ปาฏิหาริย์ซาตาน 9 : ผู้หญิงตัวคนเดียว (Rewrite)
“บรรยากาศคืนนี้มีลางแปลกๆ” ผู้มาใหม่ไม่ยอมตอบคำถามของดิโมล่า แต่ดันหันไปพูดเรื่องอื่นแทน
เด็กสาวฟังแล้วหันมองไปรอบๆ ทุกอย่างในทะเลทรายยังปกติดี แต่สัมผัสทางใจและกายที่ไม่เห็นด้วยสายตากลับรู้สึกตรงกับคำที่ชายหนุ่มบอก
"นั่นสิ จะ..." ขณะที่ดิโมล่ากำลังจะพูดอะไร สายตาเธอก็เหลือบไปเห็นลูกไฟสีส้มแดงกลุ่มหนึ่งลอยอยู่ห่างออกไป ภาพนั้นทำให้เธอชะงักพร้อมๆกับขนที่ลุกชัน โลกูลิสเห็นท่าทางอึ้งค้างของเธอจึงถามขึ้น
“เป็นอะไร?" เขาสงสัย แล้วจึงหันตามสายตาดิโมล่าไป ทว่าก็พบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
เสียงชายหนุ่มเรียกสติของเด็กสาวกลับมาได้อีกครั้ง แต่พอมองไปยังจุดที่เห็นลูกไฟตะกี้ ตอนนี้กลับเหลือแต่ความว่างเปล่าอันน่าพิศวง
“ตะกี้..เออะ ไม่มีอะไรหรอก คงตาฝาด” ดิโมล่าตอบปัด ทั้งที่ในใจของเธอเชื่อว่านั่นไม่ใช่การตาฝาดอย่างแน่นอน แต่คนโบราณว่า เห็นหรือได้ยินอะไรตอนกลางคืน ถ้าไม่แน่ใจห้ามทัก เธอจึงคิดว่ายังไม่ควรพูดอะไรตอนนี้
“รีบกลับได้แล้ว” จู่ๆโลกูลิสก็เอ่ยขึ้น ก่อนจะบังคับม้าให้หันหลังกลับ
“เดี๋ยว! รอด้วยสิ จะรีบไปไหน!" น้ำเสียงออกแนวบ่นก่อนจะรีบควบอูฐตามมา
“เอาเป็นว่าใครถึงค่ายก่อนชนะนะ” โลกูลิสบอกด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"เดี๋ยว!..นายม้า ฉันอูฐเนี่ยนะ"
“ไปให้ถึงค่ายให้เร็วที่สุดแล้วกัน” พูดจบโลกูลิสก็บังคับม้าให้เร่งความเร็วขึ้น แล้ววิ่งตีห่างออกไปไกล
“เฮ้ยเดี๋ยว แล้วคนชนะได้อะไร!” ดิโมล่าตะโกนถาม แต่ดูเหมือนชายหนุ่มด้านหน้าจะไม่ได้ยินเสียแล้ว ดิโมล่าจึงพยายามเร่งความเร็วขึ้น
ฟิ๊ววว สายตาที่มองตรงไปยังเส้นทางด้านหน้าต้องสะดุดทันทีเมื่อลำแสงสีขาวยาวเป็นทางหล่นจากท้องฟ้าตัดผ่านหน้าไปตกลงอีกที่หนึ่ง
“ดาวตกหรือ!” ดิโมล่าพูดด้วยความตลึงปนตื่นเต้น “มันน่าจะตกไม่ไกลจากนี่นะ” คิดได้ดังนั้นเธอจึงบังคับอูฐให้วิ่งไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ทางกลับค่าย
อูฐของดิโมล่ามาหยุดอยู่ตรงจุดที่เธอเห็นดาวตกลงมา เด็กสาวลงจากหลังอูฐ ก่อนจะพยายามเดินหาสะเก็ตดาวตกไปทั่วบริเวณ
"เจอแล้ว!” แสงสว่างวิบวับส่องมาจากใต้พื้นทรายจุดหนึ่ง ดิโมล่ารีบวิ่งเข้าไปดู ก่อนจะนั่งลงใช้มือเขี่ยทรายบริเวณนั้นออก “นี่มันคืออะไรเนี่ย?" ดวงตาเรียวมองมันอย่างสงสัย ยังไม่กล้าเอามือเปล่าสัมผัสโดยตรง แต่ทันใดเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งตรงเข้ามาหา
