิดเพื่อให้เห็นถึงความตั้งใจจากสีหน้าของเขา

“หา? หนึ่งร้อยเหรียญทองเองเหรอ ถ้าแค่นั้นฉันเอาเงินของตัวเองให้ก็ได้”

ทั้ง ๆ ที่เธอเอ่ยออกมาอย่างเฉยชาเช่นนั้นแต่พวกนัตโตะกลับยืนอึ้งกันหมดโดยเฉพาะวาที่กำลังหวนคิดถึงความสมเหตุสมผลของเงินเดือนได้แต่คิดน้อยเนื้อต่ำใจกับตัวเอง

“เหอะ ๆ พูดเหมือนเธอมีเงินเยอะนักแหละ”

“ก็...ถ้าเป็นเงินเก็บที่มีตอนนี้ก็ประมาณสามร้อยเหรียญทอง ก่อนหน้านี้มีเยอะกว่านี้แต่เพราะเอาไปใช้ซื้อของให้บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า”

“เชอะคนรวย” นัตโตะเชิดหน้าหนีกอดอกพูดประชดประชันทำตัวอย่างกับเป็นเด็กน้อย

“ได้ข่าวว่าฟรานกำลังทำความสะอาดสินะ” ขณะที่กำลังเจรจาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ก็มีลักซ์เปิดประตูเข้ามาทำเอานายทหารทั้งกองขนลุกตั้งตัวไม่ทัน

“ทำความเคารพพลเอกลักซ์ !” แม้จะมีเสียงทักทายดังก้องแต่เธอก็หาสนใจไม่

“สมกับเป็นผู้กล้าที่มีจิตใจกุศลสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อกี้เหมือนจะได้ยินเรื่องงบประมาณอยู่นะคะ...ถ้าเป็นเรื่องนั้นเราคงไม่อนุมัติให้โดยไม่มีเหตุผลสมควร”

“อ้อ คือว่าฟรานจะให้เงินของตัวเองค่ะไม่ได้ไปยุ่งกับทางงบหลวงแน่นอน”

ลักซ์ยืนนิ่งไปครู่หนึ่งพร้อม ๆ กับจ้องหน้าฟรานเหมือนกำลังเค้นความจริง

“ก็ได้ตามใจเธอแล้วกัน” หลังจากถอนหายใจเธอก็เผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนแทนที่ใบหน้าเคร่งขรึมก่อนหน้านี้

“ถ้าอย่างนั้นฟรานขอไปเอาเงินก่อนนะคะเดี๋ยวจะกลับมา” เธอวิ่งผ่านนายทหารหลายสิบชีวิตออกไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มอิ่มเอิ่มดีใจทำเอาพวกเขาหลงใหลในทันที

หนึ่งร้อยเหรียญทองสินะ รอก่อนนะกิจังฉันกำลังจะไปหา เธอไม่แม้แต่จะรอรถม้าแต่วิ่งตรงกลับไปยังบ้านพักด้วยตัวเอง โดยที่พักของเธออยู่บริเวณโรงเรียนหลวงซึ่งตลอดทางเธอเอาแต่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยถ้าเป็นคนแปลกหน้าก็คงคิดว่าบ้า

“ท่านฟรานนี่”

“จริงด้วยนั่นท่านฟราน วันนี้ก็ยังสวยสง่าไม่เปลี่ยนเลยเนอะ”

เสียงนินทา ชมเฉย อ้างถึงแต่ไม่ว่าจะเป็นคำพูดเช่นไรเธอก็ไม่ได้สนใจจะเรียกว่าทำเป็นหูทวนลมก็ว่าได้

ถ้าได้คุยกับกิจังเราจะเริ่มด้วยเรื่องอะไรดีนะ? แต่จากที่ได้เห็นผ่านพลังเดอะทางโน้นก็ดูยุ่ง ๆ ซะด้วย แหม่ ๆ รู้อย่างนี้เราน่าจะใช้พลังเดอะกับนัตโตะไปนานแล้ว ถ้าเราทำแบบนั้นก็คงจะได้เจอกิจังก่อนที่เขาจะหนีไปอาณาจักรอาฟเสียอีก

“เฮ้ฟราน ! จะรีบไหนล่ะนั่น” ชาญตะโกนทักแต่ไกลมาพร้อมกับเพื่อน ๆ เธอ

“จะไปเอาเงินน่ะแล้วเจอกัน” เธอไม่ได้ทักทายพวกเขาด้วยซ้ำแต่ด้วยพฤติกรรมอันห่างเหินของเธอในช่วงนี้ก็ไม่แปลกใจเสียเท่าไร

ความตื่นเต้นของเธอค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อได้เอาเงินไปให้นัตโตะ กองเหรียญสีทองอร่ามส่องสว่างสะท้อนแสงทำเอานายทหารในกองตาโต

“หนึ่งร้อยเหรียญทองจริงด้วย” แม้แต่นัตโตะที่เคยมีเงินเป็นกองแต่เมื่อถูกอัญเชิญมายังสตาร์คินเขาก็ต้องละทิ้งวิถีชีวิตเดิมและปรับตัวเข้ากับโลกใหม่เสหมือนเป็นคนรากหญ้า

“ถ้าอย่างนั้นเราไปที่ที่มันส่วนตัวสักหน่อยจะดีกว่า”

“เอาสิ” ฟรานตามหน่วยของนัตโตะที่มีสมาชิกแค่สี่คนได้แก่ นัตโตะ เจา วาและแก้ว

พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ถูกอัญเชิญมาพร้อมกับฟราน…ทุกวันคืนมักจะได้ยินคำดูถูกเหยียดหยามเพียงเพราะความสามารถอันต่ำต้อยเมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับกลุ่มผู้กล้า

“ที่นี่ก็คงจะปลอดสายตาผู้คนแล้ว” เขายื่นก้อนหินสี่เหลี่ยมกว้างหนึ่งนิ้วยาวสองนิ้วให้กับฟราน

“นี่เป็นหินสื่อสารที่ทำงานเหมือนกับโทรศัพท์ จากโลกเดิมที่เคยใช้สัญญาณหรือคลื่นเปลี่ยนมาใช้มานาแทน”

“หินสื่อสาร…สินะ” ฟรานเผยรอยยิ้มฉีกกว้างออกมาไม่รู้ตัวจนพวกนัตโตะมองด้วยความเอือมระอา

[เปิดใช้งานการสื่อสาร]

หา? เธอรู้วิธีร่ายได้ยังไงแถมยังใช้ได้ทันทีเหมือนเคยทำมาก่อน

“อะเออ โทรมามีเรื่องอะไรล่ะเจ้าถั่วเน่า?”

ทันใดนั้นน้ำตาของฟรานก็เอ่อล้นลงบนแก้มทั้งสองข้างแววตาแห่งความหวังที่จ้องมองไปยังเบื้องหน้าราวกับกำลังมองเห็นคนที่อยู่ปลายสาย

“นี่ฉันเอง…กิจัง”

 

 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.