STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 28 คอขวด
เย็นวันนั้นได้มีการจัดประชุมของเหล่าผู้มีอำนาจอีกครั้ง
“น่าเบื่อจริง ๆ ทำไมเราต้องไปสนใจไอ้กบฏนั่นด้วยล่ะ?” โอบากล่าวขณะที่กระดิกเท้าและเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ
“เพราะข้อเสนอที่เจ้านั่นกล่าวมามันน่าสนใจครับ ถึงจะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนแต่ก็ไม่ควรปัดตก” โกโด้ผู้เสนอวาระการประชุมเป็นคนอธิบายการทำข้อตกลงกับพวกซึฮากิ
“อืม ๆ พูดต่อเลย” คอออสกล่าวขณะที่เปิดเอกสารรายละเอียดสัญญาไปด้วย
“อืม เมื่อเช้าซึฮากิได้เดินทางมาหาผมและเริ่มการเจรจาขอซื้อตัวทหารของเรา...แต่มันกลับไม่ใช่ทหารทั่ว ๆ ไป ซึ่งนั่นก็คือหน่วยของนัตโตะที่มีหน้าที่สำคัญในการผลิตอุปกรณ์สื่อสาร”
“บัดซบจริง ๆ พอปล่อยให้ก็เอาใหญ่เลยนะ” แม้โอบาจะตะเบ็งเสียงดังแต่คนอื่นก็ไม่ได้ตกใจอะไรเหมือนได้ยินได้เห็นจนชินแล้ว
“แล้วคุณโกโด้ได้ตอบรับไปหรือเปล่าครับ?” เดมอสถาม
“ตอนแรกฉันก็จะปฏิเสธแล้วแต่มันดันยื่นข้อเสนออย่างที่เขียนไว้ในสัญญานั่นแหละ อย่างอื่นก็ไม่ค่อยอะไรแต่มันดันบอกว่าตัวเองสามารถผลิตหินสื่อสารได้ไวกว่าและจะจัดส่งมันให้กับเรา”
“เดือนละแปดก้อนเลยเหรอ? พวกเราทำได้ประมาณสองถึงสี่ก้อนต่อเดือนเอง คิดจะให้พวกเราเชื่อหรือยังไงวะ?” โอบาหงุดหงิดโยนเอกสารทิ้ง
“นั่นเป็นสาเหตุที่ผมต้องเอาเข้าที่ประชุมเพื่อให้ทุกคนช่วยกันตัดสิน”
ทันใดนั้นอาเกลียก็ยกมือดึงความสนใจไป “ฉันขอตัวนะคะพอดีว่ามีคนไข้รออีกหลายคนเลย แถมเรื่องพวกนี้ฉันไม่มีความรู้พอจะช่วยตัดสินได้หรอกค่ะ” พูดจบเธอก็เดินออกไปทันทีโดยที่คนอื่นไม่ขัดอะไร
“คุณอาเกลียยังเป็นห่วงคนไข้ไม่เปลี่ยนเลยนะ เพราะอย่างนั้นหรือเปล่าเธอเลยครองโสดมาตลอดเพราะไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่นเลย” เดมอสยิ้มมุมปากแต่ก็ต้องถอนหายใจเหมือนความหวังเล็ก ๆ มันช่างไร้หนทางเสียจริง
“นั่นสินะ เธอมีความสามารถด้านการรักษาและวินิจฉัยเป็นอันดับหนึ่งของอาณาจักร เผลอ ๆ อาจจะไม่มีใครทัดเทียมกับเธอได้เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเป็นแพทย์หญิงที่เก่งที่สุดทำให้มีคนต่อแถวรอให้เธอมารักษาตลอดเวลา” โกโด้กอดอกกล่าวขณะที่นึกถึงวันวานไปด้วย
“ช่างเธอเถอะ เราต้องรีบหาข้อสรุปเรื่องนี้ให้ไว ผมไม่อยากให้เจ้าพวกนั้นอยู่ที่นี่นานนัก”
หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการพูดคุยและหาจุดตกลงร่วมกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป
“พรุ่งนี้ผมจะเอาสัญญาฉบับนี้ไปให้กับเจ้าตัวเอง ถ้าตกลงกันได้ผมจะกลับมารายงานใหม่”
“ฝากด้วยล่ะคุณจอมพล” โอบาโบกมือลาจากนั้นทุกคนก็พากันแยกย้ายกลับถิ่นของตนเอง
ขณะที่ทุกคนเดินทางกลับแต่จะมีหญิงสาวผู้หนึ่งที่ยืนคิดทบทวนบางสิ่งอยู่ เธอเดินไปรอบ ๆ เหม่อจนเกือบเดินตกข้างทางด้วยซ้ำ
