ตอนที่ 20 สำนักจักรพรรดิใต้
ตอนที่ 20 สำนักจักรพรรดิใต้
ในห้องส่วนตัว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากสีสันส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย หลงเจิ้งหยางและเย่หวูเฉินนั่งตรงข้ามกัน หนิงเสวี่ยนั่งอยู่ข้างๆเย่หวูเฉิน นางแทบน้ำลายหกรดออกมาขณะมองของกินน่าอร่อยบนโต๊ะอาหาร บางครั้งนางก็แอบมองพี่ชายนางสลับไปมา ในแดนผนึกนางได้แต่ทานผลไม้และเนื้อย่าง ระหว่างที่เดินทางมายังเมืองเทียนหลง นางก็ได้ทานเพียงอาหารแห้งเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเมื่อนางเห็นอาหารเหล่านี้ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นางก็แทบอดใจเอาไว้ไม่อยู่
หลงเจิ้งหยางถือจอกสุราด้วยมือเบื้องหนึ่ง ส่วนอีกเบื้องหนึ่งถือไหสุรา เขาเทสุราเติมลงและกระดกดื่มอย่างต่อเนื่อง เขาเพียงเติมสุราให้ตนเองและไม่ได้ฝืนบังคับให้เย่หวูเฉินดื่ม ดูเหมือนเขาดื่มสุราเพื่อย้อมใจในความเศร้าโศก เย่หวูเฉินไม่กล่าวอะไร เขาเพียงหยิบชามของหนิงเสวี่ย ตักอาหารทุกอย่างใส่ชามจนเต็ม วางลงต่อหน้าหนิงเสวี่ยและกล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ รีบกินเถอะ”
“อื้ม...ข้าหิวมากเลย” หนิงเสวี่ยทนอยู่พักใหญ่ในที่สุดตอนนี้น้ำลายก็ไหลออกมา นางรีบจับตะเกียบแล้วลงมือกินอย่างมูมมาม
ดื่มสุราหมดไปอีกหนึ่งจอก สายตาของหลงเจิ้งหยางเริ่มพร่า เขาวางจอกสุรากระแทกลง และกล่าวขณะมึนเมา “น้องเย่ ข้ารักนาง เจ้าคิดว่าข้าถูกหรือผิด?”
“การชอบพอใครไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด” เย่หวูเฉินตอบ
“ไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด.... แต่ทำไมจักรพรรดิถึงต้องมาชมชอบนางด้วย!” หลงเจิ้งหยางกล่าวร้าวรานขณะบีบมือแน่นจนจอกสุราแทบแหลกคามือ
เย่หวูเฉินเติมกับข้าวให้หนิงเสวี่ยแล้วกล่าวเรียบเรื่อย “พี่หลง ท่านเมาแล้ว”
“เมา.... ข้าอยากเมาอยู่แล้ว อยากเมาตลอดไปเลยด้วยซ้ำ ยามเมาข้าลืมสิ้นทุกความกังวล ทุกครั้งที่พบนางข้าก็คิดว่าตัวเองพร้อม แต่พอได้เจอนางข้ากลับเพียงพบว่าตัวเองล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ห้าปีที่ฝึกบ่มจิตใจกลับไม่อาจลืมนางลง น้องเย่ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ด้วยความสามารถของเจ้า อย่าบอกนะว่าเจ้าเดาไม่ได้ว่าข้าคือใคร?”