“ฮ่ะ”ดิโมล่าหัวเราะนิดหนึ่ง “ยังอุตส่าห์ตามมาแฮะ" เธอยิ้มกับตนเอง ก่อนจะหันไปทางที่ได้ยินเสียงม้า ทว่าต้องแปลกใจทันทีเมื่อหันไปแล้วภาพที่เห็นคือโจรทะเลทรายกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งตรงมาทางนี้โดยไร้ผู้ชายที่ท้าเธอแข่งความเร็วก่อนหน้า
ดิโมล่าเห็นอย่างนั้นก็คิดว่าเขาคงไปถึงค่ายแล้วให้คนออกมาตามแทน มือหนึ่งรีบควักผ้าผืนเล็กออกจากอกเอามาห่อสะเก็ตดาวเก็บเข้าเสื้อ จากนั้นค่อยเดินช้าๆไปหาอูฐของตน
"เดี๋ยวก่อนน้องหญิง กำลังจะไปที่ไหนรึ ไม่มีผู้ใดคอยดูแลซะด้วย!" คนบนหลังม้าตัวหนึ่งส่งเสียงเย้าแหย่มาขณะม้ากลุ่มนั้นจวนจะถึงตัวเธอแล้ว แต่เธอดันยังไปไม่ถึงอูฐ
คำทักทายนั้นทำให้เด็กสาวชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนหันไปมองพวกนั้นด้วยความไม่ค่อยพอใจ
"ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นพวกเจ้า!" ดิโมล่าต่อว่าออกไป
"เห็นไกลๆยังว่างาม ยิ่งเห็นใกล้ๆก็ยิ่งงามนัก" เสียงแหบห้าวกล่าวมาจากหนึ่งในหมู่โจรที่จ้องดิโมล่าด้วยสายตาไม่หวังดี
เด็กสาวชักรู้สึกผิดปกติ ทำไมสมุนของตานั่นถึงลุ่มล่ามกับเธอแบบนี้ แสงไฟจากคบเพลิงของพวกนั้น ช่วยให้มองเห็นว่าอีกฝ่ายปิดผ้าบังหน้าไว้ครึ่งบน และด้วยศักยภาพของตะเกียงที่พกมาสามารถส่องสว่างได้ในรัศมีสองเมตร สมุนโจรทะเลทรายกลุ่มนั้นก็ควรจะเห็นเช่นกันไม่ใช่หรือว่าเธอเป็นใคร
"นางคนนี้เป็นของข้า เพราะข้าเห็นก่อน” โจรทะเลทรายอีกคนในพวกนั้นเอ่ยขึ้นมาอย่างถือสิทธิ์
“ได้อย่างไรเล่า ไม่ว่าเจ้าหรือข้าก็เห็นพร้อมกัน” โจรทะเลทรายอีกคนเถียงด้วยความไม่ยอมแพ้
"อย่างนั้นข้าว่าพวกเราจะต้องสู้เพื่อแย่งนางคนนี้แล้วล่ะ” พวกโจรทะเลทรายหน้าโหดคุยกันอย่างสนุกปาก ดิโมล่าเห็นท่าไม่ดีและรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังเผลอจึงรีบวิ่งไปหาอูฐของตนเองทันที
“นั่นมันหนีไปแล้ว!” เสียงดังมาจากพวกโจรทะเลทรายบนหลังม้า
ดิโมล่ารีบสับขาวิ่งให้เร็วที่สุดด้วยหัวใจที่เต้นระทึก ก่อนโชคจะเข้าข้างเธอ เมื่อมีใครคนหนึ่งขี่ม้ามาขวางเธอกับโจรทะเลทรายพวกนั้นไว้
“นางคนนี้เป็นสหายของข้า!” โลกูลิสประกาศลั่นพลางจ้องไปทางพวกโจรทะเลทรายสี่ห้าคนที่หยุดม้าห่างออกไปไม่ไกลนัก
“หนึ่งในจอมโจรทะเลทรายทิศใต้" โจรทะเลทรายฝ่ายตรงข้ามคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
"ข้ามาพาสหายกลับค่าย" โลกูลิสบอกเสียงนิ่งจริงจัง ดิโมล่ารีบปีนขึ้นม้าของเขาโดยไม่ต้องรอให้ใครบอก
