STARCIN ภาคที่ 3 Yan Festival ตอนที่ 18 ย้ายที่
หลายชั่วโมงข้ามผ่านช่วงเวลาอันวุ่นวายภายในเมืองยานที่มีพวกสมุนจากกองโจรลอบเข้ามาจำนวนมากทำเอาทหารยามและกลุ่มคิวเทวิ่งกันหัวปั่นแต่แท้จริงแล้วพวกกองโจรไม่ได้ส่งมามากขนาดนั้นมีใครบางคนคอยปั่นป่วนเมืองอยู่อีกคน
"นายไปทางประตูแม่น้ำ ส่วนนายไปทางคลังเสบียง" ซึฮากิยืนชี้นิ้วสั่งร่างโคลนของตนที่แปลงกายเป็นหนึ่งในพวกกองโจร
เป็นจังหวะที่เหมาะอะไรแบบนี้ใครจะคิดว่ามีพวกโจรเข้ามาปล้นพอดีพวกมันช่วยลดความเสี่ยงของแผนไปได้มากเลยทีเดียว แต่ทำไมพวกคานะถึงยังไม่ออกมาสักทีนะนี่มันก็ผ่านไปเกือบแปดชั่วโมงแล้วหรือจะพลาดท่าโดนจับได้
"รายงานหน่วยของพัศดีเบ็นมุ่งตรงไปยังประตูฝั่งแม่น้ำหลังจากเข้าปะทะทางเราก็ได้สังเกตการณ์ความสามารถของเขามาแล้ว พัศดีเบ็นมีเลเวลมากกว่าหกอย่างแน่นอนความสามารถในการตรวจจับศัตรูที่อยู่ไกลออกไปสูงมากแถมการจะหนีให้รอดพ้นก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน ซึ่งสามารถของเวทมนตร์คือดิน จุดเด่นของเขาคือถึกทน รุนแรง" หนึ่งในร่างโคลนของซึฮากิกลับมาจากการเป็นตัวล่อเพื่อมาบอกข้อมูลต่าง ๆ
"ทำได้ดีงั้นนายก็ไปพักก่อนแล้วกัน" ทันทีที่ซึฮากิยกมือขึ้นผายไปหาร่างโคลนมันก็สลายกลายเป็นควันสีดำแทน
ในเมืองนี้มีแค่กุสตาฟกับพัศดีเบ็นที่เลเวลสูงกว่าเรายังไงก็ต้องรีบช่วยนาธาออกมาและดำเนินตามแผนเก่าให้ไวก่อนที่จะมีเรื่องผิดแปลกไป อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้วสินะถึงจะไม่ได้ดูนาฬิกาแต่ก็พอจะใช้สัญชาตญาณเดา ๆ ได้อยู่
เขาเอนหลังพิงกำแพงห้องท่าทางง่วงนอนเป็นอย่างมากจนตาจะปิดอยู่แล้ว จนเขาได้เผลอหลับไปและตื่นขึ้นมาในที่ที่ตัวเองคุ้นเคยที่นั่นก็คือบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแต่กลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน
"นี่คงเป็นบ้านที่นายอยู่มานานที่สุดสินะ" เสียงเด็กสาวตัวน้อยคนเดิมพูดมาจากข้างหลังของเขา
"เฮ้อ...อีกแล้วเหรอ" ซึฮากิถึงกับถอนหายใจเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเช่นนี้
"อีกแล้วอะไรเล่าแค่อยากจะคุยด้วยเฉย ๆ เองอีกอย่างนะกิจัง เมื่อไหร่พลังเดอะของนายจะตื่นสักทีเนี่ย" มือเล็ก ๆ คู่นั้นสอดเข้ามาที่ช่วงเอวโอบตัวซึฮากิไว้ก่อนที่จะถูกสลัดออก
"ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นใคร ผู้มีพลังเดอะอีกคน ? พระเจ้า ? หรือแค่เพื่อนในจินตนาการกันแน่ ? ไม่รู้สิความจำในหัวก็เริ่มลืมเลือนเรื่องที่โลกเก่าไปแล้วอะไรที่ไม่สำคัญก็ทิ้งมันไปทันที ฉันไม่รู้เลยว่าจะกลับไปโลกเดิมได้อีกไหมที่โน่นจะเป็นอะไรไหมตอนที่พวกเราถูกเรียกมายังโลกนี้ก็มีแต่คำถามมากมายที่ไม่รู้จะหาคำตอบจากไหน" ขณะที่ซึฮากิเหมือนจะอยากพูดทุกสิ่งที่เก็บไว้ออกมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากหญิงสาวตัวน้อย
