ภูพิง-อิงธารา บทที่ 10
"จับไปให้หมด" จบคำกลุ่มชายฉกรรจ์ก็แยกออกเป็นสองกลุ่ม เห็นดังนั้นอิงธาราก็หันหลังออกวิ่งเข้าไปในป่าทึบท่ามกลางสายฝนโดยมีชายฉกรรจ์กลุ่มที่แยกตัวไล่ตามเธอและตะโกนข่มขู่อยู่ข้างหลัง
'เปรี้ยง!' เสียงคำรามกึกก้องดังพร้อมๆ กับลำแสงแปลบปลาบสว่างกลางฟ้าทำให้ป่ามืดฝนสว่างจ้ามองเห็นบริเวณรอบตัวได้ชั่วขณะ อิงธาราทั้งตกใจและหวาดกลัว แต่ขาทั้งสองยังคงวิ่งสะเปะสะปะไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ เสียงร้องสั่งให้หยุดของชายที่ไล่ตามเธอมาสลับกับเสียงเปรี้ยงปร้างของปืนในมือเขา ยิ่งเป็นแรงขับให้หญิงสาวตะบึงไปข้างหน้าเพื่อพาตัวเองให้รอดพ้นกับหายนะ
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ" ยิ่งเสียงตะโกนดังใกล้เข้ามาเท่าไรหญิงสาวก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก
ทั้งทัศนวิสัยในการมองเห็นค่อนข้างจำกัดกอรปกับลมฝนที่ตกหนักซึ่งอิงธารากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ สร้างความหวาดวิตกให้เธอเป็นอย่างมาก จากระยะที่ทิ้งห่างคนร้ายกลับค่อยๆ กระชั้นเข้าใกล้กันทุกขณะ จังหวะหนึ่งที่หญิงสาวสะดุดเข้ากับรากไม้จนเสียหลักลื่นไถลล้มกลิ้งไปตามทางลาดชันจนร่างกระแทกเข้ากับไม้ต้นใหญ่อย่างแรงจนจุกเสียดไปทั่วสรรพางค์กาย แต่พอเหลียวหลังแล้วเห็นเงาตะคุ่มสองสามสายมุ่งตรงมาทางนี้อิงธาราก็กัดฟันพาร่างกายบอบช้ำของตนตะเกียกตะกายออกวิ่งอีกครั้ง
"ระวัง...น้ำตก...นาย...จับให้ได้..." จากเสียงตะโกนโหวกเหวกของคนร้ายที่ฟังไม่ได้ศัพท์และกำลังไล่ตามมา อิงธารามั่นใจว่าตัวเองได้ตกเป็นเป้าหมายของพวกมันไปเสียแล้ว
หญิงสาวพยายามที่จะเร่งฝีเท้า แต่ร่างกายกลับเริ่มประท้วงหนัก ดังนั้นเธอจึงเลือกวิ่งซิกแซ็กโดยอาศัยไม้ต้นใหญ่เป็นที่กำบังกาย แม้ว่าวิธีนี้เธอจะเคลื่อนที่ได้ช้ากว่าและเหนื่อยมากกว่า ทั้งยังมองไม่เห็นเส้นทางจนพาร่างกายโฉบเข้าพงหนามจนถลอกปอกเปิก แต่มันก็เป็นวิธีเดียวที่จะสามารถหลอกตาคนร้ายได้ดีกว่าที่จะตะบึงตะบอนวิ่งตรงไปอย่างเดียว และผลที่ได้รับคือคนร้ายที่ไล่ตามมาโกรธจนลมออกหู
'ปัง!...ฟิ้ว!' ไอร้อนจากลูกกระสุนที่แหวกอากาศเฉียดผ่านใบหูของเธอไปฝังลึกกับต้นไม้ที่อยู่ห่างจากเธอไม่กี่ช่วงแขน ทำให้
อิงธาราแทบเข่าทรุด น้ำตาของความหวาดกลัวไหลปนกับน้ำฝนจนแยกไม่ออก หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียงเพื่อไล่ความกลัวภายในจิตใจเธอไม่ยอมเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แน่ คนอย่างอิงธาราจะไม่ยอมเป็นศพไร้ญาติกลางป่าเขาเป็นอันขาด
"หยุดอยู่ตรงนั้นนะ" เสียงขู่คำรามของคนร้ายเป็นพลังขับให้เธอใช้แรงเฮือกสุดท้ายออกวิ่งอีกครั้ง