เย่หวูเฉินหัวเราะ “ข้ารู้ว่าท่านคือใคร แต่อย่างไรก็ตามข้ามิใช่คนของโลกใบนี้ สถานะของท่านไร้ความสำคัญสำหรับข้า ไม่ว่าท่านจะเป็นรัชทายาทหรือชาวบ้านธรรมดา สิ่งเดียวที่ข้าต้องจำไว้ก็คือ ท่านช่วยชีวิตของข้ากับหนิงเสวี่ยไว้ อีกอย่างหนึ่งการเรียกท่านว่าองค์รัชทายาทนั้นยืดยาวและห่างเหินเกินไป เรียกท่านว่า ‘พี่หลง’ จะดูสนิทสนมคุ้นเคยมากกว่า”
หลงเจิ้งหยางหัวเราะ “หากเจ้าเป็นคนธรรมดา กล่าววาจาเช่นนี้ย่อมนับว่าสามหาว ทว่าเจ้าคู่ควรที่จะกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา.... เมื่อหลายปีก่อน เทพกระบี่ใช้พลังยิ่งใหญ่ช่วยเหลือเมืองเทียนหลงเอาไว้ทั้งหมด ต่อมาภายหลังเขาได้หายตัวไป ฝีมือของเขาล้ำเลิศจนโลกหล้าไม่อยู่ในสายตา กระทั่งพระบิดายังต้องเชื้อเชิญด้วยความเคารพถึงเจ็ดครั้งเพื่อจะได้พบเขา เจ้าเป็นทายาทแห่งเทพกระบี่ ในอนาคตเจ้าย่อมคู่ควรที่จะปกครองโลกหล้ากระทั่งทอดตามองราชตระกูลของพวกเรา”
เย่หวูเฉินยิ้มไม่กล่าวตอบ เขาล้วนเข้าใจดีถึงสถานะและเหตุผลของหลงเจิ้งหยาง ด้วยแหวนดำแห่งเทพกระบี่สวมอยู่บนนิ้วมือ ปู่หลงกับหลงเจิ้งหยางจึงเข้าใจว่าเขาคือทายาทแท้จริงแห่งเทพกระบี่ ชื่อเสียงของเทพกระบี่เป็นที่รู้ทั่วในทวีปเทียนเฉิน ตัวตนของเขาเป็นประดุจดั่งตำนาน แม้แต่ราชตระกูลยังไม่กล้ายั่วยุกระทั่งยังประจบเอาใจ
ดูเหมือนชายชราจะลอบมอบของขวัญชิ้นใหญ่เอาไว้ให้ เย่หวูเฉินครุ่นคิดอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตาม เรื่องอื้อฉาวของรัชทายาทผู้แอบหลงรักว่าที่พระชายาของจักรพรรดิ หลงเจิ้งหยางกลับเล่าเรื่องราวให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน ต่อให้เย่หวูเฉินไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นี้ แต่ตอนนี้เขาก็ถอนตัวไม่ทันแล้ว
หลงเจิ้งหยางเติมสุราลงในจอกแล้วกล่าวเรื่อยเปื่อย “น้องเย่ ถ้าหากเจ้าเป็นข้า เจ้าจะทำเช่นใด?”
คำถามนี้หากเป็นคนฉลาดย่อมไม่ตอบในทันที เพราะผลลัพท์ที่พัวพันกับเรื่องอื้อฉาวระหว่างจักรพรรดิและรัชทายาทย่อมร้ายแรงอย่างที่สุด เย่หวูเฉินมองเขาแล้วกล่าวช้าๆ “เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านจะยอมแพ้และไม่พบกับนางอีก?”
“ข้าใช้เวลาห้าปีบ่มจิตใจ ทว่าไม่อาจลืมนางได้แม้เพียงนิด ข้าจึงรู้ว่าชั่วชีวิตนี้ข้าไม่อาจลืมนางได้ลง หากว่าข้ายอมแพ้ ข้าย่อมต้องเสียใจไปชั่วชีวิต” หลงเจิ้งหยางส่ายศีรษะ
“หากท่านตัดสินใจไว้แล้ว เช่นนั้นก็จงประชันกับพระบิดาและต่อสู้เพื่อนาง”
