เหตุใดจึงมีฝันหากปลายทางคือความเจ็บปวด

-A A +A

เหตุใดจึงมีฝันหากปลายทางคือความเจ็บปวด

          ณ   ลานกว้างของชนเผ่าอิเน่อิปวู   มีกลุ่มชาวบ้านจำนวนหนึ่งถูกมัดด้วยลวดเหล็กสีดำ   ขึงกับเสาหินตั้งพื้นทรงเครื่องหมายกากบาท   เลือดไหลซึมจากปากแผลที่ปลายแหลมของลวดเหล็กทิ่มแทงเข้าไป   มีทุกวัยตั้งแต่วัยรุ่นยันวัยชราที่ใกล้หมดลมหายใจ   แม้ถูกประจานต่อสาธารณชน   แต่ใบหน้าของพวกเขาไม่แสดงออกถึงความอับอาย   ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความกลัว   ดวงตาเหล่านั้นเอาแต่จ้องเขม็งไปที่ชายผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์หัวมังกร   ที่ข้างกันคือเซเลียผู้ยืนมองกลุ่มกบฏด้วยแววตาเรียบเฉย   สายฝนแม้จะยังแผลงอำนาจ   หากไม่อาจเข้าถึงตัวของกลุ่มคนที่อยู่บนลานกว้างสีขาวแห่งนี้ได้   ตัวแทนแต่ละเผ่ารวมถึงหัวหน้าเผ่าต่างทยอยเดินทางมานั่งล้อมรอบกลุ่มกบฏ   ต่างมีใบหน้าคร่ำเครียดและขมึงตึง   บรรยากาศอึมครึมยิ่งเมื่อมีชายผู้ได้สมญานามว่าเป็นจักรพรรดิแห่งโลกอยู่ภายใน   ยิ่งก่อให้เกิดบรรยากาศอันแสนน่าอึดอัด   ทำให้รู้สึกเหมือนชีวิตของพวกเขาก็ไม่ได้ต่างไปกับพวกที่ถูกมัดอย่างทารุณตรงหน้า   จะอยู่หรือจะไร้ความรู้สึกล้วนแต่เป็นเพียงเส้นด้ายบางและตึง

          โอฟาโพฟ   มาราอานและตัวแทนชนเผ่ามาถึงเกือบจะเป็นกลุ่มสุดท้ายของทั้งหมด   แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น   ก็ยังได้รับอภิสิทธิ์ให้นั่งข้างจักรพรรดิหนุ่มอย่างใกล้ชิด   ในฐานะของเจ้าของประเทศ   มาราอานจ้องหน้ามาร์เวท   เป็นสายตาของเด็กไร้เดียงสากับนิทานที่ถูกกรอกหู   ลักษณะใบหน้าของเขาไม่ได้แตกต่างจากวัยรุ่นทั่วไป   ไม่มีความเหี้ยมโหด   หรือแม้แต่ราศีของความเป็นจักรพรรดิ   ที่เธอรู้สึกได้มีเพียงความเหงา   ความเศร้าและความหวาดกลัว   เสมือนสีดำที่แปดเปื้อนอยู่ในมหาสมุทร   จำไว้ให้ดีมาราอาน   มาร์เวทแม้จะมีใบหน้าไร้เดียงสา   แต่สิ่งที่เขาเคยทำ   และกำลังทำอยู่ตลอดเวลาคือการฆ่าล้างผู้บริสุทธิ์   ดังนั้นแล้ว   มาราอาน   จงอย่าหลงกลความไร้เดียงสาของเขาโดยเด็ดขาด’   เสียงในหัวที่ดังกังวานคือสิ่งที่หญิงสีขาวกล่าวกับเธอ  

          มาร์เวทลุกขึ้นยืน   การขยับตัวของเขาเป็นดั่งแรงกระเพื่อมบนผิวน้ำในที่ปิด   ความรู้สึกกดดัน   และความกลัวทวีความรุนแรงมากขึ้นในจิตใจอันเปราะบางจนบางคงถึงกับเป็นลมไปดื้อๆ   กระนั้นเท้าที่ก้าวออกไปแล้วครั้งหนึ่ง   จะไม่หยุดเดินแต่อย่างใด   มันมีจุดหมายที่ชัดเจน   และเมื่อมันหยุดลงคือที่ด้านหน้าของเสาหินของชายชรา   ร่างกายบอบช้ำไม่ต่างจากถูกซ้อมมาอย่างหนัก   พื้นเบื้องล่างปรากฏแอ่งโลหิตขนาดเล็กสองจุด   กำลังรวมตัวกับแอ่งน้ำขังเบื้องล่าง   ดาบที่ชักออกจากฝัก   แสงของความคมสะท้อนผ่านดวงตาที่จับจ้อง   เชือดเฉือนจิตใจที่เต็มไปด้วยความกลัวจนต้องหลับตา   “บาปของผู้เป็นบิดาคือการที่มิสามารถสอนบุตรของตนให้รู้จักการเอาตัวรอดจากทุกสถานการณ์   และผลลัพธ์ของบาปคือความตายโดยฉับพลัน”   เขาฟาดดาบออกไปด้านหน้า   ท่ามกลางสายตาของผู้ชมนับสิบ   มาราอาน   ดวงตาคู่โตของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อมองเห็นร่างชรานั้นล้มลงในสภาพคว่ำหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง   แต่กลับไม่มีรอยเลือดกระเซ็นลงตามพื้นอย่างที่เข้าใจ   แม้แต่บนคมดาบที่กำลังถูกอาบน้ำฝนเองก็ตาม  