โชคร้ายที่หญิงสาวไม่มีจุดหมาย ได้แต่วิ่งหนีตายไปอย่างไร้ทิศทาง ขืนเป็นอย่างนี้อีกไม่นานเธอคงหมดแรง ท้ายที่สุดก็คงตกอยู่ในเงื้อมมือชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ โชคดีเธอคงตายด้วยกระสุนนัดเดียว แต่ถ้าไม่...พวกมันกลับเลือกที่จะหาประโยชน์จากร่างกายของเธอก่อนเล่า คงเป็นความอัปยศอดสูเกินกว่าที่หญิงสาวจะรับได้
"แม่จ๋าช่วยลูกด้วย" อิงธาราได้แต่วิงวรณ์อย่างสิ้นหวัง ร่างกายเริ่มไม่ทำตามคำสั่งอีกต่อไป จังหวะการก้าวขาแต่ละครั้งสร้างความเจ็บปวดให้เธอไม่น้อย
"หยุด!" 'ปัง!' เสียงตะโกนข่มขู่สลับกับกระสุนที่แหวกอากาศยังคงไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ
"อย่ายิง...เดี๋ยวบาดเจ็บ...ต้อนไป...ไม่...ใกล้แล้ว..." เสียงตะโกนที่ฟังไม่ได้สับของเจ้าหัวหน้ายิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับหญิงสาว แสดงว่าพวกมันต้องการจับเป็น
อิงธาราชะลอฝีเท้าเมื่อเห็นสิ่งที่รอเธออยู่เบื้องหน้า มันเป็นชั้นน้ำตกซึ่งน้ำกำลังเชี่ยวกรากจากแรงลมฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอยู่ในตอนนี้ หญิงสาวไม่เสียเวลาคิดขณะหมุนตัวมุ่งหน้าเข้าป่าไปอีกทาง อย่างน้อยมันก็ดีกว่าที่เธอจะวิ่งขึ้นเนินชันแถมยังเพิ่มพาระหลบง่อนหินไปด้วย อีกอย่างเธอก็แน่ใจว่าตัวเองจะยังไม่ตายในตอนนี้ เพราะจากบทสนทนาที่ได้ยินกระท่อนกระแท่น ดูเหมือนว่าพวกมันไม่ต้องการให้เธอเป็นอันตราย คงอยากจะซักถามอะไรบางอย่าง ถึงแม้ว่าจะมีเหตุผลมาหักล้างมากมาย แต่เธอก็ไม่ต้องการที่จะเสี่ยงให้พวกมันจับตัวได้ เพราะถ้าคาดการณ์ผิดคงไม่เหลือทางให้เธอหนีรอดได้อีกแล้ว
เสียงโหวกเหวกของชายฉกรรจ์ยังคงไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด แต่เรี่ยวแรงของเธอกลับลดน้อยถอยลง ขาหนักอึ้งแทบจะก้าวไม่ไหว น้ำตาของความสิ้นหวังไหลอาบแก้มปะปนกับน้ำฝนที่ยังคงเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ความหวังที่จะหนีรอดริบหรี่เต็มที หรือว่าเธอจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่
"แม่จ๋าช่วยน้ำอิงด้วย น้ำอิงไม่อยากตายอยู่ที่นี่" หญิงสาวคร่ำครวญอย่างสิ้นหวังเมื่อเรี่ยวแรงค่อยๆ เหือดหาย
สองขาหนักอึ้งดั่งถ่วงด้วยกระสอบข้าว ได้แต่กัดฟันมุ่งไปข้างหน้า เมื่อกำลังกายไม่พร้อมไฉนจะมีกำลังใจต่อสู้กันเล่า จังหวะหนึ่งของการก้าว เท้ากลับไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง ร่างกายซวนเซล้มไถลลื่นกลิ้งหลุนๆ ไปตามทางลาดชัน มือไม้ควานสะเปะ
สะปะเพื่อหาที่ยึดเกาะ คว้าได้ไม้ต้นเล็กหวังให้หยุดการไถลลื่น แต่ก็ต้องสิ้นหวังเมื่อน้ำหนักตัวและดินที่อุ้มน้ำทำให้หลุดติดมือมาพร้อมรากยาว หญิงสาวหลับตายอมรับชะตากรรม ปล่อยร่างกายให้ไถลลงไป แต่แรงกระแทกทำให้เธอลืมตาโพรง
"โอ๊ย!" อิงธาราครวญอย่างเจ็บปวด เมื่อพบว่าร่างของเธอกระแทกเข้ากับไม้ต้นใหญ่ ทั้งยังติดอยู่ในซอกอีกต่างหาก