"แม่นางคนนั้นสหายท่านรึ หึๆ ท่านก็น่าจะทราบกฎทะเลทรายแถบนี้ดี หากหญิงนางใดเดินทางกลางทะเลทรายคนเดียว ไร้ผู้ปกครองแล้ว ชายไหนหากพบเข้า ถือว่านางนั้นตกเป็นของชายนั้นได้ทันที"
"กฎบ้าบอ!" ดิโมล่าได้ยินสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวก็สบถด้วยความไม่ชอบใจ ถึงจะรู้กฎดังกล่าวมาก่อนจากปากของห้าหนุ่มตอนฝึกวิชาด้วยกัน ทว่าเธอก็ไม่เคยเห็นด้วยสักนิด
"แสดงว่าพวกเจ้าจะไม่ยอมปล่อยให้ข้าพาสหายกลับค่ายแต่โดยดีล่ะสิ" สายตาคมปราบมองพวกโจรทะเลทรายของอีกแดนอย่างเท่าทัน
"ฮ่าๆๆ" พวกโจรทะเลทรายฝั่งตรงข้ามหัวเราะก้องอย่างถูกใจ
"ถึงนางจะเป็นสหายท่าน แต่เมื่อพวกข้าเจอนางระหว่างเดินทางในทะเลทรายตามลำพังอย่างนี้ นางย่อมเป็นสิทธิ์ของพวกข้าไม่ใช่รึ" โจรทะเลทรายต่างแดนอีกคนย้อนถามด้วยรอยยิ้มเหี้ยม
"หึ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องชิงตัวนางล่ะสิ...ก็น่าสนุกดี" ชายหนุ่มแสยะยิ้มเหี้ยมตอบกลับอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว ถึงแม้จะรู้ดีว่าฝ่ายตนเป็นรองก็ตาม ดิโมล่าที่แอบเหลือบมองอยู่ด้านหลัง อดรู้สึกหนาวเยือกเข้าไปในใจไม่ได้
มีดขนาดและลักษณะต่างๆถูกเอาออกมาจากเสื้อของโจรทะเลทรายฝ่ายตรงข้าม ใบหน้าที่เห็นเพียงครึ่งล่างยิ้มดั่งมัจจุราชส่งมาให้ทางโลกูลิสและดิโมล่า ฝ่ายโลกูลิสก็เอามีดออกมาแล้วเช่นกัน จากนั้นทางกลุ่มโจรทะเลทรายก็เป็นฝ่ายเปิดฉากก่อน
เคร้ง เคร้ง เคร้ง เสียงมีดฟาดฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โลกูลิสคุ้มกันเด็กสาวด้วยมีดในมือหนึ่งกับคบเพลิงเหล็กหุ้มฉนวนในอีกมือหนึ่ง ดิโมล่าที่นั่งอยู่ด้านหลังได้แต่ภาวนา เพราะเวลานี้เธอไม่มีอาวุธแม้สักชิ้นจะมาช่วยได้เลย ต้องคอยหลบหลีกพวกนั้นและคอยทำตัวให้ไม่ขัดขวางการต่อสู้ของชายหนุ่มผู้บังคับม้าเบื้องหน้า
“..เฮ่!..เฮ่!..” เสียงดิโมล่าอุทานออกมาอย่างหวาดเสียวกับสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อเธอเอาเสียเลย
“มีดเธอล่ะ?!" เสียงถามมาจากคนด้านหน้าที่กำลังกวัดแกว่งมีดกับคบเพลิงในมือเพื่อต่อสู้คุ้มกันเธออยู่
“ฉันไม่ได้เอามาด้วย” ดิโมล่าตอบตามตรง ชายหนุ่มทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที
"ทำไมไม่พกติดตัวไว้ตลอดเวลา!" ชายหนุ่มตำหนิอย่างหัวเสียกับความประมาทของเด็กสาว แล้วค่อยถอนหายใจหนักๆออกมาเพื่อตัดโมโห
"ฉ..ฉันลืม" เด็กสาวยอมรับอย่างรู้สึกผิด