"ดี...ดี...พูดมันออกมาซะ ดูเหมือนจะเริ่มหมดความอดทนกับการที่ต้องดิ้นรนแล้วสินะไหนจะต้องคอยฝึกฝน ฝึกซ้อม ระแวดระวัง คิดว่าหาทางหนีเพื่อให้เพื่อน ๆ รอดออกไป คงจะเหนื่อยสิท่าฮ่าฮ่าฮ่า" ผิวกายเนียนเรียบสีขาวพร่องเดินวนรอบตัวของซึฮากิเงยหน้าขึ้นชายตามองชายผู้น่าสงสารคนหนึ่ง
"เพราะรู้อยู่แล้วว่าเจอเธอเมื่อไหร่แสดงว่าจะอยู่ในสถานที่ว่างเปล่าไม่มีใครอื่นอยู่ด้วยเหมาะกับการพูดระบายเพื่อลดอาการเครียดสะสมออกซะ" ซึฮากิเดินไปทั่วบ้านมองดูย้อนนึกถึงวันความหลังที่เคยได้สนุกกับเด็ก ๆ ในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า
"โถ่นึกว่าจะได้เห็นอะไรสนุกสักหน่อยแต่ก็ดันทำหน้าบึ้งตึงอยู่นั่นแหละ ถ้ารับของขวัญจากฉันไปนายก็ไม่เห็นต้องมาลำบากแบบนี้แล้วแท้ ๆ" เธอวิ่งเข้าขวางทางเดินพร้อมทั้งยื่นมือที่กำบางสิ่งบางอย่างไว้
"ไม่ล่ะฉันยังไม่ไว้ใจเธอและไม่มีเหตุผลที่ต้องเชื่อใจด้วย" ซึฮากิเดินแหวกทางไปทำเป็นไม่สนใจแม่หนูน้อยนั่น
"ที่นี่คงเอามาจากความทรงจำของฉันสินะทั้งที่ก่อนหน้านี้มักจะพาไปที่ที่ไม่รู้จัก" ซึฮากิหยิบกรอบรูปขึ้นมาดูใบหน้ายิ้มแย้มของเด็ก ๆ
"ตอนเด็ก ๆ ก็ดูน่ารักดีนี่แถมยิ้มกว้างเชียว" แม่หนูน้อยยื่นหน้าแทรกเข้ามาดูรูปถ่ายพร้อมกับเลียนแบบรอยยิ้มของซึฮากิวัยเยาว์ในรูปนั้นด้วย
"เหอะ..." เขาโยนกรอบรูปนั่นทิ้งลงพื้นทำกระจกที่คอยปกป้องน้ำกันฝุ่นแตกเป็นชิ้น ๆ
"ส่งฉันกลับไปได้แล้ว" เสียงอันเฉยชาที่เหมือนกับเบื่อขี้หน้าหญิงสาวคนนี้มากเต็มทนแล้ว
"แหม่ ๆ ทำเป็นเข้มนะเรา...ก็ได้ ๆ ฉันจะส่งกลับไปอีกไม่นานพวกมันคงจะเริ่มก่อเหตุหนักขึ้น ใช้ประชาชนมากมายที่อยู่ในเมืองเป็นเหมือนเครื่องมือแล้วบุกยึด"
"เธอว่ายังไงนะเมื่อกี้"
"บายบาย" รอยยิ้มสุดท้ายของเธอได้เลือนจางไปก่อนที่ซึฮากิจะได้คำตอบอะไร
เมื่อกี้เจ้านั่นพูดถึงเรื่องแปลก ๆ ใครจะบุกยึดเมืองกันนะแล้วทำไมถึงกล้าทำอะไรสุ่มเสี่ยงแบบนั้นอีกทั้งทหารภายในเมืองก็เยอะพอที่จะต่อกรได้อยู่แล้วหรือมีแผนอะไรกันแน่ ซึฮากิลุกพรวดพราดหลบไปอีกด้านของห้องทันทีที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวขึ้นมาบนหลังคาใกล้ ๆ
"ร-รายงาน" ร่างโคลนอันสะบักสะบอมที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง
"ในป่ามีแวมไพร์อยู่ ค-คาดว่าน่าจะเป็นผู้นำของพวกโจร" ซึฮากิเข้าประชิดตัวมองดูรอยแผลเหวอะจำนวนมากยากต่อการรักษา
"มันใช้พลังแบบไหน ?"