"แม่จ๋า จะช่วยทั้งทีก็เอาให้สบายกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้" หญิงสาวพูดทั้งน้ำตา ความรู้สึกสิ้นหวังมลายไปสิ้น
อิงธารากะระยะทางที่เธอไถลลงมาดูแล้วก็ไม่ไกลเท่าไหร่ น่าจะพอมีแรงปีนขึ้นไป จากฝนเม็ดหนากลายเป็นเม็ดฝอย เมฆดำทมึนค่อยๆ เคลื่อนจากไป แต่กลางป่าต่อให้ท้องฟ้าจะสดใสเพียงใด บริเวณที่เธออยู่ในขณะนี้ก็ยังคงขมุกขมัวอยู่นั่นเอง หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือที่นายภูพิงให้แม่บ้านเอามาให้ในตอนเช้าขึ้นมาดูเวลา นึกดีใจที่ตัวเองไม่ดึงดันที่จะคืน หน้าปัดมีรอยขีดข่วนแต่ก็พอมองตัวเลขออก โชคดีที่ไม่พังจากแรงกระแทกไปเสียก่อน ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงกว่าๆ แล้ว ดังนั้นเธอจะต้องออกจากป่านี้ก่อนมืดให้ได้
เสื้อผ้าเปียกแนบร่าง ทั้งยังอากาศก็หนาวเย็นทำให้เธอต้องรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด หญิงสาวหยิบท่อนไม้ขนาดเหมาะมือที่กองสุมอยู่ใกล้ๆ ขุดหลุมเล็กๆ พอให้เท้าเหยียบไต่ขึ้นไปได้ โชคดีที่ฝนตกทำให้เธอไม่ต้องออกแรงขุดมากเท่าที่ควร ไม่นานเธอก็พาร่างสะบักสะบอมขึ้นมายืนได้เป็นผลสำเร็จ
อิงธาราหันซ้ายแลขวาไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เสียงตะโกนโหวกเหวกดังอยู่ไกลๆ นั่นแสดงว่าพวกมันยังคงวนเวียนตามหาเธออยู่ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นทางเดินเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล เท่าที่สังเกตเส้นทางนี้น่าจะถูกใช้งานอยู่เป็นประจำ หญิงสาวไม่รอช้า ตัดสินใจ ย่ำเท้าเปล่าเปลือยกระย่องกระแย่งไปตามทางเดินเท้าที่เห็นทันที ไม่ว่าปลายทางจะมีอะไรรออยู่เธอก็ไม่สนอีกแล้ว ขอแค่ออกจากป่านรกนี้ได้ก็เพียงพอ
***สองชั่วโมงก่อนหน้านี้
ทั้งฝนทั้งลมยังคงโหมกระหน่ำสลับกับแสงแลบแปลบปลาบของสายฟ้า รถตู้จอดนิ่งสนิทในโรงรถ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดประตูรถฝั่งคนขับก้าวเร็วๆ เข้าสู่ตัวบ้าน ลูกน้องที่ภูพิงให้ขนเสื้อผ้าลอตใหม่มาแทนลอตเก่าที่ยายตัวแสบเอาเท้าลงไปย่ำโครมๆ เมื่อวานยืนเตร็ดเตร่อยู่ในโถง ทั้งยังแม่บ้านที่ยืนก้มหน้ารอรับการกลับถึงบ้านของเขา พฤติกรรมของแต่ละคนสร้างความฉงนให้กับภูพิงไม่น้อย
"ทุกอย่างเรียบร้อยนะ" ชายหนุ่มหันไปถามแม่บ้าน ฝ่ายนั้นมีอาการสะดุ้งน้อยๆ และมันก็ตกอยู่ในสายตาของชายหนุ่ม
"ดิฉันจัดเสื้อผ้าใส่ตู้ให้คุณภูเรียบร้อยค่ะ...แต่ว่า...แต่ว่า..." อาการพูดตะกุกตะกักของแม่บ้านที่ดูแลกันมานานนั้นทำเอาชายหนุ่มอดแปลกใจไม่ได้
"แต่อะไรครับ" เสียงถามคล้ายไม่ใส่ใจแต่กลับเจือร่องรอยคาดคั้น ทำให้กันตาแม่บ้านวัยกลางคนไม่กล้ารายงานเรื่องที่สร้างความตระหนกให้กับเธอและลูกน้องชายให้เขาทราบ
"เอ่อ!...เอ่อ!...คือว่า..." จนแล้วจนรอดแม่บ้านกันตาก็ยังไม่กล้าพอที่จะบอกอยู่นั่นเอง เพราะรู้ดีว่าผู้หญิงที่หายไปนั้นเป็นคนสำคัญของเจ้านายหนุ่ม แต่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพราะคุณท่านกำชับเอาไว้
