บทที่ 11 เถียง 2

มนตราสะท้านโลกา
คุณกำลังอ่าน: มนตราสะท้านโลกา

-A A +A

บทที่ 11 เถียง 2

บทที่ 11 เถียง 2

เรื่องทุกอย่างควรที่จะจบหากไบรท์นั้นเห็นด้วยกับคำกล่าว ทว่าเด็กหนุ่มนั้นไม่คิดจะเห็นด้วย ในใจของเขากับคิดแย้ง

“ผมคิดว่าเรื่องนี้ย่าคงไม่ค่อยถูกต้องนักหรอก”

สิ้นเสียงทุกคนนั้นพลันหันมามอง ไอหน้าเบ้สำหรับหญิงสาวแล้วเธออยากจะไปนอนเต็มที หากเรื่องบ้า ๆ นี้มันจบลงได้เร็วเท่าใดหญิงสาวก็จะได้ไปนอนเร็วเท่านั้น ส่วนโยดานั้นยิ้มออกมาได้ เดิมทีชายชราคิดว่าหลานของตนคงจะเห็นพ้องกับแอนนาเสียแล้ว ส่วนคนที่นั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวเห็นทีจะเป็นสุริยะ ชายชรามีท่าทางไม่สนใจคำกล่าวของสองสามีพรรยาคู่นี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าหากสองคนนั้นเถียงกันขึ้นมามันคงใช้เวลาไม่ใช่น้อย ทว่าเรื่องนั้นจะจบลงเมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง สองสามีพรรยาคู่นี้จะทำเหมือนกับไม่เคยมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่สมั้นยเรียน

“ว่ามา” แอนนากล่าว

“ภาษิตว่า บุรุษนั้นเปรียบเสมือนช้างเท้าหน้า ส่วนอิสตรีนั้นเปรียบเสมือนช้างเท้าหลัง ดังนั้นแล้วสตรีก็ต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนก็เป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไรไม่ใช่หรือครับ”

สิ้นคำกล่าวของไบรท์ หญิงชราพลันหันไปมองยังโยดาที่นั่งอยู่ไม่ห่าง “เจ้านำสิ่งนี้ไปสอนหลานของข้าได้เช่นไร  การสอนแบบนี้มันเป็นการเหยียดสตรีเภท”

“เจ้าก็เช่นกัน” โยดาเถียงกลับก่อนที่จะหันไปมองหลานของตน

“ถึงข้าไม่ใช่นักกวี แต่ว่าวันนี้ข้าจะขอแต่งกลอนสดให้เจ้าฟังหลานของข้า”

อันสุรารสดีช่างหายาก

 ต้องลำบากสั่นหาอยู่ร่ำไป

 น้ำอำพันสีทองแสนคลั่งไคล้

 ทำให้เราสุขลืมทุกข์ทรวง

 

ไฉนพอดื่มด่ำถูกดูแคลน 

แถมถูกแช่งว่าโฉดชั่วเป็นสามานย์ 

แม้นว่าดื่มจะมิทำให้รำคาญ 

จะไม่ขอเป็นคนพาลให้ช้ำใจ

 

 แม้นว่าใครต่อใครจะพร่ำบอก

จักให้ออกให้หยุดยั้งสักแค่ไหน 

แต่จักขอไม่นำพามาใส่ใจ 

จะดื่มด่ำต่อไปมิได้แค

“เราเกิดมาเป็นชายชาตรีควรเชื่อมั่นในความคิดของตนเองให้ถึงที่สุดจริงไหมหลานข้า”

 

แอนนาหันมาถามไบรท์อย่างจริงจัง “แล้วไบรท์คิดว่าสตรีอ่อนแอกว่าบุรุษหรือไม่”

ไบรท์สั่นศีรษะ “ไม่ครับ ผมดูตัวอย่างเช่นพี่ไอกับย่าแอนนา ก็ตอนที่ปู่เมาสุราย่าก็เป็นคนดูแลปู่ไม่ใช่หรอ”

แอนนากับไอยรายิ้มกับคำกล่าวของไบรท์ ก่อนที่สองสาวจะได้กล่าวอันใดชายชราที่เงียบไปนานพับนกล่าวขึ้น

“คำกล่าวนนั้นมันเป็นคำกล่าวสมัยพวกปู่ของเจ้า มันมิสามารถใช้ในสมัยของเจ้าได้หรอก แต่ว่ายังมีคนบางส่วนที่คิดเช่นนี้บ้าง ตามยุคสมัย ความคิดเช่นนี้ไม่ได้แปลก  อย่างที่เจ้าคิดหรอก อย่างรู้ดีว่าโลกใบนี้นั้นคนส่วนใหญ่นั้นมีอายุถึงร้อยปี ดังนั้นคนที่มีความคิดดังเดิมนั้นยังอยู่และส่งผลหรือเผยแพร่ความคิดเช่นนี้ให้เจ้า แล้วหากคิดไม่ผิดคำกล่าวนี้โยดาเป็นคนสอนเจ้าใช่หรือไม่”

