ตอนที่ 17 .. “ ลับลมคมใน ”
ฟังเพลงเพราะๆ ประกอบ นิยาย องค์หญิงใบ้ กับ เจ้าชายยาจก
เป็นเพียงความบันเทิงในการฟังเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ รวมถึง เหตุการณ์ของตัวละครในนิยาย เพื่อให้เกิดอรรถรสในการอ่านเท่านั้น ไม่ได้มีผลใดๆกับทางการค้าทั้งสิ้น .. ด้วยความเคารพผู้ประพันธ์นิยาย .. มัชฌิมา
สองชีวิต - วิษณุ เทศขยัน
ขอขอบคุณ คุณวิษณุ เทศขยัน จาก ค่าย Eminor ค่ายย่อยของ EMI ที่เอื้อเฟื้อเพลงให้มาประกอบในนิยาย
Romance Fiction - นิยายรัก / รักโรแมนติก
ตอนที่ 17 .. “ ลับลมคมใน ”
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงพยาบาล ที่พึ่งจบแล้วออกมาทำงานได้ไม่ถึง เดือนเลย มีอะไรหรือเปล่าเพคะ”
พิมพ์ชนก เป็นตำรวจจริงๆแต่เพื่องาน เมืองรามสั่งเอาไว้ ว่า..ไม่ว่าจะเกิดอะไรห้ามเปิดเผยตัวจริงเด็ดขาด พิมพ์เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ ที่เมืองรามส่งมาแฝงตัว เพื่อจะจับเมฆให้ได้ เพราะเป็นวิธีเดียวที่ถือว่าใกล้ตัวเมฆที่สุด เมฆต้องกลับมาลอบทำร้ายและหาวิธีปลงพระชนต์องค์หญิงอีกแน่เมื่อมีโอกาส จึงต้องมีคนคอยอารักขาทางอ้อม และนี่เป็นวิธีที่เงียบที่สุดโดยไม่มีใครสงสัย ไม่มีใครรู้แน่นอน พิมพ์ชนก เป็นหมวดจบใหม่และเก่งที่สุดในรุ่น ยังไม่มีใครรู้จัก เมืองรามอุตส่าห์ไปเลือกและสอบการป้องกันตัว มาเองกับมือ จึงมั่นใจได้ว่าส่งคนมาช่วยและปกป้ององค์หญิงได้แบบไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน ร้อยตำรวจตรีหญิง พิมพ์ชนก นิยมสุข
“เปล่า ไม่มีอะไร เห็นรับทำงานให้กับเมืองรามนึกว่าใช่..แล้วอายุเท่าไหร่หละเนี่ยเราหนะ หน้ายังดูเด็กๆอยู่เลย”
“20 ปีเต็มเพคะ” บางครั้งก็ยังหลุดคำราชาศัพท์มาบ้าง หญิงยุก็ไม่ได้ถือสาอะไร เพราะชินแล้วกับอาการประเภทนี้
“ดูไม่ออกเลยว่า 20 เอาหละในเมื่อเมืองรามฝากมา ก็ทำหน้าที่ของเธอให้ดีก็แล้วกัน แล้วรู้ใช่ไหมว่าหน้าที่ของเรามีอะไรบ้าง”
“ทราบเพคะ ผู้กองบอกว่า ดูแลให้พี่นกทานยาตรงเวลา ทำกายภาพบำบัดทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้ากับเย็น จะสามก็ได้ และที่สำคัญ” พิมพ์ยังพูดไม่จบ หญิงยุใจร้อนเสียจริง พูดแทรกออกมาก่อน “อะไร”
“ห้ามให้พี่นกเครียดและหัวไปกระแทกกับอะไรอีก ไม่งั้นแผลที่เย็บมาจะไม่หายและต้องกลับมานอนโรงพยาบาลอีก”
“เอาหละถ้ารู้แล้วก็ไปนั่งพักได้ อ้อ..ต่อไปนี้พูดกับฉันใช้คำสามัญนะ ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ เวียนหัวกับเธอเหลือเกิน”
“ค่ะ..ขอบพระทัยเพคะ” หญิงยุมองหน้า “ยังอีก แม่นี่ เล่นไม่เลิก..แล้วข้าวของที่จะเอาไปเตรียมไว้หมดหรือยัง”
“หนูเตรียมมาเรียบร้อยแล้วค่ะ” พิมพ์เตรียมตัวกับงานใหญ่ครั้งแรกในชีวิตมาอย่างดี
“เอ้อ แล้วรู้ใช่ไหมว่าพี่นกของเธอ..” หญิงยุถามกำชับกลัวพิมพ์จะลืมว่านกเป็นเช่นไร
“ทราบค่ะ เป็นใบ้ พูดไม่ได้ เรื่องนี้ ผู้กองบอกหนูแล้ว ตั้งแต่รับปากทำงานให้ผู้กอง” แล้วหญิงยุก็หันหน้าไปหาเพื่อน
“ว่าไง หญิงรัน เอ๊ย..นก แกมีน้องสาวเพิ่มมาอีกคนแล้วนะ ดีใจไหม” นกพยักหน้าดีใจที่มีน้องสาวกำมะลอเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
แล้วนกก็กวักมือเรียกพิมพ์เข้ามาหา พิมพ์ทำหน้าเลิ่กลั่ก หญิงยุ พยักหน้าให้เข้าไป พิมพ์ค่อยๆคลานเข้าไปหา นกก็สวมกอด
พิมพ์ แล้วก็เอามือลูบหน้าลูบตาน้องสาวคนใหม่ พิมพ์ดีใจที่นกไว้ใจเธอ ก็เลยสวมกอดกลับเช่นกัน
“ดีใจไหมที่จะได้กลับไปเจอสามี คนที่แกรักแล้วหนะ เย็นนี้” นกทำหน้าแบบว่าบอกไม่ถูก จึงหากระดาษเขียนบอกเพื่อน
“ไม่รู้ซิ มันยังไงยังไงไม่รู้ มีผัวโดยไม่รู้ตัวเนี่ยนะแก” หญิงยุยิ้มนิดๆแล้วปลอบใจเพื่อน
“เอาน่า ในเมื่อแกก็เสียตัวให้เขาไปแล้ว จะเพราะด้วยเหตุใด จำได้หรือไม่ได้ แกก็ต้องไปทวงสิทธิ์ความเมียกลับมาก็แล้วกัน หรือว่าแกจะยอมเสียตัวฟรีๆ” นกทำหน้าเหมือนอินกับตำแหน่งเมียไปแล้วตอนนี้
“แล้วถ้าเป็นแกหละยุ แกจะยอมไหม เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใครเนี่ยนะ ยังไงสุภาษิตไทยอันนี้ก็ยังใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยนะโว๊ย” หญิงยุหัวเราะ “ดูมันพูดเข้า ไหนบอกไม่สนไง” พิมพ์ก็แอบหัวเราะ นกหันไปมองน้องสาวคนใหม่
“ทำไงได้ จริงไหม ก็ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ค่อยๆ แก้กันไปแล้วกัน” แล้วก็นั่งหัวเราะกันแก้เครียด เมื่อได้อ่านข้อความนั้น
฿฿฿฿฿ +++++ ฿฿฿฿฿
เช้าวันนี้ วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน สะอิ้งได้นิมนต์หลวงตาบุญกะทันหันขณะที่ใส่บาตรในตอนเช้า เพื่อให้มาทำพิธีสำคัญระหว่างธวัชและยุ้ยในวันนี้ให้ทันประมาณ 10 โมงครึ่ง นี่ก็ 7 โมง 15 เข้าไปแล้ว
“โอ๊ย..ไม่ทันหรอกโยมสะอิ้ง มันกะทันหันเกินไป เอาเป็นพรุ่งนี้แล้วกัน อาตมาจะทำให้ อย่าใจร้อน มันไม่ดี อาตมาจะได้มีเวลาเตรียมของให้กับเจ้าชายกับและภรรยาด้วย เข้าใจไหม ทำอะไรอย่าใจร้อน เข้าใจไหมโยมอิ้ง”
“ได้ค่ะหลวงตา พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้” หลังจากได้รับคำบอกกล่าว หลวงตาก็เดินจากไป เพื่อไปทำของที่จะใช้ในวันพรุ่งนี้
“พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้ ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมของด้วย แต่งบ้านให้ดีกว่านี้ วันนี้มันกะทันหันเกินไป”
เมื่อได้เวลาที่แน่นอน สะอิ้งก็เลยเดินป่าวประกาศและได้เชิญคนรู้จักแถวนั้นเท่าที่จะเชิญได้ เพื่อให้มางานแต่งเจ้าชายลูกชายของเธอที่บ้านอย่างกระทันหันกันทุกบ้าน เท่าที่จะบอกต่อๆกันไปได้ ในวันพรุ่งนี้ตั้งแต่ 6 โมงเช้าเป็นต้นไป
>>>>> ----- <<<<<
งามตาต้องบอกเรื่องใหญ่เรื่องนี้กับเมืองรามให้ได้ แต่ก็ติดต่อไม่ได้ เพราะเมืองรามวุ่นอยู่กับการสอบสวนแดง อยากรู้ว่าบ้านหลังนั้นเป็นของใคร แต่ก็ไม่รู้เพราะแดงไม่รู้จริงๆ จนต้องทำให้เมืองรามต้องตามสืบใหม่เสียเวลาอีก
***** ----- *****
ช่วงเช้าพอยุ้ยรู้ว่างานเลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้ก็ดีใจโล่งอกไปหนึ่งเปาะ จึงได้ขอตัวจากสะอิ้งโทรกลับไปบ้านที่ใต้ เพื่อบอกเรื่องการแต่งงาน เรื่องสำคัญเรื่องนี้กับพ่อแม่ตัวเอง ที่ได้ตัดสินใจทำลงไปโดยพละการโดยไม่ได้ปรึกษา จึงเกิดปัญหาบานปลาย เพราะพ่อและแม่ทางยุ้ยไม่ยอมที่อยู่ดีๆจะมาแอบแต่งงานโดยไม่ได้สินสอดอะไรเลย จากพ่อแม่ของธวัช
