ปาฏิหาริย์ซาตาน 2 : ต้อนรับน้องใหม่ 2 (Rewrite)
แสงสีขาวสว่างจ้าขึ้นกลางห้องโออ่าห้องหนึ่ง ซึ่งสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีสะอาดนวล บริเวณห้องประดับตกแต่งด้วยผ้าลายผืนงาม ภาพวาดฝีมือจิตรกรเอก และเครื่องเรือน ของตกแต่งรูปลักษณ์ประณีตแปลกตา บนเพดานห้องมีโคมไฟระย้าอันใหญ่ห้อยอยู่ ส่วนผนังเพดานก็วิจิตรด้วยอัญมณีล้ำค่าหลากสีสัน
บนเตียงนั่นเอง หลังจากแสงสว่างประหลาดเกิดขึ้น และหายไปในเวลาต่อมา พบมีร่างเพรียวร่างหนึ่งนอนหลับใหลใต้ผ้าห่มลายแปลกพิสดาร ใบหน้าสวยจัดหลับตาพริ้มหายใจอย่างสม่ำเสมอ ก่อนไม่นานเธอจะขยับตัว เพราะรู้สึกถึงสภาพอากาศรอบด้านที่เปลี่ยนไป
"ฮัดชิ่ว!" อินแชนดี้จามออกมาในที่สุด ก่อนจะรู้สึกตัวตื่นขึ้น เพราะร่างกายสัมผัสถึงอากาศที่เย็นจัดกว่าปกติ
สายตากวาดไปรอบบริเวณอย่างจะหาที่มาของความรู้สึกผิดแผกนั้น ตอนนี้ภายในห้องมืดสนิท ใช้เวลาปรับสายตาอยู่ครู่เธอจึงค่อยเห็นสิ่งรอบข้าง ภาพในเงารางทำให้เด็กสาวต้องขยี้ตาแล้วเพ่งดูใหม่อย่างตั้งใจอยู่หลายครั้ง และเมื่อยังไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็น เธอก็ตัดสินใจลุกเข้าไปดูเพื่อจะได้สัมผัสใกล้ๆให้ชัดเจนเสียเลย
"อะไรกัน?...ที่นี่มันที่ไหน?...” อินแชนดี้ถามตนเองด้วยความไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วเธอก็เดินสำรวจไปทั่วห้อง ก่อนพบด้านหนึ่งซึ่งคล้ายกับมีบานประตูขนาดใหญ่อยู่ จึงตัดสินใจเปิดออกไปดูด้วยความอยากรู้
ด้านนอกประตูเป็นโถงทางเดินกว้างใหญ่ประดับคบไฟเป็นจุดๆตามรายทาง เท่าที่เห็นตอนนี้ เหมือนเธอจะอยู่ในตึกใหญ่ที่ไหนสักที่หนึ่ง
"องค์หญิงมีอะไรให้ข้ากระหม่อมรับใช้หรือไม่พระเจ้าค่ะ" แล้วเสียงห้าวก็ดังมาจากทางหนึ่ง
ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัว อินแชนดี้ตกใจจึงหันชกหมัดออกไปทางต้นเสียงทันที
"ข้ากระหม่อมเองพระเจ้าค่ะ!" เจ้าของเสียงห้าวมั่นคงในชุดเกราะทหารโยกหลบหมัดพิฆาตอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะรีบบอกคนเป็นนายให้รู้ตัว และทหารอีกนายที่เฝ้าเวรด้วยกันก็รีบเข้ามาช่วยห้ามอีกแรง
"อย่าได้วิตกไป พวกข้ากระหม่อมเป็นทหารประจำเวรคุ้มกันพระองค์ในคืนนี้พระเจ้าค่ะ" นายทหารผู้รีบเข้ามาห้ามอธิบาย
"ทหารคุ้มกันพระองค์งั้นหรือ หมายความว่ายังไง?" อินแชนดี้ยังไม่เข้าใจ หันมองหน้าสองนายทหารอย่างต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม
