บทที่ 11...2/3
ภาคินกับมีนาช่วยกันสั่งส้มตำและอื่นๆ อย่างรู้งานเพราะกินด้วยกันบ่อย เขมินท์มองความสนิทสนมที่ไม่เคยเปลี่ยนของทั้งสองคนแล้วยิ้มบาง เมื่อก่อนเขามักจะเกิดคำถามว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนหรือว่ามีความรู้สึกอื่นใดอีกบ้างไหม แต่เวลาได้ให้คำตอบกับเขาโดยที่ไม่ต้องถามคำถามนั้นออกไป เขาเปลี่ยนความคิดว่าโชคดีแล้วที่ภาคินกับมีนาเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เขาเป็นพี่ชายที่ไม่ได้คลุกคลีกับน้องชายมากนัก ทั้งเรื่องอายุที่ห่างกัน ความเป็นมาของความเป็นพี่น้องต่างแม่ ทำให้ระหว่างเขากับภาคินมีความรู้สึกที่ดีกว่าคนแปลกหน้า แต่ไม่แนบแน่นแบบพี่น้อง
ภาคินกินอิ่มจนง่วง แต่เพราะบริษัทกำจัดปลวกยังไม่มา เขาเลยนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่บันได เขมินท์เดินดูรอบเรือนไทย เผื่อว่าจะมีปลวกไปขึ้นที่อื่นอีก มีนาเดินดูรายละเอียดของงานโครงสร้างไม้แบบโบราณ เผื่อว่าเธออาจจะใช้นำไปใช้ในงานตกแต่งสำหรับงานที่ต้องการกลิ่นอายความเป็นไทย เธอใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปเก็บไว้ ก่อนจะเดินกลับไปหาภาคิน
“มาแล้วกระมัง” ภาคินบอกพลางชี้ไปยังรถที่กำลังขับเข้ามาใกล้จะถึงเรือนไทยแล้ว
เขมินท์ลงมาจากเรือนไทยพอดี ภาคินลุกขึ้นให้ทางพี่ชาย แต่จังหวะที่ลุกนั้นร่างของเขากลับเซเพราะเสียหลัก เนื่องจากไม้กระดานของขั้นบันไดที่เขายืนมันดันแตกออกจากกัน
“เฮ้ย...”
ภาคินคว้ามือพี่ชายที่ยื่นมาให้จับเพื่อที่จะได้ยึดเป็นหลัก แต่กลับทำให้ขั้นบันไดที่เขมินท์ยืนอยู่รับน้ำหนักไม่ไหวไปอีกแผ่น ร่างของภาคินร่วงลงไปกระแทกดินด้านล่าง โดยมีเขมินท์ร่วงตามลงไป แม้ไม่สูงเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้เจ็บตัวไม่น้อย
“พี่เขม คิน” มีนาร้องลั่นพลางวิ่งไปหาทั้งสองคน
ภาคินขยับลุกขึ้นมาได้เองเช่นเดียวกับเขมินท์ มีนานั่งยองๆ มองสองหนุ่ม ก่อนจะถอนใจโล่งอกว่าไม่มีใครขาหัก หัวแตก ยกเว้นแต่
“ข้อมือของพี่น่าจะเคล็ด เจ็บแปลบๆ” เขมินท์เอ่ย
มีนาจับข้อมือของเขมินท์แล้วพลิกเบาๆ เพื่อดูว่าไม่ได้หัก แต่แดงไม่แน่ใจว่าจะบวมหรือเปล่า ภาคินมองข้อมือพี่ชายแล้วถอนใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาดึงเขมินท์ไว้ พี่ชายคงไม่เจ็บตัวแบบนี้หรอก
“เจ็บตัวเพราะมาช่วยผมแท้ๆ เลย ผมพาพี่เขมไปหาหมอที่คลินิกตอนนี้เลยดีกว่า”
“ไม่เป็นไรหรอก เจ็บแค่นี้เอง เดี๋ยวก็ดีขึ้น” เขมินท์ขยับตัวลุก พลอยทำให้ภาคินกับมีนาลุกขึ้นตาม “บริษัทกำจัดปลวกมาถึงแล้ว คงใช้เวลาไม่นาน”
“พี่เขมนั่งพักแถวนี้แล้วกัน เดี๋ยวผมจัดการเอง” ภาคินอาสา
เขมินท์พยักหน้าพลางเดินไปนั่งตรงเก้าอี้เหล็กดัดที่ใต้ถุนเรือนไทย มีนาเห็นว่าภาคินพาคนจากบริษัทกำจัดปลวกขึ้นเรือนไปแล้ว หญิงสาวจึงเดินแกมวิ่งไปที่ร้านค้าแถวๆ นั้น เขมินท์มองตามไปจนกระทั่งเห็นมีนากลับมาพร้อมกับน้ำแข็งป่นใส่ถุงก๊อบแก๊บมา
“เดี๋ยวประคบข้อมือสักหน่อยนะคะพี่เขม” มีนาบอกพลางเปิดกระเป๋าเป้ของภาคินเผื่อว่าจะมีผ้าสักผืน “เจอแล้ว”