"ล-ลม..." ทันทีที่พูดจบเขาก็สิ้นใจไร้การตอบโต้
"ลมอย่างงั้นเหรอ ? แต่ไม่คิดเลยว่าร่างโคลนตัวนี้จะกระเสือกกระสนหนีรอดกลับมาตั้งไกลได้ทั้ง ๆ ที่มีแผลฉกรรจ์เต็มตัวขนาดนี้ ถึงบางครั้งนิสัยจะเหมือนตัวร่างต้นมากไปหน่อยแต่ก็ทำตามคำสั่งที่มอบหมายให้ถึงที่สุดสินะ" ซึฮากิทำให้ร่างโคลนตัวนั้นสลายกลายเป็นควันหายไปเหลือเพียงรอยเลือดที่อยู่ตามทาง
"เดี๋ยวนะทำไมเลือดพวกนี้ถึงไม่หายไปด้วยล่ะ ?" ซึฮากิเดินไล่ไปตามทางเพื่อดูให้แน่ใจ
อย่าบอกนะว่าเป็นเลือดของคนอื่นที่ติดตัวมาตอนปะทะกัน
ขณะเดียวกันภายในป่าใหญ่ที่อยู่ของพวกกองโจรซึ่งกำลังวุ่นวายกับอาการบาดเจ็บของวาล รอยของมีคมปาดลึกหลายเซนถ้าไม่ใช่เวทรักษาเลือดคงไม่หยุดง่าย ๆ
"ท่านวาลใครมันกล้าบุกเข้ามาในถิ่นของเรา" ชาคพูดเสียงสั่นลุกลี้ลุกลนอย่างกับวาลจะตาย
"ใครมันเฝ้ายามภาษาอะไรทำให้ท่านวาลต้องบาดเจ็บ รู้ ๆ กันอยู่ว่าท่านต้องการการพักผ่อนมากแค่ไหนเพื่อฟื้นพลัง" เสียงดังตะคอกจากชาคที่ทำเอาลูกน้องทั้งหลายตัวสั่นไม่กล้าแม้แต่จะเถียงสักคำ
"เราต้องขออภัยจริง ๆ ครับยามที่เฝ้ารอบ ๆ ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติเลยจนกระทั่งท่านวาลเป็นคนที่หามันเจอและเข้าปะทะกัน ตอนรู้เรื่องพวกเราก็รีบมาเลยนะครับ"
"แล้วไง ? ท่านวาลถูกทำร้ายแถมเจ้านั่นยังหนีไปได้อีก" คำพูดของชาคยังคงดังลั่นไปทั่วป่าจนฝูงนกที่เกาะอยู่ตามต้นไม้บินหนีไป
"พอแล้วน่าชาคที่พวกเขารับรู้ถึงตัวตนของมันไม่ได้ก็เพราะไม่มีสกิลตรวจจับน่ะสิอีกทั้งความสามารถของมันก็สูงจนน่าตกใจขณะที่มีเลเวลแค่หกเอง"
"เลเวลหกเหรอครับ" ชาคถึงกับตกใจเมื่อได้ยิน
"ใช่...มันมีเลเวลแค่หกเท่านั้นแถมยังใช้เวทลมเหมือนกับฉันอีกต่างหาก"
"เป็นไปได้เหรอครับที่เจ้านั่นจะสร้างบาดแผลให้กับท่านวาลได้ทั้งที่เลเวลห่างกันตั้งสอง"
วาลเปิดบาดแผลตรงช่วงสีข้างให้พวกชาคได้เห็นเต็มสองตา
"ตอนแรกฉันเองก็คิดว่าเลเวลแค่หกคงไม่ต้องกังวลอะไรแต่แล้วก็เพราะความประมาททำให้ได้แผลนี้มานั่นแหละ" วาลลุกขึ้นยืนเดินตรงไปหาเหล่าลูกน้องที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าลงพื้น