ซึฮากิ ตอนมารอบก่อนก็มีตู้เย็นพอมารอบนี้ก็มีกล้องบันทึกภาพ ฉันอยากเห็นมากกว่านี้
เธอมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนหลวงเพื่อหาตัวซึฮากิซึ่งต้องตระเวนถามคนโน้นคนนี้ไปทั่วกว่าจะหาเจอ
“ว่าแต่วันนี้พวกนายจะไปพักที่ไหนล่ะ? ถ้ายังไม่มีฉันมีที่ที่อยากแนะนำอยู่” วินยังคงทำหน้าที่รุ่นพี่ในโรงเรียนได้ดี เขามักจะพาเดินเล่นรอบ ๆ โรงเรียนทำตัวเหมือนมัคคุเทศก์ไปได้
นี่มันก็มืดแล้วพวกเขาจะไปไหนกัน แคลลี่ยังคงแอบตามอยู่ห่าง ๆ แม้จะมีคนผ่านไปผ่านมาเห็นแต่เธอก็หาสนใจไม่
“ที่นี่เป็นบ้านพักของแฟนฉันเอง จะบอกของฉันด้วยก็ได้เพราะฉันก็อยู่กับแฟนด้วย” วินพาเดินดูรอบ ๆ ซึ่งจะมีห้องพักจำนวนหนึ่งรวมถึงลานโล่งและสระว่ายน้ำส่วนตัว บรรยากาศที่เต็มไปด้วยต้นไม้อ้อมล้อมทำให้รู้สึกผ่อนคลายกว่านอนในเมือง
“รุ่นพี่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลยก็ได้นะคะ” ฟรานกล่าว
“เอาเถอะน่า ก่อนหน้านี้ฉันยุ่ง ๆ กับเรื่องสอบก็เลยไม่ได้ไปทักทายบ่อยนัก ตอนนี้ก็เลยอยากผูกมิตรไว้เสียหน่อย ใครจะไม่อยากคุยกับเหล่าผู้กล้าล่ะ” วินกวาดสายตามองและยังยักคิ้วหยอกล้อเล่น ๆ
มาพักที่บ้านของขุนนางเนี่ยนะ อย่าบอกนะว่าพวกเขาติดต่อแบบลับ ๆ กันไปแล้ว
แคลลี่แอบมองจากนอกรั้วทำตัวเหมือนโรคจิตที่ตามรังควานคนที่ชอบ ทันใดนั้นยามเฝ้าบ้านก็สังเกตเห็นจึงไล่ล่ากันอยู่พักหนึ่งก่อนจะคลาดสายตาไป
เวรเอ๊ยเกือบโดนจับได้แล้วไหมล่ะ เธอถอนหายใจลากยาวก่อนจะหันไปเห็นใครบางคนยืนอยู่ข้าง ๆ ทำเอาตกใจจนเกือบร้องลั่นแต่อีกฝ่ายเอามือมาปิดปากไว้ทัน
"แคลลี่ หนึ่งในผู้มีอำนาจของอาณาจักรเซีย เหตุใดถึงมาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ รอบ ๆ ตัวพวกกิ"
“ปะเปล่า ฉันก็แค่เดินหลงมาแล้วก็โดนพวกยามไล่ตาม”
หญิงสาวนางนั้นจับแขนของแคลลี่และม้วนไปด้านหลังในท่าจับกุม
“อย่ามาโกหก ฉันแอบตามเธอตั้งแต่ตอนเข้าไปในโรงเรียนแล้ว”
“แล้วเธอเป็นใครทำไมถึงต้องตามฉันด้วย?” แม้จะพยายามดิ้นรนแค่ไหนแต่ก็สู้แรงของหญิงสาวนางนั้นไม่ได้
“ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก บอกมาซะดี ๆ ว่าตามพวกกิทำไม?” เธอค่อย ๆ กดแขนของแคลลี่เพื่อเค้นให้พูดความจริงออกมา
“ยอมแล้ว ๆ ฉันก็แค่อยากคุยด้วยเฉย ๆ แต่จะโผงผางเข้าไปมันก็ยังไงอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
หญิงสาวนางนั้นไม่ปักใจเชื่อทันทีและยังค้นตัวแคลลี่ต่อจนไม่พบอาวุธใด ๆ ทั้งสิ้นถึงจะปล่อยแขน
“อยากคุยเรื่องอะไร? ฉันจะเป็นตัวแทนให้เอง” ซีโร่กอดอกมองต่ำพยายามข่มขวัญเพื่อให้ตนเองมีสิทธิ์ในการพูดคุยมากกว่า
“ได้เหรอ? เธอเป็นคนของซึฮากิแน่ใช่ไหมเพราะฉันจำไม่เห็นได้เลยว่ามีเธออยู่ด้วย”
“เรื่องมากจริง ๆ ถ้างั้นก็ขอให้โชคดีแล้วกัน...”