“หนูกำลังจะแต่งงานนะพ่อ ก็เลยโทรมาบอกก่อน เดี๋ยวจะหาว่าหนูมีอะไรแล้วไม่บอกอีก”
“อะไรนะไอ้ยุ้ย แกบอกว่าอะไรนะ แกจะแต่งงาน” พ่อตกใจมากเมื่อได้ยินว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนจะมีผัว
“ข้าให้แกไปเรียนไม่ได้ให้แกไปหาผัวนะโว๊ย โอ๊ย..แล้วนี่ยังไง จะตบจะแต่ง แล้วอะไร ทำไมถึงไม่มีการมาสู่ขงสู่ขออะไรให้มันเป็นกิจจะลักษณะเลย อยู่ดีๆมาบอกว่าจะแต่งงาน นี่อย่าบอกนะว่าแกยอมเป็นเมียมันแบบง่ายๆไปแล้ว ไม่ได้นะโว๊ย เสียชื่อคนใต้อย่างข้าหมด ลูกสาวนายหัวแต้ม จะมีผัวทั้งที มันต้องมีหน้ามีตา ไม่ใช่แอบอยู่แอบกินกันแบบนี้ ข้าไม่ยอม ”
แม่ทนฟังมานาน จึงดึงโทรศัพท์มาแล้วกดลำโพง และวางไว้ตรงนั้นเลย ตัดปัญหา เพราะอยากฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วย
“พ่อ เดี๋ยวรายละเอียดหนูจะบอกทีหลังนะพ่อนะ หนูแค่โทรมาบอกพ่อกับแม่ให้รับรู้เอาไว้เท่านั้น เพราะเดี๋ยวพอหนูพาลูกเขยลงไปหา จะได้ไม่ต้องถามอะไรมาก เข้าใจไหม” ยุ้ยพยายามดึงเกมส์ไว้ก่อน เพราะมันกระทันหันจริงๆ
“ไม่รู้โว๊ย” แม่สวนขึ้นมาทันที “แม่” ยุ้ยตกใจ ที่ได้ยินเสียงแม่บังเกิดเกล้า
“เออ ก็แม่แกไง ไหน มันเป็นใคร แล้วแกไปเสียท่าผัวแกได้ยังไง มันปล้ำแกใช่ไหมอียุ้ย ไปลากมันมาคุยกะฉันเดี๋ยวนี้ ทำไม่ถูก ยังไม่ได้มาสู่ขอให้ถูกต้องตามประเพณี ยังไม่รู้เลยว่าสินสอด อะไรยังไง ไม่ได้ ยังไงฉันก็ให้แกแต่งไม่ได้”
“แม่ แต่หนูเป็นเมียเค้าไปแล้วนะ ยังไงหนูก็ต้องแต่ง ถ้าท้องหนูโตขึ้นมา แล้วแม่กับพ่อจะเอาหน้าไปไว้ไหน นะแม่นะ พ่อนะ และหลังจากงานแล้ว หนูค่อยให้ผัวหนูมาขอขมาทีหลัง” ยุ้ยโกหกไปแบบหน้าด้านๆเลย ถึงขั้นท้องซะงั้น
“นี่แกท้องด้วยเหรอไอ้ยุ้ย” พ่อตกใจ แม่ก็ด้วย “ว่าไงนะอียุ้ย นี่แกถึงขั้นมีลูกแล้วเหรอ โอ๊ย ไม่ได้ไม่ได้แล้ว”
“ไปกันใหญ่แล้วแม่ พ่อ หนูแค่อธิบายให้ฟัง อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ไหม คุยกันแบบนี้ อีก 10 ปีก็ไม่เข้าใจ แค่นี้นะพ่อ แม่ หนูขอวางสายก่อน ผัวหนูไม่ค่อยสบาย หนูขอไปดูพี่เค้าก่อนนะ”
“ไอ้ยุ้ย เรื่องแบบนี้แกบอกว่าเรื่องเล็กเหรอ” พ่อตะโกนถาม
“ไม่ได้อียุ้ย หัวเด็ดตีนขาดฉันก็ไม่ให้แกแต่ง ถ้าฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรกับผัวแก ยังไงฉันต้องได้สินสอดทองหมั้นเสียก่อน แกเตรียมตัวมารับฉันกับพ่อแกได้เลยที่สนามบิน ฉันกับพ่อจะขึ้นไปหาแกเดี๋ยวนี้ที่กรุงเทพ ให้มันรู้ไปว่าไม่มีใครหน้าไหนที่จะมาลูบคมอีพริ้มเพรา นายหัวเมืองใต้อย่างข้าได้ ไปพ่อ ไปบ้านไอ้ลูกเขยตัวแสบกัน ได้ยินไหมอียุ้ย อีก 3 ชั่วโมง แกมาเลย ถ้าฉันถึง สนามบินแล้ว ไม่เห็นหน้าแกนะ มีเรื่อง ไปตาแต้ม” พูดจบ พริ้มเพลา ก็รีบไปแต่งตัวและรีบเดินทางทันที
เมื่ออธิบายคุยกันทางโทรศัพท์ ไม่รู้เรื่อง พ่อและแม่ของยุ้ยจึงต้องรีบบินด่วนจากกระบี่มาที่กรุงเทพทันทีอย่างไว ไม่ถึง 3 ชั่วโมง ยุ้ยต้องมารอรับที่สุวรรณภูมิ ไม่งั้นงานแต่งไม่เกิดขึ้นแน่ และการต่อรองระหว่างเจ้าแม่สวนยางภาคใต้กับคนธรรมดาอย่างสะอิ้ง จะเอาอะไรไปสู้กัน มันมวยคนละรุ่นหรือหนังคนละม้วนกันเลย
เมื่อมาถึงละแวกบ้าน แค่ทางเข้า พริ้มเพรา แม่ของยุ้ยก็ไม่ชอบ ไม่ถูกชโลกเสียแล้ว อย่าว่าแต่แม่เลย พ่อก็ไม่ชอบ พ่อและแม่หันซ้ายหันขวาดูรอบๆขณะที่เดินลงมาจาก Taxi อย่างช้าๆ สภาพความเป็นอยู่ ดูแล้วยังไงก็สลัมชัดๆ หันไปมองหน้ากัน พวกนายหัวเจ้าของสวนยางภาคใต้ ไม่ชอบลูกเขยจนจนอย่างธวัช ล้าน % สภาพแวดล้อมก็ไม่ผ่าน ไม่รู้ว่าจะเจออะไรอีกธวัชเอ๊ย
ทั้งสามคนเดินผ่านหน้าร้านธวัช จนทำให้จ้อยและเอี้ยงต้องแปลกใจว่า สองคนนั่นเป็นใคร ทำไมท่าทางของยุ้ยเหมือนแบกโลกเอาไว้ ทั้งๆที่พรุ่งนี้กำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว เมื่อเห็นดังนั้นจึงค่อยๆปิดร้านชั่วคราวและตามไปอย่างช้าๆ ว่าไปไหนกัน
เมื่อเห็นประตูบ้านยิ่งไม่อยากเข้า “เดี๋ยวอียุ้ย” พริ้มดึงมือซ้ายลูกสาว
“อะไรแม่ ถึงแล้วบ้านผัวหนู จะคุยอะไร ก็ไปคุยบนบ้าน หนูกำลังจะเปิดประตูเข้าไปเนี่ย หนูเหนื่อยนะ”
“นี่บ้านเหรอ ฉันถามแกจริงๆเถอะหนะ” ยุ้ยผิดหวังกับคำพูดของแม่บังเกิดเกล้า ที่กลายเป็นคนดูถูกคนไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“แม่ แล้วแม่มองว่านี่อะไร ผัวหนูเขาก็อยู่มาตั้งแต่เกิด หนูก็อยู่มาแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ผัวหนูเขาไม่ได้รวยอย่างพ่อกับแม่ทางใต้นี่ ที่มีบ้านหลังเบ้อเร้อบาหล้าอยู่กันก็แค่สองคน ถามจริงนี่แม่กลายเป็นคนดูถูกคนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หนูไม่เห็นจะรู้เลย”
“อีนี่นี่ จะมีผัวจะมีครอบครัวทั้งที ฉันก็อยากจะให้แกสบาย ดูซิตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว สภาพไม่น่าจะอยู่ได้เลย น้ำคลองก็ดำ เหม็นเน่า ส่งกลิ่นคุ้งเลย ทางเดินเข้าบ้านก็ไกล ที่จอดรถก็ไม่มี ต้องไปฝากวัด บ้านก็หลังแสนจะเล็กและแคบ”
“เอาเถอะแม่ แม่อยากพูดอะไร บ่นอะไรก็ตามใจ หนูไม่ไหวแล้ว หนูขอไปดูผัวหนูก่อน บอกแล้วว่าเขาไม่ค่อยสบาย คิดถึงด้วย ส่วนแม่กับพ่อ อยากจะยืนอยู่ตรงนี้ ก็ตามใจ ส่วนไอ้กระเป๋าใบนี้ หนูขนขึ้นไปให้เอง ไปหละ ตามสบายนะนายหัว”
ยุ้ยส่ายหัวกับแม่ตัวเอง ไม่สนใจ รีบเดินขึ้นบันได้ พริ้มกับแต้มรีบเดินตามขึ้นไปทันที ยัง ยังไม่จบเรื่องง่ายๆ พอยุ้ยขึ้นมาถึงชานบ้าน พ่อกับแม่ก็มองไปรอบๆ แล้วทำหน้าไม่พอใจ รังเกียจคนจน นี่เหรอสภาพบ้านของลูกเขย สะอิ้งกับทดเดินออกมาต้อนรับด้วยน้ำฝนเย็นๆ “อ้าวมากันแล้ว เชิญนั่งกันก่อน ดื่มน้ำฝนเย็นๆให้ชื่นใจนะ” ทดยื่นขันให้ แต้มรับขันน้ำไปแล้ววางไว้
สองผัวเมียไม่พูดอะไรยังคงทำหน้าเก็กรวยอยู่ พอนั่งลงที่ศาลาก็ หาหยิบเอาสมุดแถวนั้นมาพัด ทำทีว่าร้อน แอร์ก็ไม่มี พัดลมก็ไม่มี แล้วนี่มันจะอยู่กันยังไง “เอ้ายุ้ย เอากระเป๋าเสื้อผ้ามาวางตรงนี้ก่อนลูก” แม่สามีบอกลูกสะใภ้