          มาร์เวทออกเดินต่อไป  เชือดเฉือนพันธนาการที่มัดมือและแขนของผู้ถูกตรึงทีละคนอย่างแม่นยำ   ปล่อยให้เป็นอิสระอย่างน่าประหลาดใจ   “โทษของการคิดก่อกบฏจักรวรรดิแห่งไฟคือความตายเจ็ดชั่วโคตรสถานเดียว   แต่การจะสังหารคนไร้ทางสู้มิใช่สิ่งที่ข้าปรารถนา   เช่นนั้นแล้ว”    กลุ่มกบฏต่างมองหน้ากันราวกับกำลังวางแผนบางอย่าง   ในขณะที่อีกฝ่ายกลับยืนเอียงข้าง   ยกดาบขึ้นมองจ้องคมแหลมที่ส่องประกาย   “ข้าจะฆ่าพวกเจ้าในฐานะของนักรบ”   สิ้นเสียงกล่าว   องครักษ์แห่งไฟโยนดาบไปที่กลุ่มกบฏ   อาวุธตรงหน้าก็เหมือนศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่ของพวกเขา   มือที่เริ่มสั่นเทายื่นออกไป   กำอาวุธที่ถูกหยิบยื่นให้โดยศัตรู   สั่นอย่างกล้าหาญแม้ความตายและความเจ็บปวดจะกำลังยิ้มให้พวกเขาอยู่  

          เส้นผมหยักศกสีขาว   ยามต้องน้ำฝนทอดยาวลงจนเกือบปิดบังดวงตาทั้งสองของมาร์เวท   มองเห็นอย่างชัดเจน   การจู่โจมโดยฉับพลันจากชายวัยกลางคนผู้พุ่งตัวเข้าหาเขาอย่างกล้าหาญ   ในขณะที่ที่เหลือต่างทำเพียงแค่มองมาเป็นตาเดียว   ดาบทั้งสองเล่มห้ำหั่นกันจนเกิดเสียงไม่พึงประสงค์   ชัดเจนมากว่ามาร์เวทรับเพลงดาบของอีกฝ่ายได้อย่างชำนาญ   มาราอาน   เธอรู้สึกถึงความผิดปกติที่แสดงออกบนใบหน้าของมาร์เวท   ไม่มีความสุขและกำลังอมทุกข์อย่างน่าประหลาด   ชัดเจนมากขึ้นเมื่อสมาชิกกลุ่มกบฏที่เหลือยื่นมือเข้าช่วยเพื่อน   เกิดเป็นการตะครุบเหยื่อจากรอบทิศ   และแม้ว่ามันจะไม่ทำให้มาร์เวทเสียเปรียบ   แต่ใบหน้านั้นกลับยิ่งดูเคร่งขรึม   คิ้วขมวดแน่น   แต่ละการฟาดฟันเสมือนการตั้งคำถาม   โหยหาการยอมรับ   สับสนในจุดมุ่งหมาย   ไม่เข้าใจการกระทำของผู้ต่อต้าน   มีแต่อารมณ์ที่สะท้อนอยู่ในเพลงดาบของชายผู้นั้น   จนเหมือนกับกำลังแสดงเพลงดาบโศก  