"ล้วงเข้าไปในย่าม เอามีดอีกอันออกมา" ชายหนุ่มสั่งด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายโมโหดี
ดิโมล่ารีบทำตามที่เขาบอกแทบจะทันที เมื่อมือควานเจอมีดแล้วจึงรีบเอาออกมาช่วยชายหนุ่มจัดการกับฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีรอ
ฝีไม้ลายมือของชายหนุ่มเผ็ดร้อนใช่ย่อย สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บไปได้ถึงสามคน ก่อนหนึ่งในนั้นจะถูกปริดชีพในอีกไม่นาน ส่วนเด็กสาว ที่ได้รับการฝึกมาก่อนทั้งนอกเกมและในค่ายของห้าจอมโจรทะเลทราย ก็พอสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้อีกฝ่ายได้บ้าง ถึงจะไม่สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ก็ช่วยให้ชายหนุ่มไม่ต้องรับสึกหนักจากการประมีดกับโจรทะเลทรายหลายคนนัก ทำให้เขาสามารถรุกฆาตศัตรูได้ง่ายขึ้น
สู้กันได้อีกพักหนึ่ง สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อดิโมล่าพลาดท่าถูกฟันถากต้นแขนเข้า เธอชะงักด้วยความเจ็บ โจรทะเลทรายใจโหดก็พุ่งโจมตีเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความที่เจ็บบาดแผลอยู่ และต้องรับแรงปะทะกับฝ่ายตรงข้ามมาได้สักพัก พอฝ่ายนั้นฟันเข้าใส่เต็มแรงอีกหน ทำให้เธอพลัดตกจากหลังม้าทันที
พลั่ก! ยังดีที่ร่างบางยังแข็งใจไม่ยอมให้มีดหลุดมือ ศัตรูเห็นเธอพลาดท่าก็จะเข้ามาคว้าตัว ทางชายหนุ่มก็กำลังติดพันกับโจรทะเลทรายอีกสามคน ทำให้ไม่สามารถปลีกตัวมาช่วยได้ เธอรีบเด้งตัวลุกทั้งที่ยังเจ็บบาดแผล ยกมีดในมือขึ้นต้านภัยที่จู่โจมเข้ามา
เคร้ง เคร้ง เคร้ง แต่การอยู่ล่างม้าก็อันตรายนัก ถ้าม้าไม่เหยียบบาดเจ็บ คนบนหลังมาก็ฟาดมีดลงมาใส่ได้ถนัดกว่า ดังนั้นเด็กสาวจึงต้องรีบหาทางพลิกสถานการณ์ ฉับพลัน เธอย่อตัวต่ำให้พ้นรัศมีมีดของฝ่ายตรงข้าม พร้อมกับแทงมีดไปข้างหน้า ถูกม้าที่เข้ามาใกล้อย่างจังจนมันกระเต้นด้วยความตกใจและเจ็บปวด คนบนหลังม้ายังสามารถทรงตัวบนม้าได้ แต่เธอไม่ปล่อยโอกาสที่อีกฝ่ายกำลังเสียท่าไปโดยเปล่า รีบเข้าจู่โจมโจรทะเลทรายคนนั้นต่อเนื่องทันที
ดิโมล่าฟันมีดใส่ม้าอีกรอบสุดแรง แล้วตวัดมีดตอนม้ากำลังจะล้มใส่คอฝ่ายศัตรูด้วยความว่องไว จากแรงทั้งหมดที่รวบรวมได้ตอนนั้นกับความคมของมีดทำให้ศีรษะของฝ่ายนั้นขาดสะบั้นจากบ่า เลือดแดงฉานกระฉูดใส่คนฟันเต็มที่ เด็กสาวที่ยังไม่เคยทำร้ายใครจนถึงชีวิตถึงกับมือไม้อ่อนเมื่อเห็นภาพสยดสยองที่ตนเป็นคนทำ แต่ใจก็แข็งพอจะไม่ทรุดลงไปกองกับพื้น
เคร้ง เคร้ง
"อ๊ากกกก!"
