บทที่ 1 ประกาศอิสรภาพ
ในปีพุทธศักราช 2,127 เดือน 6 ปีวอก พระนเรศวรได้ประกาศอิสรภาพต่อหน้าภิกษุสงฆ์แลชาวมอญ ณ เมืองแครง
"ข้าแต่เทพเทวดาทั้งหลายจงเป็นทิพยาน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีมิได้ตั้งอยู่ในสุจริตมิตรภาพขัตติยาประเพณี ประพฤติพาลทุจริตคิดจะทำภยันอันตรายแก่เรา นับจากนี้ไปเบื้องหน้า กรุงพระนครศรีอยุธยา กับหงสาวดี มิได้เป็นปฐพีแผ่นเดียวกัน ขาดกันตั้งแต่วันนี้ชั่วกัลปาวสาน"
พระนเรศวรได้หลั่งทักษิโณทกลงพื้นพสุธาเพื่อประกาศอิสรภาพ ผู้คนทั้งหลายต่างโห่ร้องยินดีกับอิสรภาพที่ได้รับ
จากนั้นพระนเรศวรก็ได้นำชาวไทยที่ถูกจับมาเป็นเชลยตั้งแต่คราวเสียกรุงข้ามแม่น้ำสะโตงไป ฝ่ายทหารพม่าติดตามมาถึงอีกฝั่งของแม่น้ำ พระนเรศวรจึงใช้พระแสงปืนต้นยิงข้ามแม่น้ำสะโตงต้องกายสุรกรรมาสิ้นใจตายบนคอช้าง เมื่อสังหารสุรกรรมาเรียบร้อยแล้ว พระองค์ดำก็นำทหารแลเชลยไทยกลับคืนสู่อยุธยาได้ในที่สุด
ณ ตลาดของเมืองกาญจนบุรี ยามนี้ชาวบ้านทั้งหลายต่างโจทก์จันทร์ในกฤษฎาอภินิหารของพระนเรศวรที่ทรงพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตงได้อย่างเหลือเชื่อ และข่าวที่พระนเรศวรประกาศอิสรภาพในยามนี้เป็นที่สนใจของผู้คน พวกชายหนุ่มทั้งหลายที่มีจิตใจรักชาติก็ฮึกเหิมใจ เพราะพวกเขามีใจรักชาติกันแทบทุกตัวคน เมื่อพระนเรศวรประกาศอิสรภาพ พระองค์จึงรับสมัครทหารไม่จำกัดว่าจะเป็นไพร่หรือผู้ดี หากผู้ใดมีฝีมือแล้วพระองค์ก็จะชุบเลี้ยงให้มียศฐาบรรดาศักดิ์ตามแต่สมควร
ในร้านขายสุราอาหารมีชายฉกรรจ์หลายคนที่นั่งดื่มกินกันอยู่ พวกเขาหลายคนต่างจับคู่ปรึกษาหารือกันเรื่องจะไปเป็นทหารที่กรุงศรีอยุธยา แต่บางคนก็เอาแต่ดื่มสุราหาสนใจสิ่งอื่นไม่
"ถึงยังไงเราก็หลีกเลี่ยงสงครามครั้งนี้มิได้อยู่แล้ว" ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพูด
"ถึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าก็ไม่กลัวหรอก" ชายอีกคนพูดบ้าง
"แต่บ้านเมืองจะวุ่นวายนะ" ชายฉกรรจ์คนแรกพูดอีก
"ถ้าเจ้ากลัวก็หนีไปซะ ข้าจะสู้เพื่อแผ่นดินของข้า"
"ไม่หรอก ข้าไม่เคยกลัวพวกตองอูแม้แต่น้อย ข้าเพียงไม่ต้องการให้บ้านเมืองเกิดสงครามเท่านั้น"
ชายฉกรรจ์ทั้งสองยังสนทนากันเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้สนใจชายหนุ่มด้านหลัง ที่นั่งฟังอย่างตื่นใจ คำว่าเป็นทหารรักษาบ้านเมืองทำให้เขาตื่นใจแท้ และได้รู้ว่าไทยเป็นอิสระจากต่างชาติแล้วเขาก็ดีใจขีดสุด แทบจะอยากเดินทางไปสมัครเป็นทหารเสียเดี๋ยวนั้น
"ไอ้สิงห์ ข้าได้ยินว่าเจ้าฟ้าวังหน้ารับสมัครชายฉกรรจ์ไปเป็นทหาร เอ็งสนใจหรือเปล่า" ชายฉกรรจ์คนแรกถามเพื่อน
"ก็น่าสนใจเหมือนกันนะไอ้เสือ"
"งั้นพรุ่งนี้เราจะเดินทางกันเลย" เสือสรุปง่ายๆ
"พี่ชาย" เสียงชายหนุ่มที่เรียกทางด้านหลัง ทำให้ทั้งสองหันไปมอง
"เอ็งมีอะไรกับพวกข้าหรือไอ้หนุ่ม" สิงห์ถามขึ้น