“พี่วัชหละแม่” ยุ้ยถามหาสามี “คงไปหาหลวงตาที่วัด อ้าวแล้วนั่นจะไปไหนอีกหละ พึ่งกลับมาถึงไม่ใช่เหรอ”
“ไปหาพี่วัชหนะแม่ แกยังไม่หายดีสักเท่าไหร่” ยุ้ยคิดถึงวัช ถึงจะโกรธยังไง ก็อยากจะเจอหน้าอยู่ดี
แล้วยุ้ยก็เดินลงบันไดไปที่วัดทันที พ่อกับแม่ ยังไม่ได้พูดอะไรเลย
“แล้วนั่นมันจะไปไหนหนะ นังยุ้ย จะไปไหน แล้วไหนหละผัวแกหนะ แม่อยากเจอตัว อยู่ไหน” พริ้มต้องการเจอตัวธวัช
“อยู่วัด ถ้าอยากเจอตัวก็ตามมา” เอาไงเอากันหละทีนี้ ยังไงวันนี้ก็ต้องเจอตัวลูกเขยให้จงได้ จึงชวนสามีตามลงไป
“ไปกันตาแต้ม ไปดูหน้าลูกเขยกันไป” แล้วทั้งสองคนก็เดินตามยุ้ยไป
จ้อยกับเอี้ยงซึ่งหลบดูเหตุการณ์ข้างล่างก็รีบถอยทัพกลับไปเปิดร้านก่อนทันที เมื่อยุ้ยเดินกลับลงมา พ่อแม่ยุ้ยไปแล้ว พ่อแม่ของธวัช ก็เลยถือโอกาสตามไปด้วยเลย..ไม่นาน ยุ้ยก็เดินขึ้นมาบนกุฏิหลวงตาบุญ จริงครับ ธวัชหลบหน้าทุกคนมาทำนั่นทำนี่อยู่ที่กุฏิ เพราะยังตั้งหลักอะไรไม่ได้ และอีกอย่าง ธวัชยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหลวงตาเลย
“พี่วัช” เมื่อเห็นหน้าสามี ยุ้ยรีบเรียกทันที “หลบหน้าหนูมาอยู่นี่เอง เกลียดหน้าหนูมากนักรึไง นี่เมียนะไม่ใช่ ไส้เดือนกิ้งกือ”
ธวัชหันหลังไปดู กำลังรับข้าวของจากหลวงตาบุญ ท่านก้าวขาออกมาจากห้องพอดี หลวงตาเลยทักยุ้ย
“อ้าว นังหนู เกิดอะไรขึ้นอีกหละ มาโวยวายอะไรถึงกุฏิอาตมา เสียงมาก่อนตัวอีก มามา มานั่งก่อน มีอะไรก็มานั่งคุยกัน”
ยุ้ยนั่งคุกเข่า พนมมือขอโทษหลวงตา “หนูต้องขอโทษหลวงตาด้วยนะเจ้าคะ ที่ส่งเสียงเอะอะ พอดีมาตามผัว” หลวงตายิ้ม
“ไม่เป็นไรๆ มีอะไรก็ค่อยๆคุยกัน เราใช่ไหมที่จะแต่งงานพรุ่งนี้กับเจ้าชายหนะ” หลวงตาถามเพื่อความมั่นใจ เพราะพึ่งเตรียมอุปกรณ์เสร็จ สักพักพ่อแม่ของยุ้ยก็เดินตามขึ้นมา “ใช่เจ้าค่ะ หนูนี่หละค่ะตัวจริงเสียงจริง” ยุ้ยรีบบอกเพื่อยืนยันตัวตนก่อน
“พอดีหนูเห็นว่าพี่วัชยังไม่ค่อยหายดี จึงมาดู เห็นหายไปทั้งวัน เพราะพรุ่งนี้ก็จะมีงานแล้ว ยาก็ยังไม่ทาน กลัวจะไม่สบายหนะเจ้าค่ะ แล้วนี่หลวงตาจะไปไหนเหรอคะ เห็นเดินออกมาจากห้อง” ธวัชเดินเอาของไปเก็บไว้ในตู้โชว์ประจำตัวของหลวงพ่อ
“ก็พึ่งเตรียมข้าวของอุปกรณ์ให้เจ้าสองคนพรุ่งนี้ไง พึ่งเสร็จก็เลยเดินออกมา” สะอิ้งกับทดก็เดินตามมาติดๆ
“ไหนๆ นังยุ้ยมันอยู่ไหน เดินเร็วชะมัด ตาแต้ม แกนี่ก็เหมือนกัน เดินช้ายืดยาดอึดอาด ไม่ได้ดังใจเลย”
“นั่นไง นั่งอยู่นั่นไง แกนี่ก็ใจร้อนนะ ใจเย็นๆบ้าง” พริ้ม ไม่สบอารมณ์ เมื่อขึ้นมาถึง ก็เริ่มทำให้งานกร่อยทันที
“ไหนอยู่ไหน ผัวนังยุ้ยหนะ ฉันขอดูหน้าหน่อยซิ คนอะไร ไม่เข้าตามตรอกออกทางประตูเลย นิสัยไม่ดี อยู่ไหนออกมา”
“เดี๋ยวๆโยม เดี๋ยว นี่มันอะไรกัน อาตมานั่งหัวโด่อยู่นี่นะ ยังไงก็เกรงใจพระเจ้าบ้าง นั่งลงๆ อะไรผมสองสีกันแล้วนะ”
“ไหนๆเมื่อกี้ใครว่าอะไรลูกฉัน ว่าไม่เข้าตามตรอกออกทางประตู พูดยังงี้ได้ยังไง” สะอิ้งตะโกนเสียงดังมาก่อนตัวอีก
“ฉันนี่แหละ มีอะไรไหม แล้วเธอเป็นใครมิทราบ ถึงได้มาออกรับแทนมันหนะ”
“อ้าวนังนี่ ก็คนที่แกพูดอยู่หนะมันลูกชายฉัน พูดอะไรก็ให้มันดีๆหน่อย อย่าคิดว่ารวยแล้วจะมาพูดแบบนี้กับคนอย่างฉันนะ”
< เพล้ง > หลวงตาเสียมารยาทโยนถาดขนาดกลางลงพื้น “โอ๊ย นี่มันอะไรกัน” หลวงตาโมโห ที่พูดอะไรแล้วไม่ฟังกันเลย ทุกคนจึงหยุดได้ ธวัชรีบเดินออกมา หยิบถาดที่หลวงตาโยนลงไปขึ้นมาเก็บ พริ้มหันไปเห็นพอดี
“นี่หละซินะ คงจะเป็นผัวนังยุ้ยมันหนะ ไหนมานี่ซิแกหนะ” ยังไม่ทันไรก็ใช้อำนาจบาดใหญ่ซะแล้วพริ้มเพลา
ยุ้ยเลยลุกไปนั่งอยู่ใกล้ๆธวัชแล้วห้ามไม่ให้ไป เพราะรู้ว่าแม่ตัวเองเป็นยังไง “ไม่ต้องพี่ อยู่ตรงนี้แหละ”
“นังยุ้ย นี่แกหลงผัวถึงขนาดนี้เลยเหรอ แตะไม่ได้เลยนะผัวแกเนี่ย ไม่ได้ดั่งใจ” พริ้มไม่ได้เกรงใจใครเลย แม้กระทั่งหลวงตา
“เอ้า ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน ไหนมีใครจะบอกอาตมาให้รู้เรื่องและเข้าใจได้บ้างไหม”
ยุ้ยยกมือขึ้น บอกเอง ไม่งั้น ไม่จบแน่ “หนูเองค่ะหลวงตา” หลวงตาหันไปมองหน้ายุ้ย
“เอ้า ว่าไป เจ้าว่าไป คนอื่นเงียบก่อนนะ อาตมาจะฟังจากโยมน้อยคนนี้คนเดียว”
“คือพรุ่งนี้ หนูกับพี่วัชจะแต่งงานกัน แต่พี่วัช ยังไม่ได้ไปสู่ขอหนูจากพ่อและแม่เลย ท่านทั้งสองพอรู้เรื่องเข้า ก็เลยขึ้นมาจากใต้นี่แหละค่ะท่าน” หลวงตาหันไปที่พ่อแม่ของยุ้ย
“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนี่นาโยม แล้วไอ้ที่มาโวยวายเมื่อตะกี๋เนี่ย มันเรื่องอะไร อยากเห็นหน้าลูกเขย ก็มาดีๆ มันก็นั่งอยู่นี่ ไม่ใช่ขึ้นมาทำทีท่า ใหญ่โตเหมือนเมื่อกี้เลยนี่ นี่มันวัด มันไม่ใช่บ้านของเจ้า ถึงจะใช่ มันก็ไม่ควรทำ”
“อิฉันต้องขอโทษพระคุณเจ้าด้วยค่ะ ที่เมื่อกี้ทำอะไรลงไปโดยไม่ได้ยั้งคิด ก็มันโมโหนี่คะ อะไรจะแต่งงานทั้งที ไม่คิดที่จะทำอะไรให้มันดีกว่านี้เลยรึไง ไม่เข้าตามตรอกออกทางประตูก็ทีแล้ว ตอนได้ลูกสาวอิฉัน อิฉันก็ไม่รู้ แล้วนี่อยู่ดีๆจะมาแอบแต่งกันเงียบๆแบบนี้ อิฉันก็ไม่ยอมซิค่ะท่าน สินสอดทองหมั้น อิฉันก็ยังไม่ได้ตกลงเลย ไม่ได้ยังไงอิฉันก็ไม่ยอม”
“ก็มานั่งคุยมาปรึกษากันซิ มันก็ไม่เห็นจะยาก ไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์เหมือนเมื่อกี้ ในเมื่อเด็กสองคนมันรักกัน พรุ่งนี้ก็จะแต่งกันอยู่แล้วเข้าใจไหม ส่วนไอ้เรื่องสินสอดหนะ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เด็กสองคนมันแต่ง อาตมาดูแล้ว เด็กสองคนก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย เจ้าไม่ได้แต่งกับมันซะหน่อย หลังแต่งแล้วค่อยตกลงกัน มันก็ยังไม่สาย จริงไหม ไม่เป็นไรนี่”
“ไม่ได้หรอกค่ะ พระคุณท่าน สำหรับอิฉัน แค่ลูกแอบมามีผัวนี่มันก็เจ็บใจมากอยู่แล้ว จะให้โดนเจาะไข่แดงฟรีๆ แบบนี้อิฉันยอมไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ลูกใครใครก็รัก อีกอย่างลูกอิฉันมันก็ยังเด็กอยู่ แค่ 19 เอง แล้วจู่ๆมาถูกใครที่ไหนไม่รู้มาข่มขืน มาขืนใจ ถ้าอิฉันไม่ได้ค่าสินสอด อิฉันจะเอาเรื่องให้ติดคุกกันไปเลยไม่เชื่อก็คอยดู”
“แม่” ยุ้ยได้ฟังขนาดนั้นถึงกับไม่พอใจแม่ตัวเอง “นี่แม่จะเอาผัวหนูเข้าคุกเลยเหรอ มันไม่มากไปหน่อยเหรอ”