          เลือดสีแดงไหลริน   และหยดลงสู่พื้นสนาม   ผสมเข้ากับแอ่งน้ำขัง   นั่นไม่ใช่เลือดของพวกกบฏ   ไม่ใช่ของจักรพรรดิหนุ่ม   แต่เป็นเลือดของเจ้าของมือที่ปรากฏรอยแผลยาวที่ข้อมือจนถึงข้อแขน   มาราอาน   เธอกำลังยืนขวางทางระหว่างมาร์เวท   และชายกบฏวัยกลางคน   “ถอยไป”   มาร์เวทไม่แสดงออกว่าตกใจกับสิ่งที่เธอทำ   ออกจะดูเย็นชากว่าเดิมด้วยซ้ำ   เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ฟังคำสั่งอันเด็ดขาดของตน   เขากำสันดาบแน่นก่อนจะขยับข้อแขนเพื่อส่งแรงฟันอันมหาศาลออกไปข้างหน้าทว่า   ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่กำลังจดจ้องมองมาที่พวกเขา   ต่างต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างกะทันหันเพราะมาร์เวทคนนั้นกำลังถูกหญิงปริศนาสวมกอดเข้าอย่างจัง   แต่กลับไม่ทำให้เขารู้สึกเขินหรือมีอารมณ์ร่วมแต่อย่างใด   คมดาบแหลมเปลี่ยนทิศทางมาที่แผ่นหลังของหญิงปริศนา   แต่อยู่ๆก็ไม่ขยับตามใจหวังเพราะสัมผัสที่ไม่ใช่แค่ความอบอุ่นจากอ้อมกอด   แต่เริ่มรับรู้ถึงความเปียกชื้นที่ไม่ได้มาจากสายฝน   นี่เจ้ากำลังร้องไห้?   เพราะเหตุใดกัน?’  สายฝนหยุดลงอย่างไร้สัญญาณ   แสงสว่างจากบนฟากฟ้าอันไร้ก้อนเมฆสีหม่นส่องกระทบคนทั้งสอง   เสมือนเวทีละครที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ

          ความอบอุ่นของแผ่นหลังที่มือทาบลงไปคือของจริง   ไม่เหมือนที่วาดภาพเอาไว้   ชายคนนี้คือศัตรูของโลกใบนี้   เป็นคนที่ต้องถูกกำจัดอย่างงั้นหรือ?   อยู่ๆก็รู้สึกแปล๊บขึ้นที่แผลเหวอะบนแขนซ้าย   ทั้งที่ก่อนหน้าไม่ได้รู้สึกแบบนี้   โลหิตแดงยังคงไหลออกจากปากแผลอย่างต่อเนื่อง   อย่างกับฤทธิ์ของยาชาที่หมดไป   ความเจ็บปวดฉับพลันกระตุกทั้งร่างให้สั่น   ซึ่งอีกฝ่ายก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน   และโดยไม่ทันได้ตั้งคำถามอะไร   หอกสีดำนับร้อยพุ่งทะลุร่างกายของผู้ถูกสวมกอด   หัวโงนพับกลับมาข้างหลังอย่างไร้แรงพยุง   ร่างกายที่หมดสภาพจึงล้มตึงลงกับพื้นในทันที   ควันสีดำทะลักออกจากร่างกายที่นอนหมดสภาพกับพื้น   แขนซ้ายหลุดออกจากร่าง   ค่อยๆสลายกลายเป็นไอดำ   ความโกลาหลเริ่มขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา   ต่างคนต่างวิ่งหนีออกไปคนละทิศคนละทางอย่างชุลมุน   จะมีก็เพียงเซเลียเท่านั้นที่มีดวงตาเบิกกว้างโพลน   แต่ไม่ใช่เพราะตกใจกับความตายอันน่าสมเพชของจักรพรรดิหนุ่ม   แต่เป็นสิ่งสีดำที่มีลักษณะไม่ต่างจากลูกตุ้มหนามขนาดเท่าคนในท่าขดตัว   มันค่อยๆสลายไป   และปรากฏร่างของหญิงปริศนาคนนั้น   เธอล้มลงในท่าคุกเข่า   มือที่ยกขึ้นสั่นไม่หยุด  

          “เป็นฝีมือของเจ้าเองสินะ   กษัตริย์โอฟาโพฟ   ไม่สิ   จากนี้ไปเจ้าคือหัวหน้ากบฏ   และจะตายในฐานะนั้น”   เซเลียยกแขนเปล่าเพียงข้างเดียว   ชี้ออกไปที่ด้านหน้าของเจ้าของนาม   คมดาบที่เกิดจากออร่าสีดำบนมือข้างนั้น   ในยามที่แขนเคลื่อนไหว   ออร่านั้นยืดออกกลายเป็นดาบใหญ่ที่ฟันลงไปที่กลุ่มของโอฟาโพฟอย่างจัง   แต่กลับไม่ทะลวงเข้าไปในม่านกำแพงไร้สี   ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่ในเขตการคุ้มกันสีขาวก็ได้จางหายไปในทันใด   “.....”   เซเลียขมวดคิ้วแน่น   ใบหน้าแสดงออกอย่างไม่สบอารมณ์   “ท่านเซเลีย   โปรดช่วยเหลือฝ่าบาทด้วย!!”   องค์รักษ์คนสนิทของมาร์เวทกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสุดแสนเป็นกังวล      เซเลียเหลือบตามองร่างไร้วิญญาณของมาร์เวท   ก่อนจะเบิกตากว้างตาม   “เกิดบ้าอะไรขึ้น?!”    