“เดี๋ยว ๆ ฉันเข้าใจแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะจำได้หมดหรือเปล่าแต่ฉันอยากฝากคำพูดเหล่านี้ไปให้ซึฮากิ”
“พูดมาเลยฉันจำได้อยู่แล้ว”
“อา...เรื่องกล้องบันทึกวิดีโอ...”
เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงที่แคลลี่ได้สาธยายทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการพูดกับซึฮากิซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือแปลก ๆ ที่ซึฮากิจะขายอนาคต เทคโนโลยีแปลกใหม่พวกนั้นทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของนักประดิษฐ์ลุกโชนขึ้นมาจนห้ามใจตนเองไม่อยู่
“อืม ๆ ฉันจะ...เอาไปบอกกับกิให้” ซีโร่สัปหงกแทบจะตลอดเวลาเมื่อได้ฟังที่แคลลี่พูด แต่ก็ยังยึดมั่นในคำพูดว่าจะจำไปบอกซึฮากิให้แม้จะดูเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ขณะที่วินพาเดินเล่นรอบ ๆ บ้านพัก ซีโร่ก็แฝงตัวเข้าไปเนียนอยู่ด้วยโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
“กิ ฉันมีเรื่องมาบอก” ซีโร่กระซิบข้าง ๆ โดยที่มีสายตาของฟรานจับจ้องอยู่
“มีคนสนใจของที่นายขายก็เลยอยากคุยด้วย”
“นักประดิษฐ์แคลลี่สินะ”
“นายรู้อยู่แล้วหรอกเหรอ?”
“ใช่ ก็เธอคนนั้นเล่นไม่ปกปิดตัวตนหรือมานาเลยสักนิด แต่ไม่ได้เจตนาร้ายก็เลยปล่อยไป”
“โธ่เอ๊ย แล้วนี่ฉันจะไปนั่งฟังเรื่องพวกนั้นมาทำไมเนี่ย”
ฟรานกระแอมคอขัดจังหวะและเดินเข้ามาแนบชิดตัวซึฮากิ
“จะว่าไปเธอหายไปไหนมาเหรอ?” ฟรานยิ้มยียวนถาม
“ทำงานน่ะสิ ฉันได้รับความไว้วางใจจากกิเลยนะ” ซีโร่ยิ้มเลศนัยตั้งใจยั่วโมโหฟราน แต่ก่อนจะเป็นอย่างนั้นเซนก็หันมาเห็นพอดี
“กลับมาแล้วเหรอ ! พวกฉันตกใจกันมากเลยนะที่เธอหายไป”
“โอ้โห่เธอหายหัวไปไหนมาเนี่ย” คานะและเซนกระโจนเข้าหาและเดินวนดูรอบ ๆ ตัว ขณะเดียวกันซีโร่ก็โพสต์ท่าสวย ๆ ให้เชยชมไปด้วย
“เป็นห่วงฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอพวกนาย ฉันคือซีโร่ผู้มากความสามารถเชียวนะ ไม่มีทางหลงไปโดนใครทำร้ายหรือโดนลักพาตัวแน่นอน”
“นั่นสินะ มีแต่เธอจะไปไล่บี้คนอื่นมากกว่า”