"พระบิดาของพระองค์เป็นสุลต่านปกครองอาณาจักร...แห่งนี้ และพระองค์เป็นพระธิดาขององค์เหนือหัว จึงมีฐานะเป็นนายน้อยเหนือหัวของพวกข้ากระหม่อม ตอนนี้เป็นเวลาดึกสงัดที่เหล่าเชื้อราชวงษ์แต่ละพระองค์ทรงเข้าบรรทม ณ ห้องส่วนพระองค์ ในฐานะที่พวกข้ากระหม่อมเป็นทหารขององค์สุลต่าน จึงได้รับหน้าที่มาคุ้มกันภัยให้องค์หญิงหน้าห้องบรรทมนี้อย่างไรพระเจ้าค่ะ" นายทหารคนแรกที่เกือบโดนอินแชนดี้ชกเข้าอย่างจังอธิบายเสริม
อินแชนดี้ได้ฟังก็ฉงนหนักเข้าไปอีก แต่ก็พอเนียนตามสถานการณ์ไปได้
"เรา อินแชนดี้ น่ะรึ เป็นองค์หญิง พระธิดาขององค์สุลต่านพวกท่าน?" เด็กสาวลองถามออกไป
"พระเจ้าค่ะ" สองนายทหารตอบยืนยันพร้อมกัน
"แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และมาอยู่นานหรือยัง?" เธอเห็นทหารพวกนี้ถามตอบแต่โดยดีจึงคิดจะหยั่งเชิงถามต่อ เพื่อให้รู้ที่ไปที่มาของสิ่งที่เกิดขึ้นมากที่สุด
"นับแต่พระองค์ประสูติจากพระครรภ์พระนางซิสเรเบล พระมารดาของพระองค์พระเจ้าค่า" นายทหารคนเดิมตอบ
ยิ่งฟัง อินแชนดี้ก็ยิ่งปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ เพราะไม่มีใครอธิบายให้กระจ่างว่า อย่างเธอน่ะหรือ มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด แต่เพราะเกรงภัยที่อาจจะถึงตัว ถามอะไรได้ รู้อะไรมา เธอก็เนียนเล่นตามเรื่องไปอย่างนั้น
“ได้เวลาสรงน้ำแล้วเพคะองค์หญิง” ข้าหลวงสาวแรกรุ่นในชุดงามประณีตหรูหราตามประสาชาววังคนหนึ่งเดินเข้ามาทูลอินแชนดี้ ที่กำลังนั่งคิดอะไรอยู่ริมระเบียงวังในยามพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้ามาบ้างแล้ว
“งั้นหรือ” อินแชนดี้หันไปถามอย่างนั้นเอง
“เชิญเพคะ พวกหม่อมฉันเตรียมน้ำอาบให้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวพระองค์จะต้องเสด็จออกไปต้อนรับท่านราชทูตจากแว่นแคว้นต่างๆที่นำของขวัญครบรอบวันประสูติมาให้พร้อมองค์สุลต่านและองค์ราชินีด้วยหนาเพคะ"
"อืม” เธอรับคำอย่างเข้าใจ รู้ดี เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตเธอควรทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา
"วันนี้ทั้งวันวังคงครึกครื้นไม่น้อยเพคะ ช่วงกลางวันจะเป็นการต้อนรับเหล่าทูต ช่วงเย็นถึงค่ำก็จะมีงานเลี้ยงด้วยเพคะ" ข้าหลวงสาวเล่าอย่างร่าเริง อินแชนดี้ก็นั่งฟังไปเงียบๆเพื่อเก็บข้อมูล
"หลายวันนี้พระองค์จะได้แต่งงามทุกวันเลยหนาเพคะ ยิ่งอีกสามวันจากนี้เป็นวันดูตัวเพื่อเลือกคู่อภิเสกของพระองค์ด้วย วันนั้นยิ่งต้องงามพร้อม และงามที่สุดกว่าใครเพคะ"
ได้ยินประโยคหลังอินแชนดี้ถึงกับหูผึ่งทันที
“ทำไมต้องเลือกคู่ครอง เราเพิ่งสิบเจ็ดเองนะ?!”