"นายครับนาย แย่แล้วครับ" เสียงตื่นตระหนกของนายไผ่ยามร่างยักษ์เบนความสนใจจากเจ้านายหนุ่มไปจากเธอ กันตาได้แต่ลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ร่างเปียกปอนของนายไผ่วิ่งมาหยุดต่อหน้าเจ้านายแล้วรายงานเสียงตะกุกตะกัก
"คะ...คือว่า...คะ...คุณน้ำอิงหายตัวไปครับ"
"แกว่าอะไรนะ" ภูพิงถามซ้ำเพราะฟังไม่ค่อยถนัด
"คือว่า...คุณน้ำอิงหายตัวไปครับนาย เรียวคิ้วขมวดเข้าหากัน ใบหน้านิ่งไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ทำให้บรรยากาศทวีความอึดอัด
ความเงียบรายล้อมรอบตัว มีเพียงเสียงลมฝนกระทบบานประตูและหน้าต่างเกิดเสียงซ่าๆ ชายหนุ่มเจ้าของบ้านกวาดตามองไล่ทีละคนตั้งแต่หัวจรดเท้า และนั่นทำให้ทั้งสี่รวมถึงแม่บ้านก้มหน้าหลบตาอย่างรู้สึกผิดระคนหวาดหวั่นถึงผลที่จะตามมา ชายหนุ่มจงใจปล่อยให้ความเงียบคืบคลานไปอย่างเชื่องช้าเพื่อทรมานคนของตน นายไผ่ผู้ซึ่งมีความอดทนต่ำกว่าใครๆ ตัดสินใจโพล่งทำลายบรรยากาศความอึดอัดนี้ลงเสีย
"ผะ...ผมขอโทษครับนาย" ยามร่างยักษ์ก้มหน้าอย่างสำนึกผิด เพราะความสะเพร่าและมักง่ายของเขาจึงทำให้อิงธาราหนีออกไปได้ เขาไม่รู้ว่าเธอหายตัวไปตอนไหน เพราะกว่าจะรู้ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่แล้ว ครั้นจะออกตามหาเจ้านายก็กลับมาพอดี นายไผ่อดที่จะเป็นห่วงหญิงสาวอัธยาศัยดีคนนั้นไม่ได้ ยิ่งฝนตกหนักขนาดนี้ไม่รู้ว่าจะไปหลบฝนหนาวสั่นอยู่ตรงไหน
"มันเกิดขึ้นได้ยังไง" น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ของชายหนุ่มยิ่งทำให้บรรยากาศกดดันขึ้นเป็นเท่าตัว
"ฉันถามว่าอิงธาราหายไปได้ยังไง"
"ผะ...ผมเองครับนาย ผะ...ผมสะเพร่าเองครับ ผมไม่ได้ล็อคกุญแจรั้วครับ" จากนั้นนายไผ่ก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้นายจ้างหนุ่มฟังอย่างละเอียด
"มันจะไม่มีครั้งหน้าอีก ไม่งั้นฉันจะไล่แกออก" นายไผ่ยกมือไหว้นายเหนือหัวปลบๆ แต่ก็ไม่วายเป็นห่วงหญิงสาวที่เป็นสาเหตุความลำบากของเขาในครั้งนี้ได้
"ขอบคุณครับนาย ละ...แล้วคุณน้ำอิงล่ะครับนาย"
"ไม่ใช่เรื่องของแก ...เอาล่ะพวกแกออกไปกันได้แล้ว" ชายหนุ่มตวาด ชายฉกรรจ์ทั้งสามกุลีกุจอถอยหลังออกไปทันที
"กันตา" เขาหันไปยังแม่บ้านที่ยืนค้อมกายรอรับคำสั่งอยู่
"ได้เอานาฬิกาข้อมือให้อิงธาราหรือเปล่า"
"ให้ค่ะ ดิฉันสวมให้เธอก่อนที่เธอจะออกไปทำงานค่ะ" เขาพยักหน้ารับรู้ ความโล่งอกเข้ามาแทนที่
"ถ้าอย่างนั้นช่วยเก็บเสื้อผ้าจากห้องของอิงธาราไปไว้ที่ห้องฉันด้วย"
"ค่ะคุณภู" แม่บ้านรับคำก่อนจะผลุนผลันไปจัดการหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทันที
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 325
แสดงความคิดเห็น