เสียงการปะทะจากอีกทางดังมาเรียกสติ ร่างบางนึกได้ว่ายังมีคนที่ต้องไปช่วย เธอหมุนตัวกลับ ก่อนวิ่งเข้าไปจัดการพวกนั้นที่โลกูลิสเพิ่งสังหารไปได้อีกหนึ่ง และกำลังเปิดทางให้ดิโมล่าเข้าสังหารฝ่ายนั้นด้วยอีกแรง
“เป็นไงบ้าง?” โลกูลิสหันมาถามดิโมล่าที่ท่าทางเหนื่อยพอดูด้วยเสียงเรียบ
“เฮ่อ เฮ่อ เหนื่อย” ดิโมล่าตอบ พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า
“รีบกลับค่ายเถอะ”
“อื้ม” ดิโมล่าพยักหน้าก่อนจะรีบเดินไปหาอูฐของตัวเองที่ยืนห่างออกไป
“พวกเธอออกมาทำอะไรกันครับเนี่ย?” เดวโวโล่ทักขึ้นเมื่อเห็นสี่สาวเดินเตร่ๆกันอยู่นอกกระโจมพัก
“พวกเราออกมาตามหาเพื่อน” อินแชนดี้เป็นคนหันไปตอบแทนทุกคน
“อ๋อ มีคนหายไปหนึ่งหนิ” เดโวโล่พูดตามที่สังเกตเห็น ก่อนหนึ่งในสี่สาวที่เหลืออยู่จะส่งเสียงขึ้น
“ดิมมาแล้ว”
ทุกคนพากันหันไปมองตามที่เอลลิก้าชี้นิ้วบอก ก็เห็นคนที่พวกเธอกำลังตามหาขี่อูฐตรงเข้ามาในค่ายโดยมีโลกูลิสขี่ม้าคอยประกบข้าง และเหมือนว่าสองคนนั้นกำลังคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ จึงไม่ทันสังเกตเห็นทั้งห้าคนที่กำลังยืนมองมา
“เลือด!” ฟาร์เน่อุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นเลือดตามเสื้อผ้าของดิโมล่า
“ที่แขนของดิม!” เอลลิก้าสังเกตได้เช่นกัน แม้เธอจะเห็นว่าจุดดังกล่าวมีผ้ามัดพันแผลไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังเห็นรอยเลือดซึมออกมาชัดเจนอยู่ดี
“ไอ้ดิม แกไปโดนอะไรมาเนี่ย?” ฟาร์เน่เดินเข้าไปหาอย่างลืมตัว ว่าอีกฝ่ายกำลังคุยกับหนึ่งในห้าจอมโจรทะเลทรายอยู่ แล้วอีกสี่คนที่เหลือก็เดินเข้ามาสมทบ ส่วนคนที่กำลังคุยกันติดพันธ์ พอได้ยินเสียงทักจึงหันหน้ามามอง
“นั่นสิ แกเป็นอะไรมากไหมวะ?” แวมไพร์ถามด้วยความเป็นห่วง
“เธอไปพักก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันต่อ” โลกูลิสเห็นเพื่อนของเด็กสาวรีบพากันเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วงจึงตัดบทเสียงอ่อน เขารู้ว่าพวกเธอคงอยากคุยกับดิโมล่ามากแล้ว
“อื้ม” ดิโมล่าเห็นด้วย “แต่ยังไงวันนี้ฉันก็ขอบใจนายมาก”
โลกูลิสทำเพียงพยักหน้ารับรู้ ก่อนพูดต่ออีกเล็กน้อย
“แล้วจะให้คนเอายาไปให้”