"จงเงยหน้าขึ้นและจำเอาไว้เป็นตัวอย่าง เลเวลไม่ใช่ตัวตัดสินแพ้ชนะแต่เป็นศักยภาพซึ่งแต่ละคนนั้นซึ่งสามารถเป็นและก้าวไปได้มากกว่าเลเวลเยอะ ขณะที่ตัวฉันซัดเวทใบดาบลมใส่อย่างมั่นอกมั่นใจแต่เจ้านั้นกลับใช้เวทประทับโจมตีหลอกหวังจะฆ่าฉัน หากเลเวลหรือสเตตัสเท่ากันป่านนี้คงไม่มีวาลอีกต่อไป"
"แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกคนในเมืองไม่นิ่งนอนใจและแค่คนเดียวยังสามารถทำได้ถึงขนาดนี้คิดดูสิถ้ามันได้ข้อมูลแหล่งอาหาร สถานที่พักอาศัยและเส้นทางไปทั้งหมดฝ่ายที่จะเสียเปรียบกลับเป็นเราเสียเอง เพราะฉะนั้นภายในสองวันนี้หลังจากที่กองกำลังจากดันเจี้ยนกลับมาเมื่อไหร่เราจะบุกยึดเมืองยานก่อนที่พวกมันจะเตรียมคนบุกมา ถึงแม้จริง ๆ แล้วอยากจะรีบไปจัดการตอนนี้เลยด้วยซ้ำแต่จำนวนแค่หนึ่งร้อยคนคงจะมีแต่เสียเวลาและผู้คนไปเปล่า ๆ" เสียงของวาลดังก้องกังวานปลุกขวัญกำลังใจให้ลุกขึ้นสู้
"ท่านวาลครับอย่าลืมเรื่องพวกพ่อค้าแม่ค้าที่เราจับไว้ด้วยนะครับ พวกมันอาจจะเป็นตัวประกันเพื่อใช้ต่อรองหรือทำประโยชน์อะไรได้อยู่" ชาคเดินไปที่กรงขนาดใหญ่ที่มีคนเฝ้ายามอยู่ตลอดเวลา พ่อค้าแม่ค้าหลายคนที่ชุดดูหรูหราแต่ตอนนี้มันกลับเละเทะเต็มไปด้วยรอยแผลเฆี่ยนตี
"ฉันพอจะจำเธอได้อยู่นะลูกของคนมีเงินที่กว้านซื้อดันเจี้ยนใหม่ ๆ เพื่อเก็บเกี่ยวระยะยาว...ดีน่า" แม่สาวผมสีทองผู้เคยใช้เงินอย่างกับเป็นเศษเหรียญโดยปกติมักจะยิ้มร่าเริงอยู่ตลอดแต่กลับซึมเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
"ได้ยินฉันไหมดีน่าอีกไม่กี่วันพ่อของเธอก็จะเอาของดี ๆ มาให้จากจดหมายที่เธอเขียน ยิ่งคนรวยมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งหาของได้มากขึ้นเท่านั้น" ชาคถีบกรงเหล็กตรงจุดที่เธอนั่งอยู่ดูอดอะไรตายยากไม่สนใจชาคเลยสักนิด
"เหอะ...เอายานั่นให้พวกมันหรือยัง ?"
"ยังครับเวลาให้อีกทีคือตอนพระอาทิตย์ขึ้น" คนเฝ้ายามตอบกลับ
"ดี...ยังไงพวกมันก็ไม่มีทางขัดขืนเราได้อยู่แล้วในเมื่อทุกอย่างมาอยู่ในกำมือจะฆ่าให้ตายหรือต้มยำทำแกงอะไรก็ได้ทั้งนั้นแต่ไม่ดีกว่าใช่ไหมท่านวาล ?"
