บทที่ 170: ส่งสิ่งนี้ให้ทางการ

-A A +A

บทที่ 170: ส่งสิ่งนี้ให้ทางการ

มู่จวินเซิ่งยังพูดไม่ทันจบ แต่จินซือหยางก็คิดถึงผลที่ตามมาได้และอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

หากสิ่งนี้เกิดขึ้นในห้องครัวด้านหลัง พวกเขายังสามารถหยุดยั้งมันเอาไว้ได้ชั่วคราว แต่หากสิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นในห้องโถงด้านหน้า งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของนักดาบหิรัณย์ก็จะเกิดการนองเลือด

“เราควรส่งสิ่งนี้ไปให้ทางการ” มู่จวินเซิ่งลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดออกมาว่า “สุดท้ายแล้วจากเหตุการณ์นี้ก็มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ดังนั้นทางการควรให้คำอธิบายแก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต”

“ไม่ได้!” จินต้าเสียปฏิเสธขึ้นทันควัน “จวินเซิ่ง เจ้าคงอยู่ที่ค่ายทหารมาตลอดดังนั้นจึงไม่รู้อะไรมากนัก”

“ยุทธภพก็คือยุทธภพ”

“ตราบใดที่ข้ายังอยู่ในยุทธภพนี้อีก 1 วัน…”

“ท่านลุงจิน ข้าอาจจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพเลยอย่างที่ท่านว่า” มู่จวินเซิ่งหันไปมองจินต้าเสียด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ขณะที่ดวงตาของเขาจ้องตรงไปที่อีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ “ข้ารู้เพียงว่าหากมนุษย์ต้องเสียชีวิตไป เรื่องนี้ควรรายงานต่อทางการ”

“ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับกู่หรือสิ่งอื่นใด คนของทางการจะต้องเป็นคนออกหน้าจัดการเรื่องนี้”

ทางด้านนักดาบหิรัณย์ไม่พูดอะไรและเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มเงียบ ๆ

ขณะนั้นจินซือหยางที่เห็นว่าบรรยากาศในห้องโถงเริ่มหนักหน่วงขึ้น เขาจึงรีบก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่ฉิน ท่านคงไม่รู้อะไร”  

“แม้ว่าเราจะเต็มใจรายงานเรื่องนี้ต่อทางการ แต่ทางการอาจจะไม่เต็มใจที่จะรับช่วงต่อ”

มู่จวินเซิ่งขมวดคิ้วและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนรีบวิ่งเข้ามารายงาน คนผู้นั้นบอกว่ามีคนรับใช้หลายคนที่เรือนด้านหลังดูเหมือนจะเป็นบ้าไปแล้ว คนเหล่านั้นไล่กัดทุกคนที่พบเห็นและมีหลายคนที่ถูกกัด

มู่จวินเซิ่งกับจินต้าเสียไม่สนใจที่จะโต้เถียงกันอีก ทั้ง 2 รีบมุ่งหน้าไปที่เรือนหลังบ้านทันที

ขณะนี้คนรับใช้ที่กระหายเลือดเหมือนคนในห้องครัวก่อนหน้านี้ไม่มีลมหายใจอีกต่อไปแล้ว ทว่าพวกเขายังคงเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

นักดาบหิรัณย์จัดการจับคนพวกนั้นด้วยตัวเองและขังพวกเขาเอาไว้ในคุกใต้ดิน ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากว่าหลังจากงานเลี้ยงวันเกิดของเขาจบลง เขาจะส่งคนเหล่านี้ให้ทางการจัดการ

แม้ว่ามู่จวินเซิ่งจะยังคงรู้สึกไม่เห็นด้วย แต่จินต้าเสียก็ยอมถอยให้ 1 ก้าวแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถโต้แย้งใด ๆ ได้อีก

จากนั้นทุกอย่างก็สงบสุขลงเพียงภายนอก เพราะผู้คนในจวนตระกูลจินต่างตื่นตระหนกรวมถึงคนรับใช้ทุกคนก็เริ่มหวาดกลัวคนที่อยู่รอบตัวว่าพวกเขาจะกลายเป็นบ้าขึ้นมาตอนไหน

แล้วบรรยากาศแห่งความตื่นกลัวนี้ก็ค่อย ๆ ส่งผลต่อแขกในห้องโถงด้านหน้า ทำให้หลายคนคาดเดาได้แล้วว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น

