ตอนที่ 51 ต่อสู้ตัดสิน!

สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)
คุณกำลังอ่าน: สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)

-A A +A

ตอนที่ 51 ต่อสู้ตัดสิน!

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 51 ต่อสู้ตัดสิน!

 

“พอแล้ว ไม่ต้องกล่าวอะไรไปมากกว่านี้” น้ำเสียงเบื่อหน่ายเอ่ยขึ้นมา หลงหยินที่นิ่งเงียบอยู่มาตลอดก็เริ่มกล่าว “ถึงแม้ว่าที่ประมุขหลินกล่าวจะไม่สมควร แต่เขาก็ไม่ได้มีเจตนาเลวร้ายอันใด ประมุขหลิน ท่านนั่งลงก่อน”

 

หลินเหยียนที่ตอนนี้แทบคลุ้มคลั่งด้วยความโกรธ จำต้องกดข่มระงับโทสะเอาไว้และนั่งลงอย่างหนักหน่วง สายตาเขาจ้องเขม็งติดตรึงอยู่ที่เย่หวูเฉิน ในใจคิดอยากโยนมันลงทะเลเพลิงแล้วเผาให้เป็นเถ้าธุลี

 

หลังจากกล่าวคำ หลงหยินไม่ได้มีสีหน้าโกรธเคืองแต่อย่างใด เขากลับยิ้มอย่างมีความสุขและกล่าว “ผู้เยาว์ของตะกูลเย่และตระกูลหลิน บุรุษหนุ่มทั้งสองผู้เปี่ยมพรสรรค์และฉลาดเลิศล้ำ วันหนึ่งย่อมต้องกลายเป็นเสาหลักค้ำจุนอาณาจักรเทียนหลงของเรา ข้าชื่นชมยินดียิ่งนัก! คำพูดของหวูเฉินนั้นถูกต้องใกล้เคียงกับความคิดของข้ามาก พวกเราชาวเทียนหลงไม่เคยเกรงกลัวอาณาจักรต้าฟง และพวกเราย่อมไม่รังแกผู้คนของอาณาจักรต้าฟงโดยไร้เหตุผล เพื่อไม่ให้อาณาจักรอื่นๆหัวเราะเยาะพวกเราได้ แต่ข้าเองก็คิดถึงความปลอดภัยของเทียนหลงเช่นเดียวกับหลินเสี่ยว  และพวกเราไม่อาจปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นโศกนาฏกรรม แต่ทั้งนี้ เป็นข้าเองที่กล่าวว่ากฎต้องเป็นกฎ และข้าไม่อาจกลับคำพูดของตนเองได้ ซึ่งนี่ทำให้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากจริงๆ”

 

ยามองค์จักรพรรดิกล่าววาจา ผู้คนโดยรอบต่างเงียบสงบ เย่หวูเฉินไม่ได้ตอบคำกลับ เขายังคงแสดงสีหน้าไร้เดียงสา ทั้งที่รู้ว่าคำ ‘ยากลำบาก’ ที่องค์จักรพรรดิกล่าวนั้นช่างไร้สาระ เขาสมควรคิดทำบางสิ่งบางอย่างไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว

 

“เช่นนั้นเอาแบบนี้เป็นอย่างไร ในเมื่อตอนนี้ทั้งเวลาและสถานที่ต่างเหมาะสม พวกเจ้าทั้งสองก็อยู่ที่นี่แล้ว สมควรใช้โอกาสนี้เปรียบทักษะฝีมือของพวกเจ้าทั้งสองคน และใช้การประลองนี้แทนการตัดสินว่าใครถูกหรือใครผิด และข้าจะตัดสินใจตามผู้ชนะ”

 

หลังได้ยินคำแนะนำของหลงหยิน ผู้คนโดยรอบยิ่งเงียบเสียงแปลกๆลงไปอีก ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำว่าเห็นด้วยแม้สักคน เพราะเห็นอยู่ชัดๆว่านี่มันไม่ยุติธรรม! กระทั่งคนตาบอดยังเห็นเลยว่าการตัดสินใจของหลงหยินเข้าข้างหลินเสี่ยวอย่างชัดเจน ไม่เพียงเปิดโอกาสให้หลินเสี่ยวเอาชนะได้อย่างสบาย องค์จักรพรรดิยังถือโอกาสนี้ฉีกหน้าเย่หวูเฉินและตระกูลเย่ทั้งตระกูล

 

นายน้อยเย่ไม่เพียงไร้วรยุทธ เขายังเป็นคนป่วยติดเตียงเมื่อก่อนหน้า ถึงแม้ตอนนี้ร่างกายของเขาจะหายดีแล้ว แต่เขาจะเป็นคู่มือของหลินเสี่ยวได้อย่างไร กระทั่งบางผู้คนที่ฝึกฝนวิชายุทธหรือวิชาเวทย์ยังแอบลอบส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย เนื่องจากร่างกายของเย่หวูเฉินไม่ปรากฎร่องรอยการไหลเวียนของพลังปราณใดๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่ทั้งผู้ฝึกยุทธหรือผู้ฝึกเวทย์