"ใช่...เรามีเรื่องที่ต้องทำมากกว่าแค่หาความสุขจากพวกมัน ถ้าฉันได้พลังจากแก่นของดันเจี้ยนที่มีพวกดาวฤกษ์มฆาเป็นผู้ปกครองก็จะสามารถเติมเต็มพลังดังเดิมที่เสียไปได้" วาลกล่าวอย่างมีความหวังนึกถึงวันวานที่ตนเองยังคงแข็งแกร่งอยู่
"ทำไมถึงต้องเฉพาะเจาะจงแบบนั้นด้วยล่ะครับ" ชาคเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะที่เดินวนดูผู้คนที่ถูกจับขังไว้
"เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้บอกใบ้ถึงหนทางนี้ไว้ ไม่ว่าจะเผ่าพันธ์ไหนก็มีโอกาสได้พบกับท่านทั้งนั้นใครก็ตามที่ทำได้อย่างที่พระองค์ทรงชี้แนะก็ย่อมประสบผลสำเร็จแต่การจะพบพวกดาวฤกษ์มฆานั้นช่างเย็นนัก ในบันทึกและหนังสือมากมายที่ได้อ่านมาก็พบเพียงหนึ่งคนเท่านั้นเหลืออีกตั้งสี่คน"
"ถึงผมจะไม่ชอบอ่านหนังสือก็เถอะแต่เรื่องราชาดันเจี้ยนที่เรียกว่าดาวฤกษ์มฆาแทบจะไม่เคยได้ยินคนพูดถึงกันเลย"
"ก็ไม่แปลกหรอกเพราะคนทั่วไปคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นหรือใช้เรียกกันเล่น ๆ จนไม่ได้รู้ถึงความน่ากลัวของพวกมันทั้งห้าคน กล่าวกันว่าพวกเขาเป็นผู้ทรงปัญญาบ้างก็ว่าเป็นครึ่งเทพที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้คอยสังเกตสตาร์คินแต่ก็ไม่มีใครรู้ถึงตัวตนจริง ๆ สักที" วาลเหม่อมองท้องฟ้าเหนือต้นไม้สูงที่มีสายลมพัดใบไม้ที่ร่วงหล่นปลิวไปเรื่อย
"ฮัดเช้ย !" เสียงจามดังสนั่นจากเมฆาเผ่ามนุษย์ลิงที่คอยปกป้องผู้คนภายในเมืองท่าแห่งนั้น
อากาศมันหนาวหรือยังไงเนี่ย ไอ้เราก็ชินความหนาวเย็นอยู่แล้วแท้ ๆ ตั้งแต่เมื่อตอนที่เป็นนักเดินทาง ลิงเมฆาชูหางขึ้นมาตรงหน้าลูบไล้มองดูขนเตียน ๆ สีน้ำตาลที่สะอาดสะอ้านกว่าตอนที่พบกับพวกเซนครั้งแรกเป็นไหน ๆ
เดี๋ยวก็คงจะเช้าแล้วสินะลงไปดูพวกคิโนริสักหน่อยดีกว่า หลังจากนั้นไม่นานพระอาทิตย์ก็ขึ้นส่องสว่างปลุกเหล่าชาวบ้านชาวเมืองจากการหลับใหล
"เด็ก ๆ วันนี้อยากกินอะไรกันจ้ะ ?" ภรรยาของพอลที่เตรียมตัวเปิดร้านอาหารกำลังต้มหม้อซุปขนาดใหญ่อยู่ เหล่าเด็กตัวน้อยทั้งหกคนที่ตื่นบ้างแต่บางคนก็ยังนอนต่อไม่ยอมลุกออกจากเตียง
"อะไรก็ได้ค่ะ !" เสียงตอบกลับดูร่าเริงมีชีวิตชีวาจากคิโนริก่อนที่เธอจะเดินไปรอบ ๆ ครัวช่วยภรรยาของพอลทำงานครัว ทั้งหั่นผัก แล่เนื้อ ลวกเส้นเตรียมไว้ เธอทำได้อย่างชำนาญเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว
"ตื่นกันได้แล้วน่ามา ๆ เดี๋ยวสอนว่าต้องทำอะไรมั้ง" เด็กคนอื่นก็พยายามจะช่วยเช่นกันแต่ก็ทำพลาดบ้าง เละบ้างดูสนุกสนานกันโดยที่พวกพอลก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังจะเล่นสนุกไปด้วยอีก