ไบรท์พยักหน้ารับ ทำให้แอนนาและไอหันขวับไปมองยังโยดา ชายแก่ทำท่าทางเสมองไปทางอื่นเพื่อตัดปัญหา  เมื่อไบรท์ได้ยินเช่นนั้นเขาจึงหันมามองยังสุริยะที่มีความคิดเป็นกลางมากที่สุ ณ ที่แห่งนี้

“ถ้าแบบนั้นแสดงว่าความคิดของย่าแอนนานั้นถูกใช่ไหมครับลุงสุริยะ”

สุริยะยิ้มกับคำกล่าว “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าใครถูกหรือใครผิด ทางที่ดีเจ้าอย่าเสียเวลาคิดเรื่องนี้เลย คนที่จะคิดเรื่องแบบนี้ก็มีแต่พวกแก่ ๆ เฉกเช่นพวกข้าหรือไม่ก็เป็นนักวิชาการที่มีจำนวญแสนจะน้อยในสังคมนักเวท หรือหากเจ้าต้องการคำตอบจริงๆ  ก็จงใช้เวลาและประสบการณ์ของเจ้าหาคำตอบดีกว่า”

สิ้นคำกล่าว สุริยะจึงหันไปมองยังแอนนาและโยดา “ส่วนพวกเจ้าเสียงดังขนาดนี้หลานตัวน้อยของพวกเจ้าคงจะตื่นแล้วกระมัง”

สิ้นคำกล่าวโยดาและแอนนาดาพลันเงียบเสียง หากทำให้มายด์ตื่นขึ้นมาตอนนี้เกรงว่าหลานตัวน้อยของพวกเขาคงไม่นอน ไม่สิหากจะกล่าวให้ถูกหลานตัวน้อยของเขาคงไม่สามารถนอนได้เป็นแน่ เมื่อคิดดังนั้นหญิงชราและชายชราพลันหยุดโต้เถียงกันในทันที

ไม่ว่าเรื่องในอดีตจะเป็นเช่นไรนั่นไม่สำคัญสำหรับชายหญิงทั้งสอง ณ ปัจจุบันนี้ผู้เฒ่าทั้งสอนนั้นแค่วาดหวังให้หลานทั้งสามของตนเองนั้นมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสงบในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน โดยเฉพาะมายด์ เด็กน้อยที่หน้าสงสาร

“ว่าแต่เจ้าคิดจะอาศัยอยู่ที่นี่ใช่ไหมเพื่อนข้า” สุริยะว่า

“ใช่แล้ว ข้าจำต้องให้เจ้าช่วยอย่างไรเล่าสหายแห่งข้า แต่ว่าข้าก็ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้มันจะง่ายถึงเพียงนี้” โยดาว่า

“ในโลกที่เงินเปรียบเหมือนกับพระเจ้าเช่นนี้ หากเราเสนอเงินเพื่อซื้อที่ทางทำกินมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ยาก ตอนนี้ข้าได้ซื้อที่จำนวญหนึ่งร้อยไร่ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้บ้านของพวกเราจะมีขนาดที่กว้างใหญ่พอที่พวกเราสามารถอยู่ได้ ว่าแต่เรื่องนี้เจ้าน่าจะรู้แล้วไม่ใช่หรือ” แอนนาถามอย่างสงสัย เรื่องนี้หล่อนเคยแจ้งให้กับเพื่อนของตนไว้แล้ว ดังนั้นหล่อนเลยไม่ค่อยเข้าใจว่าเพราะเหตุใดสหายคนนี้จึงได้ถามเรื่องนี้ชขึ้นมาอีก

สุริยะยกตราขาวที่อยู่ในขวดแล้วค่อย ๆ รินใส่แก้ว ก่อนที่จะรินให้กับสหายของตน “ข้าไม่ได้อยากจะถามเจ้าหรอก แต่ว่าข้าอยากจะบอกให้กับไอกับไบรท์ได้รับรู้เอาไว้ตั่งหาก สองคนนี้ยังไม่ได้รู้เรื่องนี้เลยไม่ใช่หรือ แล้วอีกอย่างถึงแม้ว่าข้าจะไปขอกับท่านผู้นั้นมาแล้วก็ตาม แต่ว่าคนทั่วไปก็ยังไม่รู้”

“เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องบอกให้ประชาชนรับรู้หรอก เรื่องที่พวกข้าได้ทำนั้นมันก็ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว คนในยุคนี้คงไม่ได้สนใจมันแล้ว เรื่องนั้นควรที่จะถูกกบฝังไปกับอดีตด้วยเจ้าว่าจริงหรือไม่” ชายหนุ่มหันมาถามพรรยาของตน

“ข้าคิดเช่นเดียวกับโยดา”

“ในโลกที่เป็นทุนนิยมนี่มันอยู่อยากเสียจริงเลย” โยดาว่า สำหรับชายหนุ่มที่เกิดมาแล้วได้อาสัยอยู่สองยุค  เขากลับรู้สึกว่าโลกยุคหลังนั้นแสนอยู่ยาก