“เธอเป็นเพื่อนของพวกนายเหรอ?” วินถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสงสัย
“อืม ! ฉันชื่อซีโร่ ฝากตัวด้วยนะ” เธอยิ้มอย่างเป็นมิตรตอบรับและยังยื่นมือให้จับอีกด้วย
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
เธอแอบเข้ามาได้ยังไง นอกจากพวกยามจะไม่รู้ตัวเราเองก็สัมผัสไม่ได้เหมือนกัน
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ นายคงเป็นวินประธานเขตเวทมนตร์ใช่ไหม ฉันได้ยินข่าวลือของนายมาเยอะเลยล่ะ”
“ข่าวลือเหรอครับ หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องแย่นะครับ”
“ไม่แย่เท่าไรหรอกค่ะ อันดับแรกก็คือพอเข้าโรงเรียนมาก็ก่อเรื่องนับครั้งไม่ถ้วนจนเกือบโดนไล่ออก แต่ก็มีผลงานดีเด่นหลายอย่างทำให้กรรมการโรงเรียนยกโทษให้ แล้วก็ ๆ เหมือนจะมีคนพูดถึงเรื่องที่นายเกาะตระกูลฟร็องซัวด้วยนะ”
วินยกมือบอกเป็นนัยว่าให้พอได้แล้ว
“เอาเป็นว่าวันนี้เราไปกินมื้อค้ำกันก่อนดีกว่าครับ”
พวกเขาได้เข้าไปพักผ่อนในบ้านหลังโต ถึงจะไม่ใหญ่เท่าคฤหาสน์ของลอแรนแต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่านัก
“เรียนเชิญท่านผู้กล้าด้านในได้เลยค่ะ” แฟนสาวของวินกล่าวด้วยความนอบน้อมหวังให้ผู้กล้าฟรานและสหายจำภาพลักษณ์ดี ๆ ไว้
“ไม่ต้องพิธีรีตองก็ได้ค่ะ ยังไงพวกเราก็เป็นฝ่ายมารบกวนพวกคุณอยู่แล้ว” ฟรานก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อกล่าวทักทาย
“ได้ยินท่านผู้กล้ากล่าวเช่นนั้นทางเราก็ยินดีค่ะ”
อาหารเลิศหรูจำนวนมากยกมาเสิร์ฟถึงโต๊ะโดยเฉพาะห่านตัวโตที่ผ่านการย่างมาหอม ๆ ตั้งตระหง่านอยู่กลางโต๊ะ
“เสียดายที่เจ้าซากิไม่ได้มาแฮะ แต่ก็คงไปฝึกอะไรของเขาเหมือนเดิมนั่นแหละ” ซันนี่นั่งเรียบร้อยตามมารยาทแต่พอหันไปมองอีกสองคนที่กำลังสวาปามอาหารอย่างเอร็ดอร่อยมันก็ทำให้พวกเธอเหนื่อยใจแทน
“ฝึกอะไรเหรอ? หรือจะมีคนเป็นสปอนเซอร์เหมือนพวกเธอสองคน”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีสปอนเซอร์หรือยัง แต่เขามักจะแยกตัวไปฝึกที่ดันเจี้ยนคนเดียว คงหวังจะตามเธอให้ทันนั่นแหละ”
“ตามฉันเนี่ยนะ พวกเราก็คงไม่แตกต่างกันมากหรือเปล่า?”
