บทที่ 162 รางวัลจากราชา

-A A +A

บทที่ 162 รางวัลจากราชา

บทที่ 162 รางวัลจากราชา

สกายเดรสทรอยิงไฟร์

ประเภท เวทมนตร์ธาตุไฟ

มานาที่ต้องใช้ 50

เวลาร่าย ทันที

ระยะ 100 เมตร

รายละเอียด ปล่อยเพลิงสวรรค์ไปยังตำแหน่งเป้าหมายที่กำหนด หลังจากเวลาผ่านไป 2 วินาที เพลิงสวรรค์จะตกลงมาที่ตำแหน่งนั้นสร้างความเสียหาย 300 หน่วยให้กับเป้าหมายทั้งหมดในรัศมี 10 เมตร โดยความเสียหายจะถูกแบ่งเฉลี่ยให้กับเป้าหมายทั้งหมดในพื้นที่

ในชาติก่อนตอนที่สกิลนี้ถูกเปิดเผยออกมาใหม่ ๆ มันก็เป็นหนึ่งในสกิลที่ถูกผู้เล่นวิจารณ์อย่างหนัก ท้ายที่สุดการต้องรอให้สกิลแสดงผลถึง 2 วินาทีมันก็ถือว่าสกิลนี้เป็นสกิลที่เชื่องช้ามากเกินไป เพราะเวลา 2 วินาทีกว่าที่สกิลจะแสดงผลเป้าหมายก็คงจะวิ่งหนีไปไหนต่อไหนแล้ว

ต่อมาผู้เล่นก็ได้ค้นพบประโยชน์ของสกิลนี้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะนักเวทไฟชั้นยอดที่สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของศัตรูได้ล่วงหน้าทำให้สกิลนี้ถูกยกย่องขึ้นมากลายเป็นสกิลระดับเทพ

ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถในการใช้สกิลนี้ยังเป็นตัวชี้วัดว่านักเวทคนไหนคือนักเวทชั้นยอด และในชาติก่อนลู่หยางก็ชอบใช้สกิลนี้มากที่สุด

เมื่อศัตรูเหลือพลังชีวิตนิดเดียวและคิดว่าตัวเองสามารถหนีรอดออกจากระยะการโจมตีได้แล้ว พวกเขาก็จะไม่ทันระวังตัวและถูกเพลิงสวรรค์พุ่งลงมาสังหาร การได้ทำลายความหวังของศัตรูในช่วงเวลาแบบนั้นมันก็เป็นความรู้สึกดีที่เหนือเกินกว่าคำบรรยาย

ลู่หยางทำการเรียนรู้สกิลในทันทีและด้วยผลของหัวใจแห่งเทพอสูร มันจึงทำให้สกายเดรสทรอยิงไฟร์ถูกอัปเกรดเป็นเลเวล 2 โดยอัตโนมัติ พลังโจมตีพื้นฐานของเวทมนตร์จึงเพิ่มขึ้นเป็น 500 หน่วย และเมื่อได้รวมกับพลังโจมตีเวทของเขาแล้วสกิลนี้ก็สามารถสังหารผู้เล่นบางคนได้ในคราวเดียว

ชายหนุ่มเอาน้ำยาส่วนที่เหลือมาเก็บไว้ในกระเป๋า จากนั้นเขาก็รอจนคูลดาวน์ของสกิลวนกลับมาทั้งหมดแล้วทำการสังหารมอนสเตอร์ไปตลอดทั้งทาง

หลังกลับมายังเมืองซาโรสได้สำเร็จ ร่างของลู่หยางก็กลายเป็นสีแดงเพลิงเพราะสำหรับเขาแล้วมันก็ไม่มีที่ไหนปลอดภัยกว่าวิหารเทพอสูรอีกแล้ว

“ลูกพี่ พวกเราจะออกไปพักแล้วนะครับ” เสี่ยวเหลียงส่งข้อความมาหา

“ฉันก็กำลังจะออกพอดีเลย รอฉันแป๊บหนึ่งเดี๋ยวฉันไปช่วยจัดการเรื่องที่นอน” ลู่หยางตอบ

“โอเค ได้ครับ” เสี่ยวเหลียงตอบ

ลู่หยางกดคลิกออกจากเกม ซึ่งหลังจากรอสักครู่เขาก็ถอดหมวกเกมออกจากหัว

พวกเสี่ยวเหลียงก็กำลังถอดหมวกเกมออกด้วยเช่นกัน ระหว่างนั้นมู่ยี่ก็หันมามองลู่หยางก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันตื่นเต้น

“พี่ลู่หยาง เกมนี้โคตรสนุกเลย!”