 

คิ้วของหลินเสี่ยวมุ่นลงเล็กน้อย เขากำลังขยับจะปฏิเสธ เนื่องจากตัวเขาเป็นผู้มีเกียรติและศักดิ์ศรี หากต้องมาสู้กับคนผู้ไร้ซึ่งพลังชื่อเสียงของเขาย่อมมัวหมองลง หากแต่ก่อนที่เขาจะได้กล่าวคำใด เย่หวูเฉินก็เอ่ยขึ้นมา “รับสั่งขององค์จักรพรรดิ หวูเฉินจะปฏิเสธไม่ยอมเชื่อฟังได้อย่างไร”

 

หลินเสี่ยวรีบถอนความคิดแล้วกล่าวตอบทันที “หลินเสี่ยวสมควรน้อมรับคำสั่ง”

 

ครั้งหนึ่งเขาเคยดูถูกนายน้อยเย่ผู้นี้ และไม่เคยมีความคิดสนใจอยากเจอตัวจริง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน หลังจากการโต้เถียงจุดยืนของเขากลับเสียเปรียบ แม้ว่าหลินเสี่ยวไม่ได้แสดงท่าทางตกตะลึง แต่ดูจากท่าทางผ่อนคลายของนายน้อยเย่ เขาไม่อาจห้ามความตื่นระวังในใจ ด้วยคำกล่าวตอบอย่างฉะฉาน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะเตรียมตัวมาก่อน? สังเกตจากลมหายใจของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนที่ปราศจากพลัง

 

ในทางกลับกัน คำตอบชัดถ้อยชัดคำของเย่หวูเฉินทำให้ผู้คนที่อยู่รายรอบส่งเสียงอื้ออึงขึ้นมาทันที หากแต่ไม่มีใครเชื่อว่าเย่หวูเฉินจะมีพลังเพียงพอที่จะเอาชนะหลินเสี่ยว บางคนก็ถอนหายใจ บางคนก็ลอบวิจารณ์

 

“ไม่นะ... อย่าปล่อยให้เฉินเอ๋อร์ต่อสู้กับเขา ไม่ต้องพูดถึงวรยุทธ แค่ฆ่ายุงตัวเดียวเฉินเอ๋อร์ยังทำไม่ได้เลย พวกเราจะทำอย่างไรถ้าเฉินเอ๋อร์บาดเจ็บ?” หวังเวิ่นชูยืนขึ้นอย่างกระวนกระวาย แต่เย่เว่ยดึงแขนนางให้นั่งลงและปลอบนาง “อย่ากังวลเลย สีหน้าของเขามีความมั่นใจ เห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว อีกทั้งจากสถานการณ์ในตอนนี้ หลินเสี่ยวย่อมไม่กล้าทำร้ายเขาจริงๆ”

 

หวังเวิ่นชูไม่อาจสงบจิตใจลงได้ นางหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ตะโกนออกไป ร่างกายนางกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด บุตรย่อมเป็นที่รักของมารดา หากเย่หวูเฉินได้รับบาดเจ็บใดๆ นางจะเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกมีดกรีดลงในหัวใจ

 

เย่เว่ยมองไปที่เย่หวูเฉินอย่างสงบ สำหรับผู้ที่ถูกผู้อาวุโสเทพกระบี่เลือกมาเป็นศิษย์ เขาจะไร้พลังเหมือนแค่ที่ตาเห็นได้อย่างไร? รอดูกันว่าสิ่งใดที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา

 

หลินขวงดีใจเป็นลิงโลดอยู่เป็นเวลานาน เห็นได้ชัดว่าหลงหยินอยู่ข้างพวกเขา เขาโน้มกายลงแล้วกล่าวปลอบด้วยสีหน้าเห็นใจ “ขุนพลชราเย่ อย่าห่วงเลย เสี่ยวเอ๋อร์ของข้าย่อมแสดงความเมตตาให้”

 

เย่หนู่แค่นเสียงเย็นชาดัง ‘ฮึ่ม’ และไม่สนใจเขาอีกต่อไป จิตวิญญาณข้างในของเขาลุกโชน แม้ภายนอกดูเหมือนผิวน้ำเรียบสงบก็ตาม แต่ทั้งวิญญาณภายในและความเยือกเย็นภายนอกเหมือนราวเผชิญกับกองกำลังศัตรู

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าเดาว่าเจ้าหนุ่มจากตระกูลเย่ผู้นี้คงไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ต่อแล้วกระมัง เขาเอาความกล้าจากไหนมาท้าทายว่าที่ลูกเขยข้า ว่าที่ลูกเขยข้าเพียงจิ้มนิ้วก้อยใส่เขาก็ตายแล้ว อุว๊ะ!! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