มีนานำน้ำแข็งมาใส่ในผ้าผืนใหญ่ที่คล้ายเอาไว้สำหรับโพกหัว ภาคินคงคิดว่าอาจจะมาปัดหยากไย่กระมังถึงได้เตรียมมาด้วย พอทบผ้าซึ่งมีน้ำแข็งอยู่ด้านในเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงเอามาพันรอบข้อมือที่บวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของเขมินท์
“เอาไว้ขากลับแวะคลินิกกันนะคะ มีนคิดว่าข้อมือของพี่เขมบวมมากเลย แถมข้างนี้ยังข้างที่ถนัด เวลาทำงานจะเจ็บมากหรือเปล่าก็ไม่รู้”
เขมินท์มองมือเล็กๆ ที่กำลังมัดปลายผ้าไว้ด้วยกัน เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งประคบแก้มให้มีนา มาตอนนี้เธอกำลังประคบข้อมือให้เขา
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” พอถูกเขมินท์มองมาตรงๆ แถมยังใกล้กันแบบนี้ มีนาก็ชักไปไม่เป็น “มีนเอาพลาสเตอร์ปิดแผลไปให้คินก่อนนะคะ นี่ก็เจ็บแต่ไม่ยอมบอก”
เขมินท์เพิ่งรู้เหมือนกันว่าภาคินมีแผล แต่ไม่รู้ว่าตรงไหน ช่างเป็นความใส่ใจที่เธอมอบให้น้องชายของเขาเสมอมา การที่มีใครอีกคนคอยเป็นลมใต้ปีกให้ทุกเวลา ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและปลอดภัย มีนาเดินข้ามขั้นบันไดที่หักทั้งสองแผ่นไป นี่เป็นอีกงานที่เขาต้องจ้างช่างมาซ่อมแซม ก่อนถึงงานทำบุญวันคล้ายวันเกิดของคุณย่า
ขากลับภาคินพาเขมินท์ไปที่คลินิกเฉพาะทางเพื่อตรวจข้อมือของพี่ชาย การที่เห็นข้อมือของพี่ชายพันผ้ายืดไว้และมีกลิ่นยาที่ทาอ่อนๆ ทำให้ภาคินเผลอมองแล้วถอนใจเบาๆ ไม่ได้ ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยราวกับไม่แคร์อะไร แต่เหตุการณ์นั้นเขมินท์เลือกจะดึงเขาไว้ไม่ปล่อย จนสุดท้ายเจ็บไปด้วยอีกคน
มีนาเห็นภาคินมองเขมินท์แต่ไม่พูดอะไร เธอก็เลยชวนสองหนุ่มคุยไปเรื่อยจนกระทั่งภาคินมาส่งเธอที่บ้าน มีนาโบกมือให้แล้วเข้าบ้านไปด้วยความเหนื่อยและโล่งใจ ภาคินมีแผลที่ข้อศอกนิดหน่อยกับเคล็ดขัดยอกเท่านั้น ส่วนเขมินท์คงต้องดูแลข้อมือที่เคล็ดไปสัก 1-2 สัปดาห์ ว่าแต่เขาจะขับรถไปทำงานยังไง
ป้ารุจาช่วยทายาและพันผ้าที่ข้อมือของเขมินท์ให้ใหม่ในตอนเช้า ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินมาที่รถของตัวเอง แต่วันนี้กลับพบว่าภาคินมายืนคล้ายกับรออยู่ที่นั่น เขาเดินไปที่รถของตัวเอง ภาคินมองกุญแจในมือของพี่ชายแล้วเป็นฝ่ายยื่นมือคล้ายกับขอ เขมินท์รู้ว่าน้องชายอยากได้กุญแจรถของเขา แต่จะเอาไปทำอะไร
“ส่งกุญแจรถมาเถอะน่าพี่เขม”
เขมินท์ส่งกุญแจรถให้ภาคินที่เปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งในรถ แต่พอนึกได้ก็เอื้อมไปเปิดประตูอีกฝั่ง แล้วรอให้พี่ชายเข้ามานั่ง เขมินท์เข้ามานั่งแล้วปิดประตูรถพลางรอดูว่าน้องชายจะพาเขาไปไหน
“วันนี้ผมจะขับรถให้แล้วกัน วันอื่นๆ ถ้าไม่มีคนขับรถให้ พี่เขมก็โทรเรียกผมได้” ภาคินพูดเร็วๆ รู้สึกเสียฟอร์มจนต้องรีบสตาร์ทรถ
เขมินท์พอจะเข้าใจว่าน้องชายคงรู้สึกผิด ซึ่งเขาเต็มใจช่วย ฉะนั้นย่อมไม่มีใครผิด แต่ภาคินคงไม่อยากให้เขาพูดแบบนี้หรอก
“ขอบใจ ถ้างั้นพี่จะหลับสักหน่อย ถ้าถึงแล้วปลุกพี่ด้วยนะ”