“อะไรกันเพคะองค์หญิง ทำอย่างกับไม่รู้ธรรมเนียมประเพณีของที่นี่ไปเสียอย่างนั้นเพคะ” ข้าหลวงสาวปิดปากหัวเราะขัน คิดว่านายน้อยคงลืมอะไรไป
“เราคงลืมไป" อินแชนดี้ให้เหตุผลข้างๆคูๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สะกิดใจอะไรนัก ทวนความทรงจำให้ว่า
“ธรรมเนียมของที่นี่ แค่สิบห้า สตรีก็สามารถเลือกคู่ครองได้แล้วเพคะ แต่ที่ทางเรารอให้องค์หญิงชันษาครบสิบเจ็ดก่อน เป็นเพราะว่าพระองค์เป็นสตรีชั้นสูงของอาณาจักร จึงเห็นว่ายังมิควร แต่ตอนนี้พระองค์พร้อมแล้วเพคะ” ข้าหลวงสาวอธิบายด้วยรอยยิ้มสดใส ดูยินดีปรีดาที่นายน้อยของตนจะได้เลือกคู่เสียเหลือเกิน
“พร้อมอะไร ยังไม่ได้ถามเราสักคำเลย” อินแชนดี้ไม่เห็นด้วย
“เอ่อ..” ข้าหลวงสาวมีท่าทีอึกอัก เหมือนไม่รู้จะอธิบายให้เด็กสาวสูงศักดิ์ตรงหน้าเข้าใจอย่างไรดี
เห็นอย่างนั้นอินแชนดี้ก็คิดว่าบ่นไปคงไม่ได้เรื่องอะไร จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย
“ช่างเถอะ จะพาเราไปอาบน้ำไม่ใช่หรือ ไปสิ อยากอาบน้ำละ อากาศที่นี่ร้อนจริง” เด็กสาวพูดพลางลุกขึ้นยืน
“เออะ..เพคะ งั้นเชิญเสด็จทางนี้เลยเพคะ” ข้าหลวงสาวเห็นท่าทางอยากอาบน้ำของคนเป็นนายก็รีบนำอีกฝ่ายไปยังห้องอาบน้ำอีกที่หนึ่งทันที
เมื่อมาถึงห้องอาบน้ำ อินแชนดี้ก็พบนางข้าหลวงต่างวัยสามคนที่เพิ่งเคยเห็นหน้าอยู่รอกันภายในห้อง ก่อนข้าหลวงสาวหนึ่งในสามจะเอ่ยขึ้น
“เชิญเสด็จสรงน้ำเพคะ”อีกฝ่ายกล่าวเมื่อเห็นเธอเข้ามายืนอยู่หน้าบ่ออาบน้ำเรียบร้อยแล้ว
“งั้นพวกท่านออกไปได้แล้ว เราจะได้อาบน้ำเลย” อินแชนดี้มองหน้านางข้าหลวงแต่ละคนเป็นเชิงบอกให้ออกไป ทว่าฝ่ายนั้นก็ยังยืนเฉย
“ออกไป?..ออกไปที่ไหนเพคะ?” นางข้าหลวงสามคนทำหน้างง
“ออกห้องน้ำไปน่ะสิ หรือพวกท่านจะดูเราอาบน้ำล่ะ" อินแชนดี้ย้อนถามไม่ได้จริงจังนัก
“เพคะ” นางข้าหลวงทั้งสามตอบพร้อมกัน
“งั้นก็ออกไปได้แล้ว เราจะได้รีบอาบน้ำ แต่งตัวออกไปต้อนรับแขก" เด็กสาวยังไล่ เพราะคิดว่า ที่นางข้าหลวงทั้งสามรับคำนั้นหมายถึง รับรู้แล้วว่าต้องรีบออกไปให้เธออาบน้ำ แต่ความจริงคือ....