“ใช่ มันไม่มากไปหน่อยรึคุณ ก็ในเมื่อลูกฉันมันผิด ฉันก็ยอมรับผิดแล้วไง ถึงได้จัดพิธีสมรสให้เนี่ยในวันพรุ่งนี้ ยังไม่พอใจอีกเหรอ ถึงกับจะเอาเข้าคุกกันเลยรึ กะอีแค่ไม่ได้สินสอดเนี่ย ว่ามา คุณจะเรียกสินสอดหนูยุ้ยเท่าไหร่ ถ้าคิดว่าจะไม่เอาลูกชายฉันเข้าคุกหนะ” พริ้มเพลา หันไปยิ้มใส่หน้าสะอิ้ง
“3 ล้าน” ทุกคนอึ้งเลย เมื่อได้ยินราคาค่าตัวยุ้ย
“อะไรนะ” สะอิ้งเป็นลมทันที จนทดต้องประคองเอาไว้ ธวัชวิ่งไปดูแม่ตัวเอง ยุ้ยก็ตามไป
“แม่ แม่ แม่” ธวัชหันไปมองหน้าแม่ยายสุดโหด “อย่าว่าแต่สามล้านเลยคุณ พันนึงตอนนี้ผมก็ไม่มี”
ธวัชจ้องหน้าแม่ยาย ยุ้ยรีบพูดทันที เพราะรู้ว่าสามีตัวเองเป็นเช่นไร จนยังกะอะไรดี
“แม่ แม่พูดออกมาได้ยังไง 3 ล้าน ผัวหนูเค้าไม่รวยอะไรขนาดนั้น แม่คิดได้ยังไง รู้ไหมว่าแม่ทำอะไรลงไป”
“ฉันเลี้ยงแกมา ฉันส่งเสียแกมาตั้งเท่าไหร่ ฉันก็ต้องได้ค่าน้ำนม ค่าเลี้ยงดูคืนกลับมาบ้างซิอียุ้ย ฉันไม่ได้คลอดแกมาแล้วมาทำมูลนิธิยกให้ใครฟรีๆนะ” แล้วพริ้มก็ใช้นิ้วชี้ขวา จิ้มไปที่หางคิ้วซ้ายยุ้ย ดันไปอย่างแรง
“นังโง่..ไม่รู้หละ ถ้าฉันไม่ได้สามล้าน ผัวแกติดคุกแน่ โทษฐานข่มขืนกระทำชำเราแก เด็กที่อายุยังไม่ถึง 20 เพราะแกพึ่ง 19”
“ได้..ถ้าคุณอยากเอาผมเข้าคุก ก็เอาเชิญ ผมยินดี และผมจะไม่หนีด้วย”
“ไม่ได้นะพี่ หนูไม่ยอม พี่ยอม แต่หนูไม่ยอม แม่ถ้าแม่จะเอาสามล้านให้ได้ หนูก็จะหนีไปกับพี่วัชเดี๋ยวนี้เลย และแม่ก็จะไม่เห็นหน้าหนูไปอีกเลยตลอดชีวิต เอาซิ ถ้าแม่จะทำ หนูก็จะทำเหมือนกัน”
“ไม่ได้นะลูก” แต้มรีบขัดขวางทันที พริ้มใจอ่อนลงมานิดนึง เพื่อเห็นแก่วัดที่กำลังนั่งอยู่ ไม่อยากให้อาตร้อนไปมากกว่านี้
“ได้ ถ้าแกไม่มี สามล้าน ฉันไม่จับแกขังคุกก็ได้ แต่งานแต่งพรุ่งนี้ ต้องไม่มี ไปกลับ ตาแต้มเอาลูกเรากลับใต้เดี๋ยวนี้เลย ฉันจะจับมันใส่ตะกร้าล้างน้ำ แล้วหาหนุ่มรวยๆทางใต้แต่งกับมันเอง ผัวคนเดียวหาไม่ยากหรอก ไป”
แต้มรีบดึงแขนลูกสาว แล้วลากลงกุฏิไปทันที “พี่วัช พี่วัช ช่วยเมียด้วย หนูไม่ไป หนูไม่กลับ พี่วัช” ทุกคนไม่รู้จะทำยังไงกันแล้ว หลวงตาก็ยิ่งทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่เรื่องนี้ไม่ยุ่งก็คงจะไม่ได้แล้ว เพราะธวัชเป็นคนดีที่ช่วยเหลือชุมชนมาค่อนข้างเยอะ หลวงตาจึงเอ่ยวาจาออกไป “หยุดก่อนโยมทั้งสอง อย่ามาฉุดกระฉากลากยื้ออะไรกันที่นี่เลย”
“ขอโทษนะพระคุณเจ้า เรื่องนี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไปตาแต้ม”
พริ้มไม่สนใจ หลวงตาจึงต้องลั่นวาจาและต้องมุสาเสียแล้วคราวนี้ เพื่อช่วยธวัช “สามล้านใช่ไหม ที่เจ้าต้องการ” พริ้มจึงหยุดได้ “ใช่ ท่านถามทำไม” ทุกคนหันไปมองหลวงตาบุญ
“ฉันจะให้เจ้าเอง แต่เจ้าต้องปล่อยนังหนูนั่นก่อน และสัญญากับอาตมาว่าจะไม่จับเจ้าวัชมันเข้าคุก ทำได้ไหม”
“หลวงตา” ธวัชอุทานออกมา ทดรีบพนมมือ กล่าวท้วงหลวงตาทันที
“หลวงพ่อ ท่านจะเอาที่ไหนมาให้เค้าตั้งสามล้าน เท่าที่กระผมรู้ เงินสดทั้งวัดรวมกัน ยังไม่ถึงล้านเลย อย่าเลยนะท่าน”
หลวงตาบุญยกมือห้ามทด แล้วให้หยุดเงียบก่อน หลวงตาจะขอ Clear เอง “ว่าไงโยม จะปล่อยเด็กคนนั้นได้รึยัง” พริ้มหันไปมองสามี แล้วบอกให้ปล่อยยุ้ย พอพ่อปล่อยยุ้ยรีบวิ่งกลับไปหาธวัชและกอดตัวผัวไว้ไม่ปล่อย แล้วพริ้มก็เดินกลับเข้ามา สะอิ้งค่อยๆฟื้นจากอาการช๊อกเมื่อกี้ ยุ้ยดูแลแม่สามีอยู่ไม่ห่าง “ว่าไงพระคุณเจ้า อิฉันมาฟังคำตอบจากปากท่านใกล้ๆแล้ว สามล้าน”
“ถ้าจะเอาเงินสดหนะ อาตมาไม่มีหรอก จะขอผ่อนผันหน่อยได้ไหม” พริ้มมองหน้า
“ยังไงคะท่าน ไอ้ที่ว่าผ่อนผันหนะ เป็นถึงพระจะมามุสาไม่ได้นะเจ้าคะ”
“จะมากไปแล้วนะสีกา อย่าคิดว่าตัวเองรวยแล้วจะทำอะไรก็ได้นะบ้านเมืองมีขื่อมีแปร อันที่จริงเรื่องที่จะจับเจ้าธวัชหนะ มันก็คงไม่ง่ายหรอก แต่ฉันสงสารนังหนูมันต่างหาก ที่โดนกระชากลากถูออกไปแบบนั้นหนะ ไม่สงสารลูกเจ้าบ้างรึไง พวกเจ้าลองนึกดูดีๆ ถามเด็กมันรึยังว่าจะเอายังไง อาตมาคงจะเตือนสติพวกเจ้าได้เพียงเท่านี้นะ เพราะไอ้เรื่องสินสอดทองหมั้นหนะ มันไม่ใช่สลักสำคัญอะไร ถ้าเด็กสองคนมันรักกัน เราต้องให้ลูกมีความสุขซิมันถึงจะถูก ลูกเราเป็นคน ไม่ใช่สินค้านะโยม”
แต้มเข้าไปสะกิดเมีย “หลวงพ่อพูดถูกนะเธอ ฉันว่าเธอใจเย็นๆก่อนได้ไหม เมื่อกี้ฉันก็เผลอไปชั่ววูบ พอหลวงพ่อทัก ฉันก็สงสารลูกเหมือนกันนะ ฉันว่าสามล้านหนะมันมากไป ฉันว่า หลังงานแต่ง แล้วเราค่อยมาว่ากันใหม่จะดีกว่านะ หลวงพ่อท่านก็พูดถูก เด็กสองคนมันรักกัน มันใช้ชีวิติอยู่กันเองไม่ใช่เรา เราไม่ได้ไปเกี่ยวอะไรกับมัน ปล่อยๆ มันไปเถอะ แค่เขาจัดงานให้ มันก็ดีแล้ว หลังจากนั้น เราก็ค่อยว่ากันทีหลังนะ เชื่อฉัน” แต้มพูดได้ดีมาก เตือนสติจนพริ้ม ยอมลดทิฐิลงมานิดนึง
“ได้ ฉันไม่จับมันติดคุกก็ได้ตอนนี้ แต่ถ้ายังตกลงเรื่องสินสอดไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องแต่งว่าไง”
“แล้วโยมจะลดให้เขาได้เท่าไหร่หละ สามล้านหนะ อาตมาก็ว่ามันสูงไป เจาวัชหนะมันไม่มีหรอก อาตมารู้ดีไม่มุสาหรอก”
“แล้วคุณมีเท่าไหร่ อยากจะให้ค่าน้ำนมฉันเท่าไหร่ไหนลองพูดมาซิ” พริ้มหันไปมองทดกับสะอิ้ง
“ฉันไม่มีหรอกคุณนาย เงินเก็บในบ้านก็มีไม่ถึงหมื่น ถึงจะเอาร้านของเจ้าวัชมาตีราคา เต็มที่ก็ไม่ถึงสองหมื่น ฉันไม่มี”
ทดบอกความจริงไปหมดแล้ว เมื่อพริ้มได้ยินดังนั้น จึงเงียบและไม่มีอะไรจะพูดอีก
“ดี พูดความจริงออกมาก็ดี” ยุ้ยมองไปที่แม่ และมองกลับไปที่พ่อ แล้วจะยังไงต่อ
“แล้วตกลงจะเอายังไงหละแม่ คราวนี้แม่กลับไม่พูดอะไร”
“กลับ ตาแต้ม ในเมื่อทางนี้เขาไม่มี ก็ไม่เป็นไร ฉันจะกลับกระบี่ ยุ้ย ฉันให้โอกาสแกร่ำลาผัวแกแค่คืนนี้คืนเดียว พรุ่งนี้เช้าแกต้องกลับกระบี่กับฉัน ที่ฉันทำแบบนี้ ก็เพราะเห็นแก่หน้าหลวงพ่อหรอกนะ เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่มีมารยาท และไม่รักแก”
“ไม่นะแม่ หนูไม่กลับ ถ้าแม่ไม่ยอมให้หนูแต่งงานอยู่กินกับผัวหนู หนูก็จะหนีไปจากที่นี่ พ่อกับแม่ก็จะตามหนูไม่เจออีกเลย”