หลังจากทุกคนกลับเข้ากระโจมพักของตนเองเรียบร้อย อินแชนดี้และแวมไพร์ก็ช่วยกันหาฟืนมาก่อไฟให้ดิโมล่าต้มน้ำเช็ดตัว ระหว่างที่กำลังรอน้ำเดือด พวกสาวๆก็พากันมาล้อมคนที่เพิ่งเผชิญเหตุการณ์เสี่ยงตายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ฟังอย่างละเอียด รวมถึงเรื่องที่เธอคุยกับหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นด้วย
“ฉันบอกเรื่องที่พวกเราคุยกันเมื่อบ่ายว่าจะออกเดินทางตามหาคุณปู่ในอีกไม่กี่วันนี้ให้ตานั่นฟัง ตานั่นก็เลยบอกให้รอก่อน เพราะพวกเขาก็กำลังหารือกันว่าจะออกเดินทางไปตามหาเบาะแสทางออกจากหนังสือนี่ตามที่ต่างๆเหมือนกัน ถ้าพวกเราไปกับพวกนั้นน่าจะปลอดภัยกว่า” ดิโมล่าเล่า
“พวกนั้นคงเห็นว่าอยู่แบบนี้มาสองเดือนกว่าก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ก็เลยคิดจะหาวิธีอื่นบ้างสินะ” อินแชนดี้ลองคาดเดาดู
“ก็คงอย่างนั้นแหละ เพราะที่รู้ๆกันก็คือ เวลาสองเดือนของที่นี่เท่ากับหนึ่งวันของโลกเรา ตามกติกาของหนังสือที่แชร์ต่อๆกันมา บอกว่าคนที่เข้ามาเล่นเกมแก้บนในนี้จะต้องทำภารกิจให้เสร็จภายในเจ็ดวันของพวกเรา ซึ่งก็หมายความว่า ตอนนี้พวกนั้นเสียเวลาไปแล้วหนึ่งวันกว่าๆ ก็คงไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียเปล่าไปมากกว่านี้” แวมไพร์ลองวิเคราะห์เหตุผลของห้าหนุ่มดูบ้าง
“พวกเราอยู่ฝึกวิชาป้องกันตัวกับพวกนั้นได้ประมาณสองอาทิตย์กว่า งั้นแสดงว่าตอนนี้พวกเราก็เสียเวลาไปแล้วเกือบครึ่งวันน่ะสิ” ฟาร์เน่ออกความเห็น
“กว่าพวกเราจะรู้เรื่องคุณปู่ เหมือนท่านจะเข้ามาที่นี่ก่อนหน้าตั้งสามวันแล้วนะ ถ้าเกิดคุณปู่ยังหาทางออกจากที่นี่ไม่ได้ ท่านต้องอยู่ในหนังสือนี้ไปตลอดกาล” เอลลิก้าเอ่ยเสริมในสิ่งที่ตนเองรู้ และพอเธอพูดทุกอย่างจบ ขนตามตัวของเด็กสาวทุกคนก็ลุกซู่ด้วยความพิศวงขึ้นมาทันที
***************
รอนานกันหน่อยนะคะ แต่รับประกันว่าไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนค่ะ พอดีทำโปรเจคเรื่องสั้นไปด้วย แบบนั้นจะหาเงินได้เร็วกว่า เขียนจบง่ายกว่า ส่วนเรื่องนี้จะทยอยๆเขียนค่ะ ต้องขอบคุณทุกการติดตามมากๆนะคะ ท้ายที่สุด ฝากกลุ่มให้แอดด้วยค่ะ เจอกันตัวเป็นๆได้ที่นี่เลย
ลิงค์กลุ่ม: https://m.facebook.com/groups/282184383282811/?refid=46&__xts__[0]=12.Ab...
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 690
แสดงความคิดเห็น