ชายหนุ่มผู้นั้นมีรูปร่างสง่างาม กล้ามเนื้อเป็นมัดๆสมชายชาตรี อายุประมาน 19 ปี ใบหน้างดงามภายใต้หนวดเคราเขียวครึ้ม แขนทั้งสองข้างล่ำสันแข็งแรงบ่งบอกว่าผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ดวงตาคมสีเหล็กมีแววความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและเฉียบขาดอยู่ในที เบื้องหลังมีห่อผ้าที่บรรจุดาบเอาไว้ เขาไม่ยอมให้ห่างตัว ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มให้ทั้งสอง แล้วกล่าวขึ้นว่า "ข้าอยากไปเป็นทหารกับพวกพี่ด้วย พวกพี่จะรังเกียจหรือเปล่า"
ทั้งสองหันมามองกัน แล้วเสือเป็นคนตั้งคำถาม "เจ้าพูดจริงหรือ"
ชายหนุ่มผู้นั้นพยักหน้า ก่อนที่จะลุกขึ้นมายืนตรงหน้าทั้งสอง พร้อมกล่าวแนะนำตัวว่า "ข้ามีนามว่ากายแก้ว เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฤทธิ์ทีแห่งปากน้ำโพ"
สิงห์พยักหน้าก่อนถามว่า "แล้วเอ็งทำไมถึงมาอยู่ที่เมืองกาญแห่งนี้ได้ล่ะ"
"หลังจากข้าเรียนวิชาอาวุธและวิชาอาคมจนจบแล้ว ข้าก็ออกท่องเที่ยวเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตจนมาพบกับพวกพี่ชายนี่แหละ"
"เอ็งอายุเท่าไหร่ พวกข้าจะได้เรียกถูก" สิงห์ถาม
"เพิ่งจะ 19 เองพี่ชาย" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ
"งั้นเอ็งก็เป็นน้องพวกข้า พวกข้าเบญจเพสปีนี้" เสือพูด
"เราจะออกเดินทางกันวันไหนพี่ชาย" กายแก้วถามทั้งสองอย่างร้อนใจ
"พรุ่งนี้ เอ็งมารอพวกข้าที่นี่ เดี๋ยวพวกข้าจะมารับ" เสือพูด
สิงห์และเสือออกไปจากร้านเหล้าแห่งนั้นได้นานมากแล้ว แต่ชายหนุ่มยังนั่งนิ่งไม่ยอมไปไหน เขาคิดที่จะเป็นทหารมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที
ท่านพ่อขอรับ ลูกจะแก้แค้นพวกตองอูให้ท่านพ่อให้จงได้ ชายหนุ่มคิดในใจ
ย้อนกลับไปในช่วงที่กรุงศรีอโยธยาตกเป็นเมืองขึ้นของพระเจ้าบุเรงนองสิบทิศ ในครั้งนั้นบันดาลขุนนางต่างสังเวยชีวิตให้กับสงครามมากมาย รวมทั้งขุนแสนศึกพ่ายบิดาของกายแก้วด้วย ถ้าครั้งนั้นเมืองพิษณุโลกสองแควกับอโยธยาสามัคคีกัน ไหนเลยจะเสียเอกราชให้กับหงสาวดี ในช่วงที่เสียเอกราชกายแก้วยังเด็กมาก เขายังรู้สึกเสียดายที่ตนเองเกิดช้าไป หากเกิดในสมัยนันเขาก็จะสู้ตายหน้าประตูเมืองเยี่ยงพระมหาเทพ ที่ต่อสู้กับพม่าจนลมหายใจสุดท้าย ชายหนุ่มอยู่ในภวังค์นานมาก จนกระทั่งได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้น เขาจึงตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ
"น้องชาย เจ้ามันดูอ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิง,, ดูผิวพรรณก็นุ่มดี ขอข้าจับทีเถอะว่ะ" เสียงขี้เมาดังอยู่ใกล้ๆชายหนุ่ม
"อย่าเข้ามานะ!" สำเนียงไม่แตกต่างกับสตรีออกคำสั่งกับชายขี้เมาเหล่านั้นอย่างตกใจ
กายแก้วจำต้องหันกลับไปมองเสียงที่อยู่เบื้องหลัง ก็พบว่ามีชายร่างใหญ่ถึงสองคน กำลังลวนลามเด็กหนุ่มคนนั้น ที่มีรูปร่างคล้ายผู้หญิง จึงลุกขึ้นเดินไปอยู่เบื้องหน้าชายฉกรรจ์ 2 คน ก่อนพูดเป็นเชิงขอร้องว่า "ข้าขอเถอะพี่ชาย,, ,, อย่ารังแกคนที่อ่อนแอกว่าเลย"