“นี่เธอไม่สังเกตตัวเองเลยหรือยังไง ถึงพวกเราจะขึ้นมาเลเวลเจ็ดกันแล้วแต่ทั้งสเตตัสและประสบการณ์มันต่างกันมากโขเลยนะ ดูสภาพฉันกับคานะสิ…”
“แน่นอน” คานะพูดแทรกเสียงสูงทำเอาซันนี่มองค้อนทันที
“แม่สาวน้อยกังวลเรื่องสเตตัสเหรอ ถึงผมจะเลเวลแค่หกแต่ก็เคยสู้ชนะคนที่เลเวลสูงกว่ามาแล้ว ผมคิดว่าสิ่งสำคัญก็คือวิธีการซึ่งสามารถพลิกแพลงได้หลากหลายขึ้นอยู่กับประสบการณ์และปัจจัยภายนอก”
“รุ่นพี่ไม่เห็นพวกนั้นแสดงฝีมือก็พูดได้สิ เจ้าพวกนั้นมันทั้งสเตตัสมากกว่าและยังเก่งกว่าแบบเห็นได้ชัดเลย”
“นั่นสินะ” วินหัวเราะคิกคักขณะที่กินอาหารไปด้วย
ระหว่างกินอาหารวินก็มักจะมีถามไถ่สารทุกข์สุกดิบพยายามสานสัมพันธ์ในเชิงบวกให้ได้มากที่สุด ส่วนเซนกับชาญก็ยังจ้องหน้ากันตลอดจนบางครั้งก็ใช้การแย่งอาหารบนโต๊ะเป็นการดวลไปด้วย
“หาห้องที่ถูกใจได้เลยนะคะ ถึงจะไม่หรูหรามากนักแต่ทางเรายินดีต้อนรับเสมอ” มาเรียพาสี่สาวเดินหาห้องพักพลางพูดคุยไปเรื่อย
ขณะเดียวกันวินก็พาหนุ่ม ๆ ทั้งสามคนไปหาห้องพักเช่นกัน แต่ตลอดทางเดินกลับเต็มไปด้วยเสียงนินทาและเยาะเย้ยกันไปมาของเซนและชาญทำอย่างกับจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว
“พวกนายนี่สนิทกันดีจริง ๆ ว่าแต่คุณซึฮากิมองหาอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วครับ?”
“อ้อ ก็แค่อยากรู้ว่าบ้านของตระกูลอัศวินเป็นยังไง ตอนแรกคิดว่าจะวางกองกำลังไว้หนาแน่นกว่านี้ซะอีกแต่กลับหละหลวมกว่าที่คิด”
“แค่อัศวินที่ประจำอยู่ที่นี่ก็เก่งกาจพอสมควรแล้วนะครับ แถมยังมีผมอยู่ด้วยทั้งคนจะมีใครมาทำร้ายมาเรียของเราได้ล่ะ”
“พวกนั้นเหรอที่เรียกว่าอัศวิน ตอนแรกนึกว่าจะมีแต่ทหารแท้ ๆ” เซนกล่าว
“ทหารเป็นของหลวงซึ่งมีจำนวนมากกว่าอัศวินเป็นไหน ๆ แต่ถ้าเอาเหล่าอัศวินของทุก ๆ ตระกูลมารวมกันก็คงมีอำนาจเทียบเคียงกับพวกทหารได้”
“แต่ก็มีสิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดอยู่นะครับ” ซึฮากิกล่าวต่อทันทีแล้วปล่อยให้พวกเขาสงสัยกันต่อไป
“พูดทั้งทีก็พูดให้เข้าใจหน่อยสิกิ ก็รู้อยู่ว่าฉันหัวช้าคิดไม่ทัน”
“ใช่ ๆ ถึงจะไม่ชอบหน้าแต่ก็เห็นด้วยกับที่เจ้าเซนพูด” ชาญขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัยเช่นเดียวเซน
“อำนาจการปฏิบัติงานเหรอ?” วินกล่าว
“ถูกส่วนหนึ่งแต่ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งนั่นก็คือภาพลักษณ์ ทหารคือกองกำลังของอาณาจักรในขณะที่อัศวินเป็นกองกำลังส่วนตัวของเหล่าขุนนาง”
“ก็จริง นั่นเป็นสิ่งที่คนทั่วไปมองเป็นหลัก เมื่อเกิดปัญหาก็มักจะพึ่งพาทหารที่เป็นผู้ปกปักของอาณาจักรมิใช่อัศวินของขุนนาง” วินเข้าใจได้ทันทีหลังจากได้ฟังที่ซึฮากิพูด
ซึฮากิหันไปมองสองหนุ่มที่ยังขมวดคิ้วสงสัยไม่เลิก
“ยกตัวอย่างง่าย ๆ ทหารของอาณาจักรก็คือตำรวจที่คอยดูแลทุกข์สุขของประชาชน แต่อัศวินเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของคนที่จ้างเท่านั้น หากไม่ออกคำสั่งก็จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอื่น”
“อ้อ !” ทั้งสองเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียง
ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ห้องพักของตนเองและแยกย้ายกันไป แต่ในช่วงเวลากลางดึกที่มีเพียงความหลับใหลกลับมีเสียงฝีเท้าเดินย่ำอยู่รอบ ๆ บ้าน
แค่แอบตามมาดูทำไมถึงต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ด้วย ถ้าเป็นอลันคงไม่สั่งให้บุ่มบ่ามบุกมาแน่ ๆ หรือจะทำอะไรตามใจกันเอง ซึฮากิยังคงนอนต่อไปปล่อยให้คนของอลันเดินวนรอบ ๆ บ้าน
“เจ้านั่นมันหลับแล้วเราจะไปกลัวอะไรล่ะ”
“ตะ...แต่พวกเราต้องสะกดรอยตามและรายงานเฉย ๆ นะ”
เสียงกระซิบคุยกันดังมาจากอีกฟากของกำแพงซึ่งพวกเขากำลังโต้เถียงเรื่องหน้าที่ที่ต้องทำ ทั้ง ๆ ที่มีคนนอกมาเดินป้วนเปี้ยนในบ้านแต่พวกอัศวินกลับไม่สนใจหรือจะอ่อนหัดจนจับสังเกตอะไรไม่ได้เลย
“คุยอะไรกันอยู่เหรอ?”
ซึฮากิโผล่ไปอยู่ข้าง ๆ โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวและยังจับไหล่ของทั้งสองไว้ก่อนจะได้ออกอาวุธหรือวิ่งหนี
“แกตื่นอยู่เหรอ?” ด้วยแรงบีบมหาศาลทำให้สองหนุ่มขัดขืนไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
“ใช่ ๆ บังเอิญว่ามีคนคุยเสียงดังจนนอนไม่หลับน่ะสิ เอาเป็นว่าฝากไปบอกอลันเจ้าตระกูลรอแลนสักหน่อยแล้วกัน ถ้าอยากจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมก็ต้องใช้คนเยอะกว่านี้นะแต่ลำพังแค่ตระกูลเดียวคงไม่ไหวหรอก” ซึฮากิปล่อยมือจากสองหนุ่มและส่งรอยยิ้มบางให้แต่มันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสบายอกสบายใจจนน่ากลัว
“คะ...ครับ”
เพียงแค่อึดใจเดียวที่ได้เป็นอิสระพวกเขาก็สัมผัสถึงสิ่งที่เรียกว่าความกลัวได้ชัดเจน กำมือที่บีบไหล่จนเนื้อแทบฉีกแต่ก็ยังยั้งมือไว้ น้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ความกังวลแม้จะถูกสะกดรอยตามตลอดแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่มากจนไม่ต้องกลัวการโดนลอบสังหารใด ๆ และเมื่อรู้ซึ้งถึงกับแข็งแกร่งพวกเขาจึงวิ่งหนีสุดชีวิตเท่าที่จะทำได้
“ออกมาได้แล้วฉันรู้ว่าเธอดูอยู่” ไม่ใกล้ไม่ไกลมีหญิงสาวคนหนึ่งแอบมองอยู่ซึ่งเธอก็ได้เดินเข้ามาหาอย่างสบายใจเช่นกัน
“ฉันยังช้าไปสินะ รู้อย่างนี้นั่งรอตั้งแต่เที่ยงคืนก็ดี” ซีโร่กล่าวติดตลกขณะที่โยนม้วนเอกสารให้
“ทำได้ดีมาก ต่อให้เป็นข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มีไว้ก็ดีกว่าไม่มี”
“อืม ฉันพยายามค้นข้อมูลในราชวังแล้วแต่เหมือนข้อมูลสำคัญ ๆ จะเก็บไว้ที่อื่นมากกว่า”
ซึฮากิพยักหน้าเป็นสัญญาณให้แยกย้ายก่อนจะมีใครเห็น
25 มิถุนายน พ.ศ.2576
เมื่อถึงเวลาตื่นนอนที่หน้าห้องจะมีสาวใช้มาคอยทำความสะอาดและเก็บกวาดทุกอย่างให้ พวกเขาทำเพียงแค่เดินไปอาบน้ำให้สบายตัวแล้วไปรอที่ห้องอาหาร
“ไม่ชินเลยแฮะที่ต้องมาทำอะไรอย่างนี้” คานะดมกลิ่นเสื้อผ้าหรู ๆ และกวาดสายตามองชุดลูกคุณหนูที่เพื่อน ๆ ได้ใส่
“เดี๋ยวก็ชินแหละน่า แรก ๆ ฉันกับชาญก็เกร็งเหมือนกันแต่พอมีแต่คนต้อนรับแบบนี้ทุกที่มันก็เริ่มชินไปเอง”
“ใช่ ๆ พวกเราเป็นทรัพยากรอันล้ำค่าของอาณาจักร ใคร ๆ ก็อยากเป็นพันธมิตรด้วยทั้งนั้นแหละ” ชาญพูดขณะที่ยังเคี้ยวอาหารไปด้วย
“ไร้มารยาทเสียจริงนะชาญ” เซนยิ้มเยาะกล่าวด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
“ไอ้คนที่กำลังใช้มือจับอาหารอย่างนายมีสิทธิ์มาว่าคนอื่นด้วยเหรอ?”