"ไปฝึกกันต่อเถอะพวกเรา !" หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จเก็บล้างเรียบร้อยก็พากันไปที่โล่ง ๆ เกือบจะนอกเมืองที่ที่พวกเธอใช้ฝึกซ้อมกันประจำ
ใช่แน่ ๆ ยิ่งดูก็ยิ่งมั่นใจ เผ่าของคิโนริก็คือเผ่าจิ้งจอกไม่ใช่หมาป่าแถมความสามารถในการควบคุมไฟของเธอก็ยังสูงมากเมื่อเทียบกับเลเวล ให้ความรู้สึกเหมือนเขาเลยนะเนี่ยแต่ก็นะ...ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นตายร้ายดีแค่ไหนหรือจะแก่เป็นคุณปู่ไปแล้ว
"ย๊าก !" บอลไฟสามลูกที่คิโนริโยนมันขึ้นไปบนท้องฟ้าย้อยลงไปตกที่ตุ๊กตาไม้พอดิบพอดี ไฟของเธอกำลังลุกไหม้หุ่นซ้อมเป็นรอยดำ ๆ
"ฮ่าฮ่าฮ่าฉันเก่งใช่ไหมล่ะ"
"เก่งมากเลยคิโนริเธอทำได้ยังไงใช้เวลาฝึกแค่ไม่กี่อาทิตย์เอง" หลานหญิงสาวมนุษย์เผ่าหมีมองดูด้วยความตื่นตาตื่นใจอยากจะทำได้อย่างงี้บ้าง
"โถ่ฉันเองก็ทำได้นะ" เอกระโดดสะบัดหางสร้างใบมีดลมขนาดเล็กตัดคอของหุ่นซ้อมต่อหน้าต่อตาเพื่อน ๆ
"พวกเด็ก ๆ นี้พลังงานเหลือล้นจริง ๆ ทำอะไรก็ดูน่าสนุกไปซะหมดว่างั้นไหมมังกี้" ลิงเมฆาเอ่ยถามมังกี้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน
"นั้นสิฉันเองอายุก็เริ่มเยอะแล้วถึงจะพยายามทำตัวให้ดูร่าเริงแต่สังขารก็ทำให้อ่อนแรงลง" มังกี้ตอบกลับด้วยท่าทางซึม ๆ
"ฮ่าฮ่าฮ่าอย่าพูดเหมือนเป็นยายแก่ไปแล้วสิยังไงพวกเราก็มีอายุมากกว่ามนุษย์ทั่ว ๆ ไปอยู่แล้วไม่แก่ง่าย ๆ หรอก" หลังจากสิ้นเสียงจากลิงเมฆาบรรยากาศก็ดูจะเปลี่ยนไปความตึงเครียด กดดันและจริงจังโถมเข้ามาแทนที่
"พ่อแม่คิโนริไปอยู่ไหน ? เท่าที่จำได้ตอนอยู่ที่หมู่บ้านแม้จะมองดูศพมากมายที่นอนเกลื่อนแล้วก็ตามแต่ไม่มีเผ่าจิ้งจอกอยู่เลยสักคน" ลิงเมฆาหันหน้าเข้าหาจ้องตาเขม็ง
"เธอรู้แล้วสินะว่าคิโนริไม่ใช่เผ่าหมาป่า" เมื่อมังกี้ตอบกลับลิงเมฆาก็พยักหน้า
"ก่อนที่จะมาสร้างหมู่บ้านช่วงที่พวกเรายังเป็นกลุ่มเร่ร่อนเดินทางหาที่ซุกหัวนอนไปเรื่อย และพ่อแม่ของคิโนริก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมขบวนเดินทาง พวกเราตอนที่มีสมาชิกแค่สิบกว่าคนได้หาทางที่จะหนีไปยังอาณาจักรอาฟทางทะเลแต่เมื่อเรือของพวกเราได้นำลงจอดที่ชายหาดพวกมนุษย์เงือกก็ไม่พอใจบุกมาพังเรือกับข้าวของเละเทะบอกว่าเขตนี้ไม่ได้อยู่ในสัญญาล่องเรือ ซึ่งถ้าพวกเราจะข้ามด้วยเรือก็ต้องใช้เส้นทางเดียวกับพวกพ่อค้า ทหารหรือสำหรับคนทั่ว ๆ ไปและแน่นอนว่าทำไม่ได้"
"ถึงขั้นมีการแบ่งเขตการล่องเรือกันแล้วเหรอ ? สมัยก่อนไม่มีอะไรแบบนี้เลยแท้ ๆ" มังกี้พูดต่อทันทีที่มังกี้หยุด
"ตอนนี้มันหนักกว่าเก่าอีกเพราะพวกคนบนบกถูกห้ามการสัญจรหรือกิจกรรมทุกอย่างที่ใช้พื้นท้องทะเลจนเกือบจะเกิดสงครามกันแล้ว"