"เอ็งยุ่งอะไรด้วยวะไอ้หนุ่ม" ชายฉกรรจ์ 1 ใน 2 ถามขึ้น
"อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของข้าหรอก เพียงแต่ข้าทนรำคาญไม่ได้ก็แค่นั้น" เขาตอบน้ำเสียงดุดัน
"เอ็งอยากเจ็บตัวหรือไงวะ" ชายฉกรรจ์อีกคนถามขึ้น
กายแก้วยิ้มแล้วพูดว่า "พวกพี่ชายก็เมาแล้ว กลับบ้านซะเถอะ"
"ไอ้หนุ่ม เอ็งวอนส้นตีนเสียแล้ว" พวกมันพูดด้วยความโกรธ พร้อมชักมีดออกมา แล้วกระโดดแทงชายหนุ่มทันที กายแก้วหลบ ทำให้ทั้งสองเสียหลักถลาไปเบื้องหน้า แต่ก็ตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งสองกระโจนเข้ามาอีก กายแก้วจึงต้องถีบชายที่อยู่ขวามือกระเด็นออกไปก่อน ชายผู้นั้นล้มอย่างไม่เป็นท่า แต่ไม่ยอมให้มีดหลุดออกจากมือเด็ดขาดชายฉกรรจ์อีกคนหลังจากแทงพลาดก็เข้ามาแทงอีก กายแก้วจำใจต้องชักกริชออกมาต่อสู้กับชายฉกรรจ์ผู้นั้น ขณะที่ทั้งสองกำลังต่อสู้กกันอย่างดุเดือด ชายที่ล้มลงไปแล้วก็ลุกขึ้นมาได้ มันเดินย่องไปทางเบื้องหลังของชายหนุ่ม แล้วเนื้อมีดขึ้นสุดแขน
"ระวัง!" เสียงแหลมเล็กดังขึ้น แต่ทุกอย่างมันเหมือนจะสายไปเสียแล้ว เพราะมีดชายฉกรรจ์ผู้นั้นแทงกลางหลังกายแก้วอย่างจัง
"ว้าย!" เสียงหวีดร้องของพวกแม่ค้าที่อยู่ใกล้ๆดังระงม ทุกคนคิดว่าชายหนุ่มต้องเสร็จแน่ๆ แตมีดเล่มนั้นก็ต้องเด้งออกมาจากเนื้อของชายหนุ่ม มิได้ทำอันตรายเขาแม้แต่น้อย สร้างความตื่นเต้นและประหลาดใจให้แก่ทุกคนที่พบเห็นยิ่งนัก
"เฮ้ย เอ็งเล่นของด้วยหรอวะ มีดข้าทำกระไรมิได้เลย" กายแก้วหันไปมองคนที่รอบทำร้ายตนนิดนึง แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร เพราะเขากำลังต่อสู้ติดพันกับชายฉกรรจ์อีกคน
เสียงขี้เมาคนเดิมพูดขึ้นอีกว่า "เอ็งเล่นของหรอ งั้นลองนี่ดูหน่อยเป็นไง"
ชายฉกรรจ์คนเดิมไปหยิบไม้ตะพดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ซึ่งตอนนี้กำลังจะใช้ตีหัวชายหนุ่ม ไม้ตะพดในมือของชายผู้นั้นฟาดลงมาจุดหมายคือกลางหัวของเขา กายแก้วก้มตัวลงต่ำ ก่อนที่จะพุ่งตัวชนชายผู้นั้นอย่างแรง ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นอย่างไม่เป็นท่าอีกครั้ง แต่ไม่ยอมให้ไม้ตะพดหลุดจากมือ
กายแก้วไม่อยากมีเรื่องอีก แต่เขาจะหนีไปตามลำพังก็ไม่ได้ จึงลากเด็กหนุ่มคนที่เป็นสาเหตุไปด้วย ร่างของเด็กหนุ่มที่อ้อนแอ้นอรชรเหมือนผู้หญิงติดมือกายแก้วไปอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มวิ่งอย่างรวดเร็วแล้วมาหยุดที่ท่าน้ำ แล้วนั่งลงด้วยอาการเหนื่อยหอบ พิจารณาเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสนใจ เด็กหนุ่มผู้นั้นมีผิวที่ขาวนวลเหมือนผู้หญิง ดวงตาสีนิลงดงาม เส้นผมดำเหมือนขนกาน้ำยาวถึงไหล่ถูกปักไว้เรียบร้อย ทำให้เขารำพึงในใจว่า
หากมีคนบอกว่าไอ้หนุ่มคนนี้เป็นผู้หญิงกูก็คงเชื่อ ตั้งแต่กูเกิดมาจนป่านนี้ก็เพิ่งเคยเห็นผู้ชายที่งดงามเหมือนผู้หญิง,, หากกูสามารถเปลี่ยนให้มันเป็นผู้หญิงได้ก็จะไม่ลังเลเลย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 193
แสดงความคิดเห็น