“เขาเรียกว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมเว้ย”
“ขอโทษแทนเพื่อน ๆ ด้วยนะคะ” ฟรานถอนหายใจเหนื่อยใจก่อนจะก้มหัวขอโทษวินและมาเรีย
“ผมไม่คิดอะไรหรอกครับ แล้วเธอล่ะมาเรีย?”
“ฉันก็สบาย ๆ นายก็รู้นี่ว่าตระกูลของฉันเป็นยังไง” แม้เธอจะดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อยแต่ในสายตาอันอ่อนโยนพวกนั้นกลับเต็มไปด้วยความองอาจที่จะไม่ให้ใครมาข่มเหงหรือดูถูกเด็ดขาด
ตระกูลฟร็องซัวเป็นตระกูลนักรบอันเลื่องชื่อ พวกเขามีส่วนร่วมในสงครามจอมมารและสงครามย่อย ๆ หลายครั้งและยังเป็นแนวหน้าบุกเบิกดินแดนใหม่ ๆ อีก
“ขออนุญาตเสียมารยาทนะครับ พอดีผมมีธุระที่ต้องไปทำก็เลยจะขอปลีกตัวออกไปก่อน”
“ฉันไปด้วย” ฟรานตอบกลับทันที
“ฉันด้วย ๆ” เซนและคานะก็อยากไปด้วยเช่นกัน
“อืม…รู้ใช่ไหมว่าเราไม่ได้ไปเที่ยวเล่น”
“รู้สิ”
ซึฮากิตรงไปยังสถานที่นัดหมายซึ่งมีผู้มีอำนาจหลายคนนั่งรออยู่ และเมื่อการเจรจาเริ่มขึ้นไม่ถึงสิบนาทีเซนกับคานะก็นั่งน้ำลายไหลเสียแล้ว
“สะกดคำว่ามารยาทเป็นไหม?” โอบาตะเบ็งเสียงข่ม
“ขอโทษแทนนะครับ ปล่อยพวกเขาไว้อย่างนั้นเลยก็ได้คิดเสียว่าไม่มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรก”
สุดท้ายซึฮากิก็เป็นคนเดียวที่เจรจากับฝั่งผู้มีอำนาจโดยที่ฟรานและซีโร่ได้แต่นั่งตัวตรงตั้งใจฟังและคิดตามทุกประโยค
“หวังว่าจะไม่ผิดสัญญานะ” เหล่าผู้มีอำนาจร่วมกันลงนามเพื่อทำการซื้อขายหน่วยของนัตโตะซึ่งมีข้อเสนออันหอมหวานมากมายตั้งแต่เรื่องภาษีไปจนถึงเรื่องมือถือ
“จงจำไว้ให้ขึ้นใจ หากเดือนใดเดือนหนึ่งไม่มีการส่งหินสื่อสารจำนวนแปดก้อนมาก็จะถือว่าผิดสัญญาและขอเรียกตัวหน่วยของนัตโตะคืน” จอมพลโกโด้กล่าวด้วยเสียงเข้มจากนั้นก็แลกสัญญากันและกัน
ซึฮากิยิ้มมุมปากให้กับชัยชนะในการเจรจา “หวังว่าในอนาคตเราจะได้ร่วมมือกันอีก” ซึฮากิยื่นมือให้จับเป็นการแสดงให้เห็นถึงมิตรภาพของอาณาจักรเซียและเอลโฟเรีย
“เหอะ ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” จอมพลตอบรับการจับมือนั้นและพาไปหาหน่วยของนัตโตะ
สมาชิกทั้งสี่คนได้เก็บข้าวของรอไว้ล่วงหน้าเหมือนรู้ว่ายังไงก็เจรจาสำเร็จ และเมื่อเป็นไปตามที่คิดพวกเขาก็ร้องเฮดีใจกันยกใหญ่จนจอมพลหมั่นไส้จึงสั่งดันพื้นก่อนจะส่งตัวให้ซึฮากิ
