บทที่ 3 นิมิตรร้ายของอินทวงศ์
แม่น้ำที่อดิเทพถูกโยนลงไปนั้น เดิมทีชาวสุริยะจะใช้ล้างบาปในวันสุริยะฆาต แลใช้เป็นที่ชำระร่างกายของทหารที่ออกณรงค์สงครามกลับมา ความชั่วร้ายจึงสะสมอยู่ในชลาสินธุ์แห่งนั้น อนิจจา ซากของอดิเทพได้ซึมซับมวลบาปเหล่านั้นเอาไว้เต็มเปี่ยม
อรุโณทัยไขแสงอ่อนๆ บุปผาลัดดาวัลย์บานสะพรั่ง เหมือนต้อนรับวันใหม่ ใต้นทีนั้นมีพญากุมภีร์อาศัยอยู่ เมื่อสุริยะเทพขึ้นสู่ท้องฟ้า พญากุมภีร์ขึ้นมาอาบแสงอรุณเช่นทุกครั้งที่ทำมา แต่วันนี้ผิดกว่าทุกครั้ง ด้วยในปากของมันคาบเอาเด็กขึ้นมาจากวังวนด้วย
เมื่อแสงตะวันเริ่มร้อนแรงขึ้น พระยากุมภีร์บรรจงวางอดิเทพลงบนพื้นตฤณชาติเขียวขจี ก่อนจะกลับลงไปในสาคร หน่อกษัตริย์จึงถูกทิ้งให้เดียวดาย รอบตัวมีแต่ความอ้างว้าง
ในพนานั้นมีสมิงขาวแม่ลูกอ่อนอาศัยอยู่ นางจะลงมากินน้ำเป็นประจำ กินสาบสางโชยเข้ามาในจมูก สมิงแม่ลูกอ่อนจึงค่อยๆตามกลิ่นนั้นไป จนกระทั่งพบร่างของเด็กถูกทิ้งให้นอนอยู่ นางพยายามดมกลิ่นดูหลายครั้ง มวนบาปทั้งหลายที่อยู่ในกายทำให้กลิ่นของมนุษย์จางหายไป นางสมิงขาวเกิดความพิสมัยเหมือนลูกในอุทร ค่อยๆบรรจงคาบอดิเทพไว้ในปาก แล้วพากลับไปเลี้ยงดูในถ้ำที่สถิต
ชาวสุริยะสยบต่ออำนาจของอินทระอย่างเลี่ยงไม่ได้ พวกที่ไม่ยอมแพ้ก็ต้องอพยพไปอยู่ถิ่นอื่น อินทวงศ์มหาราชสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมาใหม่ ชาวสุริยะถูกกดขี่ให้เป็นทาส ต้องก้มหน้ารับใช้ศัตรูอย่างกล้ำกลืน เมืองถูกสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่า อมราวดีนคร
อินทวงศ์มหาราชแผ่ขยายอำนาจไปทั่วบริเวณ เจ้าเมืองทั้งหลายต่างยอมส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายให้ทุกปี ชาวอินทระต่างมีความสุขกันถ้วนหน้า แต่ชาวสุริยะเหมือนตกนรกทั้งเป็น
เท้าเธอโปรดให้แบ่งชนชั้นวรรณะชัดเจน พวกชาวสุริยะอยู่วรรณะที่ต่ำที่สุด ไม่มีสิทธิเรียกร้องอะไรทั้งสิ้น 20 กว่าฤดูกาลแล้ว ที่สุริยะต้องทนทุกข์ทรมาน
อินทวงศ์มหาราชบรรทมอยู่ในปราสาท ราตรีนั้นพระองค์ได้สุบินนิมิตถึงบุรุษคนเดิม แต่คราวนี้ภาพทุกอย่างมันชัดเจน บุรุษผู้นั้นแต่งกายด้วยหนังเสือ สังวาลย์สีขาวเปล่งประกายแวววับ ชายผู้นั้นค่อยๆเดินเข้ามาหาพระองค์อย่างช้าๆ น้ำเสียงห้าวต่ำเอ่ยถามขึ้น
“ท่านจำเราได้หรือไม่ มันถึงเวลาแล้วที่เราจะได้เจอกัน อินทวงศ์มหาราช ข้าจะเป็นคนทำลายราชัยไอศูรของท่านเสีย สุริยะยังไม่สิ้น สุริยะจะกลับมา สุริยะจะแก้แค้น”
จอมกษัตริย์สะดุ้งไปทั้งวรกาย ตะโกนเรียกขุนพลคนสนิทด้วยสุรเสียงอันดัง “วารุธเจ้าอยู่ที่ใด! มาช่วยข้าเร็ว!”