“ออกไปที่ไหนเพคะ พวกเราสามคนมีหน้าที่สรงน้ำให้องค์หญิงเพคะ” หนึ่งในสามนางข้าหลวงอีกคนพูดด้วยท่าทางแปลกใจ ทว่าคนที่ได้ฟังสิ ออกจะตกใจจนหลุดปากอุทาน
“อะไรนะ! พวกท่านต้องมาอาบน้ำให้เรา?!” อินแชนดี้ต้องการคำยืนยันอีกครั้ง ว่าเธอฟังไม่ผิด
“เพคะ” สามข้าหลวงสาวตอบยืนยัน
“ไม่..ไม่ต้อง เราอาบเองได้" เธอรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ไม่ได้เพคะ เป็นหน้าที่ของพวกหม่อมฉัน มาเพคะ เดี๋ยวพวกเราอาบให้หนาเพคะ” พูดจบ สามนางข้าหลวงก็ต่างกรูเข้ามาจับตัวเด็กสาวแก้ผ้า ก่อนจะพาลงบ่ออาบเพื่อชำระร่างกายให้
“เดี๋ยว! ไม่นะ ปล่อยเรา ปล่อย ปล่อยนะ! ฉันอาบเองก็ได้ กรี๊ด ไม่ๆ ปล่อย!" อินแชนดี้พยายามปัดไม้ปัดมือพวกสามข้าหลวงสาวให้พ้นตัวด้วยความอายและจั๊กจี้ แต่ไม่เป็นผล พวกนั้นยังคงพยายามทำหน้าที่ของตนต่อไป
ห่างออกไป ไกลพอควร ภายในอาณาจักรเดียวกัน เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ในห้องห้องหนึ่ง ปรากฏร่างเด็กสาวคนหนึ่งบนเตียงมุมห้องใกล้หน้าต่าง เธอกำลังนอนขดจากอาการปวดท้องขึ้นมากะทันหัน หากแต่ยังไม่ได้ตื่นเต็มตาดี
"โอ๊ย" เอลลิก้าโอดครวญเล็กน้อย พอรู้สึกว่าอาการปวดท้องรุนแรงเข้าจึงลุกขึ้นนั่ง เตรียมจะวิ่งไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะสังเกตว่า บัดนี้จมูกรับกลิ่นอะไรบางอย่างปนมากับอากาศเย็นจัดได้ กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นดินทรายและพืชอับชื้น แต่อาการปวดท้องรุนแรงทำให้เธอไม่ใส่ใจมันนัก รีบลุกวิ่งไปยังทางประตูซึ่งเปิดอ้าไว้ มีแสงสว่างของอะไรบางอย่างส่องเข้ามา
เมื่อร่างบางวิ่งชนม่านหน้าประตู เสียงกระดิ่งติดม่านก็ส่งเสียงทันที ตอนนั้นเธอเพิ่งเอะใจว่า ห้องเธอไม่มีอะไรแบบนี้ห้อยหน้าประตู และปกติก็ไม่เปิดประตูทิ้งไว้ด้วย เพราะทางบ้านอบรมเรื่องให้ระวังความปลอดภัยของตนเองเป็นที่หนึ่ง หากวันนี้กลับไม่ได้ปิดประตู และม่านดังกล่าวโผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบ
พ้นจากประตูมาได้ ก็พบคบเพลิงสองแท่งติดอยู่บนผนังเหนือศีรษะในระดับมือยังพอเอื้อมถึง ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้เด็กสาวมากขึ้นไปอีก
กวาดตามองออกไปรอบตัว แสงสว่างของคบเพลิงทำให้พอเห็นสิ่งแวดล้อมรอบข้างได้พอควร เบื้องหน้าเธอนั้น คือบันไดวนใหญ่ที่อยู่ห่างไปไม่มาก และร่างหนึ่งกำลังเดินขึ้นมา เพ่งดูดีๆ ก็เห็นว่าเป็นชายหุ่นลั่มคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยคุ้นหน้ามาก่อน