 

          ณ   พระราชวังแห่งไฟ   บนเตียงหินลาวาที่วางร่างของบุรุษผมขาว   ตั้งแต่ส่วนคอลงมาถูกคลุมด้วยผ้าห่มสีแดงเข้ม   ลวดลายไม่ต่างจากผนังเนื้อสด   ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างเบามือ   แทบไม่สร้างเสียงรบกวนใดๆ   ร่างของหญิงสาวในชุดคลุมกายมิดชิดสีดำเดินมาหยุดที่ปลายเตียง   จ้องมองร่างที่กำลังหลับใหลอย่างไร้สติ   “ชั่งน่าแปลกจริงๆ”   ในใจเธอนั้นรู้ดีไม่ต่างจากองค์รักษ์คนสนิทของมาร์เวทว่าตัวของมาร์เวทนั้นไม่ใช่มนุษย์   ดังนั้นจึงมีพลังรักษาที่น่าทึ่ง   แต่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อนหน้า   ´ความลับคือพลังสีดำของแม่หญิงคนนั้นสินะ´   เธอหันเดินกลับไปที่ประตูห้อง   สัมผัสช่องว่างระหว่างบานประตูด้วยนิ้วชี้   อักขระสีดำไหลออกจากนิ้ว   หมุนวนเป็นกรงล้อสีดำก่อนจะหายไปในผิวไม้ของประตูก่อนจะผลักมันออก   แสงอีกฟากของประตูส่องแสงสว่าง   มีสิ่งก่อสร้างสีขาวขนาดใหญ่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเพียงลำพัง   “ทะ-ท่านเซเลีย!!!”   องครักษ์แสดงความเคารพ   อาการตกใจอยู่เพียงชั่วขณะเพราะเห็นเธอคนนี้ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าตรงหน้า   “พาข้าไปพบกับนักโทษไร้นามเดี๋ยวนี้”  

          ดวงตาสีม่วงหม่นมองผ่านลูกกรงเหล็กดำตรงหน้า   อีกฟากคือห้องที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง   แตกต่างจากห้องอื่นที่เธอเดินผ่านมาโดยสิ้นเชิง   “เจ้าชื่ออะไรรึ?   อ้อไม่สิ   ข้าลืมไปว่าเจ้านั้นพูดมิได้”   เซเลียกล่าวเองตอบเอง   “หากเป็นวันแรกๆ   ข้าคงสงสัยว่าทำไมที่นี่จึงเต็มไปด้วยแสงสว่าง”   เธอเดินทะลุผนังกำแพงเข้ามาราวกับไม่มีอะไรกั้น   “หรือจะเกี่ยวกับพลังที่เจ้ามี?”   เธอเอามือเปล่าสัมผัสที่ผิวไฟของเชิงเทียนอันใหม่   ไฟนั้นไม่มอดไหม้นิ้วมือของเธอ   เหมือนนิ้วเรียวทั้งห้านั้นคือสิ่งของต้านไฟยังไงยังงั้น   “แล้วถ้าเกิดว่าข้าทำให้เจ้าพบกับความมืดอีกครั้งล่ะ?”   เซเลียจ้องหน้าอีกฝ่าย   ดวงตาที่จ้องกลับมาของมาราอานทำให้เธอยิ่งรู้สึกสนใจ   เปลวไฟที่เธอกำลังเล่นด้วยมือเปล่าดับลงเพราะมือที่กำมันไว้   ตามมาด้วยไฟบนคบเพลิงอีกดวง   อีกดวง   และอีกดวงจนเหลือเพียงดวงสุดท้ายของเชิงเทียนที่ตั้งอยู่ใกล้กับมาราอานที่สุด   มาราอานหยิบเชิงเทียนนั้นขึ้น   หันหลังให้เซเลีย   เห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังสั่นเกรงอยู่   “น่าสนใจ   ข้าชักเริ่มอยากจะรู้แล้วว่าทำไมนังนั่นจึงสนใจเจ้ามากขนาดนี้   เพราะงั้นแล้ว”   มือที่ยืดออกไปข้างหน้าชะงักอยู่กับที่เพราะบรรยากาศที่เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน   เธอเหลือบตามองไปที่ด้านนอกรั้วเหล็ก   เห็นร่างสามร่างยืนหลบอยู่ตรงนั้น   ในเงามืด   และหนึ่งในนั้นเธอจำได้ชัดเจนว่านั่นคือ   “ฝ่าบาท?” 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.