“นายท่าน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?” ฮูหยินจินซึ่งกำลังแจกโจ๊กอยู่ที่ด้านหน้าเดินไปนั่งลงที่โต๊ะและกระซิบถามผู้เป็นสามี “ข้าเห็นคนรับใช้หลายคนหน้าซีด แล้วพวกเขาก็ไม่ยอมตอบอะไรตอนที่ข้าถามเลย”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

จินต้าเสียส่ายหัวก่อนจะถามกลับไปว่า “ซือซืออยู่ที่ไหน? วันนี้เจ้าให้นางคอยอยู่ข้างกายเจ้าเอาไว้ตลอด อย่าปล่อยให้นางเดินเพ่นพ่านไปไหน”

ฮูหยินจินเม้มปากแน่นและตั้งท่าจะถามต่อ แต่ฝ่ายสามีกลับเดินออกไปต้อนรับแขกก่อนแล้ว

เวลาผ่านไปไม่นาน ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง

โคมไฟถูกแขวนประดับทั่วจวนตระกูลจิน ประกอบกับลานหน้าบ้านเต็มไปด้วยโต๊ะขนาดใหญ่ ทำให้บรรยากาศที่นี่ดูมีชีวิตชีวามาก

มู่ไป๋ไป่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตรงมุมหนึ่ง โดยที่สายตาของเธอจับจ้องเด็กหนุ่มตรงข้ามที่กำลังดื่มอยู่เพียงลำพัง “หึ คนโกหก”

เซียวถังอี้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับทำหน้าระรื่น “เจ้าตัวเล็ก เจ้าเรียกใครคนโกหก?”

“ใครอยากรับก็รับไปสิ!” เด็กหญิงสะบัดหน้าไปตะคอกใส่อีกฝ่าย หลังจากช่วงบ่ายเธอก็สามารถดึงมู่จวินฝานมาเป็นฝ่ายตนได้สำเร็จ ถ้าเจ้าสัตว์ประหลาดนี่ยังกล้ารังแกเธออีก เธอจะขอให้พี่ชายช่วยเธอจัดการเขา

“ไป๋ไป่...” มู่จวินฝานคีบขนมหอมหมื่นลี้หอมหวานใส่ในจานให้น้องสาว “เจ้ากินสิ อย่าเอาแต่โกรธท่านอา”

มู่ไป๋ไป่โกรธมาทั้งวันแล้ว ทำให้เธอหิวมาก ดังนั้นเธอจึงไม่พูดอะไรอีกและรีบหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบขนมเข้าปาก ขณะที่กัดไปหนึ่งคำเธอก็พูดว่า “ข้าจำไม่ได้ว่าเรามีท่านอาด้วย เขาไม่ใช่น้องชายแท้ ๆ ของท่านพ่อหรือ?”

เนื่องจากการเซ้าซี้ของคนตัวเล็ก มู่จวินฝานจึงเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับเซียวถังอี้มากมายหลายเรื่อง

หลังจากที่เธอได้ยินเช่นนี้ เธอก็คิดได้อย่างเดียวว่าคนผู้นี้โชคดีมากจริง ๆ

เขาบังเอิญไปช่วยอดีตฮ่องเต้เอาไว้ และสุดท้ายเขาก็ถูกรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมแล้วกลายเป็นองค์ชายคนหนึ่ง

“ไป๋ไป่!” มู่จวินฝานแสร้งทำเป็นโกรธ “อย่าพูดอย่างนั้น”

“ทำไมข้าจะพูดไม่ได้” มู่ไป๋ไป่ทำหน้ามุ่ย “ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ที่บ้านสักหน่อย และข้าก็ไม่สนใจเขาด้วย”

ทางด้านเซียวถังอี้หรี่ตาลงพร้อมกับเหยียดยิ้มมุมปาก “ใช่ ข้าก็ไม่สนใจ”

แม้ว่าเจ้าตัวเล็กจะปากเสียไปสักหน่อย แต่สิ่งที่นางพูดก็ค่อนข้างถูกต้อง

เมื่อเทียบกับตำแหน่งอ๋องแล้ว เขาชอบออกไปท่องพเนจรอยู่ข้างนอกอย่างอิสระมากกว่า

   ขณะนั้นองค์รัชทายาทถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตามปกติแล้วน้องสาวของเขาเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองดีมาก แต่ทำไมนางถึงกลายเป็นเช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จอา?

แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่อาจตามใจเธอในเรื่องนี้ได้จริง ๆ

“ท่านพี่ รากบัวหวานอันนี้อร่อยมาก ท่านลองชิมดูสิ!” มู่ไป๋ไป่รีบคีบอาหารไปให้พี่ชายพร้อมกับยิ้มประจบประแจง “ท่านพี่อย่าได้ถอนหายใจอีกเลย”

“เอาเถอะ” มู่จวินฝานรู้สึกอบอุ่นในใจและทนที่จะต่อว่าเด็กน้อยอีกไม่ไหว

ยามนี้งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของจินต้าเสียก็มีชีวิตชีวามาก พวกเขาจ้างคณะละครให้มาแสดงภายในงานด้วย ทำให้ตอนนี้ตรงกลางลานบ้านมีผู้คนแต่งกายงดงามมาขับร้องเพลง

มู่ไป๋ไป่ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจทีเดียว เธอชอบรับชมการแสดงในขณะที่กินอาหารอร่อย ๆ ไปด้วย ถ้าไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นเมื่อเช้า เธอคงจะรู้สึกสบายใจมากกว่านี้

ต่อมา เธอยังได้ยินจากอวี้เซิ่งว่าทุกคนที่พวกเธอเห็นตอนอยู่ในห้องครัวก่อนหน้านี้ตายไปหมดแล้ว

คนครัวพวกนั้นมาจากร้านหย่งเซวียนทั้งหมด

นี่จึงถือได้ว่าเป็นเวรกรรม

หลังจากมู่ไป๋ไป่รับประทานอาหารเสร็จ เธอก็วางแผนเอาไว้ว่าวันพรุ่งนี้เธอจะเดินทางไปที่ร้านผิงชางเพื่อบอกเถ้าแก่พ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งมันถือว่าเป็นการทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเขาสำเร็จ

ยามที่เด็กหญิงกินข้าวอิ่ม นักขับร้องก็ยังคงร้องเพลงให้ความเพลิดเพลินกับแขกภายในงาน มันทำให้เธออ้าปากหาวกว้าง ก่อนจะขยับตัวพิงซบมู่จวินฝานหลับอยู่พักหนึ่ง แต่จู่ ๆ อาการอยากเข้าห้องน้ำก็ปลุกให้เธอตื่นขึ้นมา

“ท่านพี่ ข้าอยากไปเข้าห้องน้ำ” คนตัวเล็กกุมท้องตัวเองด้วยความรู้สึกขัดเขิน

“หา?” คนเป็นพี่ชายตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เข้าใจความหมายที่น้องสาวต้องการจะบอก “เอาเถอะ ข้าจะไปกับเจ้าเอง”

เขาพูดจบแล้วก็จับมือเด็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ 

“ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ!” ใบหน้าของมู่ไป๋ไป่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ “เซียวเซียว เจ้าไปกับข้า!”

แม้ว่ามู่จวินฝานจะเป็นพี่ชายของเธอ แต่เธอก็รู้สึกเขินอายอยู่ดี 

“ไม่ได้” เด็กหนุ่มส่ายหัว “เจ้าลืมเรื่องคนที่ถูกพิษที่เจ้าพบเมื่อเช้าไปแล้วหรือ? ถ้าเจ้าบังเอิญพบเขาเข้าอีกล่ะ?”

“อ๊า! ท่านพี่อย่าพูดอะไรที่ไม่เป็นมงคลสิ!” มู่ไป๋ไป่ตกใจมากพร้อมกับใบหน้าเปื้อนเลือดที่เธอลืมไปแล้วปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้ง “ข้าไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอก! นี่ก็ผ่านไปตั้งนานแล้วหลังจากคนที่ถูกพิษเริ่มโจมตีคน”

สิ้นเสียงพูด เธอก็ไม่รอให้มู่จวินฝานโต้เถียงกลับ แล้วรีบคว้ามือหลัวเซียวเซียววิ่งออกไป

“คุณหนู เดินช้าลงหน่อยเจ้าค่ะ” หลัวเซียวเซียวที่วิ่งตามไม่ทันเอ่ยปากออกมา “คุณหนู ถ้าท่านกลัว ทำไมท่านถึงไม่ขอให้คุณชายตามมาด้วยล่ะเจ้าคะ?”

“ไม่มีทาง!” มู่ไป๋ไป่อดที่จะหน้าแดงไม่ได้ “นี่ ห้องน้ำอยู่ทางนี้หรือ? เซียวเซียว เจ้าจำทางได้หรือไม่?”

“ให้ตายเถอะ จวนตระกูลจินนี้ช่างวุ่นวายจริง ๆ เช้านี้ก็ทำให้ข้าเกือบหลงทางแล้ว”

คนตัวเล็กติดนิสัยพูดมากขึ้นเมื่อเธอเริ่มรู้สึกหวาดกลัว

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Right Reserved.