“ตามใจแก ถ้าแกคิดว่าจะปีกกล้าขาแข็งได้อย่างที่ปากแกพูดก็เอา ไปตาแต้ม ฉันจะไปหาโรงแรมในเมืองนอน แล้วตอนเช้า ค่อยย้อนมารับมัน เชื่อฉันเถอะว่า มันไปไหนไม่รอดหรอก อ้อ..ฉันลืมบอกแกไปนะนังยุ้ย เงินรายเดือนของแกที่ฉันโอนให้เป็นประจำ ฉันก็จะตัดด้วย ถ้าแกคิดว่า แกมีปัญญาที่จะใช้ชีวิตอยู่กับผัวจนๆคนนี้ของแกได้ ก็ตามใจ ฉันเชื่อนะว่า น้ำหน้าอย่างแก ถ้าไม่มีท่อน้ำเลี้ยงจากพ่อแม่ ดูซิว่า แกจะมีปัญญาอยู่ในสังคมนี้ได้อีกนานสักเท่าไหร่เชียว”
พูดจบพริ้มกับแต้มก็เดินลงไปจากกุฏิทันที จะเอาไงหละทีนี้ เดือดร้อนหลวงตาบุญมาช่วย Clear ก็แล้ว แต่ยังไงผู้ใหญ่ทางฝ่ายของยุ้ยก็ไม่ยอม งานแต่งจึงต้องล้มพังพาบไปโดยปริยาย ทำให้สะอิ้งไม่พอใจ เพราะเรื่องสินสอดที่ Clear ไม่ลงตัว ต้องกลับมาตั้งหลักใหม่ ข่าวก็กระจายไปหมดแล้ว จะทำยังไงหละทีนี้ สะอิ้งรีบตามลงไป เอาไงเอากันกับทางเลือกสุดท้าย
พริ้มกับแต้มเดินออกมาหน้าวัด กำลังจะโบกรถแท็กซี่ แต้มนึกขึ้นได้ว่ากระเป๋าเสื้อผ้ายังอยู่บนบ้านของลูกเขย
“เดี๋ยวนังพริ้ม” สามีหยุดการเรียกรถของเมีย “อะไร ฉันจะรีบไปนอน”
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร” แต้มมองหน้าเมียที่แสนจะใจร้อน “แกลืมอะไรรึเปล่า”
“อะไรของแกอีกเนี่ยตาแต้ม” แต้มยืนกอดอก “แล้วไหนหละกระเป๋าเสื้อผ้าของแกหนะ แกจะไปทั้งๆที่ไม่มีอะไรเนี่ยนะ”
“เออ ใช่ มัวแต่โมโหอีนังยุ้ยมัน ลืมเลย” สะอิ้ง ทด ยุ้ยและธวัช เดินตามลงมาทันพอดีที่หน้าวัด
“เดี๋ยวก่อนคุณนาย” พริ้มหันมา “อะไร ฉันไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว เอาตามนั้น ฉันตัดสินใจแล้ว”
“ฉันว่าเราสองคนกลับไปพูดไปตกลงอะไรกันใหม่กันก่อนที่บ้านไหม เพื่อมันจะมีทางออกสำหรับเด็กสองคนมันนะ”
“แม่ หนูขอหละนะ นี่มันชีวิตของหนูนะแม่ หนูอยากอยู่กับผัวหนู หนูไม่อยากแยกกันอยู่ นะแม่นะ” ยุ้ยอ้อนวอน
พริ้มหันไปมองสามี แต้มพยักหน้าให้กลับเข้าบ้านก่อน
“ยังไงกระเป๋าของเราก็ยังอยู่ที่บ้านนั้นนะ มีอะไรเดี๋ยวก็ค่อยพูดและตกลงต่อรองกันใหม่”
แล้วทั้งหมดก็เดินยกโขยงกลับเข้าบ้านธวัช จ้อยกับเอี้ยงคราวนี้คิดหนักเลย มันมีเรื่องอะไรกันหนะ เพราะเมื่อกี้กลุ่มของนกก็พึ่งเดินเข้าไปไม่ถึง 5 นาที ท่าทางจะไม่ใช่เรื่องดีแน่แล้ว คราวนี้ทั้งสองคนจึงรีบปิดร้านจริงๆและเดินตามไปดูให้มันรู้เรื่อง
----- ===== -----
พอนกกลับมาถึงบ้านก็ต้องพบว่าทุกอย่างมันได้กลับตาลปัดไปหมดแล้ว เพราะบ้านได้มีการถูกจัดอย่างสวยงาม เหมือนจะมีงานอะไรสักอย่างเพราะมีการเตรียมของไว้มากมายอย่างผิดสังเกตุ นกรีบเดินสำรวจรอบบ้านและห้องของตัวเองทันที พวกที่เหลือก็นั่งรออยู่ที่ศาลาหน้าบ้าน พิมพ์สังเกตุเห็นว่ามีกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตของใครวางทิ้งอยู่ หญิงยุเลยหาที่นั่งแถวนั้น
กลุ่มของธวัชค่อยๆทยอยเดินทางกลับมาจากหน้าวัดอย่างช้าๆ ส่วนยุ้ยกับธวัชรีบเดินเข้ามาก่อนเพราะ ธวัชต้องทานยา เริ่มมีอาการเจ็บแผลเล็กน้อย เมื่อเดินขึ้นมาบนบ้านก็เจอเข้ากับกลุ่มเบ้อเร้อของนก โดยมีเมืองราม หญิงยุ และพิมพ์ ส่วนงามตาก็พึ่งเดินมาจากบ้านตัวเอง จะมาดูลาดราวในเรื่องของวันพรุ่งนี้สักหน่อย อีกอย่างมีข้อความของเครื่องเด้งกลับมาบอกว่า ตอนนี้เมืองรามได้เปิดเครื่องแล้ว จึงคิดว่ามาดูสักหน่อย เผื่อมีข่าวอะไรที่คืบหน้าจะได้โทรบอกทีเดียว แต่ก็ต้องกลับมาเจอคนกลุ่มใหญ่มากที่สุดเท่าที่เคยเจอ ธวัชเมื่อเห็นว่านกกลับมาก็ดีใจรีบวิ่งเข้าไปหา แต่เจอยุ้ยดึงแขนเอาไว้แล้วยุ้ยก็กอดผัวเอาไว้ไม่ให้ไปไหน นกมองหน้าธวัชแบบตกใจมาก เมื่อเห็นว่ายุ้ยกอดธวัชอยู่แบบนั้น หญิงยุเมื่อเห็นภาพดังนั้น จึงถามแทนนก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น จะมีงานอะไร” งามตาเห็นทุกคนเงียบไม่มีใครตอบเลยตอบขึ้นมา “งานแต่ง”
“ใคร ใครจะแต่ง” หญิงยุ งงมากับคำตอบสั้นๆห้วนๆของงามตา “พี่วัชกับยุ้ย”
“ว่าไงนะ” หญิงยุ หันไปมองหน้าน้องสาวตัวแสบสุดที่รัก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นยุ้ยไหนตอบพี่มาซิ ทำไมถึงต้องแต่งงานกับเค้า” ยุ้ยเงียบ งามตาจึงตอบแทนอีก
“ก็ยุ้ยเป็นเมียพี่วัชแล้วนะซิ เมื่อคืน” นกถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก ขาอ่อนแรง ตัวทรุดลงไปเลย พิมพ์เห็นจึงรีบวิ่งไปจับตัวเอาไว้ “ว่าไงนะ” หญิงยุถามงามตาอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจว่าหูตัวเองไม่ฝาด
“ไหนแกลองพูดให้พี่ฟังชัดๆอีกทีซิงาม เอ้าใครก็ได้ ยุ้ย คุณธวัช อย่าเงียบกันซิ นี่เรื่องใหญ่นะ คอขาดบาดตายเลยนะเนี่ย”
“ก็เมื่อวานนะซิ พี่วัชหน้ามืดอะไรไม่รู้ อยู่ดีๆก็เข้าไปปล้ำไอ้ยุ้ยมัน พอพ่อแม่เขารู้เข้า เขาก็ไม่พอใจ ตามมาเอาเรื่องถึงที่เนี่ย หนูได้ข่าวมาแว่วๆเมื้อตะกี้เองว่า พ่อแม่ยุ้ยเค้า จะเอาพี่วัชติดคุกอยู่รอมล่อแล้ว นั่นไงเดินขึ้นมากันโน่นแล้ว”
“ไม่ได้นะ แต่งไม่ได้ จะทำยังงั้นไม่ได้ ก็เมียเค้านั่งอยู่นั่น” แล้วหญิงยุก็ชี้ไปที่นก ซึ่งกำลังนั่งดมยาดมอยู่
สักพักนกเดินมาหาเพื่อน พิมพ์ประคองเดินมาหาอย่างช้าๆ สะอิ้งเดินขึ้นมาได้ยินประโยคที่หญิงยุพูดพอดี แต่ไม่ยอมรับนกเป็นสะใภ้อยู่ดี เพราะเจ็บใจที่สองคนนั้นหลอกเธอ อีกอย่างนางชอบยุ้ย อยากได้ยุ้ยเป็นสะใภ้เพียงคนเดียวเท่านั้น
“ฉันไม่รับรู้ แสบนักนะแกไอ้วัช ไหนแกบอกว่าไม่มีอะไรกันไงวันนั้น ปากแข็งโกหกทั้งคู่ นี่คงแอบเอากันมานานแล้วซิ”
“คุณป้าค่ะ พูดให้มันดีๆนะพูดอะไรเกรงใจกันบ้าง นี่เพื่อนหนูเป็นถึง..” นกดึงแขนขวาหญิงยุไว้
“คนเขารักกัน แล้วคุณป้าจะมากีดกันทำไม” หญิงยุ เปลี่ยนประโยคไปอย่างอื่นทันที เพราะเพื่อนห้ามไว้
“ไม่รู้ ก็ฉันไม่รับซะอย่าง ในเมื่อถ้าอยากอยู่บ้านหลังนี้ก็ต้องไปนอนมุ้งเดิมของธวัช เพราะห้องนี้ฉันยกให้เป็นห้องหอระหว่างธวัชกับยุ้ยไปแล้ว และพรุ่งนี้ก็จะมีงานแล้ว” สะอิ้งปฏิเสธิหน้าตาย ไม่เห็นกับนกซึ่งเคยอยู่ด้วยกันมาบ้างเลย นกเสียใจมาก
นกพบว่าสามีตัวเองกำลังจะมีงานแต่งงานกับเมียใหม่ จะเอายังไงหละทีนี้ นกก็ต้องยอมเพราะต้องใช้ที่นี่เป็นที่หลบซ่อนตัวจากคนร้าย “พี่นก พี่ไปอยู่กับหนูก็ได้ หนูยินดี ใครเค้าไม่ให้อยู่ ก็ไม่ต้องอยู่”
งามตาให้นกไปอยู่ด้วยที่บ้าน นกส่ายหน้าไม่ไป หญิงยุก็ไม่รู้จะทำยังไง เมืองรามก็ยังหาทางออกให้ไม่ได้ ต้องรอดูสถานการณ์ต่อไปก่อน นกเขียนข้อความส่งให้เพื่อนอ่าน