ภาคินพยักหน้าพลางถอนใจเบาๆ หากต้องชวนเขมินท์คุยด้วย เขาคงไม่มีสมาธิสักเท่าไหร่ เรื่องแบบนี้สำหรับพี่น้องบ้านอื่นคงเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับเขากับพี่ชายที่ห่างเหินกันเป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่เกิดขึ้นเรียกว่าพิเศษก็ได้
ความห่วงใยระหว่างพี่น้องที่ไม่เคยบอกรักหรือแม้แต่ส่งของขวัญให้กันในวันเกิด การขับรถของภาคินในครั้งนี้ทำให้เขมินท์ย้อนกลับมาคิดว่าเราสองคนไม่เคยเกลียดกัน แต่ทำไมถึงไม่ทำเหมือนพี่น้องทั่วไป เขาหรือภาคินกันแน่ที่มีกำแพงจนอีกฝ่ายข้ามมาไม่ได้
“ถึงแล้วพี่เขม” ภาคินเอ่ยเสียงไม่เบานัก แทนการยื่นมือไปเขย่าไหล่ของพี่ชาย
เขมินท์หันมามองน้องชายเพราะเขาไม่ได้หลับจริงจังอะไร “เอารถพี่ไปใช้ก่อนไหม จะกลับยังไง”
“ผมกลับแท็กซี่ง่ายกว่า”
เขมินท์ขยับตัวเปิดประตูกำลังจะก้าวลงไป ภาคินลงจากรถเช่นกันเพื่อมาคืนกุญแจให้เขมินท์ ก่อนจะเดินเร็วๆ ไปโบกเรียกแท็กซี่ที่แล่นเข้ามาจอดพอดี เขมินท์ยิ้มบางพลางเก็บกุญแจไว้ในกระเป๋า บางทีนี่อาจเป็นการทลายกำแพงในแบบของพี่น้องอยู่ก็ได้
มีนาอ่านข้อความในแชทแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ความฟอร์มเยอะของภาคินทำให้เขาส่งข้อความมาถามเธอตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะช่วยเขมินท์ยังไงดี เธอจึงถามนำไปว่าเขาถนัดอะไรที่สุด แล้วตอนนี้พี่ชายทำไม่ถนัด วันนี้ภาคินเลยขับรถไปส่งพี่ชายที่บริษัทเป็นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นไม่นานเขมินท์ก็ส่งข้อความมาหาเธอว่า
‘วันนี้พี่ไปประชุมที่สาขา ถ้ามีนไม่สะดวกบอกพี่เรื่องห้องได้นะ’
หากเป็นสถานการณ์ปกติ มีนาคงต้องคิดมากกว่านี้ แต่เพราะเขมินท์เจ็บตัว เธอจะมีปัญหาได้อย่างไร แล้วที่สำคัญมันมีสองห้อง ไม่ใช่ว่าเขามานอนอยู่ในห้องเธอหรือเธอต้องย้ายมานอนโซฟาเสียเมื่อไหร่
‘ถ้างั้นเย็นนี้มีนไปหาพี่เขมนะ ขอร้องนะคะช่วยอย่าปฏิเสธ’
หัวใจไม่รักดีทำไมต้องมาเต้นแรงในทันทีที่เธอส่งข้อความไปด้วยนะ ถ้าเขมินท์ปฏิเสธก็น่าจะเป็นเรื่องปกติหรือเปล่า เขาอาจไม่เข้าใจถึงเจตนาอยากจะช่วยของเธอก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเขาตอบว่า...ไม่เป็นไร เธอจะไม่จ๋อยเด็ดขาด เสียงข้อความเข้าทำให้ใจยิ่งเต้นแรง มีนาหรี่ตายามที่อ่านข้อความชวนระทึก
‘พี่จะรอ’
มีนาเม้มปากลั้นยิ้มพร้อมกับถอนใจโล่งอก การไม่ถูกปฏิเสธมันโล่งใจชะมัด เอาละ เย็นนี้เธอจะนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปหาเขมินท์ที่บริษัทในเครือ แล้วขับรถของเขากลับมาที่คอนโด จากคราวไฟไหม้ตึกจนกระทั่งมาเรื่องห้อง มีนาคิดมาตลอดว่าจะตอบแทนเขมินท์อย่างไร ตอนนี้เธอได้รับโอกาสนั้นแล้ว
เค้ากำลังจีบกันแต่ไม่รู้ตัวว่ากำลังจีบหรือเปล่า? ^_^ ตอนนี้ เพราะคุณคือรักแรก วางจำหน่ายใน MEB แล้วนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ลงให้อ่าน 60% ของเนื้อหาทั้งหมดนะคะ
บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 218
แสดงความคิดเห็น