ขุนพลวารุตได้ยินเสียงโวยวายของจอมกษัตริย์ดังออกมา รีบมุ่งหน้าไปยังแท่นบรรทม แหวกวิสูตรออก จึงเห็นพระองค์บรรทมดิ้นไปมา เสโทเปียกชุ่มเต็มนลาฏ จึงรู้ว่าจอมกษัตริย์กำลังสุบินร้าย
“พระองค์ พระองค์พระเจ้าค่ะ ตื่นบรรทมเถิดพระเจ้าค่ะ” ขุนพลเขย่าพระองค์เบาๆ เพียงไม่นานมหาราชก็ได้พระสติ พยายามสอดส่ายสายพระเนตรค้นหาชายในฝัน แต่สิ่งที่พระองค์ทัศนาเห็นมีเพียงขุนพลคู่พระทัยเท่านั้น
“ข้าฝันไปหรือนี่” รำพึงอย่างแผ่วเบา
“พระเจ้าค่ะ พระองค์ทรงพระสุบินไป เรื่องทุกอย่างที่ทรงเห็นหาใช่ความจริงไม่” ขุนพลบังคมตอบ
“แต่มันเหมือนจริงมากเลยนะ เรายังจดจำใบหน้ามันได้อยู่เลย และสังวาลย์ที่มันสวมใส่เหมือนกับเราเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” จอมกษัตริย์เล่าเรื่องราวที่ทรงเห็นในนิมิตให้ขุนพลฟัง
“เจ้าลองทำนายให้เราดูทีรึ ฝันของเราจะเป็นลางบอกเหตุหรือไม่”
วารุธคำนวณตามตำราพรหมชาติ เหงื่อของเขาไหลซึมอย่างตระหนก ไม่กล้าถวายคำทำนาย อินทวงศ์มหาราชทัศนาดูปฏิกิริยาของขุนพลมาโดยตลอด เมื่อเห็นขุนพลลังเลเช่นนั้น จอมกษัตริย์ก็สำทับให้บอกคำทำนาย วารุธจำใจต้องถวายคำทำนายออกไปว่า
“ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า พระสุบินนิมิตของพระองค์ร้ายแรงนัก มันบอกถึงความพินาศที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ชายผู้นั้นคือหน่อสุริยะ บัดนี้เขาได้เติบโตแล้ว แลจะไม่มีใครสามารถต้านทานพลังศักดาของเขาได้”
“พอจะมีทางแก้หรือไม่” จอมกษัตริย์ถามเสียงเครียด
“ไม่มีแล้วพระเจ้าค่ะ”
อินทวงศ์มหาราชทะลึ่งลุกขึ้น คว้าพระแสงบนพานแก้วมาถือไว้มั่น กวัดแกว่งพระแสงสุดกำลัง ฟ้าก็ส่งเสียงคำรามกึกก้อง อสุนีบาตฟาดลงมา พระสุธาศั่นไหว ศาสตราฤทธิไกรบังเกิดรัศมีโชติช่วง
เท้าเธอกระทืบพระบาทลงพื้นปราสาท ส่งสุรเสียงนฤนาทไปทั้งปราสาท “ให้มันมาเถิด ดาบวงสวรรค์ของข้ายังทรงฤทธา พร้อมแล้วที่จะประหารศัตรูให้พินาศย่อยยับ”
“เสด็จพ่อเพคะ เสด็จพ่อของลูก” ราชธิดาองค์เดียวของพระองค์เดินเข้ามา จอมกษัตริย์ได้สติ วางพระแสงลงบนพานแก้วดังเดิม
“จอมนารี เจ้ามาทำไม เหตุใดไม่พักผ่อน มันดึกดื่นแล้วหนา” อินทวงศ์มหาราชรรับสั่งถาม
“ลูกนอนไม่หลับเพคะ พอดีได้ยินเสียงฟ้าผ่า แลแสงสว่างก็ปรากฏออกมาจากปราสาทของพระองค์ ลูกก็เลยมาดูนี่แหละเพคะ”
พระธิดาจอมนารีอยู่ในอาภรณ์สีขาวนวล พระฉวีเปล่งปลั่งดุจทองทา ดวงนัยนาดำเหมือนนิลการ เกศายาวสลวยสีดำถูกปักเอาไว้ด้วยปิ่นมณี นอกจากนางจะมีศิริโฉมที่งดงามแล้ว วิชาการยิงธนูของนางก็เป็นเลิศ แลการใช้ศาสตราวุธก็มิแพ้ผู้ใด
“มันไม่มีอะไรหรอกลูก กลับไปนอนเถอะ มันดึกมากแล้ว” พระชนกกล่าวเสียงเรียก
“เสด็จพ่อไม่บอกลูกก็ไม่เป็นไร ลูกก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้นักหรอก ที่มาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อในคืนนี้ก็แค่...” มิทันที่จอมนารีจะกล่าวจบ พระบิดาได้ดำรัสแทรกเสียก่อน
“เจ้าจะขออนุญาตพ่อไปเที่ยวใช่ไหม” พระธิดายอมรับแต่โดยดี อินทวงศ์มหาราชจึงดำรัสสืบไปว่า
“เจ้าจะไปเที่ยวพ่อก็ไม่ว่า แต่เจ้าต้องรักษาตัวให้ดี อย่าลืม ตอนนี้เจ้าดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารี ซึ่งจะเป็นจักรพรรดินีในอนาคต”