"ยังไม่นอนอีกรึ?" ชายนิรนามคนนั้นหันมาพบเอลลิก้ายืนอยู่จึงทักขึ้น
"เอ่อ..ค่ะ" เธอตอบไปอย่างเสียไม่ได้
"มีอะไรหรือไม่ ทำไมยังไม่นอนจนป่านนี้" เสียงแหบทรงอำนาจถามด้วยแววตาเป็นห่วง พอก้าวพ้นบันไดมาได้ก็เดินเข้ามาหา
"ความจริง...เอลหลับไปแล้วตื่นหนึ่งค่ะ แต่เกิดเจ็บท้องเข้าห้องน้ำขึ้นมา ก็เลยว่าจะออกมาเข้าห้องน้ำ" เอลลิก้าอธิบาย
"โถถ่ายเต็มแล้วหรือ ถึงต้องออกมาเข้าด้านนอก" ชายวัยกลางคน มีเคราโง้งขึ้นเหมือนเขาควายและปล่อยยาวลงมาถามอย่างสงสัย
เอลลิก้าได้ยินคำพูดนั้นก็ทำหน้าฉงน โถถ่ายอะไร คุณลุงตรงหน้าพูดเหมือนคนโบราณอย่างไรอย่างนั้น
"หมายถึงชักโครกหรือเปล่าคะ?" เด็กสาวถามออกไป คิดว่าตนเองอาจเข้าใจผิดในสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อ แต่หลังจากเธอเอ่ยถาม ทางนั้นก็ทำหน้าแปลกใจกลับมา
"ชักโครกรึ?" เขาถาม
"ค่ะ...คุณลุงไม่รู้จักหรือคะ?" เธอถาม เพราะเห็นชายมีอายุทำสีหน้าเหมือนคนไม่รู้จักสิ่งที่เธอกล่าวถึง
"ข้าก็เพิ่งได้ยินเจ้าพูดวันนี้นี่แล"คนร่างยักษ์ตอบกลับเป็นภาษาโบราณ
เอลลิก้าได้ยินก็นึกแปลกใจเข้าไปอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน? อาการตกใจกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่เปลี่ยนไปทำให้อาการปวดท้องของเธอหายเป็นปริดทิ้ง โดยเธอเองก็ยังไม่ทันรู้ตัว เพราะมัวสนใจแต่ความผิดปกติเบื้องหน้าอยู่
"เอ่อ ว่าแต่คุณลุงเป็นใครหรือคะ?" เอลลิก้าตัดสินใจถามออกไปตรงๆ
"วันนี้เจ้ามาแปลกหนา ลุงก็เป็นลุงของเจ้าสิ อยู่ด้วยกันมาหลายปี จำกันไม่ได้รึหลานข้า?" ฝ่ายที่อ้างว่า เป็นลุง ถามด้วยความสงสัย
อยู่ด้วยกันมาหลายปี...หลานข้า งั้นหรือ?
"อาการเจ้าแปลกๆหนา ไม่สบายหรือไม่?" อีกฝ่ายถามต่อด้วยความสงสัย
"เอลมาอยู่กับคุณลุงหลายปีแล้วหรือคะ?" เธอถามอีกด้วยความอยากรู้
"ใช่สิ..เจ้าจำไม่ได้รึ?" คนตรงหน้ามองมาเป็นเชิงถาม ก่อนเอ่ยต่อ "พ่อแม่เจ้าฝากเจ้ามาฝึกวิชากับลุง ลุงก็รับไว้ และฝึกจนเจ้าเป็นเพชฌฆาตมือหนึ่งแห่งอาณาจักร..." เขาเล่าให้ฟังคร่าวๆเพื่อทวนความทรงจำให้คนเป็นหลาน
ชื่ออาณาจักรที่ชายแปลกหน้าเอ่ยถึง ทำให้เอลลิก้าสะดุดใจ เธอไม่เคยได้ยินชื่อนี้ผ่านหูมาก่อน....แต่คิดไปคิดมา จู่ๆก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้
"เจ้าหญิงเพคะ ตื่นบรรทมเถิดเพคะ ขณะนี้พวกกบฏเข้ามาในพระราชฐานชั้งนอกได้แล้ว เราต้องรีบหนีหนาเพคะ!" สาวใหญ่ในชุดคลุมดำรัดกุมเขย่าแขนร่างอิ่มเนื้อเรียกไม่ดังนักอย่างร้อนใจ