ตั้งแต่ที่เด็กยุคหลังเกิดมาก็ต้องเจอกับการแข่งขันอันไม่รู้จักจบสิ้น ไม่เหมือนยุคก่อนที่การแข่งขันไม่ได้สูงแบบนี้

“ข้ามีเรื่องที่จะบอกกับพวกเจ้า” สุริยะหันไปมองยังเพื่อนทั้งสอง ก่อนที่จะกล่าว

“ตอนนี้คำพูดของพวกเจ้ายังเป็นเฉกเช่นเดียวกันผู้ที่อาศัยอยู่ในชนบทอยู่ หากพวกเจ้าจะต้องย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงเจ้ราจำต้องเปลี่ยนคำกล่าวของพวกเจ้าเสียใหม่ เช่นคำว่าข้ากับเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่ในยุคปัจจบันนั้นไม่มีใครใช้คำนี้กันแล้ว เช่นเดียวกันกับคำที่ข้ากับโยดาชอบใช้ก็เช่นเดียวกัน เช่นคำว่ากันที่ใช้แทนตัวของผู้พูด เด็กรุ่นเจ้าคงไม่ได้ใช่แล้วใช่ไหม”

เขาหันมาถามไอ หญิงสาวพยักหน้ารับ 

“ใช่แล้ว ความจริงตอนที่พวกปู่พูดกนหนูก็ยังงงอยู่เหมือนกัน แต่ว่าอาจจะเป็นเพราะว่าหนูเจอคนที่ใช้คำแบบนี้เลยคุ้นชินไปละมั้ง”

คำกล่าวของหลานสาวทำให้โยดากับแอนนาชะงัก ก่อนที่ชายชราจะกล่าว

“แล้วถ้าหากเป็นเช่นนั้น คนสมัยนี้ใช้คำใดกัน ไม่ใช่คำว่าข้าหรือเองหรือคำว่ากัน พวกเข่าจะพูดแทนตัวอย่างไร”

สุริยะยิ้ม “เรื่องที่เจ้าชำนาญในโลกนี้คงมีแต่เรื่องของเวทมนตร์ยุคโบราณจริง ๆ แต่เรื่องของสังคมคงไม่ได้ชำนาญสักเท่า”ไร ดังนั้นข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง”

“แวลาพวกกัน คนในเมืองหลวงจะไม่ใช้คำว่าข้าหรือเจ้า แต่จะใช้คำว่าฉัน นาย หรือเรา”

“ใช่คำว่ากูมึงไม่ได้หรือ” โยดาถามอย่างสงสัย

สุริยะสั่นหน้าปฏิเสธ “ใช้ได้ แต่ว่าไม่ควรที่จะใช้ ข่าสังเกตหลานเจ้าอยู่เหมือนกันว่าหลานเจ้ามักจะใช้ภาษาแปลกที่คนไม่ค่อยใช้กัน เช่นคำว่า ภาษิตว่า แต่ว่าเด็กที่เคยสอนส่วนใหญ่จะพูดว่า   เหมือนคำกล่าวที่ว่าอะไรประมาณนี้ สำหรับพวกแก่เช่นเจ้ากับข้าหรือแอนนาข้าไม่ห่วง แต่ว่าสำหรับไบรท์นี่ข้าห่วงถ้าหลานของเจ้าไปใช้คำพูดเช่นนี้ในโรงเรียนที่มีเด็ก ๆ คงถูกมองแปลกหน้าดู”

“จริงด้วย พวกข้าลืมไปเสียสนิตเลย”  หญิงชราและชายชรากล่าวพร้อมเพียงกัน โดยที่ทั้งสองนั้นไม่คิดจะสนใจเรื่องที่โต้เถียงกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านราวกับว่าผู้อาวุโสทั้งสองลืมเรื่องนั้นไปเสียสิ้น

ระหว่างที่สามผู้อาวุโสกำลังจะกล่าว พวกเขาพลันรู้สึกถึงพลังสภาวะที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน สามผู้อาวุโสกับหนึ่งหญิงสาวพลันกระโจนทะยานร่างออกจากบ้านของตนเองราวกับสายฟ้า ความเร็วที่ปรากฏนั้นทำให้ไบรท์ต้องกืนน้ำลาย 

เขาไม่สามารถมองตามความเร็วของนักเวททั้งสี่คนได้ทันแม้เพียงนิดเดียว

“ในที่สุดก็ไกล้แล้ว วันแห่งราชัน” ชายหนุ่มนัยน์ตาสีแดงใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผลรำพึงกับตนเองเมื่อมองท้องฟ้าที่มีรอยแยกออก

“ในที่สุดข้าจะได้ทำสิ่งนั้นสักทีรอก่อนเถอะลูกแห่งข้า เมื่อเทวาได้มาบรรจบกันอีกครับมารามารีก็ต้องเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน การหวนคืน คนเป็นจะไม่ใช่คนเป็นคนตายจะไม่ใช่คนตายอีกต่อไป เจ้าก็จะได้เจอกับแม่ของเจ้าอีกครั้ง”

 

 

 

 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.