พระราชธิดาก้มลงกราบเบื้องบาทของพระชนก สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง อินทวงศ์มหาราชหยิบพระแสงศรมาพระราชทานให้ธิดา พร้อมดำรัสว่า
“เก็บไว้ป้องกันตัว ศรประกายเดือนมีเดชานุภาพมากนัก สามารถสังหารคนเป็นร้อยได้ในพริบตา และสามารถแผลงออกไปเป็นอะไรก็ได้ตามใจนึก”
อุษาสางวันใหม่ ขบวนเสด็จของมกุฎราชกุมารีเคลื่อนออกจากพระนคร ชาวเมืองต่างมารับเสด็จการล้นหลาม จอมนารีประทับอยู่บนเสลี่ยงทอง ยื่นหัตแหวกวิสูตรกั้นออก ทรงแย้มสวนให้กับหมู่ราษฎรที่มารับเสด็จ ก่อนปิดวิสูตรไว้ตามเดิม
พระธิดาให้ทหารเข้าไปในป่า ขบวนเสด็จเดินทางครึ่งวันก็มาถึงทุ่งโยทะกา พระราชธิดาจึงรับสั่งให้ขบวนหยุดพักตรงนี้ ทหารรักษาพระองค์จึงจัดพลับพลาที่ประทับกลางทุ่ง สวนจอมนารีดำเนินทัศนาดอกโยทะกาอย่างพอพระราชหฤทัย
ดำเนินมาอีกหน่อยก็พบต้นมะลุลี ส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล สถานที่แห่งนี้ดูงดงามวิจิตร ด้านหนึ่งมีดอกโยทะกาสีเหลืองอ่อน อีกด้านมีดอกมะลุลีสีขาว จอมนารียื่นหัตเด็ดมะลุลีมาสูดดม เด็ดดอกโยทะกามาทัดหู แย้มพรายออกมาอย่างบริสุทธิ์ อุปมาเหมือนดอกโกมุทต้องน้ำค้างจากแมนสรวง ยั่วยวนจิตใจคนที่พบเห็น
““เจ้าไม่คิดจะขออนุญาตเจ้าของดอกไม้หน่อยหรือ” กระแสเสียงห้าวต่ำดังขึ้นเบื้องกฤษฎางค์ จอมนารีหันกลับไปมองอย่างตกใจ ชักพระขรรค์ออกมาถือไว้ในพระหัตถ์
“เจ้าเป็นใคร” ถามสุรเสียงเข้ม ทัศนาบุรุษผู้นั้นอย่างไม่วางตา ชายดังกล่าวอยู่ในชุดหนังสีขาว สังวาลย์เพชราเปล่งประกายระยิบระยับ รูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ผิวสีเข้มงามสง่า เกศาหยิกเป็นคลื่น ดวงตาดำสนิทเพ่งมองมายังเจ้าหญิงอย่างสำรวจ
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร” เจ้าหญิงถามออกไปอีก เพราะชายผู้นั้นยังยืนนิ่ง หาได้ตอบคำถามของนางไม่
“โจร” ชายผู้นั้นตอบเสียงห้วน ทำเอามกุฎราชกุมารีสะดุ้งโหยง
“เจ้าเป็นโจรจริงๆหรือ!” ราชธิดาถอยหลังออกไป กรรมพระขรรค์เอาไว้แน่น ถ้าหากโจรหนุ่มผู้นี้คิดทำอันตรายต่อนาง พระขรรค์เล่มนี้ก็พร้อมจะประหารมันให้ย่อยยับ
“เก็บอาวุธเถิด ข้าไม่คิดที่จะทำอันตรายพระองค์” โจรหนุ่มผู้นั้นยังยืนนิ่งที่เดิม ไม่มีปฏิกิริยาคุกคามแต่อย่างใด จอมนารีจึงเก็บพระขรรค์ ก่อนถามว่า
“เจ้ารู้จักเราอย่างนั้นหรือ”
โจรหนุ่มพยักหน้า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์เป็นอย่างดี มีแต่พระองค์เท่านั้นที่ไม่รู้จักข้าพเจ้า”
“เราจะไปรู้จักเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเราเพิ่งได้พบกันเป็นครั้งแรก”
“พระองค์เคยพบข้าพเจ้าเป็นครั้งแรก แต่ข้าพเจ้าเคยพบพระองค์หลายครั้งแล้ว”
“เจ้าพูดจาชอบกลนัก เจ้าเป็นใคร มาจากไหน มีนามว่าอย่างไร” จอมนารีตั้งคำถาม บางทีนางอาจจะเคยพบบุรุษคนนี้แล้วก็ได้ แต่ไม่อาจจำได้เท่านั้นเอง
“ข้าพเจ้าจะเป็นใครก็ตาม รู้ไว้เพียงว่า ข้าพเจ้ามิได้มีเจตนาร้ายต่อพระองค์ ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับรังโจรแล้ว ลาก่อนเจ้าหญิง เราต้องได้พบกันอีกแน่” บุรุษปริศนาหันหลังกลับ ออกวิ่งลัดเลาะไปตามหมู่พฤกษา เพียงไม่นานก็อันตรธานหายไป
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 145
แสดงความคิดเห็น