“แน่นอนอยู่แล้ว นี่มันคือเกมที่สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตของมนุษยชาติได้เลยนะ” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับลูบหัวน้องชายเบา ๆ

มู่ยี่พยักหน้ารับอย่างแรงและเขาก็เชื่อคำพูดของลู่หยางอย่างสนิทใจ

ลู่หยางพิจารณาสถานการณ์ตรงหน้าและได้พบว่าตอนนี้บ้านของเขามันเริ่มจะคับแคบมากจนเกินไปแล้ว

“ฮั่นอิงกับมู่หยูไปนอนในห้องด้วยกัน ส่วนพวกเราพวกผู้ชายนอนกันบนพื้น ตอนนี้ทุกคนช่วยอดทนกันไปก่อนนะ หลังจากหาเงินได้พวกเราค่อยย้ายกันไปอยู่บ้านที่ใหญ่กว่านี้” ลู่หยางกล่าว

“ลูกพี่ ความจริงอยู่ด้วยกันแบบนี้มันก็อบอุ่นดีนะครับ” เสี่ยวเหลียงกล่าว

“ใช่ครับ อย่างน้อยการอยู่ที่นี่มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีบ้าน” ฮั่นเฟยกล่าว

เด็ก ๆ ไม่มีใครอยากจะแยกออกจากกัน เมื่อลู่หยางได้ฟังคำพูดของทุกคนมันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจ เพราะเมื่อก่อนเขาก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรเลยเหมือนกัน ขอแค่ได้อยู่กับมิตรสหายที่ดีต่อกันแค่นั้นมันก็มีความสุขมากแล้ว

ความรู้สึกแบบนี้อาจจะเป็นความรู้สึกที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ เพราะพวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าอะไรคือมิตรภาพที่แท้จริง มีเพียงคนที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะรู้ว่าความรู้สึกแบบนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากแค่ไหน

“เอาล่ะเรื่องย้ายบ้านค่อยคุยกันวันหลัง ตอนนี้พวกเราแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเล่นเกมกันต่อ”

“ครับ/ค่ะ” ทุกคนตอบพร้อมกัน

หลังอาบน้ำแต่งตัวฮั่นอิงกับมู่หยูก็กลับเข้าไปในห้องอย่างมีความสุข ขณะที่พวกผู้ชายแบ่งกันนอนบนโซฟาและนอนบนพื้น

เช้าวันรุ่งขึ้นมู่ยี่ขยี้ตาตื่นนอนและพบว่าพวกลู่หยางที่นอนข้าง ๆ ไม่อยู่แล้ว เด็กหนุ่มจึงมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะเห็นทุกคนกำลังออกกำลังกายโดยมีฮั่นจงคอยให้คำแนะนำอยู่ใกล้ ๆ

“ทำไมพวกพี่ถึงมาออกกำลังกายกันหมดเลยครับ?” มู่ยี่เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับเอ่ยปากถาม

“น้องชายอยากจะเข้าร่วมกับพวกเราด้วยไหมล่ะ?” เสี่ยวเหลียงกล่าวและถึงแม้บนใบหน้าของเขามันจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่คำพูดของเขามันกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“ได้ครับ” มู่ยี่ตอบโดยไม่ได้รู้เลยว่าการฝึกของพวกลู่หยางเป็นสิ่งที่ยากลำบากมากแค่ไหน

“อาจารย์ช่วยดูมู่ยี่ให้หน่อยได้ไหมครับ ถ้าหากร่างกายเขาเหมาะสมก็ช่วยฝึกพิเศษให้กับเขาเลย” ลู่หยางกล่าว

ฮั่นจงสังเกตมู่ยี่อยู่สักพัก ก่อนที่เขาจะพูดว่า

“ร่างกายถือว่าสมส่วนดี เดี๋ยวฉันจะลองวางแผนการฝึกให้กับเขาก็แล้วกัน”

ฮั่นเฟยขยิบตาให้มู่ยี่พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า

“น้องชาย คราวนี้นายซวยแล้วล่ะ”

ตอนแรกมู่ยี่ยังไม่เข้าใจคำพูดของฮั่นเฟยมากนัก แต่เขาก็เข้าใจคำพูดนั้นหลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปเพียงแค่ไม่นาน เพราะการฝึกของฮั่นจงมีความเข้มงวดมาก นอกจากนี้เนื่องมาจากเขามีพื้นฐานร่างกายที่แข็งแรง การฝึกจึงเต็มไปด้วยความยากลำบากตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น

หลังออกกำลังกายกันจนเสร็จทุกคนก็อาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะสวมหมวกเพื่อกลับเข้าไปภายในเกม

ลู่หยางลงไปเคลียร์ดันเจียนวิหารออสมานอีกหนึ่งรอบ ก่อนที่จะกลับไปยังเมืองเซนต์กอลล์และได้พบว่าเมืองหลวงที่เคยคึกคักในวันนี้กลับมีบรรยากาศที่ตึงเครียด