“พวกเราจะได้ออกไปจากที่นี่จริง ๆ เหรอนัตโตะ?” วาตื่นเต้นจนยิ้มไม่หุบแถมยังเขย่าตัวนัตโตะเพราะควบคุมความดีใจของตนเองไม่ได้
“ก็เออน่ะสิ เจ้ากิกี้มันสัญญาไว้แล้วว่าจะช่วย แต่ต่อให้ไม่สัญญามันก็น่าจะอยากได้ตัวพวกเราเพราะเป็นคนจากโลกเดียวกันทำให้พูดคุยและวางแผนทำอะไรสักอย่างได้ง่ายขึ้น”
“โห่ แล้วมันจะต่างกับตอนนี้จริง ๆ เหรอ?”
“ต่างแหละมั้งแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องมากินอาหารซ้ำ ๆ ซาก ๆ และคอยกัดกับพวกทหารบ้า ๆ ด้วย”
ท่าทางดี๊ด๊าของพวกเขาที่ได้เดินออกจากเขตทหารทำให้เพื่อนร่วมรุ่นมองด้วยความหงุดหงิด โดยเฉพาะการบอกลาของพวกนัตโตะที่เหมือนกำลังเยาะเย้ยและท้าทายให้ตามมาเตะก้นให้ได้สิ
“เก็บของมาหมดแล้วใช่ไหม?” ซึฮากิเอ่ยถามก่อนเป็นอันดับแรกจากนั้นก็กวาดสายตามองพรรคพวกของนัตโตะ
“หมดแล้วมั้งแต่มันก็ไม่ค่อยมีอะไรสำคัญนักหรอก” นัตโตะเดินนำหน้าหน่วยเพราะนอกจากเขาก็ไม่มีใครที่สนิทกับซึฮากิแล้ว สำหรับพวกเขาก็คงเหมือนคนแปลกหน้าที่เคยเห็นผ่าน ๆ เท่านั้น
พวกเขาเดินทางกลับไปยังโรงเรียนหลวงที่มีเครื่องบินจอดอยู่ เพียงแค่ได้เห็นพวกเขาก็ต้องอ้าปากค้างเพราะมันคือสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้สำหรับโลกที่ล้าหลังด้านเทคโนโลยีเช่นนี้
“หมดธุระที่นี่แล้วเราจะกลับเมืองทันที...”
“ฉันขอไปที่ที่หนึ่งก่อนได้ไหม?” ฟรานดึงแขนไว้ก่อนจะเดินไปที่เครื่องบิน
“อืม...ฉันให้เวลายันเย็นนี้แล้วกัน จะให้ฉันไปด้วยไหม?”
ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินดิ่งเข้ามาหาและยังโบกไม้โบกมือพร้อมด้วยรอยยิ้มเริงร่า
“จำฉันได้หรือเปล่า?” เธอยื่นหน้ายื่นตาให้ดูใกล้ ๆ
“ดีน่า...เธออยู่ที่นี่หรอกเหรอ? หรือจะมาเรียนโรงเรียนหลวง”
“ฉันเลยจุดที่จะเรียนในโรงเรียนมาแล้วแต่นายก็ยังเย็นชาไม่เปลี่ยนเลยนะ คนเขาอุตส่าห์ช่วยไว้ตั้งหลายอย่างแท้ ๆ”
“ว่าแต่...เธอเป็นใครเนี่ย?” ฟรานเดินเอาตัวมาบังซึฮากิไว้และจ้องตากันและกันด้วยความสงสัย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 71
แสดงความคิดเห็น