 

น้ำเสียงสนั่นดั่งสายฟ้าดังก้องไปทั่ว ทุกมุมต่างได้ยินอย่างชัดเจน ฮั่วเจิ้นเทียนสีหน้ารื่นรมณ์อย่างมาก ราวกับว่าการที่ได้เห็นว่าที่ลูกเขยแสดงฝีมือเป็นสิ่งที่น่าดูชมอย่างที่สุด ข้างๆเขาคือลูกสาว ฮั่วฉุ่ยโหรว นางกำลังกระซิบกล่าวใส่หูเขาเบาๆ “ท่านพ่อ... ลดเสียงท่านลงด้วย”

 

ฮั่วเจิ้นเทียนเอามือปิดปากในทันที จากนั้นหันมามองลูกสาวด้วยรอยยิ้มเขินอาย

 

สองบุรุษบนสนาม สีหน้าต่างปลอดโปร่งและสุขุม เล่งหยาลงมาจากเวทีมือกุมหน้าอกและนั่งอยู่ในพื้นที่ผู้เข้าแข่งขัน สีหน้าของเขายังคงเย็นชา ไม่มีใครสังเกตเขาเพราะยามนี้ตัวเขาไม่ใช่จุดสนใจอีกต่อไป ทุกสายตากำลังจับจ้องยังเย่หวูเฉิน เล่งหยาไม่หนีไปไหน ไม่ต้องกล่าวถึงยามนี้ที่เขาไม่อาจหนี ถึงแม้เขาจะหนีได้เขาก็จะไม่ไปไหน

 

หลินเหยียนมองเย่หวูเฉินยังคงไม่หายข้องใจ เขากล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ระหว่างการต่อสู้ กระบี่ล้วนไร้ดวงตา หากเกิดสิ่งไม่คาดฝันจงโทษที่ตนเองอ่อนด้อยอย่าได้ตำหนิใคร แม้ว่าพลาดพลั้งต้องพิการก็จะไม่มีการสืบสวนเอาความ”

 

กล่าวความเตือนถึงหลินเสี่ยวและเย่หวูเฉินทั้งสองคน  เย่หวูเฉินมุมปากยกยิ้มและจ้องมองไปที่หลินเสี่ยวพร้อมกล่าว “คุณชายหลิน ท่านเพิ่งใช้พลังกับการต่อสู้ที่ผ่านมา เพื่อความยุติธรรม ข้าจะสู้กับท่านโดยต้องไม่ใช้อาวุธ ท่านเห็นเป็นเช่นไร?”

 

เพียงกล่าวไม่กี่คำก็ทำให้ผู้คนสะท้านสะเทือนในทันที ชายหนุ่มส่วนใหญ่ต่างเอามือกุมท้องหัวเราะตัวขดตัวงอ ราวกับสิ่งที่ได้ยินคือเรื่องตลกที่สุดในโลก ฮั่วเจิ้นเทียนเองก็เป่าปากกล่าววาจาออกมา “เจ้าหนุ่มน้อยเย่คนนี้กลับก้าวร้าวยิ่งกว่าตาเฒ่าผู้นี้ น่าสนใจยิ่งนัก มารดามันเถอะ น่าสนใจยิ่งนัก”

 

“ท่านพ่อ....อย่าพูดคำหยาบคาย” ฮั่วฉุ่ยโหรวดึงเขาเล็กน้อยและเอ่ยเสียงเบาราวแมลง

 

ฮั่วเจิ้นเทียนหยุดปากเงียบทันที

 

“สมควรแล้วที่เป็นหลานชายของขุนพลชราเย่ น่าสนใจยิ่งนัก ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หลินขวงหน้าแดงก่ำหัวเราะโดยไม่มียั้ง

 

หลินเสี่ยวถูกทำให้ไขว้เขว เขายิ้มและส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็น ข้าเพียงใช้กำลังแค่เล็กน้อยไปเมื่อครู่ ตอนนี้พลังของข้ากลับคืนมาสมบูรณ์แล้ว คุณชายเย่เชิญแสดงฝีมือให้เต็มกำลัง ข้าอยากทราบว่าอาวุธชนิดใดที่ท่านเชี่ยวชาญ” กล่าวจบเขาก็ยกกระบี่ขึ้น  เตรียมต่อสู้ปะทะกับเย่วหวูเฉิน

 

“ตกลง ในเมื่อคุณชายหลินใช้กระบี่ เช่นนั้นข้าจะพัดของข้าเอง” เย่หวูเฉินสะบัดพัดในมือขวา พัดหยกหุบลงแล้วชี้ไปที่หลินเสี่ยว

 

“งั้นเรามาเริ่มกัน” หลินเสี่ยวไม่ต้องการปะทะคารมอีกต่อไป คมกระบี่ขยับเคลื่อน ส่งสัญญาณว่าเขาจะเริ่มลงมือ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.