หลงเจิ้งหยางชะงักนิ่งไป มุมปากย่นตกลง เขาถอนหายใจและกล่าว “นางคือว่าที่ชายาของพระบิดา กับนางข้าจึงไม่สมควรมีใจให้ หากข้าท้าทายประชันกับพระบิดา... ย่อมเท่ากับเป็นกบฏทั้งเป็นบาปมหันต์ ยิ่งกว่านั้น ข้าจะเอาความสามารถจากไหนมาช่วงชิงนางจากจักรพรรดิ”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านยอมเสียใจชั่วชีวิตดีกว่ายอมผิดบาปและต่อสู้เพื่อสตรีที่หมายปองอย่างนั้นหรือ? พี่หลง...ท่านจงเลือกเอาเอง ข้าเป็นเพียงแค่คนนอกเท่านั้น”
เย่หวูเฉินสร้างเงื่อนไขด้วยมือเปล่าแต่ไม่กล่าวตัดสินใดๆ เขาหยิบจอกสุรายกขึ้นจิบเล็กน้อยและต้องขมวดคิ้วเบาๆ หลงเจิ้งหยางสั่งสุราชั้นดีที่สุดในร้าน แต่สุรานี้กลับไม่อาจเทียบได้กับรสสุราในความทรงจำ เย่หวูเฉินวางจอกสุราลงและคิดอยู่เงียบงัน “เมืองเทียนหลงแห่งนี้เทียบได้กับหัวเซี่ยเมื่อพันปีก่อน ปราศจากวิทยาการ กระทั่งวิธีกลั่นสุรายังทำให้เสียของได้ถึงเพียงนี้”
หลงเจิ้งหยางเงียบอยู่เนิ่นนาน เย่หวูเฉินเติมสุราลงจอกในมือแล้วถาม “เทพธิดาปานใด ถึงทำให้พี่หลง หลงใหลได้ถึงเพียงนี้? ไม่ทราบว่าเป็นสตรีคนใดที่ได้รับวาสนา”
หลงเจิ้งหยางผู้กังวลยกจอกสุราขึ้น ทว่าเขาไม่ได้ดื่มหากแต่ยิ้มด้วยดวงตาประกายใส จากนั้นเขาวางจอกสุราลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “นานกี่ปีแล้วที่ข้าไม่ได้เจอผู้สุขุมและซื่อตรง คนอื่นเหล่านั้นเพียงกล่าวประจบหรือไม่กล้ากล่าวขัดใจ ข้าปรารถนามาตลอดว่าอยากมีพี่น้องที่คุยกันได้ทุกสิ่งเหมือนสหาย” เขาพลันยิ้มแล้วกล่าว “เรื่องราวนี้น่าสิ้นหวังอย่างแท้จริง ภายใต้ผืนพรมฉากหน้าอันดีงามของราชตระกูล”
เย่หวูเฉินยกยิ้มเล็กน้อยขณะคิดในใจ เพราะว่าเจ้าเกิดในราชตระกูลยังไงเล่าจึงสามารถกล่าววาจาเช่นนี้ได้ ลองวันหนึ่งเจ้าเป็นคนธรรมดา มีหรือเจ้าจะกล้าพูดเช่นนี้อยู่อีก
“สตรีผู้นั้น... นางราวกับเทพธิดาแห่งตระกูลสูงส่ง ข้าพบสตรีงดงามมามากทว่าเมื่อได้พบนาง ข้ารู้ทันทีว่าสตรีทุกคนไม่อาจเทียบกับนางได้ ห้าปีก่อนข้าได้พบนางคราแรกและความงามนางทำให้ข้าต้องครั่นคร้าม วันนั้นเป็นวันแรกที่นางมาเยือนยังเมืองเทียนหลง ในตอนนั้นนางอายุ 17 ปี นางเดินทางมาพร้อมผู้นำตระกูลแห่งสำนักจักรพรรดิใต้เพื่อมาเยี่ยมเยียนจักรพรรดิ พระบิดาล้วนมีอาการไม่แตกต่างไปจากข้า เขาแทบไร้ลังเลขณะเอ่ยปากขอสำนักจักรพรรดิใต้ให้ยกนางให้ในฐานะพระชายา ผู้นำตระกูลตกลงทว่ามีการกำหนดเงื่อนไขเวลา นั่นคือนางต้องอายุครบ 25 ปี จึงจะสามารถเข้าสู่ราชวัง ในระหว่างนี้นางจะอาศัยอยู่ในเมืองเทียนหลง และห้ามผู้ใดเข้ามาก้าวก่ายนาง”
“สำนักจักรพรรดิใต้?” เย่หวูเฉินหัวใจเริ่มเต้นระส่ำเมื่อได้ยินคำว่า ‘จักรพรรดิใต้’ อีกครั้ง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 295
แสดงความคิดเห็น