"อือ..." คนที่ยังนอนเพลินกับนิทราแสนสุขครางรับเบาๆ แต่ยังไม่ยอมรู้สึกตัวดี
"ศัตรูประชิดเมืองอย่างนี้ยังผล็อยหลับได้อีกรึนี่" แล้วพระพี่เลี้ยงสาวใหญ่ก็ถอนหายใจหนักๆออกมา ก่อนจะพยายามปลุกนายน้อยในการดูแลของเธอต่อไป
"เช้าแล้วหรือ?" เสียงงัวเงียพูดขึ้น ก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจอย่างไม่เดือดร้อนใจ
"เจ้าหญิงเพคะ รีบเสด็จเถิดเพคะ ก่อนจะไม่ทันการณ์" ร่างท้วมเร่งเสียงเข้ม ร่างค่อนข้างอวบอั๋นในชุดเดียวกันขยี้ตาเดี๋ยวหนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองคนในชุดคลุมที่อยู่ในห้องกับเธอตอนนี้อีกครั้ง
"เดี๋ยวนะ น้าเป็นใคร เข้ามาในห้องฉันได้ยังไง?!" ดิโมล่าที่เพิ่งตื่นเต็มตาถามอย่างไม่ไว้ใจ แต่ไม่ทันที่จะได้คำตอบอะไร สาวใหญ่ก็ฉุดแขนเธอวิ่งออกมาจากห้อง ด้วยความไม่ทันตั้งตัวดี เธอก็ปลิวตามแรงดึงออกมาไม่ยากนัก แต่ก็พยายามขืนตัวไว้
"เดี๋ยวค่ะน้า เดี๋ยวๆๆ นี่จะพาฉันไปไหน!" เด็กสาวโวยวายพลางยื้อแขนตนเองไว้
"ท่านฮาซ่า เจ้าหญิง พร้อมแล้วหรือไม่?" จู่ๆชายร่างใหญ่หน้าดุคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับทหารอีกยี่สิบกว่านายบนหลังม้า
"พร้อมแล้ว รีบพาเจ้าหญิงออกจากที่นี่กันเถอะ" สาวใหญ่บอกพลางดึงผ้ามาปิดหน้าตนเองไว้ให้เห็นแต่ตา เด็กสาวคนเดียวหันมองหน้าหนึ่งหญิงหนึ่งชายด้วยความงง พอสาวใหญ่จะคว้าแขนเธออีก เธอก็รีบชักแขนกลับแล้วถอยห่างสองคนแปลกหน้าทันที
"นี่พี่ชายกับน้าพูดอะไรกัน ฉันไม่เข้าใจ พวกเรารู้จักกันด้วยหรือ?" ดิโมล่า เด็กสาวหน้าสวยเก๋มองทั้งสองสลับกันอย่างต้องการคำอธิบาย
"ไม่มีเวลาอธิบายแล้วเพคะ เราต้องรีบออกจากที่นี่ก่อน หากประสงค์อะไร หม่อมฉันจะทูลให้ทราบทีหลังเพคะ" สาวใหญ่ในชุดคลุมบอกเสียงจริงจัง
"เชื่อท่านฮาซ่าเถิดพระเจ้าค่ะ พวกเราเป็นมิตรต่อกัน" ชายร่างใหญ่ในชุดคลุมดำเปิดหน้าไว้กล่าว
เด็กสาวมองทั้งสองอย่างพิจารณา ก่อนหันมองบริเวณรอบข้างเพื่อจับสังเกต สิ่งที่เธอเห็นเมื่อสายตากระทบกับวัตถุรอบตัว คือสถานที่ทำจากไม้กึ่งศิลาแลงแปลกตา ลักษณะเป็นเคหสถานขนาดใหญ่งามพิสดาร ประดับด้วยตุ๊กตาหินแกะสลักหลากสี ผ้าลายละเมียดละไมปักด้ายทองเป็นอัศจรรย์ห้อยพาดตกแต่งอย่างมีศิลป์
ทันใด เสียงอึกทึกโห่ร้องของคนจำนวนหนึ่งก็แว่วมาไม่ไกลนัก
"พวกกบฏคงฝ่าทหารวังหน้ามาได้แล้ว รีบหนีเถิดพระเจ้าค่ะ" ชายหนุ่มออกความเห็น
"เดี๋ยวก่อน" ดิโมล่าหยุดไว้ "บอกฉันก่อนได้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน?"