“ฉันทนได้ ฉันอยู่ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันก็จะอยู่” นกยืนยันแบบนั้น จนเพื่อนต้องยอมใจ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นกถึงต้องทน ทั้งๆที่ ตัวเธอเองก็ไม่ได้ผูกพันกับธวัชสักเท่าใด เธอคิดเช่นนั้นในตอนแรก แต่พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า นกกลับไม่ถอย ซึ่งมันก็แปลก อาจจะเป็นเพราะว่า ความรู้สึกดีๆบางอย่างที่มีกับธวัชเริ่มกลับมาบ้างแล้วก็เป็นได้ พริ้มกับแต้ม เดินขึ้นมาพอดี มองหากระเป๋าเดินทาง เมื่อเห็นจึงเดินเข้ามาแล้วลากกระเป๋าออกมาทันที
“หลีกๆขอทางด้วย แล้วนี่มันเกิดอะไรกันขึ้นมาอีกเนี่ย ใครกันเต็มไปหมดเนี่ยนังยุ้ย”
“เมียเก่าพี่วัช” แต้มงง กับประโยคที่ลูกสาวบอก “อะไรนะ เมื่อกี้แกบอกว่าใครนะเมียเก่า เอ๊ย นี่ผัวแกทำไมมันเจ้าชู้แบบนี้เนี่ย”
“นั่นซิ อะไรกัน มีเมียเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว และยังจะมาปล้ำแกทำเมียอีกคน เลิก เลิกเลยนังยุ้ยฉันไม่อนุญาติให้แกแต่งงานแล้ว เมื่อกี้เดินคิดมา ยังคุยกับพ่อแกเลยว่าจะหยวนๆให้แกไปก่อน พอแต่งเสร็จ หลังแต่งค่อยมาคุยกันใหม่ ยิ่งรู้ว่าตอนนี้ผัวแกมีเมียอยู่อีกคนแบบนี้ ฉันขอห้ามเลยนะ ไปไป แกรีบไปเก็บข้าวของเสื้อผ้า กลับกระบี่กับฉันตอนนี้เลยไป ไม่รอแล้วตอนเช้า”
“ไม่ ไม่นะ หนูรักพี่วัช หนูจะอยู่กับผัวหนู แม่อย่าทำแบบนี้ซิ มันเหมือนฆ่าหนูทั้งเป็นเลยนะแม่ ก็ในเมื่อพี่นกเค้าหายตัวไปตั้งนานแล้ว จะกลับมาทำไมก็ไม่รู้ ไม่รู้หละ ยังไงหนูก็จะอยู่กับผัวหนูที่นี่ คนอื่นที่หายไป กลับมาตอนนี้ ถือว่ามาทีหลัง เรื่องนี้หนูไม่รู้ด้วย” แล้วยุ้ยก็กอดธวัชแบบสุดชีวิต จนนกก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเช่นกัน เถียงสู้เขาก็ไม่ได้ เพราะเป็นใบ้
ทุกคนเลยทำอะไรกันไม่ถูกแล้ว ยืนนิ่งเงียบกันไปหมด สักพักยุ้ยก็รีบพาธวัชไปทานยาในห้อง เพราะธวัชเริ่มปวดแผล เลือดไหลซึมผ้าออกมาแล้ว พอยุ้ยไปสะอิ้งกับทด ก็เดินแยกเข้าห้องไป พริ้มกับแต้ม ก็เดินไปนั่งที่โต๊ะทานข้าว เมืองรามยืนเกาะราวระเบียง หญิงยุ ก็นั่งลงที่ศาลา ส่วนนกได้แต่ยืนร่ำไห้อยู่ตรงนั้น มองเข้าไปในห้องของตัวเองซึ่งตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว พิมพ์ก็ไม่รู้จะช่วยพี่สาวตัวเองยังไงเช่นกัน งามตามเดินมาตบไหล่ซ้ายนกเบาๆ จ้อยกับเอี้ยงรู้ความจริงจนได้ จึงได้แต่เป็นห่วงลูกพี่
฿฿฿฿฿ +++++ ฿฿฿฿฿
คืนนี้คงไม่มีใครได้นอนแน่ ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ หญิงยุ งามตา เมืองราม ก็ไม่ได้กลับ 4 ทุ่มเข้าไปแล้ว ทุกคนออกมานั่งรวมกันอีกครั้งหลังจากที่ได้แยกย้ายกันออกไปหาอะไรทานกันมา บางคนก็นั่งตบยุง บางคนก็นั่งดูทีวีฆ่าเวลา
นกคิดไปคิดมา ก็ไม่ยอม จึงยอมพูดความจริงออกมา เธอรบกวนให้พิมพ์ช่วยบอกกับทุกคนว่ามีความจริงบางอย่างที่จะขอบอก
“เอาหละค่ะ ทุกคน ช่วยหันมาฟังหนูหน่อยนะคะ เรื่องมันจะได้จบๆ ทุกคนจะได้ไปนอนกันได้ซะที 4 ทุ่มแล้ว”
ทุกคนจึงหันมาฟังสิ่งที่พิมพ์จะพูด “หนูขอเป็นตัวแทนพี่สาวหนูนะคะ” พริ้มข้องใจว่าทำไมนกถึงไม่พูดเอง
“แล้วทำไมนังหนูนั่นถึงไม่พูดเองหละ ให้เธอมาพูดแทนทำไม” แต้มดึงมือเมียให้เงียบๆก่อน
“ช่างเถอะ จะใครพูดมันก็เหมือนกันนั่นแหละ ขอให้เราได้ฟังจากปากเขาหน่อย ดูซิว่า เขาจะพูดอะไร เอาเชิญเลยหนู”
“ขอบคุณค่ะคุณลุง พี่นกแอบได้เสียกับพี่ธวัชมานานเกือบ 3 เดือนแล้วค่ะ แต่ปิดไว้ เพราะพี่ธวัชขอเอาไว้ เสียทองเท่าหัว พี่สาวหนู ก็คงไม่ยอมเสียผัวให้ใครเหมือนกัน อย่างเด็ดขาด คงเข้าใจนะคะทุกคน”
ถึงยังไงสะอิ้งก็ไม่ยอมรับ “ฉันบอกแล้วไงว่า ฉันไม่ยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้ ฉันยอมรับนะว่า เมื่อก่อนฉันเอ็นดูเธอมาก แต่นั่นมันก็คือเมื่อก่อน ฉันไม่ชอบคนโกหก ฉันเคยถามแล้ว แต่เธอบอกว่าไม่ใช่ แล้วตอนนี้เธอยังจะมาทวงสิทธิ์ทำไม ทำไมถึงไม่ยอมรับตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนั้นถ้าเธอยอมรับ ฉันอาจจะเห็นใจก็ได้” นกส่งข้อความให้พิมพ์
“พี่นกไม่แคร์ ถ้าไม่ยอมให้พี่หนูอยู่กับผัว พี่นกก็ไม่ยอม เหมือนกัน” คราวนี้ก็เริ่มมีปากเสียงกันอีกรอบ
ทะเลาะกันอยู่พักใหญ่ ในเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องนกจึงใช้ไม้ตายไพ่ใบสุดท้ายที่เตรียมเอาไว้ นึกว่าจะไม่ได้ใช้เสียแล้ว สุดท้ายก็ได้ใช้ แผนนี้เขาได้ขอร้องให้เมืองรามทำให้ รู้กันเพียงสองคน < ย้อนภาพตอนที่นก คุยกับเมืองรามตอนที่ขอให้ทำทะเบียนสมรสปลอม ก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาลเพียง 2 วัน แล้วฝากมากับพิมพ์ เมื่อพิมพ์เจอนกจึงมอบให้ > แม้กระทั่งหญิงยุเพื่อนสนิทก็ไม่มีโอกาสได้รู้ “ไม่ได้” นกสะบัดมือขึ้น ยังไงก็ไม่ยอม “เมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง จะแต่งให้ได้ ก็ให้มันรู้ไป”
นกขอกระเป๋าสะพายจากพิมพ์ และเปิดกระเป๋า หยิบกระดาษออกมาใบนึงแล้วชูขึ้น ทุกคนเห็นมันคือ ทะเบียนสมรส ธวัชเองก็งง
“กูไปจดทะเบียนสมรสกับนก ตอนไหนวะ” แต่ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อนดูซิว่านกมีแผนอะไร แล้วเอามาได้ยังไง เพราะมันเป็นหลักฐานทางราชการ เขาจึงมองไปที่เพื่อน มีลับลมคมในอะไรกันแน่สองคน แต่ก็ยังเฉยๆไว้ เพราะอยากรู้ว่านกจะเล่นเกมส์อะไรต่อไปอีก หญิงยุยิ่งงงหนักเข้าไปอีก ไหนบอกว่าจำอะไรไม่ได้ แล้วมีทะเบียนสมรสได้ยังไง หญิงยุก็เลยต้องทำตัวเนียนตามน้ำไปก่อนอีกคนเช่นกัน พิมพ์ประกาศลั่นแทนพี่สาว
“ว่าไง ยังจะแต่งกันอยู่อีกไหม หลักฐานมีครบ” ทุกคนคว้าเอกสารไปดู ยังไงก็ของจริง เพราะเมืองรามให้เพื่อนที่เขต ทำเองกับมือ จะไม่แท้ได้ยังไง โชคดีนะที่ธวัชไม่ใช้ลายเซ็นซ์ เมืองรามจำได้ว่า ธวัชชอบเขียนด้วยลายมือ จึงง่ายต่อการที่จะปลอมแปลง
ยิ่งทำให้พ่อแม่ของยุ้ยไม่พอใจมากขึ้น เมื่อได้อ่านทะเบียนสมรสที่อยู่ต่อหน้า
“นายธวัช รุจิศม กับ นางสาว สกุณา บริรักษ์กุล ได้จดทะเบียนสมรส กันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แล้ว เมื่อวันที่..”