"ให้ตายสิไอ้เจ้าพวกนั้นคงบ้าอำนาจกันน่าดู" หลังจากที่ลิงเมฆาปล่อยเงียบไปเป็นสัญญาณให้มังกี้ได้เล่าเรื่องพ่อแม่ของคิโนริต่อ
"พวกเราที่ไม่อาจหนีไปทางทะเลได้ก็จำใจลองแอบลักลอบไปกับพวกเรือส่งสินค้าแต่ก็ถูกจับได้จนหนีตายกันอยู่หลายเดือน หลังจากคิดหาทางอยู่นานก็ตัดสินใจหาที่ตั้งรกรากในป่าลึกแทนคอยช่วยเหลือมนุษย์สัตว์ที่หลบหนีหรือถูกจับเป็นทาสตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา จนพ่อแม่ของคิโนริและคนที่มีเลเวลสูง ๆ หลายคนได้ออกเดินทางเพื่อหาหนทางไปยังอาณาจักรอาฟอีกครั้งแม้จะต้องอ้อมไปไกลจนเกือบจะหลุดไปอีกอาณาจักรแต่ถ้ายังอยู่แบบนี้ก็คงไม่อาจรอดพ้นสายตาของพวกชาวอาณาจักรเซียอยู่ดี"
"เล็งให้มันดี ๆ หน่อยสิรูบี้" เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายช่วย ๆ กันฝึกซ้อมเวทมนตร์
"ก็คือพวกพ่อแม่ของคิโนริทิ้งภาระไว้กับเธอสินะ เฮ้อ...ใช่ไม่ได้เลยพ่อแม่แบบนี้แล้วคิโนริรู้ไหมว่าครอบครัวของเธอไปอยู่ไหน ?" ลิงเมฆาเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งถอนหายใจลากยาว
"ฉันบอกไปว่าพ่อกับแม่ออกเดินทางเดี๋ยวก็กลับมาสักวันหนึ่งแต่เธออาจจะพอรู้ตัวอยู่แล้วก็ได้"
"น่าเสียดายจริง ๆ ทั้งที่ในอดีตพวกเราเป็นฝ่ายมีอำนาจตัดสินชีวิตเป็นตายของมนุษย์แต่ปัจจุบันกลับต้องหนีหัวซุกหัวซุน แล้วพวกเธอจะแน่ใจได้ยังไงว่าที่อาณาจักรอาฟเป็นมิตรต่ออมนุษย์อย่างเรา ๆ"
"ฮ่าฮ่าฮ่าเปียกหมดเลย" หลานหัวเราะลั่นเมื่อเวทน้ำพุ่งขึ้นข้างบนอย่างกับน้ำพุจากการร่ายเวทของรูบี้แม่กระต่ายน้อยผู้ที่กำลังตกใจกลัวการใช้เวทของตัวเองอยู่
"คิดอะไรดี ๆ ออกละปล่อยมันออกมาอย่างงั้นนะรูบี้จัง" หลานสร้างก้อนดินขึ้นจำนวนหนึ่งปล่อยให้มันผสมปนกับน้ำก่อนจะควบคุมให้มันแบ่งออกเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วขว้างใส่เพื่อน ๆ ของเธอจนเนื้อตัวเปรอะเปื้อน
"จะเอาอย่างงี้เหรอก็มาสิ" รอนหยิบก้อนดินเหนียวที่อยู่บนพื้นขว้างสวนกลับใส่หลานจนเธอเสียหลักแต่แทนที่จะโกรธเธอดันหัวเราะชอบใจยิ่งใช้เวทมนตร์สร้างก้อนดินจำนวนมากปากันไปปากันมาไม่หยุด
"เล่นกันน่าสนุกนี่ฉันขอด้วยขอ" ลิงเมฆาลุกพรวดพราดออกไปดึงออกจากบรรยากาศตึงเครียดแต่ก็ดันไปซวยเหล่าเด็ก ๆ ที่โดนฝูงก้อนดินบินว่อนถล่มยับซะดูไม่ได้เลยทีเดียว
"พี่เมฆาขี้แกล้ง ! ถ้าพี่กิกลับมาหนูจะฟ้องให้ทำโทษซะเลย" คิโนริที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลนถึงกับงอนทำหน้าบูด
"แหม่ ๆ นิดหน่อยเอง" เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนของเธอไม่ได้ช่วยให้รอดพ้นสายตาที่จ้องเขม็งจากเด็กตัวเล็กตัวน้อยทั้งหกคนได้