ผู้คนบนท้องถนนต่างก็กำลังเดินอย่างเร่งรีบราวกับว่ามันกำลังมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่สำคัญเกิดขึ้น

ลู่หยางไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ เขาจึงถือสัญลักษณ์ของหัวหน้าเผ่าเดินทางไปยังห้องโถงของพระราชา

ภายในห้องโถงของพระราชาถูกปูด้วยพรมสีแดงกลางห้องโถงและมีขุนนางยืนเรียงรายกันสองข้างทาง โดยในปัจจุบันกษัตริย์แห่งเมืองเซนต์กอลล์กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์และปรึกษากับเหล่าบรรดาขุนนางที่อยู่ด้านล่าง

“เราต้องส่งกองกำลังไปทำลายกลุ่มใต้ดินของพิกก์ให้ได้ เราไม่ควรปล่อยให้มันขยายอิทธิพลอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นสักวันหนึ่งพวกมันจะกลายมาเป็นภัยคุกคามสำหรับเรา” แม่ทัพลูบิสกล่าว

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เห็นด้วยกับสงครามในครั้งนี้ แต่พิกก์อยู่ห่างไกลจากพวกเรามาก การส่งกองกำลังไปที่นั่นไม่ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดเลย นอกจากนี้กองกำลังของพิกก์ยังมีความแข็งแกร่งสูงมาก บางทีพวกเราอาจจะยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้” เสนาธิบดีกล่าว

“ถ้างั้นเราก็ส่งกองทัพศักดิ์สิทธิ์ไปสิ” แม่ทัพลูบิสกล่าว

“ไม่ได้ กองทัพศักดิ์สิทธิ์จะต้องคอยปกป้องวิหารศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เราจะไม่ส่งพวกเขาไปยุ่งกับเรื่องอื่นเป็นอันขาด” นักบวชชุดขาวขลิบทองกล่าว

“แล้วพวกเราจะปล่อยให้พวกมันขยายอำนาจไปเรื่อย ๆ งั้นเหรอ? หากพวกมันแข็งแกร่งขึ้นแล้วเราจะอธิบายกับประชาชนว่ายังไง” แม่ทัพลูบิสกล่าวอย่างโกรธเคือง

เหล่าบรรดาขุนนางทำได้เพียงแค่ส่ายหน้า ขณะที่ราชากอลล์ยังคงแสดงสีหน้าอย่างกังวล เมื่อลู่หยางเห็นการเจรจามาถึงทางตันเขาก็ตัดสินใจแสดงตัวในทันที

“นักเวทฝึกหัด? นายมาทำอะไรที่นี่” แม่ทัพลูบิสหันไปแสดงความโกรธใส่ลู่หยาง

ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ซึ่งในตอนแรกเขาไม่รู้ว่าจะทำภารกิจนี้อย่างไร แต่สถานการณ์ในปัจจุบันมันก็ทำให้เขาเริ่มมั่นใจขึ้นมาแล้ว

“ผมได้สังหารพิกก์ลงไปแล้วและนี่ก็คือป้ายประจำตัวของเขา ต่อจากนี้ไปเผ่าพันธุ์ของเขาย่อมไม่สามารถคุกคามพวกเราได้เป็นเวลานาน” ลู่หยางกล่าวพร้อมกับหยิบสัญลักษณ์ของหัวหน้าเผ่าออกมาจากกระเป๋า

แม่ทัพลูบิสวิ่งเข้ามาหาลู่หยางอย่างตื่นเต้น ก่อนที่เขาจะหยิบสัญลักษณ์ของหัวหน้าเผ่าไปทำการตรวจสอบ

“นี่มันเป็นของจริง” แม่ทัพลูบิสกล่าวพร้อมกับหัวเราะ

แววตาของราชากอลล์เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น ก่อนที่เขาจะพูดว่า

“นักเวทฝึกหัด นายชื่อว่าอะไรแล้วนายทำเรื่องนี้สำเร็จได้ยังไง?”

“ผมชื่อลู่หยางครับ…” ลู่หยางเริ่มเล่าเรื่องการสังหารพิกก์ให้ราชากอลล์ฟังอย่างละเอียด

ราชากอลล์พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มเอ่ยคำชมเชย

“คราวนี้นายได้ช่วยพวกเราจัดการกับภัยคุกคามที่ร้ายแรงเพื่อเป็นการตอบแทนนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป นายสามารถเข้ามาซื้อของจากเจ้าหน้าที่คลังแสงของราชสำนักได้ตลอดเวลา”

ระบบ: คุณได้ทำการส่งมอบสัญลักษณ์ของหัวหน้าเผ่า ได้รับค่าชื่อเสียงจากเมืองเซนต์กอลล์ 300 หน่วย

คุณปลดล็อคฉายาซิลเวอร์แฮนด์

 

 


 

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Right Reserved.