“กลับกระบี่กับแม่เดี๋ยวนี้ แล้วเตรียมตัวเข้าคุกกันได้เลย ฉันจะฟ้องพวกแกทั้งหมดนี่แหละข้อหา ข่มขืนกระทำชำเราลูกสาวฉัน ไปคุณ ไปนังยุ้ย เจ็บใจนัก จดทะเบียนกันมาตั้ง 3 เดือนแล้ว ยังจะมาพรากพรหมจรรย์ลูกสาวฉันอีก เจ็บใจจริงๆ”
เมืองรามพยายามไกล่เกลี่ย “ผมเป็นตำรวจ ยังไงผมว่า เรามาไกล่เกลี่ยกันก่อนได้ไหมครับ” เมืองรามบอกแม่ยุ้ยว่าเขาเป็นตำรวจ ยังพอคุยกันได้
“ดีเลย คุณตำรวจ งั้นฉันขอแจ้ง ข้อหานายคนนี้ ที่มาล่วงเกินข่มขืนลูกสาวฉัน จับมันเลย”
“ผมจับเพื่อนผมไม่ได้” เมืองรามปฏิเสธิเสียงแข็ง “อ้าว พวกเดียวกัน ได้ ฉันไปพึ่งคนอื่นก็ได้ ตำรวจเพื่อนฉันก็มีเยอะแยะ”
“คุณแม่ครับ” นานๆธวัชจะอ้าปากออกมาได้ “ใครแม่แก ฉันมีแต่ลูกสาว”
“ผมจะแต่งครับถ้าจะทำให้คุณแม่สบายใจ”
“แล้วเมียแกหละ นั่งหัวโด่อยู่นั่นไม่ใช่เหรอ นางคงจะยอมหรอก”
“หนูยอม” นกชูกระดาษขึ้นมา หญิงยุพยายามห้าม แต่นกทนไม่ไหวแล้ว
“แล้วทำไมไม่พูด เป็นใบ้รึไงยะ เห็นเงียบมาตั้งนานแล้ว มีแต่แม่คนโน้นพูดแทน เถียงแทนจ๋อยๆตลอด”
“ใช่คะ หนูเป็นใบ้” นกชูกระดาษขึ้นมาอีกใบ แม่ของยุ้ยอ้าปากค้าง รับไม่ได้ เอาหละซิ
“เป็นใบ้ อะไรนะ นี่แกเป็นใบ้จริงๆรึนี่” แล้วหันไปที่ยุ้ย ยุ้ยพยักหน้า
“นี่ผัวแกยังเอาอีกเหรอ โอ้โฮ ผัวแกเนี่ยนะสุดยอดเลยหวะ คลำตรงไหนไม่มีหาง พ่อฟาดเรียบ ว่างั้น ”
หญิงยุ ไม่พอใจกับสิ่งที่พริ้มพูด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะนกขอไว้
“แต่หนูมีข้อแม้” นกชูกระดาษมาเรื่อยๆ “ข้อแม้อะไร” พริ้มข้องใจว่านังใบ้มันมีอะไรจะมาต่อรอง
แล้วนกก็หันไปมองยุ้ย ยุ้ยก็ใช่ย่อย มองกลับมาเช่นกัน ไม่มีใครยอมใคร
“ยุ้ยต้องออกมานอนนอกห้อง มาใช้ที่นอนเดิมของพี่วัช และมีสิทธิ์ในตัวธวัชแค่ 2 วัน คือเสาร์อาทิตย์เท่านั้น”
“ไม่ยอม ไม่เอา หนูไม่ยอม พี่นกซิควรจะเป็นคนที่ออกมานอนข้างนอก เพราะพี่นกหายไปตั้งนานแล้ว”
ยุ้ยไม่ยอมยังไงก็ไม่ยอม “พี่นกจะมาทำแบบนี้กับหนูไม่ได้ ถึงหนูจะรักพี่ แต่เรื่องผัว เรื่องนี้หนูก็ยอมไม่ได้ ในเมื่อพี่วัชเป็นคนปล้ำหนู หนูไม่ได้เป็นคนเริ่ม พี่วัชก็ต้องรับผิดชอบอยู่กับหนูทุกวัน และต้องรับผิดชอบกับการกระทำที่ตัวเองก่อขึ้น พี่นั่นแหละที่ควรจะไปอยู่นอกห้องไม่ใช่หนู” เอาละซิ สองเมียไม่มีใครยอม เถียงกันอยู่ค่อนข้างนาน
สุดท้ายก็มีทางออกที่ดี คือธวัชยอมแต่ง ถ้าแม่ยอมทำข้อตกลงที่เขาขอ คุยกันได้พักใหญ่ สะอิ้งยอม แต่แม่ของยุ้ยไม่ยอม ยุ้ยขอแม่ไว้ เพราะไม่งั้นไม่ได้นอนกันแน่ นี่ก็เที่ยงคืนเข้าไปแล้ว สุดท้ายพริ้มแม่ของยุ้ยก็ยอม
รุ่งเช้า ของวันที่ 2 มิถุนายน ถึงได้มีงานแต่งได้ แต่งานแต่งครั้งนี้ไม่ธรรมดาพิเศษกว่าที่อื่นคือ เจ้าบ่าว 1 แต่มีเจ้าสาวถึง 2 คน บรรยากาศในงานวันแต่งสนุกมาก ทุกคนมีความสุขดีไม่ว่าแขกที่มาร่วมงานเพื่อนๆที่ช่วยกันในงาน หลวงตายิ้มออกที่ทุกคนมีทางออกที่ดี หลังจากรดน้ำเป็นที่เรียบร้อยในช่วงเช้า ช่วงบ่ายก็มีการกินเลี้ยงกันตามปกติ ไม่มีงานกลางคืน เพราะเจ้าบ่าวยังไม่หายดีสักเท่าใด ธวัชบอกกับเพื่อนๆทุกคนในงานว่าไม่มีใครเป็นหลวงหรือน้อยนะ มีแต่เมียคนโต(นก)กับเมียคนเล็ก(ยุ้ย)
องค์หญิงมีลับลมคมในที่แอบแฝงอยู่กับการที่ยอมเสี่ยงแต่งงานกับธวัชในครั้งนี้ พอส่งตัวเข้าหอนี่แหละเด็ดสุด ต่างคนต่างก็ไม่ยอม จะนอนกอดผัวตัวเอง จะเอาเป็นเจ้าของ ของตัวคนเดียว จนธวัชรำคาญ ยืนเถียงกันอยู่ได้
“โอ๊ย ไม่ต้องแย่งกัน นอนกอดทั้งคู่นี่แหละ” ธวัชนอนกลาง นกนอนซ้ายส่วนยุ้ยนอนขวา “ตกลงตามนี้” คืนนั้นจึงผ่านไปได้ด้วยดี แต่มีที่แปลกของสองเมียอย่างนึงที่เหมือนกันคือ ยังไม่ยอมให้ธวัชทำอะไร พูดง่ายๆ คือยังไม่ยอมให้เอาตรงนั้น จนกว่าธวัชจะแน่ใจในตัวเองว่ารักใครกันแน่ ตามข้อตกลงที่มีไว้ให้กันทั้งสามคน ส่วนตรงบริเวณอื่นเมียสองคนอนุญาต เพราะถือว่าเคยผ่านมือธวัชมาแล้วยังพอทำใจ ไม่ว่าจะจับ/ดูดนม หอมแก้ม หน้าผาก มือ ตัว ว่าง่ายๆถ้าไม่ใช่ตรงนั้นไม่ว่า ตามสบาย
**** ----- *****
เมื่อเมฆทำงานพลาดบ่อยขึ้นองค์ชายจึงออกโรงเอง องค์ชายได้มาถึงสถานที่จริงที่เมฆเคยมา แต่งตัวภูมิฐานอย่างดีมากับรถโรสรอยว์คันงาม ใส่แว่นกันแดด มหาดเล็กออกมาเปิดประตูให้ จ้อยกับเอี้ยง นั่งอยู่ในร้านมองออกไปว่าใครน้อช่างรวยแท้
“เอ๊ยใครวะเอี้ยง แกเคยเห็นไหม มาทำอะไรที่วัดวะ หรือว่าเขาจะมาบริจาคให้กับวัดจนๆแถวบ้านเราวะ”
“ข้าจะไปรู้แกรึ ก็นั่งอยู่ด้วยกัน ทำงานไปเถอะ ช่วงนี้ลูกพี่เรายังไม่ค่อยหายดี อีกอย่างกำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน แต่งเมียตั้ง 2 คนพร้อมๆกัน แรงคงหมด คงอีกหลายวันกว่าจะลงมาลุยงานแบบเดิม ทำไป งานมีรอเพียบ”
องค์ชายมาเดินสำรวจ แต่เช้า พวกนั้นยังไม่ตื่นกัน เพราะเหนื่อยกับงานมา 2 วันแล้ว จนเดินมาถึงร้านของธวัช สักพักคนขับรถขององค์ชายก็เข้ามาสอบถามอะไรบางอย่าง ดูเหมือนกับว่าอยากรู้อะไรบางอย่างจากที่นี่
“ขอโทษนะครับ” มหาดเล็กมาถามเอี้ยง
“มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ รถเป็นอะไรรึเปล่า รถเก๋งเราก็ซ่อมได้นะครับ ไม่ใช่แต่มอไซด์”
“ไม่ทราบว่า เคยเห็นคนๆนี้แถวนี้บ้างรึเปล่าครับ” เอี้ยงหันมาดูภาพ เป็นภาพขององค์หญิง ที่สวยงามไม่ใช่นก ถึงหน้าจะคล้ายๆ แต่ก็ไม่น่าใช่ จึงเรียกจ้อยมาดูอีกคน “เอ๊ย จ้อย แกมาดูซิ ว่าเคยเห็นคนในรูปนี้ไหม”
จ้อยเดินมาดู แล้วก็ส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นสวยระดับเทพแบบนี้ เขาจะมาถึงนี่ได้ไง” คนขับรถก้มขอบคุณแล้วก็เดินออกไป กลับไปหาองค์ชายที่ยืนอยู่หน้าวัด จ้อยกับเอี้ยงมองตามออกไป เห็นคนนั้นเข้าไปพูดอะไรกับองค์ชายไม่รู้ แล้วก็เดินหายไปข้างวัดตรงศาลาท่าน้ำ งามตาเดินออกมาจากบ้านตัวเอง กำลังจะไปบ้านธวัช เพราะนี่ก็หลายวันแล้วหลังจากที่แต่งงาน จะไปเก็บของที่หลงเหลือค้างอยู่และจะเอามุ้งที่พึ่งซ่อมเสร็จไปให้สะอิ้ง เนื่องจาก พ่อแม่ของยุ้ยยังไม่กลับ สองผัวเมียทดกับสะอิ้งจึงต้องยอมออกมานอนนอกห้องเป็นการชั่วคราว จนกว่าแต้มกับพริ้มจะกลับใต้ และตกลงเรื่องสินสอดกันอีกครั้ง หลังจากที่ยอมให้ลูกสาวแต่งงานตามที่ยุ้ยขอไว้
งามตาเดินถือมุ้งออกมา ก็สังเกตุเห็นว่ามีชายวัยกลางคนหนึ่งคน และวัยรุ่นหนึ่งคน กำลังยืนยืนคิดอะไรสักอย่างและมองออกไปทางแม่น้ำเหมือนกำลังต้องการความช่วยเหลือ เธอจึงเดินเข้าถาม เพื่ออยากจะช่วยเหลือ อาจช่วยอะไรได้บ้าง
“โทษนะคะ” องค์ชายหันมา วูบแรกที่งามตาเห็น เธอสะดุ้งเหมือนมีอะไรสักอย่างทำให้เธอกลัวขนแขนลุกโดยไม่รู้ตัว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันเนี่ย ทำไมขนฉันถึงลุกซู่แบบนี้..มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
----- ===== -----
สองสามวันนี้หญิงยุจะมาหาเพื่อนบ่อยมาก เพราะหลังจากแต่งงานแล้ว หญิงยุไม่ค่อยไว้ใจธวัชกับยุ้ยสักเท่าไร กลัวจะทำร้ายจิตใจนกทางอ้อม หญิงยุจึงหวั่นใจว่านกจะมีเรื่องกระทบจิตใจขึ้นมาอีก ถึงจะมีพิมพ์มาคอยอยู่เป็นเพื่อนแล้วก็ตาม