"ก็ได้ ๆ พี่ขอโทษ..." ด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมที่ดูจะสำนึกผิดจริง ๆ ก็ทำให้พวกคิโนริพึงพอใจและยกโทษให้ จนเมื่อถึงยามบ่ายหลังจากได้กินอาหารเที่ยงพวกเธอก็เตรียมตัวฝึกซ้อมด้านร่างกายต่อ
"ฉันล่ะเกลียดการใช้แรงจริง ๆ ยังไม่หายปวดเนื้อปวดตัวเลยตั้งแต่เมื่อวาน" เอบ่นเสียงดังให้คิโนริฟัง
"เอาเถอะน่านายอาจจะโตไปเป็นคนแข็งแกร่งที่สุดในเมืองก็ได้ ไหนลองยกก้อนหินนั่นให้ดูหน่อยสิ"
"จะพยายามละกัน" เอเดินตรงไปที่ก้อนหินที่สูงถึงครึ่งหนึ่งของลำตัวแม้เขาจะออกแรงยังไงก็ไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้แต่อย่างน้อยมันก็ขยับเขยื้อนนิดหน่อย
"ต้องขอบคุณคุณพอลที่สอนการฝึกฝนร่างกายให้กับเราไม่งั้นก็คงจะผิด ๆ ถูก ๆ อยู่อย่างงั้น" คิโนริเริ่มด้วยการยืดกล้ามเนื้อเพื่อป้องกันการบาดเจ็บและเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกายก่อนจะออกวิ่งช้า ๆ
"โห่ กำลังฝึกกันอยู่เลยเหรอขยันกันจริง ๆ เลยเด็กพวกนี้" พอลเดินตามมาไม่นานนักยิ้มออกมาทันทีที่ได้เห็นพวกคิโนริตั้งอกตั้งใจ
"มังกี้กับเมฆาก็อยู่ด้วย" หลังจากที่พอลโบกมือทักทายพวกเด็ก ๆ ก็ตรงมานั่งบนพื้นข้าง ๆ มังกี้
"ออกมาแบบนี้แล้วงานที่ร้านล่ะ ?" มังกี้เอ่ยถาม
"พอดีจ้างคนมาเพิ่มน่ะเลยได้มีเวลาพักผ่อนสลับกันเข้าออก" พอลหยิบขวดน้ำเล็ก ๆ ขึ้นกระดกดื่มเข้าไปหนึ่งอึก
"แล้วเมฆาไม่นอนบ้างเหรอ ? ทั้งที่เป็นคนคอยเฝ้ายามตอนกลางคืนแท้ ๆ"
"พอพูดขึ้นมาก็รู้สึกง่วงแล้วสิงั้นฉันขอตัวไปนอนก่อนนะฝากดูพวกเด็ก ๆ ด้วยล่ะ" เมฆาเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากบ้านของพอล เธอมักจะใช้ที่แห่งนั้นเป็นที่พักผ่อนไม่ค่อยได้สุงสิงกับคนในเมืองนักคงเพราะภาษาที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางสื่อสารได้ยากไม่เหมือนพวกมังกี้ที่อยู่อาศัยในอาณาจักรเซียมานานสามารถเข้าใจและเรียนรู้ได้ง่าย
เมื่อไหร่จะถึงเวลานั้นนะ แผนที่เจ้านั่นเตรียมไว้จะได้ผลหรือเปล่าเพราะเขาเองก็ไม่ได้บอกรายละเอียดของแผนจนทำเอาน่าสงสัยมากกว่าจะทำตามเสียอีก เมฆานอนอยู่ใต้ร่มต้นไม้ใหญ่ลมพัดผ่านเย็นสบายไม่ร้อน
แต่ถึงยังไงก็เถอะเขาเป็นถึงผู้พิชิตดันเจี้ยนที่ฉันยอมรับความแข็งแกร่ง ไม่ใช่เพราะสเตตัสหรือเลเวลแต่เป็นความมุมานะเพื่อให้บรรลุเป้าหมายต่างหาก ฉันไม่เคยเห็นสีหน้าหรือคำพูดที่มันสิ้นหวังจากเขาเลยสักครั้ง รอยยิ้มแสยะพลางนึกถึงเรื่องในอดีตที่ตนเคยประสบพบเจอขณะที่กำลังกำก้อนหินแปลก ๆ ไว้ในมือด้วย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 392
แสดงความคิดเห็น