"......" สาวใหญ่บอกชื่อสถานที่ที่เธออยู่ตอนนี้ให้ทราบ ชื่อนั้นทำเอาเด็กสาวงงไปครู่ แต่ไม่ทันจะเสียเวลาคิดให้มากความ ร่างอิ่มเนื้อก็ถูกชายหน้าโหดอุ้มขึ้นบนหลังม้าตัวหนึ่ง โดยมีพระพี่เลี้ยงสาวใหญ่ตามมาประกบ และรีบสั่งม้าให้วิ่งออกมาทันที
ขี่ม้าไปยังไม่ถึงครึ่งทาง ดิโมล่าพร้อมเหล่าองครักษ์จำนวนหนึ่งก็พบกับทหารม้าสึกฝ่ายรุกรานที่กำลังเข่นฆ่าทหารของแคว้นนี้อยู่อย่างโหดเหี้ยมเข้า
“นั่นทางนั้น!” เสียงทักดุดันดังมาจากทหารฝ่ายรุกราน
“ท่านพระพี่เลี้ยงพาเจ้าหญิงดิโมล่าหนีไปก่อน เดี๋ยวทางนี้พวกข้าจะถ่วงเวลาพวกมันไว้ให้ จำไว้ขอรับ ต้องไปให้ถึงจุดนัดพบให้ได้!” ชายหนุ่มคนเดิมหันมากำชับพระพี่เลี้ยงวัยกลางคน ก่อนจะหันม้าไปตั้งรับมือกับพวกข้าสึกที่กระชั้นชิดเข้ามาทุกขณะ
“ขอให้พวกท่านโชคดี”พระพี่เลี้ยงกล่าวอวยพรด้วยความเป็นห่วง แล้วตัดใจรีบขี่ม้าจากมา
ฟาร์ ไพร์ แชน เอล พวกแกอยู่ไหน แล้วตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?
หลังจากหนีตายมาทั้งคืน ในที่สุดดิโมล่าและพระพี่เลี้ยงฮาซ่าก็หลบออกมายังเขตทะเลทรายได้อย่างทุลักทุเล เหตุการณ์เมื่อคืนเป็นเรื่องที่เด็กสาวไม่คาดฝันมาก่อน ว่าชีวิตคุณหนูไฮโซอย่างเธอจะต้องมาเจออะไรแบบนี้สักวัน
หนีจากพวกข้าศึกมาได้ ก็พากันตรงไปยังจุดนัทพบที่ทหารหนุ่มบอกทันที แต่เมื่อไปถึง ขบวนลี้ภัยก็ต้องปะทะกับพวกข้าสึกอีกกลุ่มใหญ่ ทหารองครักษ์ทั้งหมดเปิดทางให้เธอและพระพี่เลี้ยงฮาซ่าหลบออกมาก่อน จากนั้นพวกเธอก็พยายามเอาตัวรอดจนพ้นจากประตูเมืองมาได้
“เจ้าหญิงเพคะ เจ้าหญิงเพคะ ตื่นบรรทมเถิดเพคะ อาทิตย์ชี้เกือบจะกลางศีรษะแล้ว” พระพี่เลี้ยงสาวใหญ่เรียกพรางสะกิดให้ดิโมล่ารู้สึกตัว แต่เพราะความเหนื่อยอ่อนจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ทำให้กว่าดิโมล่าจะตื่นขึ้นได้พระพี่เลี้ยงของเธอก็ต้องใช้เวลานานพอดู
“หม่อมฉันว่าเราต้องหาอาหารแล้วเพคะ ตอนนี้เราไม่มีเสบียงเลย”
เมื่อคืน ทั้งคู่จำเป็นต้องทิ้งข้าวของทุกอย่างไว้เพื่อความคล่องตัวในการต่อสู้ ทำให้ขณะนี้ไม่มีอะไรติดตัวสักอย่างนอกจากอาวุธเท่านั้น ดิโมล่าทำเพียงพยักหน้ารับทั้งที่ตัวเธอเองยังรู้สึกเพลียและงัวเงียอยู่
“เจ้าหญิงรอหม่อมฉันตรงนี้หนาเพคะ อย่าไปไหนเด็ดขาด เดี๋ยวหม่อมฉันจะออกไปหาเสบียงมาให้เพคะ”พระพี่เลี้ยงมีอายุกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นเชิงออกคำสั่ง เด็กสาวก็พยักหน้ารับด้วยอาการกึ่งมีสติ กึ่งสะลึมสะลือแบบขอไปที
#ผู้แต่ง ครองใจ เมตต์พิรุณ & Vampire
#ขอบคุณหัวใจ ของเธอ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 389
แสดงความคิดเห็น