วันนี้ก็ปาเข้าไปวันที่ 6 มิถุนายนแล้ว มีอีกเรื่องที่หญิงยุลืมไปเลย จึงรีบบอกเมืองราม คือเรื่องท่านพ่อประชวร เมื่อเมืองรามรู้จึงหาทางออกให้ โดยขอร้องให้นกโทรหาท่านพ่อท่านแม่ได้ แต่แค่โทรนะ เต็มที่ก็แค่วีดีโอคอลเพื่อให้ท่านเห็นหน้าเท่านั้น ห้ามไปหา และห้ามให้หญิงยุพูดอะไรไปมากกว่าที่ตกลงกันไว้ ไม่งั้นจะทำให้แผนที่วางกันไว้เสีย เมืองรามมีลับลมคมในกับแผนที่ยังไม่บอกให้ใครได้ล่วงรู้สักคนแม้กระทั่งธวัช เพื่อให้ท่านพ่อหายจากประชวรเท่านั้น นกก็รับปาก หญิงยุจึงลากนกออกมาจากห้องนอนก่อนในขั้นแรก ปล่อยให้ธวัชกับยุ้ยอยู่ด้วยกันสองคนในห้อง อยากจะทำอะไรกันก็เชิญ เพราะตอนนี้เรื่องของท่านพ่อสำคัญกว่า จึงจัดการต่อสายให้ โดยเปิดวีดีโอคอลจากไลน์ ไปหาสาวใช้ที่ชื่อพิกุล เพราะท่านพ่อไม่มีสมาร์ทโฟน
“พิกุลนี่ฉันเองหญิงยุนะ” พิกุลดีใจมากที่อยู่ดีๆท่านหญิงวีดีโอคอลมาหาได้ในวันนี้ เพราะร้อยวันพันปี ไม่เคยที่จะโทรหาเลย
“ท่านหญิง สวัสดีเพคะ วันนี้ลมอะไร ท่านหญิงถึงวีดีโอคอลมาหาหม่อมฉันได้”
“ไม่ต้องถามมาก เสด็จอาอยู่ไหม” หญิงยุเป็นห่วงอาการเสด็จอา
“บรรทมอยู่ด้านบนเพคะท่านหญิง ท่านประชวรไม่สบายมาหลายวันแล้ว สงสารท่านมากเลยสงสัยคงเรื่ององค์หญิงน้อย”
แล้วหญิงยุก็เลื่อนกล้องมาที่นก พอพิกุลเห็นนก ก็จำได้ทันที ถึงสภาพร่างกายจะผิดไปจากเดิมเช่นไร แต่เธอก็จำเจ้านายเธอได้ พิกุลจึงเรียกแขไขให้มาดูอีกคน เผื่อเธอจะตาฝาด “องค์หญิงของพิกุล แขไข แขไข องค์หญิงน้อย กลับมาแล้ว แขไขเร็ว”
แขไข รีบวิ่งมาดู พอเห็นหน้าองค์หญิงน้อยของพวกเธอ ถึงกับน้ำตาไหล “องค์หญิงของบ่าว สวัสดีเพคะ สบายดีหรือเปล่า” แขไขดีใจจนน้ำตานองหน้า นกยิ้มให้กับทุกคน สักพักหญิงยุก็เลื่อนกล้องกลับมา “รีบพาฉันไปหาเสด็จอาเดี๋ยวนี้ เร็ว”
“เพคะท่านหญิง” แล้วพิกุลกับแขไข รีบวิ่งขึ้นไปบนห้อง เสด็จพ่อซึ่งกำลังนอนหมดอาลัยตายอยากอยู่ในห้องซึ่งมีหม่อมมณีกุล ศรีภรรยาคอยดูแลอยู่ตลอด สาวใช้ทั้งคนเมื่อถึงห้องก็รีบคุกเข่า แล้วรีบคลานไปหาหม่อมทันที แล้วกระซิบที่ข้างหู
“จริงเหรอ พิกุล ไหนขอฉันดูหน่อยซิ” พิกุลยื่นโทรศัพท์ให้ หม่อมมณีกุลก็หงายโทรศัพท์มาดู เห็นหน้าของลูกสาว ยิ้มและร้องไห้อยู่ตรงหน้า
“ลูกหญิงของแม่” หม่อมเอามือลูบหน้าจอโทรศัพท์ “หนูอยู่ไหนลูกกลับมาหาแม่กับพ่อนะลูก” นกพยักหน้า สักพักหญิงยุก็พูดขึ้นมา
“หม่อมอาคะ ตอนนี้หญิงรันสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถกลับไปอยู่ที่วังได้ ขอเวลาอีกสักระยะนึงก่อน เพราะคนที่ปองร้ายยังจับตัวไม่ได้ จึงต้องอยู่ที่นี่ก่อน หวังว่าหม่อมอาคงจะเข้าใจนะคะ อดทนอีกหน่อย แต่ตอนนี้หนูอยากให้เสด็จอา เห็นหน้าลูกสาวก่อน อย่างน้อยท่านก็จะได้สบายใจขึ้นนะคะหม่อม”
“ได้ๆๆ รอสักครู่นะ” แล้วหม่อมก็เดินไปปลุกพระสวามี “ท่านพี่ ท่านพี่” เสด็จเจ้าฟ้า ลืมตาขึ้นมา “มีอะไรรึน้องหญิง”
“ดูอะไรนี่ซิคะ ว่าใคร” เสด็จหันไปดูที่โทรศัพท์ “หญิงรัน หญิงรันลูกพ่อ” ถึงแม้ว่าสายตาจะฝ้าฟาง และพึ่งตื่นก็ตามเถอะ
พอท่านพ่อได้เห็นหน้าลูกและได้ยินเสียงลูก ถึงแม้จะเป็นเสียงของคนใบ้ เสด็จพ่อก็จำเสียงแบะๆใบ้ๆของลูกสาวตัวเองได้ ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะดูทรุดโทรมไปเพียงใดก็ตาม เหมือนมีปาฏิหาริย์ อาการที่คิดว่าหนักก็ทุเลาลงทันที อาการดีขึ้นทันตาเห็นเหมือนไม่เคยเป็นอะไร เสด็จลุกขึ้นมานั่งได้เองโดยไม่ต้องประคอง ทุกคนแปลกใจมาก
“พ่อคิดถึงลูกมากรู้ไหม ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหน กลับมาหาพ่อนะลูกนะ” หญิงยุก็อธิบายให้เสด็จฟังอีกครั้งเหมือนเมื่อตอนคุยกับหม่อม
“ได้หญิงยุ อาจะรอนะ และทำตามที่หญิงบอก” เสด็จดีใจมากที่ได้เห็นหน้าลูกสาว
“อย่าลืมนะคะเสด็จอา รับปากกะหนูนะว่าห้ามบอกใคร แม้กระทั่งองค์ชาย เพราะตอนนี้เราไว้ใจใครไม่ได้ แม้แต่คนเดียว และขอกำชับพวกเราทุกคนโดยเฉพาะนางกำนัลทั้งสองคนนี้ว่าห้ามหลุดปากเรื่องนี้ให้ใครรู้โดยเด็ดขาด เพราะมิฉะนั้นแล้วหญิงรันจะไม่ปลอดภัย จบงานเมื่อไหร่ แล้วเราค่อยเจอกัน แค่นี้นะคะเสด็จอา คุยนานมากไม่ได้ เพราะเดี๋ยวคนทางนี้เขาจะสงสัย”
“ได้ๆ ฉันขอเห็นหน้าหญิงรันอีกครั้งได้ไหมหญิงยุ” แล้วหญิงยุก็เลื่อนกล้องไปที่หญิงรัน เธออ้าปากพูดรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีเสียง แต่เธอก็พยายามพูดออกมา พร้อมกับปาดน้ำตา และชูกระดาษขึ้นมา สั้นๆแต่ได้ใจความ “หนูรักเสด็จพ่อ และท่านแม่นะเพคะ”
เท่านั้นแหละ น้ำตาของทั้งสองพ่อและแม่ ก็พรั่งพรูออกมา เพราะความคิดถึงลูกสาว แล้วหญิงยุก็ปิดกล้อง..งามตา รวบรวมความกล้า เดินเข้าไปให้ใกล้อีกนิด “ดิฉันเห็นคุณมีสีหน้าและท่าทางเหมือนจะมีอะไรที่ไม่สบายใจ ว่าไงคะดิฉันจะรีบไป”
“มันบอกไม่ถูกหนะครับ คือผมมาตามหาคน มีคนบอกว่า คนที่ผมรู้จักมาอยู่แถวนี้ แต่ผมก็ลองสอบถามดูแล้ว มันก็ยังไม่มีวี่แวว ทองไหนแกลองเอารูปให้คุณคนนี้ดูหน่อยซิ” แล้วทองก็เอารูปขององค์หญิงรันให้งามตาดู
งามตาดูแล้ว ยังไงก็ใช่นกแต่ด้วยสัญชาติญานของเธอ เมื่อเธอมีความรู้สึกและสัมผัสได้ถึงความไม่ปลอดภัย เธอจึงปฏิเสธิและเลี่ยงที่จะไม่บอกความจริงกับองค์ชาย งามตาจ้องหน้าโกมุทและมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสงสัย
“ไม่รู้จัก และไม่เคยเห็นด้วย แล้วคุณเป็นอะไรกับคนในภาพนี้หละคะ ถึงได้มั่นใจว่าเธอคนนี้อยู่ที่นี่” งามตาลองหยั่งเชิง
“ผมเป็นคู่หมั้นกับเธอ อืม..แล้วผมจะมาตอบคำถามคุณทำไมเนี่ย มันไม่มีความจำเป็นเลยสักนิดที่ผมจะต้องบอกอะไรกับคุณ ยังไงก็ขอบใจนะครับ ไปทอง ฉันว่า วันนี้เราคงไม่เจอเธอแล้วหละ วันหน้าค่อยมาใหม่ เพราะยังไง ข้อมูลที่ฉันได้มาก็คงจะไม่ผิดอะไร แดดเริ่มออกแล้วฉันร้อน ไป” แล้วโกมุทก็ก้าวเดินออกจากตรงนั้นไปพร้อมกับมหาเล็กที่ชื่อทอง
งามตาสงสัยเป็นอย่างมากว่าชายวัยกลางคนคนนี้มาถามหานกทำไม ด้วยความอยากรู้เธอจึงรีบเดินไปยังบ้านของธวัชทันที
฿฿฿฿฿ +++++ ฿฿฿฿฿
เมืองรามยิ้มออกมาได้ เพราะจบไปอีกเรื่องที่มันแสนจะหนักใจ หันไปดูเพื่อนที่กำลังซุกซนอยู่กับเมียในห้อง หญิงยุหันไปลูบหน้าลูบแก้มเพื่อน เพราะน้ำตานองหน้า แล้วดึงมากอด “สบายใจแล้วนะเพื่อน ตอนนี้มันก็ขึ้นอยู่กับแกแล้วหละรัน” นกพยักหน้า งามตาเดินหอบมุ้งขึ้นมาพอดี “อ้าวที่รัก จะมาทำไมไม่บอก พี่จะได้ไปรับ”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ แค่นี้เอง มุ้งไม่ได้หนักอะไร” แล้วก็เดินเลย เข้าไปในครัวเพื่อเอามุ้งไปให้สะอิ้งก่อน แล้วก็เดินออกมา
“พี่หญิง พี่ราม เมื่อกี้นะตอนที่หนูเดินมาที่นี่ หนูเจอกับผู้ชายวัยกลางคนนึง คนเขามาถามหาพี่นกด้วยหละ หนูว่ายังไงก็ใช่ ถึงรูปที่เค้าจะให้หนูดู มันจะสวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์” ทั้งสองคนสนใจ “แต่หนูบอกไปว่าไม่รู้จัก”
“ลักษณะเป็นยังไงนะงาม พี่ขออีกครั้ง ช่วยบอกใหม่” เมืองรามขอร้องให้แฟนบอกอีกครั้ง
“เป็นคนรวยแน่ๆ เพราะชุดที่ใส่ ดูยังไงก็แพงมีราคา หน้าตาดี สูง ขาว ดูดีมีราศี อายุไม่น่าจะเกิน 35 และที่สำคัญ เหมือนเขาจะมีคนรับใช้มาด้วย”
งามตาอธิลายลักษณะจนหญิงยุนึกภาพออกมาได้คนหนึ่ง “เสด็จพี่ โกมุท”
>>>>>>>>>> ********** <<<<<<<<<<
โปรดติดตามตอนต่อไปใน ตอนที่ 18 .. “ พันธนาการของหัวใจ ”
ตอนที่ 17 .. “ ลับลมคมใน ”
Romance Fiction - นิยายรัก / รักโรแมนติก
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 611
แสดงความคิดเห็น